คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : 10 : ปัญหา มันเยอะเกินไปมั้ย
10
ปัญหา มันเยอะเกินไปมั้ย =___=
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ที่ร่างสูงเจ้าของฉายา ‘ขาโหดแห่งวิเฟอร์ ฯ’ ต้องมานอนแบ็บอย่างฟุ้งซ่านแบบนี้ ...
ตามจริงเวลานี้เขาต้องกำลังนั่งสังสรรค์กับเพื่อนเรื่องสัพเพเหระสนุก ๆ ที่คฤหาสน์ของเพื่อนจอมรวยที่นั่นสิหรือไม่ก็ออกไปหาเรื่องคนบ้าง ไม่ใช่มานอนก่ายหน้าผากแล้วมัวแต่นึกถึงใบหน้าน่ารักนั่นแบบนี้ ภายในอกของเขามันเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านอยู่เต็มไปหมดแต่มันก็ปนเจือไปด้วยจังหวะแปลก ๆ ของก้อนอกด้านซ้ายจนอยากจะเอาสปาตาร์มาแทงเข้าให้สักทีเผื่อมันจะดีขึ้น ...
แต่มันคงไม่ใช่วิธีที่ดีแน่ ๆ ล่ะ -_- ++
เฮดโฟนคิดจะออกไปข้างนอก แต่ก็ออกไปไม่ได้เพราะ ... เขาไม่ได้อยู่ภายในบ้านเพียงคนเดียว ซ้ำเขาเองที่ยังพา ‘คนนอกบ้าน’ อย่างเธอเข้ามาเองอีก จะให้ทิ้งเธอไว้ที่นี่แล้วออกไปเสวยความสุขคนเดียวได้ยังไงกัน ที่สำคัญ ... ถ้าปล่อยเธอไว้คนเดียว มันคงไม่ดีแน่โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอเริ่มเปลี่ยนไป
ความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนไป !?
เฮดโฟนยกมือขึ้นมาตบที่หน้าผากตัวเองเป็นรอบที่ร้อยแต่แรงกว่าทุก ๆ ครั้งที่ไอ้คำว่า ‘ความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนไป’ มันผุดขึ้นมา ไม่หรอกน่า ... อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบก็ได้ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้น่ะ คนตัวสูงสะบัดหัวไปมาหลายหนก่อนที่จะลุกขึ้นจากโซฟาไปอาบน้ำที่ชั้นบน
แอ๊ด
หลังจากที่เดินมาถึงที่ห้องนอนของตัวเองเหมือนคนไร้สติ เฮดโฟนก็เปิดประตูห้องเข้าไปภายในแล้วภาพตรงหน้าภายในห้องนั้นก็ทำให้เขาอีกตะลึงชะงักค้างกลางอากาศ ความคิดที่กำลังพรั่งพรูออกมาในหัวหายวับไปทันที แทนที่ด้วยอาการร้อนผ่าวที่ใบหน้า กับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะจนน่าโมโห ...
ผ้าห่มก็มี ทำไมไม่เอามาห่มล่ะ !!!!!!!
คำพูดในใจนั้นดูเหมือนว่าเขาจะหงุดหงิดกับภาพเบื้องหน้าไม่น้อย แต่สายตาของเขาก็ไล่มองร่างบางที่กำลังนอนขดตัวไม่ห่มผ้าอยู่ ตั้งแต่ใบหน้าเรียวเล็กไปจนถึงท่อนขาอันสวยเรียวที่ไม่สามารถจะเห็นได้ง่าย ๆ จากผู้หญิงทั่วไป แถมในหัวของเขาก็ยังนึกภาพที่กำลังจะ ...
“ฮึ่ย !!!!!” เฮดโฟนสบถและส่ายหัวแรง ๆ จนมึนหัวทันทีเมื่อความคิดบ้า ๆ นั่นแวบเข้ามาในหัว เขารีบเข้าไปคว้าผ้าห่มที่อยู่ปลายเท้าเธอมาห่มให้เธอทันที ก่อนที่จะชะงักค้างเมื่อสายตาของเขาดันมาอยู่ใกล้ ๆ กับใบหน้าของเธอยามเวลาหลับนั่น ... หัวใจเขาเต้นจนจะกลายเป็นระเบิดปรมาณูอยู่รอมร่อเมื่อมองไปที่ริมฝีปาก ขนตางอนยาว กับผิวใบหน้าที่ไม่มีสิวผุดขึ้นมาเลยสักเม็ดเดียวของเธอ พอจะเอื้อมมือเข้าไปแตะนั้น เขาก็ชักมือกลับมาหาตัวเองทันที ก่อนที่จะผละสายตาจากใบหน้าของเมมโมแล้วตรงไปหยิบเสื้อผ้าที่เป็นชุดนอนสำหรับเขาในคืนนี้เพื่ออาบน้ำนอน เฮ้อ ~ ตอนนี้เขารู้สึกแปลก ๆ จนไม่สามารถอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรได้เลยแหละ
ถ้าคนที่มาเห็นไม่ใช่เขาล่ะก็ ... เธอจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ !!!!!
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาทันที หลังจากรู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งปลุกได้สั่นจนลำตัวต้องสั่นตาม มองไปรอบ ๆ ที่ตอนนี้กำลังมืดจนไม่เห็นอะไรเพื่อให้สายตาของตัวเองปรับตัวได้ พอฉันเอื้อมมือไปทางขวา ฉันกลับรู้สึกแปลก ๆ เหมือนสิ่งที่กำลังแตะอยู่ไม่ใช่เตียงนอน แต่เป็นเหมือน ... ท่อนแขนของคน !
O_O
อาการที่กำลังสร่างตื่นใหม่ ๆ กลายเป็นตกใจจนตื่นไม่มีความงัวเงียเป็นที่เรียบร้อย หัวใจรู้สึกโหวงจนเสียวสันหลังเมื่อในหัวคิดว่าข้าง ๆ ฉันมันเป็น ...
ฉันทำใจกล้าเอาหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่คว้ามาได้แล้วกดปุ่มจนมันมีแสง ก่อนที่จะค่อย ๆ หันไปทางขวาอย่าง หวาด ๆ พอมองไปตามแสงเท่านั้นแหละ ความตกใจเมื่อกี้มันก็เพิ่มทวีคูณเข้ามาเป็นเท่าตัว !
ฮะ ... เฮดโฟน !
เขามานอนอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกัน !
ฉันเบิกตาโพลงมองคนตรงหน้าอย่างงงงวยปนตกใจที่เห็นเขามานอนอยู่ตรงนี้ ไหนบอกว่าเมื่อคืน ... เขาจะนอนข้างล่างไงล่ะ ไหงพอตอนตื่นมาดันมาเห็นเขามานอนข้าง ๆ ฉันซะได้เนี่ย ! สงสัยว่าเมื่อคืน ตอนเขาออกไปเขาไม่ได้ล็อกห้องให้ฉันแหง ๆ เลย ไอ้คนชอบลักหลับ !
ลักหลับ ?
