คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : 9 : ฉันกับเขาเราเป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ ?
9
ฉันกับเขาเราเป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ ?
“ตื่นได้แล้ว”
ทุกอย่างดูมืดสนิทจนไม่เห็นอะไรเลยตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงนุ่มทุ้มคุ้นหูพูดขึ้นมาเบา ๆ นี่แหละ ทำให้เปลือกตาที่กำลังปิดอยู่ค่อย ๆ เปิดขึ้นมาทันที ก่อนที่จะหันไปพบกับเฮดโฟนที่นั่งฝั่งคนขับแล้วหันมาทางฉันอยู่
“ถึงแล้วเหรอ”
“อืม” เฮดโฟนพยักหน้า ฉันที่เพิ่งตื่นอย่าสะลึมสะลือขยี้ตาให้ตัวเองสร่างตื่นก่อนที่จะเปิดประตูรถลงไปแล้วยืนบิดขี้เกียจ โอย ... พอลุกขึ้นมาแล้วรู้สึกเมื๊อยเมื่อย ~ มันก็แน่อยู่แล้วล่ะที่จะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉันเผลอหลับในรถนี่นา ... เห เผลอหลับในรถงั้นเหรอ
นี่ฉันเผลอหลับในรถเหรอเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย ! O_O
ฉันตกใจเบิกตาโพลงทันที ก่อนที่จะเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง อา ... ยังดีแฮะที่กล่องกุญแจยังอยู่ที่เดิมไม่ได้หายไปไหน โล่งอกไปที ... แต่ว่า ต่อให้เขาเอามันไปได้ เขาก็ไม่สามารถนำมันขึ้นมาใช้ได้อยู่ดีล่ะน่า ~ แต่มันก็น่าเจ็บใจไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ฉันเผลอหลับระหว่างที่กำลังนั่งรถกับคนที่ทำความรู้จักได้ไม่นาน ฉันทำแบบนี้ไปได้ยังไงกันเนี่ย !
“คิดว่าฉันแอบขโมยกุญแจโกดังไปหรือไงกันฮะ” เสียงของเฮดโฟนดังอยู่ข้าง ๆ ฉัน ทำให้ฉันที่กำลังแตกตื่นอยู่ต้องหันไปทางเขาทันที
และก็ต้องหันกลับมาทางทิศเดิมโดยไว -////- ทำไมไอ้อาการแบบนี้มันยังไม่หายไปอีกนะ
“ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์คิดล่ะ ก็ตลอดทางมาฉันเอาแต่ ... ”
“หลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เฮดโฟนพูดแทรกอย่างกวน ๆ ทำให้ฉันถอนหายใจออกทางจมูกอย่างแรงจนทำให้คนข้าง ๆ หัวเราะแซว
“หายใจแบบนั้นระวังจมูกจะบานยิ่งกว่าเดิมอีกนะ”
“ปากหรือนั่น -_- *”
“ฮะ ๆ อย่าเพิ่งโมโหไปสิ นี่แหละ บ้านฉันเอง”
“บ้านนาย ?” ฉันทวนถามอย่างงง ๆ ทำให้เฮดโฟนที่ยืนอยู่ข้างๆกำหมัดขึ้นมาเขกหัวฉันทีหนึ่ง จึ๋ย ! ทำไมต้องมาเขกกันด้วยเล่า
“ก็ใช่น่ะสิ แสดงว่านี่เธอยังไม่ได้มองไปข้างหน้าหรอกเรอะ” เฮดโฟนถามเสียงสูงพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน
“อะ ... อืม” ฉันตอบรับด้วยน้ำเสียงอึกอักไม่เต็มเสียง เรื่องแบบนี้มันน่าอายนี่นา ลงมาหน้าบ้านเขาแล้วกลับไม่มองไปข้างหน้า ดั๊นมายืนบิดขี้เกียจซะงั้น อย่างนี้มันแสดงว่าฉันเป็นยัยเซ่อชัด ๆ เลย -3-
“เฮ้อ ... งั้นก็หันไปมองซะยัยสมองเน่า” เฮดโฟนทำเสียงเหนื่อยใจ ก่อนที่จะนำฝ่ามือหนาทั้งสองข้างของเขามากุมใบหน้าของฉันแล้วบังคับให้หันไปทางทิศทางหน้าบ้านของเขาทันที ! ให้ตายสิ ... ตอนนี้ฉันรู้สึกร้อนผ่าว ทั้งร้อนทั้งหนาว และรู้สึกตัวเกร็ง ก้อนอกด้านซ้ายเต้นถี่ยิบ อ๊ากกกก ฉันทำอะไรไม่ถูกแล้วววว T////T
เมื่อถูกจับให้หันหน้าไปทางหน้าบ้านของเขานั้น ความรู้สึกบอกไม่ถูกเมื่อกี้ก็หายวับไปกับตาเหมือนกับนินจาในทันทีเลยแหละ ! ก็เพราะภาพตรงหน้าของฉันมันเป็น ... บ้านหลังประมาณปานกลาง แต่ ... สไตล์ของตัวบ้านนั้น มันเหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยายชัด ๆ ! ฉันกวาดสายตาไปทั่วตัวบ้านและบริเวณรอบตัวแล้วก็รู้สึกว่า ... ฉันไม่อยากก้าวออกไปจากอาณาเขตนี้เลยจริง ๆ ! มันสวยมากกกกกกกกกก มากกกกกกกก มากจนไม่สามารถสาธยายได้เลยแหละ กรี๊ด ๆๆๆ *O*
ทว่า ... พอฉันจะหันลำคอไปทางขวา อาการแบบก่อนหน้านั้นก็กลับมาวกวนให้ฉันแทบประสาทตายเล่นอีกรอบ TOT ทำไมมันต้องมานึกได้ด้วยเล่า ว่าเขากำลังกุมใบหน้าฉันอยู่น่ะ ! เฮ้ออออออออออออออ
ไอ้หัวใจบ้า ... แกก็เลิกเต้นโครมครามอย่างนี้สักทีสิโว้ยยยยยยยย ฉันทำตัวไม่ถูกแล้วนะ ถ้าแกไม่ใช่อวัยวะสำคัญต่อชีวิตของฉันล่ะก็ ... ฉันจะไปเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดแกออกไปแล้ววว
“จะว่าไป ... หน้าเธอก็เล็กดีนะ”
“หะ ... หา” ฉันร้องออกมาเหมือนคนเพิ่งได้สติ หลังจากที่พยายามต่อสู้กับเจ้าหัวใจจอมบ้าระห่ำของตัวเอง เฮดโฟนพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉันได้ยินไม่ชัดแฮะ
“เอ่อ ... จะไม่คอมเมนต์บ้านฉันหน่อยรึไงกันฮะ”
“ก็ ... ก็ สวยดี สวย ๆๆ” ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าลิ้นของตัวกำลังจะพิการจังเลย T^T อะไรกันเนี่ย นี่ฉันเป็นอะไรปายยยยย
“เป็นอะไรของเธอไปน่ะ แค่ชมว่าสวยคำเดียวก็พอแล้วมั้ง ฉันรู้ว่าบ้านฉันมันสวยมาก -_-” เฮดโฟนพูดพร้อมกับเอาฝ่ามือหนา ๆ อุ่น ๆ ของตัวเองออกจากใบหน้าของฉัน ทำให้ฉันที่แทบจะสิ้นใจตายตรงนี้ ถอนหายใจได้สะดวกกว่าตอนเมื่อกี้มากกกกกกกกก เหมือนกับได้ขึ้นจากนรกมาสู่สวรรค์เลยแหละ พระเจ้า ! เฮ้ออออ ~
“จะว่าไปแล้ว ... นายพาฉันมาที่บ้านนาย เพื่อ ?” อย่าหวังว่าฉันจะหันหน้าไปหาเขาเชียวล่ะ
“ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว แล้วฉันก็เริ่มขี้เกียจออกข้างนอก เลยมาที่บ้านน่ะ”
“โดยที่เอาฉันมาด้วยนี่นะ !” ฉันโวยลั่นเมื่อได้ยินคำตอบของเขา ถ้าเขาขี้เกียจจะไปไหนแล้วอยากกลับบ้าน แล้วเขาจะพาฉันมาบ้านเขาทำซากอะไรเนี่ย แน่นอน ... ฉันไม่ได้หันไปทางเขาเหมือนเดิม
“เอ้า ! ถ้าฉันปล่อยให้เธอกลับไปตอนนี้ มีหวังเธอก็เสร็จพวกนั้นน่ะสิ”
“แต่นายก็น่าจะพาฉันไปส่งแถวที่มันใกล้ ๆ บ้านฉันแต่ห่างพวกมันก็ได้หนิ แล้วแบบนี้ฉันกลับยังไงล่ะเนี่ย แถมตลอดทางฉันยังเผลอหลับไปอีกด้วย”
“ฉันบอกว่าจะไปส่งเธอเอง ฉันก็ต้องไปส่งเธอสิ ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า”
“แล้วนายจะไปส่งฉันเมื่อไหร่กันล่ะ ?”