พอนึกคำนั้นขึ้นมาได้ฉันก็นำมืออีกข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์มือถือลูบคลำที่ลำตัวของตัวเองทันที ก็พบว่า ... ไม่มีอะไรเคยถูกถอดหรือปลดออก ฉันเป็นคนที่เวลาหลับถูกอะไรแตะหน่อยก็ตื่นแล้ว แต่ถ้าเขาลักหลับฉันจริง ๆ มันก็ต้องมีความรู้สึกแบบ ... อย่างนั้นน่ะสิ ทว่าตอนนี้ฉันยักไม่มีความรู้สึกนั่นแฮะ แล้วเซ้นส์ฉันมันก็ไม่ได้บอกด้วยว่าเขาได้ทำอะไรอย่างว่ากับฉันไว้
โอเค ... ฉันจะไม่คิดว่าเขาลักหลับล่ะกันนะ -_-^^
อาการที่กำลังระแวงและกังวลหายไปเมื่อฉันหาข้อสรุปให้ตัวเองได้ว่าเฮดโฟนไม่ได้ทำอะไรแต่อย่างใดกับร่างกายของฉัน เงยสายตาไปตามแสงก็พบกับใบหน้าที่แสนจะดูดีนั่นหลับตาพริ้มนอนอยู่ จู่ ๆ ความคิดที่ว่า ... เกิดมาไม่นึกว่าจะได้นอนกับคนหน้าตาดี ๆ แบบนี้ก็แวบเข้ามาในหัว ถึงตามจริงฉันจะเจอกับคนหน้าตาดีไปทั่วแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้เจอกับคนหน้าตาดีแบบนี้มานอนอยู่ข้าง ๆ เหมือนตอนนี้หรอกนะ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรฝ่ามือของฉันมันกำลังจะเอื้อมมือขึ้นจะไปสัมผัสใบหน้าที่ไร้ที่ตินั่น อา ... ไอ้อาการหัวใจเต้นโครมครามนี่ มันกำเริบตั้งแต่เช้าเลยเหรอเนี่ย แย่จัง ... มันไม่ดีเอาซะเลย เขาก็เป็นคนเหมือนกันล่ะน่า ทำไมมันถึงมีอาการแบบนี้ไปได้ล่ะ
พรึ่บ
โคมไฟที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงถูกเปิดทันที ทำให้ฉันชะงักการกระทำทุกอย่างค้างไว้ ทั้ง ๆ ที่คนตรงหน้าก็เริ่มปรือตาขึ้นตื่นแล้ว พอจะเอามือลงเพื่อไม่ให้เขารู้ว่าฉันกำลังจะทำอะไรอยู่ หมอนั่นก็เห็นจนได้ ก่อนที่จะขมวดคิ้วมาทางฉันอย่างฉงนใจ
“เธอกำลังจะทำอะไรน่ะ” ฉันชักมือลงก่อนที่จะตีสีหน้าทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันต้องเป็นคนถามนายมากกว่า ว่าทำไมนายถึงมานอนอยู่ตรงนี้ !” ฉันลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิจ้องมองไปทางเขาอย่างเอาเรื่องทันที เฮอะ ! เรื่องนี้น่ะ เขาเป็นฝ่ายผิดไปเต็มเปาเลยแหละ
“ก็นี่มันห้องฉัน ทำไมฉันจะนอนไม่ได้ล่ะ” เฮดโฟนพูดพร้อมกับยกแขนขึ้นมาเท้ากับหัวของตัวเองบนหมอนที่ใช้นอนอยู่
“แต่นายบอกว่าจะนอนข้างล่างไม่ใช่หรือไงกัน !”
“แต่คนเรามันก็เปลี่ยนใจกันได้นี่”
“เฮ้ ! อย่างน้อยนายจะน่ารู้นี่ ว่าฉันกำลังนอนอยู่ในห้องนี้น่ะ”
“รู้ แล้วทำไมเหรอ” คนข้างหน้าทำสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรจนฉันแอบอารมณ์เสีย
“ก็นายไม่ควรจะมาทำอะไรแบบนี้ไงเล่า -*-”
“นี่เธอคิดว่าฉันมานอนเอาเปรียบเธอว่างั้น” เฮดโฟนขึ้นเสียงสูงก่อนที่จะตีสีหน้าเซ็งใส่
“มันก็แน่อยู่แล้วสิ !” ฉันพูดอย่างอารมณ์เสียใส่เขาด้วยท่าทางเหนืออดเต็มทน ถ้าตื่นมามีผู้ชายมานอนอยู่ข้าง ๆ ครึ่งของครึ่งล่ะที่ผู้หญิงต้องคิดแบบนี้
“สำหรับคนอื่นน่ะใช่ แต่สำหรับเธอไม่ใช่อย่างแน่นอน” เฮดโฟนส่ายหัวก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปเปิดสวิตช์ตรงประตูของห้อง ทำให้ฉันเห็นเข้าในชุดนอนเสื้อยืดกางเกงขายาวที่มันก็ยัง ... ปกปิดความดูดีของเขาไม่มิด
“ก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องระแวง” ฉันยักไหล่อย่างไม่แยแส ทั้ง ๆ ที่ในใจแอบแปลได้กลาย ๆ ว่าเขาไม่ได้พูดจริง แค่พูดให้ฉันอารมณ์ขุ่นเล่นเฉย ๆ
“เธอเป็นผู้หญิงจริงหรือเปล่าเนี่ย ตามจริงเธอต้องงอนฉันหรือไม่ก็แย้งอะไรหน่อยสิ”
“ทำไมล่ะ ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ” เฮดโฟนทำสีหน้าตกใจไปแวบหนึ่งก่อนที่จะกอดอกแล้วมองมาทางฉันเหมือนกำลังจับผิดอะไรบางอย่าง
“เธอเป็นทอมป่ะเนี่ย”
“หา =O= !!!!!”
“ฉันถาม ... ว่าเธอเป็นทอมหรือเปล่า ทำไม ... ตอบคำถามหรือทำอะไรไม่ค่อยจะเหมือนผู้หญิงทั่วไปเลย”
“นายรู้เหรอ ว่าผู้หญิงทั่วไปเขาเป็นยังไงกันน่ะ !” ฉันถามเขากลับไป หน็อย มาหาว่าหญิงแท้อย่างฉันเป็นทอมนี่ ... รับไม่ได้ขั้นสุดยอดเลย ! -___-^^
“ถ้าไม่รู้ ฉันจะถามว่าเธอเป็นทอมทำไมกันล่ะ”
“งั้นก็จงรู้ไว้ด้วย ว่าฉันไม่ใช่ทอม !”
“แต่เป็นเลสเบี้ยน J”
“ไปขึ้นเขาขายเฉาก๊วยไป -*-” ฉันทำสีหน้าหงุดหงิดปนรำคาญใส่เขาสุด ๆ แน่นอนสีหน้าแบบนี้ของฉันมันไม่ได้ทำให้เขาหงอยเลยสักนิด
“เอ้า ... แล้วตอนนั้นเธอจะหยิบเจ้าไวเบรกเตอร์นั่นมาทำไมกันล่ะฮะ”
“โอ๊ยยยยยย ... ต้องให้พูดกันอีกกี่รอบถึงจะพยักหน้าเข้าใจฉันบ้างเนี่ย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้มีเจตนาจะหยิบมันติดมือมาสักหน่อยน่ะ -_-” ฉันพูดด้วยเสียงไม่พอใจอย่างจริงจังก่อนที่จะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“ฉันคิดว่า เธอกำลังสับสนอยู่นะ”
“สับสน ?”
“ใช่ เธอกำลังสับสน” คนตรงหน้าส่งยิ้มมุมปากมาให้นั่นเองที่ทำให้ฉันขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ เริ่มรู้สึกว่าหมอนั่นจะทำอะไรไม่ดี ๆ เข้าให้แล้วสิ แต่ไม่ใช่แบบที่ว่าเขาจะเข้ามากระทืบฉันนะ มันแบบว่าเอ่อ ...
เฮดโฟนเดินดุ่มเข้ามาหาฉันจนเสียวสันหลัง ก่อนที่เขาจะทำอย่างที่ฉันรู้สึกสังหรณ์ได้จริง ๆ ! ร่างสูงเมื่อเดินมาถึงฉันที่นั่งอยู่บนเตียงเขาก็โน้มใบหน้าเข้ามาหาจนฉันต้องเอนตัวไปข้างหลังเพื่อหลบหนี แล้วยกมือขึ้นมาพยายามดันตัวเขาให้ออกห่างด้วยสัญชาตญาณ แต่ใครว่าเขาจะยอมแพ้ล่ะ เขากลับได้ใจแกล้งด้วยการทิ้งน้ำหนักลงมาจนฉันต้องร้องลั่น
“เฮดโฟน ! ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ !!!!!! ฉันไม่เล่นแบบนี้นะโว้ยยยยยยย” ให้ตายเหอะ ... เขาแกล้งขนาดนี้ หัวใจก็พลันดันเต้นขึ้นมาซะได้นะเนี่ย บ้าที่สุดเลย !!!! -///-
“ฮะ ๆ ร้องเสียหลงเลยแฮะ” เฮดโฟนผละออกจากฉันก่อนที่จะไปยืนตรงข้างเตียงพร้อมกับแสยะยิ้มชอบใจ
“ก็นายเล่นอย่างนี้ จะไม่ให้ฉันร้องได้ยังไงกันเล่า”ฉันพูดเร็วจนเหมือนแร็ปเพราะความเดือดปุด ๆ ในหัว ไอ้บ้าหูหาย ! ฉันเกลียดนายที่สุดเลยยยยยย
“ทอมชัด ๆ”
“ฉันไม่ใช่ทอม !!!!”
“ถ้าเป็นผู้หญิงเขาต้องไม่ดันกันอย่างนี้สิ กลับกันเธอต้องนอนลงไปบนที่นอนแล้วให้ฉันคร่อมสิถึงจะถูก”
“เอาไปทำกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันเถอะ” ฉันถอนหายใจพรืด พอมองหน้าไปที่เขาแล้วภาพเมื่อกี้มันก็แวบขึ้นมาจนทำให้ฉันรู้สึกร้อนผ่าว อ๊ากกกก ฉันอยากฆ่าเขา !
“หึ ... งั้นเธอไปอาบน้ำได้แล้วไป เสื้อผ้าของเธอฉันเอาไว้ในตู้น่ะ”
“เออ” ฉันขานรับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ก่อนที่จะลุกจากที่นอนแล้วตรงดิ่งไปยังตู้เสื้อผ้าในห้อง แต่ก่อนที่จะถึงนั้นนายเฮดโฟนที่ยืนไม่ไกลจากตู้เสื้อผ้าก็เอาลำตัวหนา ๆ มาขวางฉันไว้ซะก่อน “หลีก -_-”
“ฉันเปลี่ยนใจละ”
“เปลี่ยนใจอะไร ?”
“เปลี่ยนใจให้เธอมาแต่งตัวที่ห้องนี้ดีกว่าไง ^^”
“ให้มาแต่งตัวที่ห้องนี้ ...” ฉันทวนคำพูดของเขา ... มันต้องมีอะไรแน่ ๆ ล่ะ ฉันรู้สึกได้
“แล้วฉันจะนั่งรอเธอในนี้นะ” นั่นไง !!!!
“ถอยออกจากตรงนี้ แล้วออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลย !” ฉันตะคอกใส่เขาทันที ก่อนที่จะผลักร่างหนานั่นให้ไปที่ประตู แต่เฮดโฟนก็ยื้อฝีเท้าไว้ทำให้ฉันต้องออกแรงเพิ่มมากขึ้นอีก
“ก็ฉันบอกเธอแล้วไง ว่านี่มันห้องของฉันน่ะ” เฮดโฟนด้วยน้ำเสียงหัวเราะร่า
“มันเป็นห้องของนายก็จริง แต่ฉันก็ต้องใช้มันนี่ !”
“ฉันก็ต้องใช้เหมือนกันล่ะน่า” คนข้างหน้าฉันหงุดหงิดมาก ... มากจนไม่มีความหงุดหงิดเลย -_-
“ออกไปเลย !”
“ก็ได้ ๆ ออกไปแล้ว”
พอเอื้อมมือไปจะเปิดประตูเฮดโฟนก็บอกด้วยน้ำเสียงและยกมือทำท่ายอมแพ้ทันที ก็ตอนนี้ฉันดันเขามาถึงประตูแล้วน่ะสิ เพราะถ้าเกิดเขาไม่พูดคำนั้นขึ้นมาล่ะก็ ... รับรอง หน้าเขาได้คว่ำลงไปกับพื้นแน่ เพราะประตูห้องนอนเขามันเปิดออกไปจากตัวห้องไง
“เฮอะ -*-” ฉันปล่อยตัวเฮดโฟนออกห่างก่อนที่จะตีสีหน้าฉุนกึกใส่ เฮดโฟนหันมาทำหน้าทะเล้นใส่อีกทีก่อนที่จะเปิดประตูออกไปจากห้อง
“งั้นฉันจะเข้าไปรอในห้องน้ำน้า ~”
พอจบประโยคนั้นฉันก็กัดฟันกรอดแล้วถีบส่งท้ายอีตาบ้านี่ออกไปทันที ! จากนั้นก็รีบก้าวไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็วหยิบชุดของตัวเองออกมาเสร็จสรรพ ก่อนที่จะวิ่งออกไปจากห้องนี้ให้ทันก่อนที่อีตาบ้าเฮดโฟนจะเข้าไปสิงสถิตในห้องน้ำอย่างที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้ เฮ้อ ~ โล่งไปทีที่หมอนั่นมาไม่ทันเข้าห้องน้ำก่อนฉันน่ะ ไม่งั้นล่ะก็ ... ฉันต้องมายืนต่อกรกับเขาอีกเป็นแน่แท้
หลังจากที่ปิดประตูห้องน้ำเรียบร้อยพาดเสื้อผ้าไว้กับราวพาดแล้ว ฉันก็ต้องมาขมวดคิ้วทันทีที่เห็นราวพาดขนาดเล็ก มัน ...
ไม่มีชุดชั้นในของฉัน !!!!!!!!
แล้วฉันก็รู้ทันทีเลยว่ามันฝีมือของใคร !!!!!
“ไอ้เฮดโฟนนนนนนนนนนนน !!!!!!!!!!”
ฉันนั่งปั้นหน้าปั้นปึ่งใส่เขาบนรถตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำ ... ใช่ เพราะไอ้ชุดชั้นในที่ตากเอาไว้ที่ราวพาดในห้องน้ำบ้านเขานั่นแหละ -*- ก็อีตาเฮดโฟนดันเอาชุดชั้นในของฉันไปถือไว้น่ะเซ่ ! ตอนนั้นเล่นเอาฉันแทบคลั่งอยากจะเอาบอมบ์มายัดใส่ปากเขาซะเดี๋ยวนั้นเลย กว่าจะได้มันมาสวมใส่นี่ ... ฉันต้องยืนเถียงกับเขาโดยไม่เห็นหน้ากันนานทีเดียวเชียวล่ะ
อ่าฮะ ... มันแน่อยู่แล้วล่ะที่ฉันแทบจะทำใจไม่ได้เลยที่จะต้องมาสวมชุดชั้นในที่เคยอยู่ในอุ้งมือมารอย่างเขามาแล้วอย่างนี้น่ะ !
แต่จะให้ทำยังไงได้ ก็นี่มันคือของฉัน จะให้ใส่ตัวเมื่อคืนน่ะเหรอ ไม่ดีมั้ง ... ฉันเลยต้องจำใจแย่งมันมาใส่พร้อมกับพยายามลืมไงว่า ... ไอ้เจ้าชุดชั้นในนี้ไม่เคยอยู่ในกำมือของไอ้บ้าหูหายเลยสักนิด ทว่า ...
ให้ตาย ! ทำไมฉันต้องจิตนาการภาพตอนที่เขากำลังกำชั้นในอยู่ในมือด้วยเล่า -/////-
“ยัยบ้านี่แปลกเว้ย ... เมื่อกี้ยังหน้าบูดเหมือนกินอาหารค้างสามวันอยู่เลย ไหงไม่เกินห้าวิกลายมาเป็นหน้าแดงซะได้เนี่ย” สีหน้าของฉันมันกลับมาบูดเหมือนได้กินอาหารค้างสามวันของแก ก็ตอนที่แกพูดออกมานี่ล่ะ -*-
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉันเลย ! ขับรถไปซะ” ฉันแหวเขาพร้อมกับสะบัดบ็อบหันมองข้างกระจก
“เหอะ ๆ ยังลืมไม่ได้เรื่องไอ้ชั้นในสีขาวของเธอนั่นอีกเหรอ”
“มาเป็นผู้หญิงแบบฉันสิ L”
“เป็นผู้ชายดีกว่าเยอะ”
“ฉันจะต้องแก้แค้นนายแน่ ๆ ล่ะ”
“ด้วยการขโมยกางเกงในฉันไปถือน่ะเหรอ” อ๊ากกกกกกก ฉันเกลียดน้ำเสียงทะเล้นแบบนั้นที่สุดเลย ! ตอนที่เขาทำกับฉันมันเหมือนดูได้เปรียบ แต่ทำไมพอคิดว่าตัวเองจะทำอย่างที่เขาพูดกลับรู้สึกเสียเปรียบขึ้นมาซะนี่ ฮึ่ย ! เกิดมาเป็นผู้หญิงนี่มันจริง ๆ เลยน่า
“ถ้าทำได้โดยที่ไม่ถูกหาว่าเป็นโรคจิต โอกาสที่ฉันจะทำนั่นมีมากทีเดียวเชียวล่ะ -*-”
“ฉันว่า เธอไม่ควรลงมือทำอย่างนั้นน้า ~ เธอควรจะเดินมาหาฉันพร้อมกางเกงในแล้วพูดคำว่า ‘ขอ’ ซะเลยสิ เท่านั้นแหละ เธอก็ได้สิ่งที่เธอต้องการแล้ว ~”
“ใครบอกว่าฉันต้องการกางเกงในของนายกัน” ไอ้บ้านี่มันโรคจิตไปแล้ว =_=
“ก็เธอมีจุดมุ่งหมายแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”
“ไปเอากางเกงในมาครอบหัวซะไป” ฉันพูดพร้อมกับถอนหายใจหนัก ๆ
“แล้วนี่ จะให้ฉันไปส่งที่เดิมจริงอ่ะ” เฮดโฟนเปลี่ยนมาพูดเรื่องการกลับบ้านของฉันแทน เขาคงรู้แหละ ว่าถ้าเขายังต่อล้อต่อเถียงกับฉันไอ้เรื่องนั้นอีกล่ะก็ รับรองเลย ... หาจุดจบของเรื่องนั้นยาก
“อือ”
“แต่นี่ฟ้ายังไม่ส่างเลย ให้ฉันไปส่งเธอถึงบ้านดีกว่า”
“ไม่ๆๆๆ ส่งฉันที่เดิมนี่แหละ” เรื่องอะไรจะบอกรังกบดานให้ศัตรูอย่างหมอนั่นมาตามไล่เบี้ยให้ไม่มีความสุขกันล่ะ
“ทำไมล่ะ ฉันไม่ไประเบิดบ้านเธอหรอกน่า”
“ถ้านายรู้ฉันก็ไม่มีที่หลบซ่อนตัวน่ะสิ”
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ว่าฉันสามารถค้นหาบ้านที่เธอกำลังอยู่ได้น่ะ”
“แล้วอย่างนั้นจะมาถามฉันทำไม”
“ก็ฉันขี้เกียจไปค้นหาเองนี่”
“งั้นก็จงขี้เกียจต่อไปเหอะ ฉันไม่บอกนายแน่ ๆ ล่ะ”
ฉันทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ก่อนที่จะมองภาพตรงหน้าผ่านกระจกข้าง ... เฮดโฟน เก่งนักไม่ใช่เหรอไง เรื่องอะไรจะปริปากบอกกันล่ะ บทสนทนาของฉันกับเฮดโฟนก็คุยกันไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่หันไปมองหน้าเขาก็ตามที ใช่ ... ฉันรู้สึกอึดอัดเหมือนกันล่ะ แต่ถึงแม้จะให้ฉันหันไปนั่งมองตรงข้างหน้าเหมือนเดิมมันก็ไม่ต่างอะไรกันมากนักเพราะเขาเองก็กำลังขับรถอยู่