“ก็บอกแล้วไงว่าก่อนพรุ่งนี้น่ะ หรือไม่ก็พรุ่งนี้ ...” ท่อนสุดท้ายเฮดโฟนเบาเสียงลง แต่ฉันก็ยังได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง จนเกือบจะเผลอหันไปมองหน้าเขา แต่ยั้งตัวเองไว้ได้ทันก่อน
“ไม่นะ !!! ฉันไม่ค้างที่นี่เด็ดขาดเลย !” ถึงมันจะสวยขนาดไหนก็เถอะ ก็มันไม่ใช่บ้านฉันนี่นา
“ก็ฉันยังไม่ได้บอกซะหน่อย ว่าเธอจะต้องค้างที่นี่น่ะ อา ... ตอนนี้ฉันอยากเข้าบ้านแล้วล่ะ” เฮดโฟนพูดจบก่อนที่จะเดินนำหน้าผ่านร่างฉันไปแล้วเปิดประตูบ้านเข้าไปเลยทันที ส่วนฉันที่กำลังยืนอยู่เห็นการกระทำของเขา ก็ต้องเดินตามเขาเข้าไปตามระเบียบ ก็มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่นะ
เมื่อฉันเปิดประตูเข้ามาตามหลัง ดวงตาที่เคยห่อเหี่ยวด้วยความเซ็งก็ลุกวาวขึ้นมาเหมือนตอนที่เห็นหน้าตาของบ้านอีกครั้ง แต่ฉันรู้สึกว่าครั้งนี้มันจะวาวมากกว่านะ *O* หะ ... ให้ตายสิ ทุกอย่างภายในนี้สวยจนฉันประหม่าก้าวขาไม่ออกเลย ! สวยเกิ๊นนนนน >_<
ฉันหลับตาสะบัดหน้านิดนึง ก่อนที่จะย่างกรายเข้าไปภายในอย่างรู้สึกตื่นเต้นสุด ๆ ตั้งแต่เกิดมานอกจากบ้านเห็ดยักษ์นั่นฉันก็ยังไม่เคยเห็นบ้านสไตล์เทพนิยายอย่างนี้มาก่อนเลยอ่ะ มันทั้งสวย ทั้งหรูหรา และอบอุ่นภายในเวลาเดียวกันเลย ถึงมันจะไม่ใหญ่มาก แต่ฉันก็รู้สึกได้เหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ในโลกเทพนิยายก็ไม่ปานเลย
เดินไปได้ประมาณไม่ถึงสิบเก้านั้น ฉันก็ได้ยินเสียงทีวีจากทางขวามือ เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็นเฮดโฟนที่กำลังนอนอยู่บนโซฟาที่หักมุมยาวไว้สำหรับวางขาได้ด้วยความเหนื่อยอ่อนนั่นเอง ฉันเดินเข้าไปนั่งตรงโซฟาข้าง ๆ เขา ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา เอ่อ ... ทำไมไอ้หัวใจบ้า ๆ ของฉันมันต้องเต้นผิดจังหวะเมื่อหันไปมองหน้าเขานะ
“บ้านนายนี่ ... ออกแนวเทพนิยายสุด ๆ ไปเลยนะ” ฉันพูดชมพร้อมกับเบือนหน้าหนีเมื่อรู้ว่า เขาต้องหันมาทางฉัน แน่ ๆ
“แน่ล่ะ ถ้าเธอไม่หลับบนรถล่ะก็ ฉันเชื่อว่าเธอต้องตาลุกวาวตั้งแต่ทางเข้าหมู่บ้านมาเลย”
“นั่นสิ เสียดายมาก แต่ ... ทำไมนายไม่เรียกฉันอ่ะ” ฉันทำเสียงเสียดายสุดขีด ถึงฉันจะไม่ได้บ้าเทพนิยายมากนัก แต่มันก็ทำให้ฉันตื่นเต้นและอยากดูไม่น้อยเลยทีเดียว
“ก็ฉันเห็นเธอหลับอยู่นี่ไง กฝ้เลยไม่เรียกน่ะ และที่สำคัญนะ ฉันก็ขี้เกียจจะเถียงกับคนเมาขี้ตาด้วย”
“เฮอะ !” ฉันสบถออกมาเบา ๆ พร้อมกับที่ตาของตัวเองก็จ้องไปทางทีวีเพื่อหาที่สิงสถิตให้ลูกตา
ระหว่างที่ฉันกำลังดูทีวีอยู่นั้น สิ่งที่อยู่ในจอทีวีก็ทำให้ฉันแทบเกือบลืมหายใจ ... เพราะในทีวีนั้นมันเป็น ...
รายการวาไรตี้ของเกาหลี !!!!
แล้วที่สำคัญนะ มันเป็น ... รายการวาไรตี้ที่มีแขกรับเชิญเป็น ...
Magic !!!!!!!!!!!!
แต่ครั้งนี้มีเพียงแค่สี่คนเท่านั้น นั่นก็คือ ลีดเดอร์แห่งมาจิกฮโยยุน ทาโย เมโซยัง และนาซึนน้องเล็กหรือมักเน่ของวง ตามจริงวงเกิร์ลส์กรุ๊ปวงนี้มีห้าคน แต่ที่ในรายการนั้นมีแค่สี่คนเท่านั้น ก็เพราะว่า ...
โครก ~
ฉันหันไปมองตามเสียงทันที ก็พบว่า ... ว่าไม่ใช่เสียงท้องฉันล่ะเพราะฉันไม่รู้สึกหิว แต่น่าจะเป็นเฮดโฟนมากกว่านะ เจ้าตัวที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ยังทำหน้าตาเหลอหลามองทีวีอยู่ แต่ปากก็พูดออกมาอย่างที่ใจฉันสังหรณ์ไว้ไม่มีผิด
“ฉันหิว”
“แล้วไง นี่ก็บ้านนาย ไปหาอะไรกินเอาเองสิ” อา ... ฉันหวังเอาไว้แล้วไงว่าแกจะไม่เต้นโครมครามน่ะเจ้าหัวใจบ้า =_=
“ไม่เอา ! เธอนั่นแหละ ไปทำอะไรให้ฉันกินหน่อยสิ”
“นี่มันคำร้องขอ หรือคำสั่งกันเนี่ย นายก็รู้ว่านายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันนะ !” ฉันพูดพร้อมกับสะบัดหันหน้าไปทางทีวีเช่นเดิม อา ... เห็นพวกนั้นแล้ว คิดถึงจังเลย
“อย่าลืม ๆๆๆ ถ้าไม่มีฉัน เธอก็รอดมาจากพวกนั้นไม่ได้นะจะบอกให้”
“ทวงบุญคุณเรอะ !”
“เปล่า ... ฉันแค่เหนื่อย ไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากนอนอยู่แบบนี้ และที่สำคัญ ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า” เสียงของเฮดโฟนอ่อนลง ทำให้ฉันที่พยายามใจแข็งไม่ยอมเขาต้องถอนหายใจพรืดอย่างเสียไม่ได้
“ก็ได้ ... เพราะเหตุการณ์ที่มันผ่านมาหรอกนะ”
ฉันล่ะอยากจะทึ้งหัวตัวเองจริง ๆ เลย ทำไมต้องไปใจอ่อนด้วยนะเนี่ย คนอย่างเขาน่ะมันไม่น่าจะให้ความช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำเมื่อมานึกถึงเรื่องที่ผ่านมาอย่างไอ้เรื่องเอาสปาร์ต้าไล่ฟันกับปล่อยให้ฉันเผชิญหน้ากับนินจาจนเกือบตายเนี่ย
แต่ว่า ... พอนึกถึงตอนนั้น ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกแก๊งนักเลงนั่น มันกลับทำให้ฉันใจอ่อนและยอมเขาในที่สุด และยิ่งมาเจอน้ำเสียงเหนื่อย ๆ แบบนั้นอีก มันก็ยิ่งทำให้ฉันใจอ่อนเข้าไปใหญ่และรู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ ด้วย
เมื่อเดินมาถึงห้องครัว ที่เป็นห้องตรงข้ามกับห้องโถงนั่งเล่นแล้วนั้น ฉันก็เดินไปเปิดดูตู้เย็นสีน้ำตาลที่เข้ากับอุปกรณ์และสไตล์การตกแต่งในห้องครัว มองไปรอบ ๆ ตู้เย็นก็เห็นเนื้อหมูอยู่หนึ่งชิ้นใหญ่ ๆ ผักกะหล่ำปลีหนึ่งหัว และไข่ไก่หนึ่งฟองเท่านั้น อา ... ทำข้าวผัดให้เขากินดีกว่า เอากะหล่ำปลีนี่แหละใส่เข้าไปด้วย
แต่พอมาเปิดดูที่หม้อหุงข้าวไฟฟ้านั้นก็พบว่า ... ไม่มีข้าวสวยเลยสักเม็ดเดียว ก้มตัวลงไปมองข้างล่างหยิบถุงข้าวสารออกมานั้นก็พบว่า ไม่มีข้าวสารเลยสักเม็ดอีกเหมือนกัน เฮ้อ จะทำอะไรดีเนี่ย
“เฮดโฟน ! ในห้องครัวไม่มีข้าวสารเลยเหรอ” ฉันตะโกนถามเขาไปหลังจากมองไปรอบ ๆ แล้ว สิ่งที่พอจะเอามาประกอบอาหารได้อย่างเดียวเท่านั้นก็คือ ... มาม่า ซึ่งฉันเองก็ไม่อยากให้เขากินมาม่าหรอกนะ ฉันอยากทำข้าวให้เขากินมากกว่า เพราะมันรู้สึกอิ่มกว่า และมีรสชาติมากกว่าน่ะ
“ข้าวสารเหรอ ... อ้อ ... หมดแล้วล่ะ”
“เหรอ ... ในนี้มีแต่มาม่าน่ะ นายจะเอามั้ย” ฉันครางรับอย่างเสียดาย ก่อนที่จะถามเขาไปอีกรอบ ฉันไม่รู้นี่ ว่าเขาเป็นคนยังไง ถ้าเผลอทำมาม่าไปแล้วไม่ถูกใจเขา ไม่โดนเขาเอามาม่าคว่ำใส่หัวหรอกเรอะ
“จัดไป ! ของชอบฉันเลย” น้ำเสียงและคำพูดของเขา จู่ ๆ ก็ทำให้ฉันกระตุกยิ้มขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ก่อนที่จะเดินไปหยิบมาม่ามาหนึ่งซอง เอ๋ ... สำหรับเขาหนึ่งซองไม่พอมั้ง ต้องสองซองสิ เขายังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เช้านี่นา ...