แต่จะว่าไป ... มันก็รู้สึกอบอุ่นไม่น้อยเลยนี่เนอะ
ไม่นานนักเฮดโฟนก็ขับมาถึงจุดหมายจนได้ ซึ่งก็คือหน้าเอเท็นไซต์ที่ฉันขอให้เขามาส่งนั่นเอง เฮดโฟนดื้อดึงจะพยายามพาฉันไปส่งที่บ้านให้ได้ แต่ฉันก็ส่ายหัวพร้อมกับพยายามแงะแขนเขาที่กำลังจับข้อมืออยู่ออก กว่าจะลงมาได้ฉันต้องออกแรงทำให้เขาเจ็บก่อนสิน่า
“เธอจะยืนรอรถอยู่ตรงนี้จริง ๆ น่ะเหรอ” เฮดโฟนลดกระจกประตูข้างคนขับออกก่อนที่จะเอื้อมตัวข้ามฟากมาพูด
“ก็ใช่น่ะสิ”
“มันจะมีรถผ่านเหรอ”
“เหอะน่า ฉันกลับได้ก็แล้วกัน”
“ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนมั้ย” ให้ตายสิ ... ไอ้น้ำเสียงห่วงใยแบบนั้น มันกำลังทำให้ฉันจะตอบว่า ‘อืม’ และพยักหน้ากลับไปนะ ถ้าไม่ฉุกคิดขึ้นมาได้ซะก่อน
“ไม่ล่ะ นายขับรถออกไปได้แล้ว” ฉันแสร้งทำเป็นดุเขา แต่คนในรถกลับส่ายหัว
“จะให้ฉันแน่ใจได้ยังไง ว่าเธอจะกลับได้น่ะ”
“ถึงบ้านแล้วฉันจะโทรไปหรือไม่ก็ส่งข้อความไปหาล่ะกัน”
“ถ้าเกิดเธอบ้าจี้ลืมขึ้นมาล่ะ”เฮดโฟนขมวดคิ้วเข้าหากันจนจะกลายเป็นปมอยู่แล้ว เขาจะถามซักไซ้อะไรกันนักหนาเนี่ย
“เจ็ดโมงครึ่งโทรมาเช็คได้เลย”
“หกโมงฉันจะโทรไป” ไอ้บ้านี่ -*-
“แล้วแต่นายล่ะกัน แต่นายไปได้แล้ว”
“ทีอย่างนี้ไล่เหมือนหมูเหมือนหมาเลยนะ” เฮดโฟนพูดทำนองเหมือนจะงอนนิด ๆ ก่อนที่จะกดปิดกระจกประตูข้างรถแล้วออกตัวรถออกไป เฮ้อ หัวใจของฉันรู้สึกพองโตยิ่งกว่าบอลลูนซะอีกแน่ะ ทุกคำพูดทุกประโยคของเขามันลอยเวียนอยู่ในหัวฉันจนรู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าวอย่างบอกไม่ถูก อะไรกัน ... ที่เขาถามแบบนั้นน่ะ เพราะไม่อยากให้นักโทษอย่างฉันชิงหนีเขาไปต่างหาก
แอบจี๊ดในใจลึกแฮะ ๆ เมื่อหาเหตุผลที่เขาพูดแบบนั้นได้
ระหว่างที่กำลังนั่งรอที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ใกล้ ๆ นั้น ก็มีรถคันหนึ่งซึ่ง ... คุ้นตาฉันเป็นอย่างดี ! และฉันก็แน่ใจว่านั่นเป็นรถของเขาแน่ มาจอดอยู่ตรงหน้าฉันพอดีเป๊ะ เมื่อเขาลดกระจกประตูฝั่งข้างคนขับก็รู้เลยว่าตัวเองเดาไว้ไม่มีผิด
คีย์บอร์ด !!!!
“ใช่เธอจริง ๆ ด้วย ยัยเมมโม -*-” คนในรถทำสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นฉันนั่งตระหง่านอยู่ป้ายรถเมล์เช้ามืดแบบนี้คนเดียว
“...”
“เสื้อผ้าก็ดูเหมือนจะไม่ได้ไปโรงเรียนเวลานี้แน่ ๆ แล้วเธอมานั่งทำอะไรตรงนี้เนี่ย”
“ก็มานั่งรอรถกลับบ้านน่ะสิ”
“งั้นขึ้นรถฉันซะ”
“ฮะ -O-” ฉันร้องออกมาเบา ๆ เมื่อคนที่อยู่บนรถออกปากให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถเขา เฮ้ ... นี่ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ยเนี่ย
“ฉันบอกให้เธอขึ้นมายังไงเล่า ไหน ๆ เธอกับฉันบ้านก็ไม่ได้อยู่ไกลกันนักนี่”
“โอเค ๆ”
ฉันพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนที่จะเปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งบนรถเขาตามที่เขา เอ่อ ... ใช้คำว่า ‘ชวน’ ล่ะกันเนอะ เพราะจะใช้คำว่า ‘สั่ง’ มันคงดูเหมือนถูกบังคับกลาย ๆ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ... มันก็เป็นเหมือนคำที่สองนั่นแหละ
คีย์บอร์ดหันมาเหลือบฉันนิดนึงก่อนที่จะออกตัวรถไป ขณะที่ขับรถอยู่นั้นเขาก็ไม่พลาดที่จะปล่อยคำพูดเพื่อให้ภายในรถไม่ดูเงียบจนน่าหดหู่เกินไปนัก
“แล้วนี่เธอไปไหนมาเนี่ย ไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว”
“อ๋อ ฉัน ... ไปบ้านยัยโซนมาน่ะ” ฉันตอบคำถามแบบฝืด ๆ ออกไป จะให้ตอบไปว่าฉันไปบ้านเฮดโฟนมาน่ะเหรอ คงถูกหมอนี่ตราหน้าล่ะสิ ว่าฉัน ‘เป็นผู้หญิงของเฮดโฟน’ ไปแล้ว
“ฉันว่า ช่วงนี้ก็ไม่น่ามีอาจารย์สั่งรายงานมาให้นี่นา แล้วเธอจะไปนอนกกที่บ้านยัยโซนทั้งวันทั้งคืนทำไม” ทำดูเหมือนจะยิงคำถามอย่างรู้ทันนะ แต่เสียใจ ... เพราะรายงานมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้ฉันสามารถไปบ้านยัยโซนได้หรอกย่ะ
“โห ... ก็ช่วงนี้ฉันเหงานี่นา จำเป็นด้วยเหรอไงเล่า ว่าฉันจะต้องไปบ้านยัยโซนเพราะรายงาน ฉันก็คิดถึงเพื่อนของฉันเหมือนกันนะ”
“แต่เธอเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาวชอบนอนอยู่กับบ้านตอนวันหยุดนี่นา ไหงเมื่อวานเธอไม่ได้อยู่บ้านตั้งแต่สาย ๆ เลยล่ะ” ขอบใจที่นำเอาสำนวน สุภาษิตนั้นมาเปรียบ -_- แต่ก็จริงของเขาล่ะ วันหยุดฉันชอบอยู่กับบ้านไม่ชอบออกไปไหนน่ะ แต่เขา ... จะถามเหมือนพวกชอบอยากรู้อยากเห็นทำไมกันล่ะเนี่ย บางทีฉันก็ไม่อยากพูดเหมือนกันนะ
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันออกไปบ้านยัยโซนตั้งแต่เช้าเลย ฉันก็เป็นคนเหมือนกันนะ มีเบื่อบ้างอะไรบ้างกับบ้านหลังเดิม ๆ น่ะ ใจนี่อยากจะให้ฉันอยู่แต่บ้านอย่างเดียวเลยเหรอไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า ฉันแค่แปลกใจเฉย ๆ เท่านั้นแหละ เมื่อวานบ้านของเธอก็ไม่มีไฟดวงไหนเปิดเลยสักดวงนะ”
“หมายความว่า ... พี่ไดร์ไม่ได้กลับมาบ้านหรอกเหรอ”
“ถ้ากลับมาเธอคิดว่าเธอจะเจอฉันในเวลานี้เหรอ” แอบโล่งอกไม่เบาเลยนะเนี่ย เมื่อรู้ว่าไอ้พี่ชายของฉันยังไม่กลับมาบ้าน ถ้าเมื่อวานเขากลับมาล่ะก็ ... ฉันจะไปเหลืออะไรล่ะ โดนด่าเละยิ่งกว่าโจ๊กหมูธรรมดาแน่ ๆ
“นั่นสินะ ไม่งั้นหูฉันคงต้องพังตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ”
“จะว่าไป ... ไอ้ข่าวที่เธอตกเป็นนักโทษของไอ้เฮดโฟนนั่น ก็ดังระงมไปทั่วโรงเรียนแล้วนะ”
“ไม่รวมอีกสองโรงเรียนที่อยู่ในย่านเดียวกันใช่มั้ย =_=” ฉันทำสีหน้ามีความหวังขอให้คีย์บอร์ดพยักหน้าหรืออะไรก็ตามที่หมายถึงการเดาของฉันมันถูกต้อง แต่ในเมื่อรู้แก่ใจอยู่แล้วว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ดี
“รวม” เขาพยักหน้า และท่าทางแบบนั้นนั่นเอง ... ที่ทำให้ฉันแทบปล่อยโฮออกเลยทีเดียวเชียว แง่ง !