ฉันแกะมาม่าสองซองใส่หม้อตามด้วยใส่เครื่องปรุงแล้วลงท้ายด้วยการใส่น้ำพอท่วมมาม่าลงไปด้วยความเคยชิน เวลากลับมาจากโรงเรียนมาม่าเนี่ยล่ะ อาหารรสเลิศของฉันเลย ! เพราะฉะนั้นเมนูนี้จึงไม่แปลกที่ฉันจะทำได้คล่องปรื๋อขนาดนี้น่ะ
ระหว่างที่รอมาม่าเดือดอยู่นั้น จู่ ๆ ภาพของผู้หญิงสี่คนที่ฉันเห็นในทีวีก็แวบขึ้นมาในหัว ... ตอนนี้ฉันคิดถึงพวกเธอจังเลย นับวันที่ไม่ได้เจอกันก็เป็นเดือนแล้ว ฉันคิดถึงพวกเธอจริง ๆ นะเนี่ย
♫~
เสียงมือถือของฉันดังขึ้น ทำให้ฉันที่กำลังอยู่ในห้วงของภวังค์ความคิดต้องหยิบมันขึ้นมาทันที ก็พบว่า ... เป็นเบอร์ของ พวกที่ฉันกำลัง ‘คิดถึง’ อยู่ ไงล่ะ ฉันแย้มยิ้มทันที ก่อนที่จะกดรับสาย
“ฮัลโหล”
[ไงจ๊ะ ยัยโย่ง ! ไม่ได้เจอหน้าเธอเป็นเดือนละ คิดถึงเธอจังเลย ~]
“จริงดิ ไม่ได้ไปเต้นกับแซจุงจนลืมฉันไปหรอกเหรอ” ฉันแขวะกลับ
[อ๊ายยยยย ยัยเด็กบ้า ! >////< ถึงฉันจะได้ร้องเพลงคู่กับแซจุง แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะลืมเธอน้า ฮันกึล ~]
“อ๋อเหรอ คิดว่าจะลืมกันไปซะแล้ว”
[แหม ฉันลืมเธอไม่ลงหรอก แล้วนี่เมื่อไหร่จะมาเนี่ย ~]
“อืม ... ประมาณอีกอาทิตย์นึงอ่ะออนนี ฉันถึงจะไปได้”
[เหรอ งั้นเป็นไปได้เธอก็รีบ ๆ มาล่ะกัน จะได้มาแต่งเพลงให้ฉันดูด้วย]
“โอเค ตั้งแต่มาจากที่เกาหลีฉันแต่งเพลงได้แค่วรรคเดียวเองนะ เดี๋ยวพอไปเกาหลีจะรีบเอาเนื้อเพลงไปให้ออนนีร้องเลย”
[จ้า อ๊า ... ฉันต้องวางสายลงไปก่อนล่ะนะ เดี๋ยวพวกที่เหลือจะมาแล้วแย่งมือถือฉันไปอีก แล้วยิ่งมารู้ว่าฉันโทรหาเธอล่ะก็ รับรองว่าพวกนั้นคงต้องทำให้เสียตังค์ค่าโทรไปอีกหลายบาท งั้นฉันไปก่อนล่ะนะ บาย ~]
“โครตใจเลย ลีดเดอร์เอ๊ย -*-”
ฉันว่าทีเล่นทีจริง ก่อนที่จะเอาโทรศัพท์มือถือเก็บเข้าที่เดิม มองไปที่ประตูทางเข้าห้องครัว ก็พบว่า ... เฮดโฟนก็ยังนอนแหง็กอยู่เหมือนเดิมนี่นา แต่ทำไมเมื่อกี้ เหมือนมีอะไรมาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถวหน้าประตูทางเข้าห้องครัวเลยล่ะ หรือว่าจะเป็น ... หึย ~ บ้านสวยสะอาดขนาดนี้คงไม่ผีเผอมาอาศัยอยู่หรอกมั้ง ฉันถอนหายใจออกทางจมูกอย่างหงุดหงิดตัวเองเป็นที่สุด ก่อนที่จะไปจัดการกับมาม่าที่ตอนนี้เดือดพอที่จะใส่ผักกะหล่ำปลีกับไข่ได้แล้ว
หลังจากที่จัดการใส่ทุกอย่างที่เตรียมไว้บนเขียงในหม้อเรียบร้อย ฉันก็รออีกสักครู่หนึ่ง อย่างรู้สึก ... หวาดวิตกว่าจะมีอะไรมายืนเซอร์ไพสร์อยู่ข้าง ๆ หรือเปล่า โอ๊ย ! ฉันนี่ก็ชอบคิดอะไรเป็นตุเป็นตะเนอะ มองไปที่หม้อก็พบว่ามาม่าได้ที่แล้ว ฉันก็รีบจัดการใส่ชามรองด้วยจานไปหาเฮดโฟนด้วยความเร่งรีบของฝีเท้าอย่างอัตโนมัติ อา ... ตอนนี้ฉันรู้สึกโล่งอกเป็นไหน ๆ เลยแหละ
ฉันวางมาม่าไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ตรงหน้า ก่อนที่จะเอื้อมมือไปกระตุกแขนเฮดโฟนเบา ๆ
“นี่ ... มาม่าได้แล้ว”
“ห๊า ... ในที่สุดก็ได้กินอะไรสักที ฉันโคตรหิวเลยอ่ะ” เฮดโฟนยันตัวเองลุกขึ้นมาก่อนที่จะเลื่อนชามมาม่าเข้ามาหาตัวเองอย่างเร่งรีบ จนน้ำในมาม่าเกือบกระเฉาะหกออกมา โห ... ท่าทางจะหิวของจริงนะเนี่ย
“งั้นก็กินให้หมดล่ะ นอกจากพี่ชายฉันแล้ว ฉันก็ไม่เคยทำมาม่าให้ใครกินเลย”
“งั้นฉันก็เป็นคนแรกที่ได้กินมาม่าฝีมือเธอ โดยที่ไม่ใช่คนในบ้านสินะ”
“ก็ประมาณนั้น”
ฉันยักไหล่ก่อนที่จะจ้องมองไปที่ทีวี ... อา นั่น ยัยนาซึนกำลังจะเต้นแร้งเต้นกาอะไรกันอีกล่ะนั่นน่ะ
ระหว่างที่กำลังหัวเราะกับสิ่งที่นาซึนทำในทีวีอยู่นั้น ฉันก็แอบเหลือบเขานิดหน่อย ก่อนที่จะเบนสายตามาทางหน้าจอทีวีทันที เมื่อเฮดโฟนหันมาทางสายตาที่กำลังเหลือบอยู่ของฉัน อา ... ทำไมเมื่อกี้หัวใจฉันมันแอบเต้นผิดจังหวะอีกแล้วนะเนี่ย วันนี้มันเป็นวันอะไรกันนะหัวใจฉันเต้นผิดจังหวะบ่อยจังเลย
“อ้อ เฮดโฟน” ฉันโพล่งถามขึ้นเมื่อรายการตัดเข้าโฆษณา
“หืม”
“บ้านนายนี่ ติดจานดาวเทียมที่สามารถดูช่องทีวีของประเทศเกาหลีได้ด้วยเหรอ”
“อืม ... ไม่งั้นเธอก็คงดูรายการนี้ไม่ได้หรอก”
“จริงสินะ แล้วนายฟังภาษาเกาหลีรู้เรื่องหรือไง”
“เอ้า ... ก็ต้องรู้เรื่องสิ ไม่งั้นฉันจะเปิดช่องนี้ทำไมกันล่ะ”
“งั้นก็คงไม่แปลก ที่นายจะรู้จักพวกไอดอลหรือดาราเกาหลีสินะ”
“ไม่หรอก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเปิดช่องนี้ดูน่ะ”
คำตอบของเฮดโฟนทำให้ฉันนิ่งเงียบไป ... นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดช่องนี้ดูเหรอเนี่ย อืม ... ฉันว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะส่วนใหญ่คนที่เห็นหน้าค่าตาฉันจะทักฉันว่า ‘ฮันกึล’ ขึ้นมาทันที ถ้าดูรายการทอล์คโชว์เกาหลีน่ะนะ ซึ่งฉันก็ปฏิเสธมาตลอด ถ้าเขาดูช่องนี้เป็นประจำหรือหลายครั้งแล้ว มันก็ต้องมีการเอะใจกันบ้าง แต่นี่ ... เขาไม่มีท่าทางเอะใจหรือทักว่าฉันคือ ‘ฮันกึล’ เลยสักนิดเดียว แสดงว่าเขาคงดูช่องนี้เป็นครั้งแรกจริง ๆ แล้วก็โล่งอก ที่ในทีวีนั่นไม่ใช่เทปเก่าที่ Magic ไปเป็นแขกรับเชิญครบกันห้าคน
แต่ถึงแม้ว่า ... ผู้หญิงที่ชื่อ ‘ฮันกึล’ จะดังลั่นฟ้าโลกาวินาศขนาดไหน ทุกคนในย่าน ซิตี้มาสต์ เอเท็นไซต์ และ เพนโทรอน ก็คงไม่รู้จักแน่ ๆ จะทำได้ก็แค่คุ้นหน้าคุ้นตาแล้วนึกถึงคนดังที่เคยเห็นตามทีวีมาก็เท่านั้น แล้วสามย่านนี้ก็เป็นเมืองที่มีดาราไอดอลมาพักมาเรียนกันเยอะซะด้วย และส่วนใหญ่ก็ไม่เปิดเผยว่าตัวเองเป็นใคร แน่นอน ว่าต่อให้สืบข้อมูลมามากแค่ไหนก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าคนที่กำลังสืบอยู่นี้เป็นใครอยู่ดี ถ้าพวกเขาไม่พูดมันออกมาน่ะ
ฉันดูรายการไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรายการนั้นจบ ตลอดที่รายการกำลังฉายอยู่นั้น ฉันก็คิดถึงพวกนั้นตลอดเวลาเลย แค่ประมาณอาทิตย์เดียวเท่านั้นก็จะได้เจอกันแล้ว ฮ้าววววววว ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำตาคลอ ๆ ด้วยแหละหลังจากที่หาวจัดหนักไป -O- เฮ้ ! นี่ไม่ใช่บ้านของฉันนะ ฉันจะมาหลับที่นี่ไม่ได้เป็นอันขาดเลย
“เฮดโฟน ... นี่มันก็มืดค่ำแล้วนะ ทำไมนายยังไม่พาฉันไปส่งที่บ้านอีกอ่ะ”
“ตอนนี้ฉันทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย ทั้งขี้เกียจมาก ๆ เลย เธอไม่เห็นใจฉันหน่อยหรือไงกัน ที่จะต้องลุกขึ้นไปส่งเธออีกแล้วน่ะ”
“ฮึ้ย ไม่ได้นะ นี่มันมืดแล้วด้วย ถ้าฉันไม่กลับถึงบ้านฉันตายแน่ ๆ เลย”
“ก็โทรไปบอกที่บ้านของเธอสิ ว่าฉันจะไปส่งเธอ ... ”
“นายต้องไปส่งฉันเดี๋ยวนี้เลยสิ ! ตอนนี้มันก็ ...” ฉันแทรกขึ้นมาเมื่อรู้ว่าเขาจะพูดว่าอะไรพร้อมกับมองไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่ข้าง ๆ ชั้นวางทีวีก็พบว่า ตายแล้ว ! นี่มัน ... “สองทุ่มแล้วนี่ !!!!”
“งั้น ฉันไปส่งเธอที่บ้านเช้ามืดล่ะกัน” เฮดโฟนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างไม่รู้สึกอะไรเลย นั่นเอง ที่ทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“จะบ้าเหรอ ! พรุ่งนี้ฉันมีเรียนนะเฟ้ย จะไปส่งฉันเช้ามืดเนี่ยนะ ไม่เกินไปหน่อยหรือไง” ถ้านายเฮดโฟนไปส่งฉันที่บ้านตอนเช้ามืดล่ะก็ จากนั้นฉันก็จะไม่ได้นอนอีกเลยยยยยยยยยยยย นี่มันทำร้ายกันชัด ๆ!
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงเล่า ตอนนี้มันก็มืด แล้วฉันก็ง่วงแล้วด้วย แถมเธอก็ยังง่วงอีก นอนที่นี่สักคืนจะเป็นอะไรไป”
“ใครบอกว่าฉันง่วง !”
“ฉันเห็นเธอสัปหงกนะ หรือเธอจะเถียง ว่าเธอถ่างตาดูทีวีตลอดน่ะ” คำพูดของเฮดโฟนทำให้ฉันเถียงอะไรไม่ออกเลยทีเดียวเชียว T^T ก็รายการมันตั้งสองชั่วโมงนี่นา แถมยังใช้พลังงานในการวิ่งไม่น้อย มันก็ต้องมีเผลอกันบ้างสิ
“เออ ... ฉันยอมรับก็ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าฉันต้องกลับถึงบ้านเช้ามืดนี่ !”
“หรือเธอจะนั่งรถกลับเองฮะ ?” คำถามของเขาทำให้ฉันเงียบอีกแล้ว ! จะให้ฉันนั่งรถกลับบ้านไปเองเนี่ยนะ จับฉันไปถ่วงน้ำที่แม่น้ำเจ้าพระยาไม่ดีกว่าเรอะ ! ก็ฉันหลับมาตลอดทางเลยนี่นา จะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องนั่งรถอะไรกลับบ้านไปบ้างน่ะ
“ไม่มีทางซะล่ะ”
“เพราะฉะนั้น ... ก็ทำตามที่ฉันบอกซะ”
“แต่ฉันก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อยู่ดีอ่ะ T^T”
“แน่ใจนะ ว่าไม่อยากอยู่ นั้น ... เดินตามฉันมา”
เฮดโฟนปิดทีวีพร้อมกับนำร่างสูง ๆ ของเขาเดินนำขึ้นไปชั้นบน เลยทำให้ฉันที่นั่งจุมปุ๊กอยู่ต้องเดินตามขึ้นไปด้วยอย่างอัตโนมัติ จะให้ประชดด้วยการนั่งคนเดียวเหรอ คงไม่ดีมั้ง T_T
เดินขึ้นบันไดที่เชื่อมกับชั้นล่างมาแล้ว ฉันก็ต้องมองรอบ ๆ ในจุดที่ตัวเองยืนอยู่ ให้ตายสิ ! หมอนี่มัน ... ต้องการทรมาณความต้องการของฉันชัด ๆ เลย ! ภายในชั้นบนนี้เป็นพื้นไม้ ที่แน่นอนก็ต้องเป็นสไตล์แบบเทพนิยายอะไรเทือก ๆ นั่นอยู่แล้วล่ะ มีห้องทั้งหมดสี่ห้อง ที่น่าจะเป็นห้องนอนทั้งหมด อะไรมันจะสวยไปซะทุกมุมอย่างนี้เนี่ย !
“เนี่ยอ่ะนะ อาการของคนไม่อยากอยู่” เฮดโฟนที่ยืนพึงกรอบประตูอยู่ห้องขวาริมสุดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบปนล้อเลียน เมื่อเห็นฉันมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นเต้น หน็อย ! ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ทันหรอกน่า
“ถึงมันจะสวยขนาดไหน ฉัน ... ก็ไม่อยากอยู่หรอก !” ฉันพูดพร้อมกับสะบัดหน้าอย่างเชิด ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจนั้น ฉันไม่อยากออกไปจากตรงนี้เลยยยยยย น่าอายเป็นที่สุด !
“แต่ยังไงซะ เธอก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากว่าคืนนี้เธอจะต้องอยู่ที่นี่”
“เฮ้ย ! บอกว่าไม่อยากอยู่ก็ไม่อยากอยู่ไงเล่า !” ฉันขึ้นเสียงขึ้นมาทันที เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา ไม่น้า ฉันไม่อยากค้างที่นี่เลย ! จริงจริ๊งงงงงงงงงงงงง
“แล้วเธอคิดว่าฉันจะไปส่งเธอในตอนนี้หรือไงกันล่ะ ถ้าอยากกลับเธอก็ต้องนั่งรถกลับไปเอง ฉันไม่ขยันไปส่งเธอหรอกนะ”
“ถ้ามันเป็นอย่างนี้ แล้วนายพาฉันมาทำซากอะไรเนี่ย”
“มัวแต่พูด ไม่อยากเข้ามาดูห้องนี้หน่อยหรือไงกัน” เฮดโฟนพูดพร้อมกับชี้เข้าไปภายในกรอบประตู ฉันที่กำลังยืนเถียงกับเขาอยู่ต้องหุบปากแล้วเดินไปหาเขาทันที เฮดโฟนหลบทางให้ฉันเดินเข้าไปภายในห้องนั้น และจากที่กำลังอารมณ์บูดบึงอยู่ ก็กลายเป็นอารมณ์ดีดีด๊าขึ้นมาทันที ที่เห็นภายในห้องนี้ *O* กะ ... กรี๊ดดดดดดดด คว้าใจฉันไปเต็ม ๆ เลย !
ภายในห้องนี้ตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลไม้ วอลเปเปอร์ก็เป็นสีน้ำตาลไม้ที่เหมือนกับพื้นห้อง เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องนั้น ก็เป็นโทนสีน้ำตาลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทีวี เตียง ตู้เสื้อผ้า หรือชุดโต๊ะเก้าอี้ที่มีคอมพิวเตอร์วางอยู่ และตู้วางโมเดลที่วางเหล่าเทพนิยายจากเรื่องต่าง ๆ ของวอทดิสนีย์ พอสายตาของฉันไปป๊ะเข้ากับเจ้าตู้โมเดล สองเท้าของฉันก็เดินรี่เข้าไปที่มุมนั้นทันที
“*O*”
“ท่าทางคงไม่ต้องถามแล้วล่ะมั้ง” น้ำเสียงเจือหัวเราะเบา ๆ ของเฮดโฟนทำให้ฉันหันไปปะทะกับเขาที่เดินเข้ามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ทันที
“คงไม่ต้องถามอะไร ?” ฉันยืนเท้าเอวหันไปทางเขา พร้อมกับทวนคำพูดที่ได้ยินเมื่อกี้ ถึงจะรู้ความนัย ๆ ก็เถอะว่าเขาหมายถึงการกลับบ้านของฉันน่ะ
“ไม่ต้องถาม ว่าคืนนี้เธอจะอยู่ที่นี่มั้ยน่ะสิ” ถึงสีหน้าของเขาจะดูราบเรียบดั่งกระดาษเอสี่ แต่เมื่อกี้อย่านึกนะ ว่าฉันไม่เห็นเขากระตุกยิ้มออกมาน่ะ เขากระตุกยิ้มทำไมกัน
“ฉันบอกนายตอนไหน ... ว่า ... ฉันจะอยู่ที่นี่”
“ปากเธอบอกไม่ แต่ใจเธอบอกว่าใช่ ตั้งนานแล้ว”
ปิ๊บ
จบคำพูดเฮดโฟนก็เอื้อมไปหยิบรีโมตแอร์ที่เสียบอยู่ในกล่องติดผนังมาจ่อที่แอร์แล้วกดเปิดจนได้ยินเสียง ทำให้ฉันที่รู้สึกได้ถึงลมเย็น ๆ ต้องหันไปข้างหลังทันทีก็พบว่า ...
ในห้องนี้ ... มันมีแอร์ด้วยนะทุกคน
ซึ่งบ้านฉันในห้องนอนมันไม่มี !!!!!!!!!!
T^T
ตอนนี้ ... ฉันเริ่มรู้สึกสองจิตสองใจซะแล้วสิ ไม่ ๆๆๆ ฉันว่า ... ฉันอยากอยู่ที่นี่ก่อนที่จะเถียงเขาซะอีก T_T ยิ่งเขาเล่นเปิดแอร์ในห้องโชว์กันแบบนี้ มันยิ่งเป็นการทำให้ฉันใจอ่อนมากกก ขึ้นเลยแหละ ไม่ไหวแล้ว ฉันยอมแล้ว ฉันยอมแล้วววววววว ฉันจะอยู่ที่นี่ !!!