“ให้ตายเหอะ”
“ไม่ตายหรอก แค่ทนอายอีกหนึ่งอาทิตย์กับอีกวันสอบสามวันของการปิดโรงเรียนก็เท่านั้นเอง”
“ฉันเปลี่ยนใจไม่ไปโรงเรียนแล้วได้มั้ยอ่ะ TOT”
“ถ้าอยากโดนทำโทษอีกก็ตามใจ”
“เชอะ !” ขาดเรียนแค่ครั้งเดียวก็โดนทำโทษ ! อนุโลมหน่อยก็ไม่ได้ แล้วยิ่งการทำโทษเป็นเวอร์ชั่นของวิเฟอร์ ฯ แล้วล่ะก็ ... มันย่อมแปลกมนุษย์มนาเหนือธรรมชาติอยู่แล้ว แค่โชคไม่ดีทำเรื่องให้ตัวเองเป็นขี้ปากก่อนปิดเทอมก็อายพอแล้ว ถ้าต้องมาโดนทำโทษแบบเพี้ยน ๆ ต่อหน้านักเรียนที่มีไม่รู้มีกี่พันคนอีกล่ะก็ ฉันเปลี่ยนใจไปเหยียบโรงเรียนในวันนี้ก็ได้
เมื่อฉันสบถออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจนักได้ไม่เท่าไหร่ คีย์บอร์ดก็ขับรถมาถึงหน้าบ้านฉันจนได้ ฉันเปิดประตูลงจากรถของเขาก่อนที่จะตรงดิ่งเข้าบ้านด้วยความเคยชิน ... เอ นี่มันก็จะเช้าแล้วนะ สงสัยพี่ไดร์ไปนอนกกที่ไหนกับเพื่อนหรือไม่ก็ผู้หญิงเป็นแน่แท้ แต่ช้อยส์ที่สองดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เป็นไปได้ยากนะ เพราะพี่ชายของฉันเขาไม่ค่อยมั่วสุมกับผู้หญิงเท่าไหร่
ฉันเดินทิ้งตัวลงมาที่โซฟาก่อนที่จะนอนหลับตาเอามือก่ายหน้าผาก ... อืม ขอหลับตาสักหน่อยคงไม่กินเวลามากนักหรอก อืม ~
อ๊ากกกกกกกก
แล้วทำไมฉันต้องไปนึกถึงเรื่องที่บ้านของไอ้บ้าเฮดโฟนด้วยเล่า ! TOT คิดถึงเรื่องอื่นไม่ได้หรือยังไงกัน ไอ้นึกถึงน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้หัวใจที่มันดันโครมครามจนแทบจะหลุดออกมานี่น่ะสิ เป็นปัญหาที่ฉันไม่ชอบเอาซะเลย ! ไม่เอาแล้ว แต่งตัวไปโรงเรียนดีกว่า
ฉันใส่รองเท้าเป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนที่จะปิดประตูรั้วมุ่งหน้าเดินไปที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้านที่ไม่ไกลกันมากเท่าไหร่ แต่เดินได้แค่พ้นซอยเท่านั้น รถของคีย์บอร์ดก็มาจอดเทียบข้างฉันก่อนที่จะลดกระจกประตูฝั่งคนขับ
“ไปด้วยกันมั้ย” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ถามฉันมานั้น ทำให้ฉันหันไปมอง ก็พบว่าเป็นคีย์บอร์ดเจ้าเดิมนั่นเอง
“ถ้าฉันตอบว่าไปล่ะ”
“ก็ขึ้นมาสิ”
ฉันทำสีหน้าเหลือเชื่อใส่เขาเป็นรอบที่สองก่อนที่จะเดินอ้อมไปที่ประตูฝั่งข้างคนขับ สถานการณ์นี้เหมือนได้ตอนเช้ามืดมีเล่นใหม่อีกครั้งนะเนี่ย ฮะ ๆ
“อีกไม่นานแล้วสินะ ... ที่ฉันจะได้เป็นพี่ใหญ่แห่งวิเฟอร์ ~~~~” ฉันร้องเป็นเพลงอย่างอารมณ์ดี ทำให้คนข้าง ๆ หันมามองฉันด้วยสายตาเหยียด ๆ เพราะเป็นช่วงรถติดเขาถึงหันมาได้น่ะ
“พี่ใหญ่ที่มาพร้อมกับคดี ...”
“เงียบไปเลย !” ฉันพูดพร้อมกับตีเขาไปหนึ่งทีด้วยความขุ่นน้อย ๆ ฮึ่ย ! สงสัยไอ้เรื่องที่ฉันเป็นนักโทษของเฮดโฟนเนี่ย ... มันคงแพร่กระจายไปมากแล้วสินะ
“ฮะ ๆ” คีย์บอร์ดหัวเราะน้อย ๆ ก่อนที่จะขับรถไปตามทางทอดไปถึงโรงเรียน
อ้อ ลืมบอกไป ตอนนี้ฉันได้เข้ามาอยู่ในย่านของซิตี้มาสต์แล้ว ซึ่งบ้านที่ฉันอยู่มันอยู่ที่หัวย่านของเอเท็นไซต์ซึ่งก็คือปลายท้าย ๆ ของซิตี้มาสต์นั่นเอง ซิตี้มาสต์มีอยู่สามโรงเรียนด้วยกัน โรงเรียนที่อยู่ทางต้น ๆ ของซิตี้มาสต์ก็คือ อิงค์เจ็ท ไฮสกูล ส่วนกลางของซิตี้มาสต์คือ เซย์ไฮ ไฮสกูล และส่วนท้ายของซิตี้มาสต์นั่นก็คือ ... วิเฟอร์ ไฮสกูล โรงเรียนที่แปลกที่สุดในจักรวาลนั่นเอง ควรจะภาคภูมิใจดีมั้ยเนี่ย =_= เพราะมันใกล้บ้านฉันหรอกนะ ฉันถึงต้องมาเรียนที่นี่น่ะ
คีย์บอร์ดจอดรถที่ลานจอดรถของโรงเรียน ก่อนที่จะเปิดท้ายรถหยิบกีต้า เบส และไมค์ออกมา ฉันขมวดคิ้วหันไปทางเขาเป็นเชิงคำถาม
“Secret” คีย์บอร์ดหันมาพูดภาษาอังกฤษแปลเป็นไทยว่าความลับกับฉัน ก่อนที่จะเดินนำหน้าไป ฉันถอนหายใจกับคำตอบที่ได้มาก่อนที่จะก้าวเท้าตามร่างสูงที่นำไปโน้นแล้ว
ฟิ้ววววววว
ฉันแทบเอี้ยวตัวหลบแทบไม่ทันเมื่อ ... ลูกเบสบอลจากไหนก็ไม่รู้จะเข้ามากระแทกที่หัวฉัน ก่อนที่จะมองไปตามทิศทางก็พบว่า ... เป็นพวกผู้หญิงห้าคนที่นั่งรวมกันอยู่อัฒจรรย์เล็กริมสนามหญ้าที่ไม่ห่างกันไกลมากนัก ตรงหน้าของพวกผู้หญิงกลุ่มนั้นก็คือ ... สองคนที่ยืนเล่นเบสบอลกันอยู่ พวกหล่อนจงใจตีมันทางฉันหรือเปล่าเนี่ย
“อุ๊ย โทษที ... เอ๋ นี่มัน ยัยโรคจิตวิปริตนี่ กรี๊ดดดดดดดดดดดดด >O< !!!!!!!!”