เมื่อเงยหน้าขึ้นไป นัยน์ตาของฉันก็สบเข้ากับนัยน์ตาของเฮดโฟนเข้าพอดี เฮดโฟนแย้มยิ้มออกมาหลังจากที่ได้สบตากับฉัน แต่ฉันต้องเบี่ยงสายตาไปทางอื่นเพราะ ... หัวใจของฉันมันเต้นถี่ยิบไปแวบหนึ่งอีกแล้ว
“คงไม่ต้องซักไซ้ให้มากความแล้วสินะ ตอนนี้มันก็คงจะได้เวลาสำหรับเด็กน้อยอย่างเธอแล้วล่ะ ชุดนอนอยู่ในตู้นั่น เธอหยิบมาใช้ได้เลยนะ ส่วนห้องน้ำ ... อยู่ข้าง ๆ ห้องนี้น่ะแหละ” เฮดโฟนว่าจบก่อนที่จะเดินออกไปที่ประตู แต่เขาก็ต้องชะงักฝีเท้าเอาไว้แล้วหันมาที่ฉันอีกครั้ง “ส่วนเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่น่ะ เอาใส่ไว้ในตระกร้านี้นะ เดี๋ยวฉันจะปั่นแห้งให้” พูดจบเฮดโฟนก็ปิดประตูห้องลงไปทันที
ในที่สุด ... ฉันก็แพ้ความสวย ความสะดวกสบายของเจ้าบ้านหลังนี้จนได้ ! T^T
ฉันนั่งลงไปที่เตียงนอน ก่อนที่จะมองไปรอบ ๆ ภายในห้องนี้อีกครั้ง ... ถ้าจะเปรียบเทียบระหว่างห้องฉันกับห้องนี้น่ะเหรอ ฮะ ๆ อย่าเลย ฉันอายอ่ะ มันต่างกันลิบลับเลยนะ ทว่า ... ความสวยของมันก็ดูไม่อบอุ่นเท่ากับห้องนอนที่บ้านของฉันหรอก บรรยากาศมันต่างกันไปอย่างสิ้นเชิงเลย
นอนกลอกตาไปมาสักพักกับความเย็นจากแอร์ของห้อง ฉันก็หันไปเจอกับรีโมตทีวีที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ฉันหยิบมันขึ้นมา ก่อนที่จะกดเปิด เสียงของทีวีและภาพทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง มองผ่านไปที่ตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ฉันก็ลุกขึ้นไปเปิดดูภายในตู้นั้นทันที
อา ... ให้ตายสิ ลูกตาของฉันมันกำลังจะเป็นไข่มุกอันดามันไปแล้ว *_* แต่ล่ะอย่างภายในบ้านหลังนี้ทำให้ฉันตาลุก วาวเกือบจะทุกอย่างเลย โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่แขวนภายในตู้ไม้ชั้นดีตู้นี้ ... แต่ล่ะชุดนั้นเต็มไปด้วยชุดของ ... ผู้ชาย ! หา ชุดของผู้ชายงั้นเหรอ แสดงว่า ... ห้องนี้ ก็ต้องเป็นห้องนอนของเฮดโฟนน่ะสิ !
-/////-
พึ่บ
เมื่อในหัวนึกได้อย่างนั้น ฉันก็ปิดตู้เสื้อผ้าจนเกือบจะหนีบมือตัวเอง ก่อนที่จะยืนพึงตู้เสื้อผ้าพร้อมกับหลับตาอย่างรู้สึกประหม่าเต็มที ... ถ้าฉันได้เห็นแววตาของตัวเองเมื่อกี้ ฉันต้องอายและทึ้งจนหัวตัวเองหลุดเป็นแน่แท้ =_= สายตาลุกวาวนั่น เธอทำกับเสื้อผ้าของผู้ชายเนี่ยอ่ะนะ ยัยเมมโม !!!!!!!
ฉันหลับตากรีดร้องแบบไม่มีเสียงกับตัวเอง ก่อนที่จะลืมตาหลังจากได้สติ แล้วลืม ๆ เรื่องเมื่อกี้ไปซะ ทำไมก่อนที่เขาจะออกไป ฉันไม่ถามก่อนนะว่านี่มันห้องของใครน่ะ แต่ทุกอย่างก็กระจ่างแล้วล่ะ เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าน่ะ เรื่องพวกนี้ฉันไม่กังวล แต่ฉันกังวลเรื่องนี้ต่างหาก ...
นี่ฉันต้องใส่ชุดของเขานอนในคืนนี้ ที่นี่ จริง ๆ เหรอเนี่ย =////=
แอ๊ด ~
“นี่เธอ ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอเนี่ย” เสียงประตูตามมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่แสนคุ้นเคยทำให้ฉันแทบผงะล้มคว่ำคะมำหงายจากตู้เสื้อผ้า แต่ก็ยันตัวเองด้วยสองเท้าเอาไว้ได้ทัน อา ... พอนึกเรื่องเสื้อผ้าของเขา แล้วได้เจอหน้าเขาในตอนนี้ฉันกลับรู้สึก ร้อน ๆ หนาว ๆ เหมือนคนกำลังเป็นไข้เลย
“อือ”
“รีบ ๆ อาบซะสิ ฉันจะได้รีบเอาเสื้อผ้าของเธอไปปั่นแห้งด้วย”
“ห้องนี้ ... เอ่อ ... เป็นห้องของใครเหรอ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน อย่าให้เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้เลย ไม่งั้นฉันคง ...
“ห้องฉันเอง มีอะไรเหรอ”
บ๊ะ !!!!!!! ฉันอยากเอาหัวตัวเองโขกกับตู้เสื้อผ้าข้าง ๆ นี่จังเลย TOT
“เปล่า มะ ... ไม่มีอะไร” ฉันยิ้มแหย ๆ พร้อมกับชำเลืองตาไปทั่วห้องอย่างรู้สึกอายปนเขิน
“ไม่มีอะไรแน่นะ” เฮดโฟนหรี่ตาถาม
“อืม ... ไม่มีอะไร แต่ว่า แสดงว่า ... เสื้อผ้าที่อยู่ในห้องนี้ มันก็ต้องเป็นของนายใช่มั้ย !”
“คงเป็นเรื่องนี้สินะ ที่ทำให้ท่าทางของเธอมันดูแปลก ๆ ไปน่ะ J” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาทำให้ฉันที่กำลังประหม่าอยู่ต้องปฏิวัตรตัวเองให้ดูขรึมขึ้นมาทันที ก่อนที่จะหันไปจ้องที่ ... ลำคอของเขา ( ._.)
“นายบ้าไปแล้วหรือไงเนี่ย ที่ให้ฉันมาใส่เสื้อผ้าของนายนอนน่ะ”
“หรือเธอจะแก้ผ้านอนบนเตียงฉันล่ะฮะ” ทำไมตอนพูดต้องทำเสียงหื่นขนาดนั้นด้วยเล่า !
“อย่างนั้นฉันไม่อาบน้ำยังจะดีซะกว่าเลย !”
“ถ้างั้นฉันสั่งให้เธอไปนอนที่โซฟาเดี๋ยวนี้เลย !”
“เฮ้ย ! ได้ไงอ่ะ !”
“เธอกำลังคุยกับคอฉันอยู่ใช่มั้ย ฉันจะได้ไม่ต้องพูด -*-” คำถามของเขา ทำให้ฉันเงยหน้าสูงขึ้นก็นับว่าฉันเงยหน้าไปมองไปที่ใบหน้าของเขาเต็ม ๆ แต่โชคดีไปที่เขากำลังทำสีหน้าปลง ๆ โดยที่นัยน์ตาไม่ได้จ้องมาที่ฉัน
“เปล่าซะหน่อย” ฉันยักไหล่ก่อนจะเสมองทางอื่น เมื่อเฮดโฟนทำท่าหันหน้ามาทางทิศเดิม
“งั้น ... ก็ไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดซะ”
“แล้วนายไม่มีชุดนอนของผู้หญิงเลยเหรอ TOT”
ดูเหมือนคำถามของฉันไม่ได้เข้าหูเขาเลย เฮดโฟนดันตัวฉันออกไปจากหน้าตู้เสื้อผ้าเบา ๆ ก่อนที่เขาจะเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเจ้าเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนมาให้ฉัน ซึ่งมัน ... สามารถเป็นชุดลำลองสำหรับฉันได้เลยทีเดียว แล้วเขาก็ยื่นมันมาทางฉัน
“ใส่เจ้านี่นอนล่ะกัน”
“เดี๋ยว ๆๆ บ้านนายไม่มีชุดนอนของผู้หญิงจริง ๆ เหรอ” ฉันลงทุนถามอีกครั้ง
“ถึงมีฉันก็ไม่ให้เธอใส่หรอก ไม่งั้น ... ฉันโดนยัยพี่สาวด่าจนถึงวันปีใหม่ปีหน้าแน่ ๆ”
“พี่สาวนายห่วงชุดมากขนาดนั้นเลย”
“สุด ๆ” เฮดโฟนพูดอย่างหน่าย ๆ ก่อนที่จะยัดเสื้อเชิ้ตตัวนั้นมาให้ฉัน ฉันรับมันมาก่อนที่จะเพ่งเล่งมองมันด้วยความรู้สึก ... ทำใจไม่ได้ที่จะต้องใส่มันอ่ะ >O< นี่มันเสื้อผ้าผู้ชายนะเว้ยเฮ้ย เกิดมายังไม่เคยใส่เสื้อผ้าผู้ชายที่ไหนมาเลยนะ
“นายจะให้ฉันใส่เสื้อตัวนี้จริง ๆ เหรอ”
“อืม”
“แต่ว่า ...”
“รับประกัน ว่ามันไม่ทำให้ขี้กลากขึ้นบนตัวเธอแน่นอน” เฮดโฟนพูดแบบขอไปที ก่อนที่จะทำท่าม้วนตัวกลับเดินออกจากห้อง แต่ฉันก็เรียกเขาด้วยคำถามไว้ก่อน
“นาย ... จะให้ฉันใส่ชุดพี่สาวของนายไม่ได้เลยเหรอ” น้ำเสียงของฉันตอนนี้ มันอ่อนสุด ๆ ไปเลยแหละ ! อายตัวเองจริง ๆ เลยโว้ย ให้ตาย !