“กรี๊ดดดดดดดดด”
“กรี๊ดดดดดดดดดดด”
=O= ^^^
ตอนนี้คนทั้งสนามกรี๊ดกร๊าดกันไปหมดแล้ว โดยเฉพาะยัยคนที่เล่นเบสบอลที่วิ่งมาเก็บลูกเบสบอลที่ไม่ไกลจากฉันไปนัก ... อา ฉันไม่ได้เป็นยัยโรคจิตวิปริตผิดเพศนะเฟ้ย ! มากงมากรี๊ดอะไรกัน หน้าตาฉันออกจะบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้สารหื่นซะขนาดนี้ ผู้หญิงกรี๊ดกันก็พอว่า แต่ไอ้พวกผู้ชายและไอ้พวกตุ๊ดนั่น มันจะกรี๊ดแข่งอะไรกับผู้หญิงเนี่ย ! ฉันไม่ไปทำอะไรกับพวกแกหรอกเว้ย -[]- !!!!
“=[]=” ฉันยืนหน้าเหวอทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงหน้า ... ก็ทุกคนกรี๊ดกันหมดเลยอ่ะ เน้นว่าทุกคนนะ แม้กระทั่งชายแท้มันยังกรี๊ดเลยคิดดู ! ฉันมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ พวกสาว ๆ ส่วนใหญ่ก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงกันไปหมดแล้ว คีย์บอร์ดที่ท่าทางสติสตังจะมีมากที่สุดในตอนนี้คว้าข้อมือฉันหมับ ก่อนที่จะออกแรงจูงฉันออกไป
“ให้ตายสิ ... ฉันไม่นึกเลยว่า เธอจะทำให้ ‘ทุกคน’ แตกตื่นกันขนาดนี้ ”
“เฮ้อ ~ นี่ขนาดเข้ามาในโรงเรียนได้ไม่เท่าไหร่นะเนี่ย” ฉันถอนหายใจอย่างคนอดอาลัยตายอยาก นี่เพิ่งเริ่มต้นของวันเท่านั้นนะเนี่ยยยยยยย โอย ปวดเฮด !!!
“ท่าทางงานนี้เธอประสาทตายแน่ ๆ ล่ะเมมโม” คีย์บอร์ดพูดพร้อมกับพยักพเยิดไปข้างหน้า ซึ่งทำให้ฉันที่กำลังหลับตาถอนหายใจอยู่นั้นต้องลืมตาหันไปมองทันที เจี๊ยก ! ทางที่จะต้องเดินผ่านไปนั้น ดันเป็นทางริมฟุตบาตสองข้างซ้ายขวา ขนาบไปด้วยนักเรียนที่นั่งบนม้าหินแห่งวิเฟอร์ ฯ ร้อยกว่าคน !!! กัดลิ้นตายซะ ! แง่ง
“เหอะ ๆ แถมตรงนี้ยังเป็นทางเดียวที่จะต้องเดินเข้าไปด้วยสินะ” ฉันหัวเราะขมขื่นพร้อมกับมองไปข้างหน้าด้วยสายตาแบบคนที่บ้านถูกไฟไหม้ทั้งหลังแล้วไม่เหลืออะไรให้ชื่นชมเลย ... ตายแน่ ตายแน่ ตายยยยยยย !
“แล้วเธอจะเอายังไงล่ะ”
“ก็ต้องเดินเข้าไปน่ะสิ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง
“แล้วเธอจะอดทนกับพวกนั้นได้มั้ยล่ะ”
“มีที่อุดหูมั้ย”
“ไม่มี” คีย์บอร์ดส่ายหัวน้อย ๆ
“ฉันอยากตายยยยยยย ! ใครเป็นคนเอาเรื่องนั้นไปแจ้งกับฝ่ายปกครองกันวะ !”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฉันไม่ได้ถามนายเว้ย !”
ระหว่างที่ฉันกำลังกระวนกระวายอยู่นั้น ฉันก็เห็นว่า ... พวกคนกลุ่มข้างหน้า เริ่มที่จะหันมาเห็นฉันกันแล้ว ก่อนที่จะหันไปซุบซิบภายในกลุ่มกัน เออ ! เอาเข้าไป ... จะนินทาฉันว่าอะไรกันเนี่ย
“เดี๋ยว ๆๆๆ นี่เธอจะเดินเข้าไปเลยเหรอ” คีย์บอร์ดเอื้อมมือมาคว้าบ่าของฉันเอาไว้ ทำให้ฉันที่อารมณ์เริ่มจะเดือดต้องชะงักแล้วนึกขึ้นมาได้ เออว่ะ ... ถ้าฉันเดินเข้าไปแล้ว ... โฮ่ย ! ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นล่ะตอนนี้ !
“ก็ใช่น่ะสิ” ฉันปัดมือเขาออกก่อนที่จะเดินฝ่าเข้าไปทันที ไม่ต้องไปสนใจ ไม่สนใจ ไม่สนใจ
“ว้ายยยยย ยัยนั่นน่ะเหรอ ที่หยิบไอ้เจ้าไวเบรกเตอร์ติดมือมาน่ะ”
“ใช่ ๆ ยัยนั่นน่ะแหละ ฉันเห็นกับตาเลยนะ ยี้ ! ทำไปได้ หน้าตาก็ไม่ได้ให้ไปทางนั้นเลยนะ”
“ถ้าฉันอยู่คนเดียวล่ะก็ ... ฉันคงต้องกรี๊ดจนคอแตกแน่ ๆ ล่ะ บรื๋ออออ ~”
“@#$%%^&^%$!@”
เมื่อฉันเดินเข้ามาปุ๊บ เสียงและคำพูดที่ไม่อยากได้ยินนั่นก็ดังขึ้นมาทันที โอย ... ถ้าฉันไม่ท่องคำว่า ‘ไม่สนใจ ไอด๊อนแคร์’ ล่ะก็นะ ฉันคงเดินไปตบกะโหลกทุกคนเรียงตัวแล้วนะเนี่ย แล้วไอ้ทางเดินนี่มันก็ยาวสิ้นสุดไปถึงสามแยกตรงโน้นแน่ะ โห ... ทางเดินนี้มันแบบมาโดยเฉพาะพวกที่ชอบจับคนอื่นมาเป็นขี้ปากของตัวเองใช่มั้ยเนี่ย ก็ริมฟุตบาททางเดินนี่มันเต็มไปด้วยโต๊ะหินและคนทั้งนั้น !
ฉันกำมือขบฟันแน่นพร้อมกับที่ดวงตาก็ท่าทางจะมีไฟลุกโชนไม่น้อย ถ้าใครมาใกล้ ๆ ฉันแล้วกวนประสาทหลังจากนี้ล่ะก็ ฉันยำมันเละแน่ !
หมับ !
“เดินคนเดียวไม่กดดันมากไปหน่อยหรือไง ^^”
เงียบกริบ ...
ทุกเสียงเงียบลงตั้งแต่คีย์บอร์ดเดินมาจับข้อมือของฉัน เพราะคีย์บอร์ดเป็นประธานนักเรียนของที่นี่สินะ พวกที่กำลังนินทาฉันอยู่ถึงเงียบและหุบปากลงไปทันใด มันแหงอยู่แล้วที่ทุกคนจะต้องก้มหัวหดหัวลงไปน่ะ ไม่งั้น ... คีย์บอร์ดคงเป็นประธานนักเรียนแห่งวิเฟอร์ ฯ ไม่ได้หรอก
ตึ่ง ตึ่ง ตึ๊ง
[ไอ้บอด ปล่อยมือออกมาจากยัยนั่นเดี๋ยวนี้ !] คีย์บอร์ดกับฉันชะงักฝีเท้าลงทันที เมื่อน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยดังก้องไปทั่วหลังจากที่เสียงประชาสัมพันธ์เงียบลงพร้อมกับที่คีย์บอร์ดเปลี่ยนจากจับข้อมือมาจับมือฉันแทน เฮดโฟน ... เขาเห็นเหตุการณ์ตรงนี้ด้วยหรือไงกัน
“นี่แกถึงขนาดลงทุนใช้ประชาสัมพันธ์สั่งฉันเลยเหรอเนี่ย” คีย์บอร์ดพูดโต้กลับไปด้วยเสียงอันดังเจือหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน ฉันฟังเสียงเขาแล้ว เขาคงหงุดหงิดอยู่แน่ ๆ ฉันพยายามจะดึงมือออกแต่คีย์บอร์ดก็รั้งไว้
[อย่ามานอกเรื่อง ! ฉันบอกให้แกปล่อยมือยัยนั่นไง !]