“ถ้าเธอยังมีปัญหาอีก ฉันจะเข้าไปถอดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำให้เธอเดี๋ยวนี้แหละ !”
“ใส่ตัวนี้ก็ด้ายยยยยยยยยยย >O<”
ฉันร้องลั่น เมื่อเฮดโฟนจะกระโจนเข้ามาหาฉัน ทำไมเขาต้องมาขู่ฉันอย่างนี้ด้วยเล่า ! ถึงจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้สวยอะไรนัก แต่ฉันก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ ฮือ ~
ฉันวางเสื้อเชิ้ตไว้ที่เตียงที่ปูด้วยผ้าสีน้ำตาลอ่อน ก่อนที่จะก้มลงไปเพื่อจะปลดกระดุมเม็ดแรกที่เสื้อของตัวเอง ทว่า ... ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ... ว่าในนี้ไม่ได้มีฉันอยู่เพียงผู้เดียวนี่นา ผละสายตาออกไปจากกระดุม ฉันก็เห็นเฮดโฟนกำลังยืนมองมาทางฉันอยู่ นั่นเองที่ทำให้ฉันตกใจจนเบิกตาโพลง
“นะ ... นี่นาย ยังไม่ออกไปอีกเหรอเนี่ย !” ฉันพูดพร้อมกับจับคอเสื้อของตัวเอง
“เธอยังไม่ได้ทำอะไรกับเสื้อเธอซะหน่อย จะกำอะไรมันขนาดนั้น”
“ถ้าฉันไม่นึกขึ้นได้ว่านายยังยืนอยู่ตรงนี้ล่ะก็ ...” ฉันต้องอายเขาไปยันอีกสามชาติข้างหน้าเลย อีโมติคอนนี้ T^T ชักจะเยอะบนใบหน้าของฉันมากขึ้นไปทุกทีแล้วนะ !
“อย่างน้อยก็ยังดีกว่าใช้ ‘เจ้านั่น’ ในการสร้างความสุขให้กับตัวเองล่ะกัน J”
“-*-”
“สิ่งที่ทำให้ฉันกับเธอมาเจอกันยังไงล่ะ” เฮดโฟนพูดพร้อมกับแค่นหัวเราะชอบใจที่เห็นสีหน้าเอ๋อ ๆ ของฉัน เขากระโดดลงไปนอนบนที่นอนอย่างไม่เกรงใจกัน ก่อนที่จะหันมายักคิ้วพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นไม่นานนักฉันก็แปลความนัยของคำพูดล่าสุดของเขาได้ว่า เขากำลังพูดถึง ‘เรื่องแบบนั้น’ อยู่ไงเล่า ! แล้วนั่นเองที่ทำให้ฉันแทบอยากจะเอาเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ มาทุ่มใส่เขาทันทีเลย !
“นาย !!!!!!!!”
“เอาล่ะ ฉันจะนอนรอเธออยู่ตรงนี้ ส่วนเธอก็ไปอาบน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ฉันจะได้เอาเสื้อผ้าเธอไปปั่นแห้ง”
“หน็อย ...” ฉันยืนกำหมัดจ้องไปที่คนบนเตียงอย่างขุ่นเคืองสุด ๆ
“ถ้าเธอยังยืนอยู่ตรงนี้อีก ... เธอจะได้รู้สึกมากกว่าใช้ไอ้เจ้าไวเบรกเตอร์นั่นแน่ ๆ ~” เฮดโฟนพูดด้วยน้ำเสียงหื่น ๆ ทำให้ฉันที่กำลังยืนอยู่ต้องรีบคว้าเสื้อเชิ้ตแล้วเดินเข้าไปห้องน้ำทันที แง ~ ไอ้บ้านั่นจะขู่อะไรก็ได้ฉันไม่กลัวหรอก แต่เล่นมาขู่เรื่องร่างกายแบบนี้ ฉันก็เสียศูนย์ไปหมดเลยน่ะเซ่ L บรึ๋ยยยยย
เมื่อเดินหอบเสื้อเชิ้ตของเขาเข้ามาถึงภายในห้องน้ำ ฉันก็จัดการพาดเสื้อเชิ้ตไว้ที่ราวพาด ก่อนที่จะหันหลังพิงซิกซ์อ่างล้างมือ แล้วเอามือมากุมที่หน้าอกด้านซ้าย ... อา ถึงคำพูดของเขาจะดูหื่นและไม่มีมารยาทอย่างนั้น แต่ทำไมมันกลับทำให้หัวใจฉันเต้งแรงอย่างนี้นะ
แต่ว่า ... จะได้รู้สึกมากกว่าใช้เจ้าไวเบรกเตอร์
ฉันไม่เคยใช้มันเลยโว้ยยยยยยยยยยยยยย ให้ตายเหอะ ตอนนี้ทำไมต้องคิดว่าฉันเป็นโรคจิตใช้ของแบบนั้นด้วยเล่า !
ฉันขยี้หัวตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนที่จะสะบัดหัวหนึ่งครั้งแรง ๆ แล้วเริ่มถอดเสื้อผ้าจัดการอาบน้ำให้ตัวเองซะ อา ... ทำไมคำพูดของเขามันต้องวาบเข้ามาในหัวฉันด้วยเนี่ย ! ไม่ดีเลยจริง ๆ โดยเฉพาะตอนที่ฉันกำลังถูสบู่บนร่างกายของตัวเองเนี่ย โฮ ~~
หลังจากอาบน้ำให้ตัวเองเรียบร้อย สิ่งที่ฉันทำเป็นครั้งสุดท้าย ก็คือดูตัวเองในกระจกที่อยู่ตรงซิกซ์ล้างมือ การใส่เสื้อตัวโคร่งแบบนี้ทำให้ฉันกลายเป็นเชร็คไปเลยอ่ะ ถ้าใส่สีเขียวนี่ เหมือนเลย !
เดินออกมาจากห้องน้ำได้ไม่กี่ก้าวฉันก็ต้องชะงักฝีเท้าเอาไว้ที่หน้าห้องนอนของเฮดโฟน ... นึกขึ้นได้ว่าเขาอยู่ในนั้น และตัวเองกำลังสวมเสื้อของเขาอยู่ ก็รู้สึกเขินไม่อยากเดินเข้าไปซะดื้อ ๆ ฉันยืนทำใจอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไป ทว่า น้ำเสียงนุ้มทุ่มที่ดังออกมานั้น ทำให้ฉันแทบอยากจะละลายไปตรงนี้ซะให้ได้เลย !
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ เข้ามาสิ” ก็ยืนทำใจไม่ให้เต้นรัวอยู่ไงเล่า ! -////- ฉันได้แต่ตอบในใจก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องซึ่งเฮดโฟนนอนดูทีวีอยู่ ฉันโยนเสื้อผ้าลงตะกร้า ก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ที่สอดอยู่ใต้โต๊ะคอม ฯ
“ยืนขึ้นซิ”
“หา -O-”
“ฉันบอกให้ยืนขึ้นไง”
“ยืนทำไมอ่ะ”
“ยืนเหอะน่า” น้ำเสียงเร่งเร้าของเฮดโฟนทำให้ฉันต้องลุกขึ้นตามคำสั่งของเขาทันที เฮดโฟนที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าฉัน ก่อนที่จะแย้มยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉันที่มองหน้าเขาอยู่ผละสายตามองไปข้างล่าง ก็ต้องหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที อา ... นี่ฉันกำลังโชว์ขาอ่อนให้เขาดูใช่มั้ยเนี่ย ! -////-
“หันมองไปทางอื่นเลยนะ !” ฉันพูดพร้อมกับทำท่าจะกระโจนผลักเขาให้หันไปทางอื่น แต่ด้วยเสียงหัวใจที่เต้นรัว ทำให้ฉันชะงักการกระทำนั้นไว้
“ของดีอยู่ตรงหน้าแล้ว จะให้ไปมองทางอื่นได้ยังไงกันล่ะ ~” โอย ณ เวลานี้ นายช่วยพูดดูถูกฉันทีเหอะ เฮดโฟน T^T
“ออกไปจากห้องได้แล้วไป๊ !”
“จะว่าไป ... ขาเธอก็สวยดีนะ J”
“ฉันบอกให้ออกไปไงเล่า ~ YOY”
“เธอใส่ชุดนี้แล้วดูน่ารักชะมัดเลย”
“ออกป๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ฉันตะโกนดังลั่นก่อนที่จะเดินไปอ้อมหลังเขาแล้วดันเขาให้ออกไปจากห้องนี้ทันที ฮือ ... หมอนี่กำลังฆ่าฉันทางอ้อมให้ตายทั้งเป็นเลยนะ ! เล่นมาพูดกันอย่างนี้ ถ้าหัวใจของฉันมันระเบิดออกมาล่ะ ใครจะรับผิดชอบ ! ฉันเกลียดเขา ! เกลียด ๆๆๆ อ๊ากกกกกกกกกกกกก
“เฮ้ ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าตัวบางอย่างกับแผ่นกระดานแรงจะเยอะขนาดนี้น่ะ” น้ำเสียงชอบใจแบบนั้น เก็บมันไว้ใช้กับคนอื่นได้มั้ย อย่ามาใช้กับช้านนนนนนนนนนนนน อา ... เขาทำให้ฉันเป็นบ้าไปแล้ว TOT
“ออกไปเลย !!!!” เมื่อดันเขามาถึงประตูแล้ว ฉันก็เพิ่มแรงที่ฝ่ามือทั้งสองข้างจนคนตัวสูงกระเด็นจนเกือบจะออกนอกประตู แต่ก็ยันกรอบประตูไว้ได้ นั่นเองทำให้ฉันจะเข้าไปดันเขาออกไปอีก แต่เฮดโฟนก็ยกมือสองข้างทำท่ายอมแพ้
“โอเค ๆ ฉันออกไปแล้ว แต่เดี๋ยวฉันขอเอาเสื้อผ้าเธอออกไปก่อนนะ” เฮดโฟนยิ้มคลี่ยิ้มอย่างชอบใจ ก่อนที่จะโน้มตัวไปหยิบชุดเสื้อผ้าของฉันในตะกร้า พอหยิบได้แล้วแทนที่จะเดินออกไปเลย เขากลับหันมาทางฉันก่อนที่จะยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วเดินออกจากห้องไป
ปัง !