“แล้วทำไมฉันต้องปล่อยวะ” แถมยังยกมือที่กำลังจับมือฉันไปทิศทางของห้องประชาสัมพันธ์ซะด้วย คีย์บอร์ด นายกำลังงานเข้าแล้ว =_=
[เพราะยัยนี่เป็นของฉัน !]
ฮือฮา ~~
“@#$%^&)!!!”
[เงียบ !]
เสียงเม้าท์กันให้แซดดังขึ้นทันทีที่ประโยคล่าสุดของเฮดโฟนได้ดังออกมา จนกระทั่งเขาต้องสั่งให้ทุกคนเงียบ และแน่นอนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเขาแม้แต่คนเดียว แต่ว่าประโยคเมื่อกี้ มันก็ทำให้ฉันร้อนผ่าวทั้งตัวรวมถึงก้อนอกด้านซ้ายที่มันก็พาลเต้นไปด้วย อา ... ภาวนาขออย่าให้คีย์บอร์ดสัมผัสมันได้เถอะ -////-
[เพราะยัยนี่เป็นนักโทษของฉันต่างหาก เพราะฉะนั้น ปล่อยยัยนั่นซะ] แอบขุ่นเคืองหนัก ๆ ไปแวบนึง -_-*
“เหตุผลไม่ได้เรื่องเอาซะเลย เมมโมแค่เป็นนักโทษของนายนะ ไม่ได้เป็น ...”
[ตกลงแกจะปล่อยดี ๆ มั้ย] เฮดโฟนพูดเสียงต่ำอย่างน่ากลัวจนฉันแอบเสียวสันหลัง คีย์บอร์ดได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้อง T/\T
“ไม่ดีกว่า” คีย์บอร์ดทำเป็นยกมือข้างที่จับมือฉันขึ้นมาแล้วทำสีหน้าเหมือนครุ่นคิด แล้วคำพูดที่เขาเพิ่งพูดออกไปเมื่อกี้ก็เหมือนกับที่ฉันสังหรณ์ได้ไม่มีผิด แง่ง ! อีตาบ้า นายกำลังจะหาเรื่องเข้าตัวนะ
[แกก็รู้ว่าฉันเป็นยังไงไม่ใช่เหรอ] เฮดโฟนพูดเสียงเย็นเยียบ โอย ... ถึงฉันจะเคยเถียงเคยด่าเขา แต่ตอนนี้ฉันขอบอกเลยว่า ตอนนี้ฉันกลัวเขาสุด ๆ
“แกจะเป็นอะไรก็เรื่องของแกสิ ไม่เกี่ยวกับฉันซะหน่อย” คีย์บอร์ดแสยะยิ้มอย่างไม่ยี่หระ ไม่ทีท่ากลัวเฮดโฟนเลยสักนิด ฉันหันไปทางคีย์บอร์ดก่อนที่จะเริ่มออกปากให้เขาปล่อยมือฉัน
“คีย์บอร์ดปล่อยมือฉันซะ”
“ไม่” คีย์บอร์ดส่ายหน้าสองทีก่อนที่จะมองไปข้างหน้าด้วยสายตาวาวระยับ โอย ... ฉันไม่อยากให้การทะเลาะวิวาทมันเกิดขึ้นนะเฟ้ย !
“ถ้านายไม่ปล่อยฉันจะบิดข้อมือนายเดี๋ยวนี้แหละ”
พลั่ก !
ร่างของคีย์บอร์ดเซกระเด็นออกห่างจากตัวฉันทันทีที่ ... เฮดโฟนเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ที่กลางลำตัวของเขา ! ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้ปล่อย ให้ปล่อยยยยยย แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายก็ต้องลงไปนอนบนพื้นโลกจนได้ -_- ฉันล่ะเหนื่อยใจ
หมับ !
“เฮ้ ! จะพาฉันไปไหนอ่ะ”
“หุบปากซะถ้าไม่อยากลงไปนอนเหมือนหมอนั่น”
หุบปากฉับ TxT
หลังจากที่ซัดคีย์บอร์ดกระเด็นไปแล้วเฮดโฟนก็กึ่งลากกึ่งจูงพาฉันมาที่สนามหญ้าในมุมที่เงียบ ๆ ไม่มีคน เขาปล่อยมือฉันให้เป็นอิสระก่อนที่จะเอาลำตัวของเขาพิงที่ต้นไม้ใหญ่
“ตอนหกโ มงฉันโทรไปหาเธอแล้ว ทำไมเธอไม่รับสายฉัน” เฮดโฟนใช้น้ำเสียงเย็นเยียบพูดขึ้น นั่นเองที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าหน้าของตัวเองลดลงจนเหลือไม่ถึงหนึ่งเซนต์ T_T
“ตอนนั้น ฉันกำลังแต่งตัวอยู่น่ะ” น้ำเสียงดูอ่อยจนน่าเอาหน้าไปมุดกับถังขยะซะ TOT
“แล้วมันก็เป็นเหตุที่ทำให้เธอไม่รับสายฉัน แล้วก็ไม่โทรกลับมา ?”
“ก็ ... ฉันตั้งระบบสั่นไว้นี่นา เลยไม่ได้ดูว่านายโทรเข้ามาน่ะ” อึดอัดจริง ! ทำไมต้องมาทำเป็นโหดใส่ด้วยเล่า
“หรือว่าเธอจงใจไม่รับสายฉัน ?” คำถามของเฮดโฟนที่ตั้งมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อทำให้ฉันอยากจะถอนใจเฮือกใหญ่ใส่ให้ ถ้าไม่เห็นว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่
“มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“เหอะ ... เลยมากับหมอนั่นสินะ แถมยังให้มันจับมือซะด้วย โรแมนติกเป็นบ้า !” ประชดได้น่าตบมากค่ะ -_- ฉันเต็มใจให้คีย์บอร์ดมาจับมือฉันซะที่ไหนกันเล่า !
“ฉันเปล่าเต็มใจซะหน่อย ที่คีย์บอร์ดมาจับมือฉันก็เพราะเขาต้องการให้ฉันไม่รู้สึกกดดันมากเกินไปที่ถูกพวกนั้นนินทาต่างหาก”
“ช่างเถอะ จะกรณีอะไรก็ช่าง แต่ต่อไปนี้เธอห้ามให้ใครจับมือเธอรู้มั้ย !”
“ถ้าสมมุติว่าพ่อฉันจับมือฉันอยู่ล่ะ -_-”
“ไม่ว่าเธอจะจับมือกับใครก็อย่าให้ฉันเห็นเท่านั้นแหละ !” เฮดโฟนกระชากเสียงพูดด้วยอารมณ์ฉุนกึก
“นายไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งฉันนะ ในเมื่อ ... กุญแจโกดังมันยังอยู่ที่ฉันคนนี้” ฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเองก่อนจะเอียงคอทำสีหน้าเหนือกว่าใส่เขา
วูบ ~ !
ด้วยท่าทางของฉันหรืออะไรก็ไม่รู้ ที่ทำให้คนข้างหน้ากระโจนเข้ามาหาจนหลังกระแทกติดกับต้นไม้ ลูกตาของฉันเบิกโพลงพร้อมกับมองไปข้างหน้าด้วยอาการช็อกเมื่อทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนตั้งรับไม่ทัน เฮดโฟนใช้ท่อนแขนของเขาเท้ากับต้นไม้กักฉันเอาไว้ แล้วเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ในระยะอันตรายจนฉันตัวแข็งทื่อไปหมด ทว่า ... ก่อนที่เฮดโฟนจะทำในสิ่งที่ไม่คาดฝัน โทรศัพท์มือถือของฉันก็สั่นขึ้นมาซะก่อน
อา ... ถึงภายในใจลึก ๆ อยากจะให้เขาขยับใบหน้าเข้ามาใกล้อีก แต่มันคงไม่ดีต่อความจำในหัวของฉันเป็นแน่
“โอ๊ะ” ฉันร้องเบา ๆ พร้อมกับหันไปมองโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งหยิบออกมาจากกระเป๋ากระโปรง นั่นเองที่ทำให้เฮดโฟนที่กำลังขยับเข้ามาใกล้จนริมฝีปากแทบจะชิดกันต้องเด้งตัวกลับไปยืนห่างจากฉันเป็นระยะไกลพอสมควร เอาหน้าจอมาดู ใกล้ ๆ ก็พบว่าเป็นข้อความจากเครือค่ายซิมที่ฉันกำลังใช้อยู่นี่เอง เอาวะ ใช้โอกาสนี้ออกจากเฮดโฟนไปเลยก็แล้วกัน รู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้ที่จะต้องมาประจันหน้ากับเขาหลังจากนี้อีกน่ะ
“ฮะ ! อะไรนะ ตอนนี้เลยเหรอ ...” ฉันเอาโทรศัพท์มือถือมาแนบหูก่อนที่จะแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แล้วระหว่างที่พูดอยู่นี้ฉันก็เหล่ตามองไปทางเฮดโฟนด้วย ( ._.)