เขาเดินออกไปปุ๊บ ฉันก็ปิดประตูอย่างแรงพร้อมกับหันหลังพิงประตู แล้วนำมือมากุมที่หน้าอกข้างซ้าย (อีกครั้ง) ฮือ ... ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว ไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้วอ่ะ ความรู้สึกแบบนี้ฉันไม่ชอบเลย ไม่ชอบ ๆๆๆๆ
ฉันกดล็อกที่ประตูก่อนที่จะกระโดดเอาหน้าซุกกับหมอนอย่างรู้สึก ... อธิบายไม่ถูกอ่ะ ฉันทำอะไรไม่ถูกแล้ว หัวใจเต้นตึกตัก ๆๆๆ แบบไม่หยุดหย่อน แล้วแถมคำพูดของเขายังลอยวนอยู่ในหัวของฉันอีกต่างหาก ออกไปจากหัวฉันเดี๋ยวนี้นะ ออกปายยยยยยยยยย >O<
(Headphone : Talk)
หลังจากเดินออกมาจากห้องนั้น ... รอยยิ้มของผมมันก็หุบไม่ลงอีกเลย ...
ให้ตายสิ ถึงไม่อยากจะรู้สึก แต่มันก็รู้สึกได้ว่ายัยนั่น น่ารักเกินไปแล้ว ! ไม่อยากจะเชื่อเลย พอจับมาใส่เสื้อแบบนั้นมันจะทำให้เธอดูน่ารัก น่าเอ็นดู น่าทะนุถนอมขึ้นมา แถมไอ้การกระทำอย่างเช่นพูดสั่งให้ผมหันไปทางอื่นด้วยท่าทางเขินอายนั่น มันก็ทำให้เธอดูน่ารักจนผมไม่สามารถละสายตาออกไปมองอย่างอื่นได้เลย
โดยเฉพาะสิ่งของที่อยู่ในมือผมนี้ ... มันยิ่งทำให้ผมยิ้มจนแก้มแทบแตก ตอนที่จับเสื้อผ้าของยัยพี่สาวนั่น ไม่เห็นจะมีความรู้สึกแบบนี้เลยนี่นา แต่ทำไมพอมาจับเสื้อผ้าของยัยเมมโมตัวแสบนี่ ...
^////^
คิดอะไรน่ะ ! ผมกำลังบอกว่ากลับรู้สึกดีมากต่างหาก มากเกินไปจนล้นอย่างแปลกประหลาดเลย ! ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนคนบ้าชอบยิ้มคนเดียวเลยอ่ะ นี่จัดการปั่นแห้งให้ยัยนั่นเรียบร้อยแล้วนะ ทำไมริมฝีปากของตัวเองมันยังไม่หุบยิ้มลงอีกเนี่ย ! พอได้แล้ว ปากฉันจะฉีกแล้วนะ ถึงแม้ว่าจะพยายามหุบยิ้ม หัวสมองของผมก็เหมือนเป็นซีดีที่ถูกรีเพลย์ภาพเหตุการณ์เมื่อก่อนหน้านี้อีกครั้งอีก และนั่นก็ยิ่งทำให้การหุบยิ้มของผม ยากขึ้นมากๆๆๆ กว่าเดิม ! หัวใจมันกำลังจะพองโตแข่งกับ บันลูนอยู่แล้วนะ
เดินผ่านห้องครัวปุ๊บ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในห้องครัวเปิดตู้เย็น ก็เห็นนมช็อกโกแลตอยู่ลิตรหนึ่ง ผมหยิบมันขึ้นมาก่อนที่จะเทใส่แก้วแล้วเอามันขึ้นไป ... แน่นอน ... ผมไม่ได้กินเองนะครับ J เดินขึ้นบันไดมาพอจะเลี้ยวเข้าไปเคาะประตู ผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ...
ตอนนี้ยัยเมมโมยังคงใส่ชุดชั้นในตัวเดิมสินะ -_-
เฮ้ ๆๆๆ อย่าคิดว่าผมเป็นคนลามกอย่างนั้นสิ -*- เพราะคำพูดของยัยพี่สาวต่างหาก ที่ทำให้ผมนึกเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ เธอบอกกับผมว่า การใส่ชุดชั้นในทั้งวันจนกระทั่งเวลานอนก็ยังใส่ มันจะไม่ดีต่อตรงจุดซ่อนเร้นต่าง ๆ น่ะ ยิ่งผู้หญิงเป็นเพศที่เรื่องร่างกายเยอะกว่าผู้ชายซะด้วยสิ ฉะนั้นต้องละเอียดอ่อนกันเป็นพิเศษ
ผมเดินเข้าไปที่ห้องนอนของยัยพี่สาว ก่อนที่จะหันไปเห็นถุงที่เคยเห็นแวบ ๆ ว่าเป็นชุดชั้นในที่เธอเพิ่งซื้อมาใหม่ และท่าทางยังไม่ได้ใช้มันเลยด้วย เลยทำให้ผมตัดสินใจหยิบมันมาชุดหนึ่ง เอ่อ ... ตอนคิดนะคิดได้ แต่พอได้สัมผัสมันอย่างเต็มมืออย่างนี้นี่สิ -////- ก็ผมไม่ใช่เกย์หรือตุ๊ดนี่ ! ที่จะไม่อ่อนไหวกับของพวกนี้น่ะ
ผมเม้มริมฝีปากแล้วสะบัดหัวตัวเองแรง ๆ สองสามทีจนมึนเพื่อลบเลือนความคิดบ้า ๆ นั่นออกจากหัว ไม่เอา ... ไม่คิดอย่างนั้น ไม่คิด ไม่คิด ผมท่องคำนี้กับตัวเองจนกระทั่งเดินไปเคาะประตูห้องนอนตัวเอง ที่มียัยตัวแสบนามว่าเมมโมอยู่ สักพักประตูตรงหน้าก็เปิดออกพร้อมกับใบหน้าใส ๆ กับเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีฟ้าอ่อนนั่น เธอไล่ระดับสายตามองผมอย่างรวดเร็ว แต่พอมาเจอของที่อยู่ในมือซึ่งไม่ใช่แก้วนมนั้น เจ้าของใบหน้าใส ๆ ถึงกับหน้าแดงทันที เอ่อ ... อย่าว่าแต่เธอเลย ผมก็ไม่เหลือแล้ว =////=
“นาย เอ่อ ... เอามันมาทำไม” เธอพยักพเยิดสายตาไปทางชุดชั้นในนั่นก่อนที่จะหันหน้าไปมองทางอื่นอย่างต้องการหลีกเลี่ยงการมองเห็นสิ่งนั้น
“ฉันรู้หรอกน่าว่า ... เธอกำลังใส่ ... ชุดชั้นในตัวเก่าอยู่น่ะ” พูดไปก็อยากจะกัดลิ้นตายไปซะตรงนี้เลยจริง ๆ
“นี่อย่าบอกนะว่า ...” เธอถามเสียงสูง แต่ใบหน้าเล็กเรียวนั่นยังมองไปทางอื่นอยู่
“อืม ... ฉันเอามาให้เธอ” เมมโมที่ยืนอยู่ตรงหน้า หันหน้าขวับมามองทางชุดชั้นในนั่นทันที ก่อนที่จะหันมาทำสีหน้า ตกใจใส่ผม อา ... ตอนนี้ท่าทางของเธอมันทำให้ผมอยากจะเข้าไปหยิกแก้มชะมัดเลย
“เอ่อ ... แต่ว่า มันจะดีเหรอ นายเอาของใครมาให้ฉันเนี่ย” ผมว่า ... ไอ้เรื่องชุดชั้นในเนี่ย ผู้หญิงเขาไม่น่าจะอายกันมากเท่าไหร่นะ อ้อ ลืมไปว่าผมเป็นเพศตรงข้ามกับเธอนี่นา
“ของพี่สาวฉันน่ะ เขายังไม่ได้ใช้มันหรอกน่า รับไปเถอะ”
“แต่ว่า ...”
“เพื่อสุขภาพร่างกายของเธอ รับมันไปซะ” ผมยื่นไปให้เธอจนเจ้าตัวถึงกับสะดุ้งนิด ๆ อะไรกันเนี่ย ท่าทางไม่เหมือนเมมโมคนเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมาเลยนะ
“อื้ม” เธอพยักหน้าช้า ๆ อย่างช็อก ช็อกมากกกกกกกกกก ก่อนที่จะเอื้อมมือมารับชุดชั้นในจากมือผม เอ้า จะยืนเฉยทำไมเล่า ไปเปลี่ยนซะสิ !
“เอ้า อยากเน่าตายหรือไง ไปเปลี่ยนสิ”
“อื้ม ๆ” เมมโมเดินเบี่ยงผมไปที่ห้องน้ำ ก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูและปิดประตูห้องน้ำเบา ๆ ฮะ ๆ ท่าทางของเธอมันทำให้ผมอดกลั้นหัวเราไม่ได้เลย ทั้งฮา ทั้งน่ารัก แบบนี้ ใครจะอดใจไม่หัวเราะได้ไหวกันล่ะ J
ผมเข้าไปในห้องก่อนที่จะวางแก้วนมช็อกโกแลตไว้ที่โต๊ะหัวเตียง แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงนอนบนเตียงอย่างรู้สึก ... มีความสุขสุด ๆ เท่าที่เคยมีมาเลย มันมีความสุขมากกว่าเห็นศัตรูของตัวเองต้องพังพินาศลงซะอีก มันรู้สึกดีจนไม่สามารถสาธยายออกมาได้เลยแหละ ไม่รู้ว่า ไอ้อาการแบบนี้ มันคืออาการที่เรียกว่าอะไรกันนะ ?