“โธ่ อะไรกันอีกเนี่ย ~” ฉันแกล้งลากเสียงแบบไม่พอใจ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว ... ฉันไม่ได้กำลังคุยกับใครเลย ~
“เออ ๆ แค่นี้ล่ะ”
ปิ๊บ ! แล้วแสร้งกดปุ่มวางสายลงไปซะ
“ฉันต้องไปแล้วล่ะ” ฉันตีสีหน้าอารมณ์ไม่ดี ก่อนที่จะทำเป็นบ่นงึมงำ “ให้ตายสิ ... ยัยหัวหน้าห้องนี่ ไร้ความรอบคอบจริง ๆ เลย”
“ก็ไปซะสิ ฉันเองในตอนนี้ก็เริ่มเบื่อขี้หน้าเธอแล้วเหมือนกัน” เฮดโฟนที่ผละออกไปทำสีหน้าหงุดหงิดพร้อมกับพูดห้วน ๆ ใส่ฉัน ก่อนที่จะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว หน็อย ทำมาเป็นพูดเย็นชาเหมือนช่องฟิตในตู้เย็นไปได้นะ -*-
หลังจากที่เดินออกมาแล้ว ระหว่างทางฉันก็ยกมือขึ้นมานวด ๆ แล้วทุบเบา ๆ ที่หน้าอกข้างซ้าย เมื่อเริ่มรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองมันเต้นรัวจนกลัวว่าจะกระเด็นออกมา ... เฮ้อ ~ นี่ขนาดยังไม่ปล่อยให้มันละเลยมากกว่านั้นนะเนี่ย ถ้าฉันปล่อยมันไป ทุกอย่างหลังจากนั้นจะเป็นยังไงกันนะ
ฉันสะบัดหัวไล่เหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ก่อนที่จะหยุดฝีเท้าก้มหน้าลงถกเสื้อนักเรียนขึ้นแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อทับในที่ใส่มา ... อา โล่งอกที่ฉันไม่ได้ลืมใส่กล่องกุญแจในกระเป๋าเสื้อทับในนี่มานะเนี่ย ไม่งั้นล่ะก็กังวลแย่เลย ถึงแม้ว่ามันจะหายไปและไม่มีใครเปิดมันได้ก็ตามที แต่ฉันก็อดกังวลไว้ไม่ได้อยู่ดีน่ะแหละ ถ้าเอาไว้ในนี้แล้วมันยังหาย ฉันจะรีบวิ่งไปโดดตึกยี่สิบกว่าชั้นของโรงเรียนให้ตายเลย !
ฉันดึงเสื้อนักเรียนลงหลังจากที่สำรวจเรียบร้อยว่ากุญแจโกดังได้อยู่กับตัวเอง พอเงยหน้าขึ้นจะเดินก้าวออกไปก็เห็นพวกผู้ชายห้าคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงดิ่งมาทางฉัน พวกนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจ ฉันเลยออกปากถามว่าพวกเขามีอะไรกับฉันหรือเปล่าเห็นจ้องมาตั้งแต่ไกลโน้นแล้ว
“พวกพี่ มีอะไรกับฉันหรือเปล่า”
“เธอคือ ... นักโทษของไอ้เฮดโฟนใช่มั้ย”
“ใช่”
“เฮดโฟนเคยพูดเรื่อง ‘กุญแจโกดัง’ กับเธอหรือเปล่า”
ฉันขมวดคิ้วมองพวกคนตรงหน้าก่อนที่จะคิดว่าควรจะตอบคำถามของพวกนั้นออกไปว่ายังไงดี ถ้าฉันตอบว่าเฮดโฟนได้พูดเรื่องนี้ด้วย ฉันต้องซวยแหงแก๋ แต่ถ้าฉันตอบว่าไม่ล่ะ ...
“(-_- )( -_-)” ฉันหลับตาส่ายหัวเบา ๆ แทนคำพูด แต่ทว่า แทนที่พวกนั้นจะเดินถอยทัพกลับไป กลับออกปากเริ่มซักไซร้ฉันซะนี่
“ฉันไม่เชื่อหรอกน่า ว่ามันไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอเลย”
“เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับฉันเลยนะ หรือแม้แต่จะเกริ่นหรือบ่นให้ฟังก็ยังไม่มี”
“ถ้ามันไม่เคยจะพูดเรื่องนี้กับเธอ แล้วเธอจะถามว่าฉันมีอะไรกับกุญแจหรือเปล่า ทำไมล่ะ”
“คนเรามันก็อยากรู้บ้างอะไรบ้าง จะให้ถามทำนองนั้นไม่ได้เลยเหรอ”
“แต่เธอทำเหมือนกับว่า ... เฮดโฟนเคยบอกเรื่องนี้นี่”
“เหมือนตรงไหนกัน ฉันแค่อยากถามเพื่อเป็นเกร็ดเอาไว้ใช้เป็นตัวประกันเวลาเขาออกคำสั่งทำโทษฉันเท่านั้นแหละน่า ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นหรอก”
“เธอแน่ใจนะว่าไม่มี”
“แน่สิ” ฉันพยักหน้าลงอย่างปัดรำคาญ แล้วทำท่าจะเดินให้พ้นไปจากตรงนี้เสีย แต่ทว่า ... ไอ้คนที่สนทนากับฉันกลับรั้งฉันเอาไว้ให้ไปยืนที่เดิม เอ๊ะ ! รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้ฉันพูดอะไรไปก็เหมือนเป็นลมปากนะเนี่ย ไม่มีใครเคยเชื่อกันบ้างเลยแฮะ น่าโมโหชะมัด
“ดูยังไง เธอก็ไม่ได้พูดความจริงอยู่ดี” หมอนั่นส่ายหัวพร้อมกับพูดเสียงต่ำ อย่างนึกนะว่าฉันจะกลัวน่ะ
“ความจริงมันก็เป็นแบบนี้แหละ จะให้พูดว่าอะไรอีกล่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจส่งกลับไป ก่อนที่จะสะบัดแขนอย่างแรงเพื่อให้หลุดออกจากการจับของหมอนี่
“แต่ฉันก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี เป็นไปได้ยังไงกัน ที่เวลานี้เป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแล้วไอ้เฮดโฟนไม่เคยบอกเรื่องกับเธอ เลยเผื่อมันจะต้องใช้เธอให้เป็นประโยชน์” ฉันฟังไอ้คนตรงหน้าคิดวิเคราะห์ หืม ... นักโทษอย่างฉันน่ะเหรอ เขาจะมาบอกอะไรกันเล่า เรื่องสำคัญขนาดนั้นจะให้ฉันมารู้เรื่องก็คงแปลกล่ะ
“หมอนั่นไม่เคยบอกเรื่องแบบนั้นให้ฉันฟังหรอก มีแต่จะพูดน้ำเสียงฉุนเฉียวใส่แล้วสั่งให้ทำโน้นทำนี่ก็เท่านั้นแหละน่า”
“จริงเหรอ”
“อืม หมดคำถามแล้วใช่มั้ย ฉันจะได้ไปจากตรงนี้ซะที” ฉันพูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างรำคาญก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนี้ ทว่า ... เดินไปได้ไม่ถึงสามก้าวเท่านั้น ...
“แกชักจะได้หน้ามากเกินไปแล้ว ! ยัยหื่นโรคจิต !”
ก็มียัยพวกผู้หญิงห้าคนที่เดินมาด้วยท่าทางเร่งรีบตะโกนแหกปากเหมือนแค้นฉันมาสิบปี !!!
แล้วพวกนั้นก็มาด้วยท่าทาง ... มิตรหาย สหายตรึม !
ให้ตายสิ ... นี่ฉันเจอปัญหานี้เป็นปัญหาที่เท่าไหร่แล้วนะ!!!! อยากจะกรีดร้องให้ลั่นโลกาวินาศ ! -______- ^^^
ความคิดเห็น