แอ๊ด ~
เสียงประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับร่างบางสูงเดินเข้ามาอย่างเคอะเขิน เมมโมดูเหมือนคนเอ๋อไปชั่วขณะ และดูเหมือนเธอจะแสดงท่าทางและสีหน้าไม่ถูกด้วย ให้ตายเหอะ ... เลิกทำท่าน่ารัก ๆ อย่างนี้ได้มั้ย ! ผมแทบจะอดใจไม่ได้อยู่แล้วนะ ! น่ารักเกินไปแล้ววววววว
ผมลุกนั่งแล้วมองจ้องไปทางเธอ เมมโมเดินมือไขว้หลังทำให้ผมสงสัยว่าเธอกำลังซ่อนอะไรอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ถาม เธอก็พูดออกมาซะก่อน เล่นเอาผมแย้มยิ้มเอ็นดูออกไปให้เธอเลยแหละ
“ชุดชั้นในนี้ ... ไม่ต้อง ... เอาไปซักนะ (._.)” พูดจบเธอก็ก้มลงมองเท้าตัวเองเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับได้ว่าไปทำอะไรผิดมา ฮะ ๆ ให้ตายสิ ผู้หญิงคนนี้นี่ ... จะน่ารักไปไหนกัน !
“ฉันไม่บ้าจี้เอาไปซักหรอกน่า แต่ถ้าเธอบอกฉันก็ทำให้นะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงกวน ๆ ใส่เธอ นั่นเองที่ทำให้คนตรงหน้าหันมาถลึงตาใส่ผมอย่างกับเด็กที่ถูกขัดใจ
“บ้า ! อ้อ เอาแบบนี้ดีกว่า เดี๋ยวฉันซักเอง” เธอพูดพร้อมกับทำท่าจะม้วนกลับออกไป แต่ผมก็รีบลุกขึ้นจับหัวไหล่เธอเอาไว้ก่อน เพราะเพิ่งนึกอะไรออกมาได้
“แล้วเธอจะเอาไปตากตรงไหนล่ะ ถ้าจะเอามาตากในห้องนี้ ฉันไม่อนุมัติเป็นอันขาด -*-”
“อ้าว ... แล้วฉันจะไปตากที่ไหนล่ะ” เธอหันมาขมวดคิ้วใส่ผม
“ตรงไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ในนี้ และไม่ให้ฉันสามารถมองเห็นมันได้”
“คืนนี้นายเข้าห้องน้ำหรือเปล่า”
“ทำไม ?” ผมหรี่ตามองเธออย่างงงๆ ก่อนที่เธอจะดึงไหล่ของตัวเองออกจากการเกาะกุมของผม
“ฉันจะได้เอาไปตากที่ ... ห้องน้ำไง” เมมโมหลุบตาลงต่ำตอนท้าย ทำให้ผมมองไปที่เธอและครุ่นคิด ... อื้ม ถ้าเป็นห้องน้ำก็น่าจะได้อยู่มั้ง คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก
“งั้นก็ได้” ยัยคนตัวบางรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที ก่อนที่จะปิดประตูห้องดังปัง ... ผมที่ยืนอยู่ภายในห้องถึงกับเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เลยทีเดียว อา ... ให้ตายสิ นี่ผมทำอะไรลงไปบ้างนะ ถ้าจับดาบ จับปืน จับพวกของทำลายล้าง ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ผม ... จับแก้วนม จับ เอ่อ ชุดชั้นใน ... นี่มันไม่ใช่วิญญาณของผมที่สิงร่างนี้หรอกใช่มั้ย !
ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองหนัก ๆ ก่อนที่จะทิ้งตัวนอนลงไปบนเตียงอีกครั้ง แล้วถอนหายใจเฮือกออกมา ... มัน มัน มันไม่ใช่อ่ะ ! ผมรู้สึกว่า กิริยาของผมวันนี้ตั้งแต่ไปเจอไอ้พวกล่ำนั่น จากนั้นทุกอย่างมันก็เหมือนไม่ใช่ตัวผมเลยยังไงก็ไม่รู้ ยัยนี่กำลังทำให้ผมหมดความเป็นตัวเองไปเรื่อย ๆ นะเนี่ย เฮ้อ ~
ตึกตัก ตึกตัก ~
จังหวะที่หัวใจเต้นในอกข้างซ้ายยิ่งทำให้ผมฟุ้งซ่านเข้าไปใหญ่ ไม่รู้อะไรดลใจทำให้ผมพายัยแสบนั่นมาที่นี่เนี่ย ! เพราะต้องการให้เธอปลอดภัยจากไอ้พวกนักเลงนั่นน่ะเหรอ ... โอย ผมไม่ได้เป็นอะไรกับเธอซะหน่อยทำไมต้องทำตัวเหมือนกับว่า ...
เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่อยากคิดให้ปวดหัวมากกว่านี้แล้ว -*-
เปลือกของผมที่ถูกบังคับให้ปิดได้ไม่นาน ก็ต้องลืมตาขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู หันไปมองก็พบว่าเป็นเมมโมที่เดินเข้ามานี่เอง เธอชะงักฝีเท้านิด ๆ เมื่อมองมาที่เตียงแล้วยังเห็นผมอยู่ ก่อนที่จะเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าคอม ฯ
“ไปนั่งตรงนั้นทำไมล่ะ มานั่งตรงนี้สิ” ผมพูดพร้อมกับตบพื้นที่ข้าง ๆ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองได้พูดอะไรออกไป ... อะไรนะ ผมชวนให้ยัยนี่มานั่งข้าง ๆ เหรอเนี่ย ! บ้าไปแล้ว แค่นี้ยังจะบ้าตายไม่พอหรือไงกันนะ !
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันนั่งตรงนี้ก็ได้” เมมโมโบกมือรัวไปมา พร้อมกับทำสีหน้าเหลอหลาให้สมกับคำพูดของเธอ
“ถ้าเธอจะนั่งตรงนั้น เพื่อเล่นคอม ฯ ล่ะก็ ... มาอยู่ตรงนี้เลยได้เวลานอนของเธอแล้ว”
“แล้วนายล่ะ จะนอนตรงไหน” เธอถามอย่างหวาด ๆ สีหน้าแบบนั้นนั่นเองที่ทำให้ผมคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งไปให้ฝั่งตรงข้ามจนเธอเริ่มทำสีหน้าระแวง
“ก็นอนในห้องนี้แหละ”
“ไม่ได้นะ !” เคยเดาผิดที่ไหนกันล่ะเนี่ย
“ทำไมล่ะ นี่มันก็ห้องฉันนี่”
“ไม่ ๆๆๆ ฉันกับนายต่างเป็นเพศตรงข้ามกัน จะนอนด้วยกันได้ยังไงกันเล่า”
“หัวโบราณชะมัดเลยเธอเนี่ย ~” ผมยิ้มมุมปากไปหาเธอนั่นเองที่ทำให้เมมโมส่งสีหน้านางยักษ์ส่งมาให้
“ใช่ ฉันมันหัวโบราณ เพราะฉะนั้น ... นายออกไปได้แล้ว” เธอพูดพร้อมกับผายมือไปที่ประตู
“ไม่มีทางซะล่ะ”
“ถ้านายไม่ไป ฉันไปเอง !”
เมมโมว่าก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้แล้วไปที่ประตูพร้อมกับเปิดออก แต่ผมที่นอนอยู่บนเตียงก็รีบวิ่งเข้าไปจับเธอแล้วทุ่มลงกับเตียงทันที เสียงร้องของคนบนเตียงทำให้ผมถลาเข้าไปดูเธออย่างเป็นห่วง
“เธอเจ็บเหรอ ?”
“เปล่า ... ฉันจุกนิดหน่อยเพราะนายทุ่มฉันมาแรงต่างหากเล่า !”
“โทษที” จากนั้นความเงียบก็เข้าครอบงำ ... ผมคร่อมอยู่บนตัวเธอ ส่วนเธอก็อยู่ข้างล่างผม แถมใบหน้ายังใกล้ชิดอีกต่างหาก ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ผมกับเธอต่างจ้องหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก จู่ ๆ เจ้าของใบหน้าที่น่ารักนั่นก็กระพริบตาปริบ ๆ เรียกให้สติที่หลุดลอยไปกับอากาศของผมกลับมาทันที ผมผละออกมาจากเธอ ก่อนที่จะเปิดประตูแต่ก็ชะงักค้างไว้ แล้วหันมาพูดกับเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฉันจะไปนอนข้างล่างเอง ส่วนเธอก็นอนในนี้ไป”
(Mammo : Talk)
ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในห้องของเฮดโฟนคนเดียว ...
และก็กำลังฉันนอนช็อกกับเตียงอย่างทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อกี้ ให้ตายสิ ... เมื่อกี้มันอย่างกับความฝันตั้งสองชั่วโมงหรือมากกว่านั้นแน่ะ ! เมื่อกี้ยังมีใบหน้าของเฮดโฟนอยู่เลย ตอนนี้มีไฟทรงกลมมาแทนที่ซะแล้ว ...
เฮ้ ! เธอกำลังคิดอะไรอยู่น่ะยัยเมมโม พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดนะ จะมัวแต่มานอนคิดเหตุการณ์แบบนั้นอยู่ได้ นั่นมันก็แค่อุบัติเหตุเท่านั้นแหละน่า คิดอะไรมาก !
แต่ว่า ... ฉันกับเขา เราเป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ !!!!!!!!
แล้วศัตรูที่ไหน เขาจะมาวางนมช็อกโกแลตของโปรดฉันเอาไว้ตรงนี้เหมือนจงใจวางไว้กันล่ะ แต่ว่าเมื่อมาวางไว้อย่างนี้ ฉันก็ไม่เกรงใจล่ะนะ กินแก้ลืมเหตุเมื่อกี้ซะเลย !
ความคิดเห็น