ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Heartless Soil พื้นที่หัวใจขอจับจอง !

    ลำดับตอนที่ #1 : CHAPTER : บทนำ , จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 243
      0
      1 ก.ค. 55

                                                                   
    จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
    ‘โซลอิล’ คืออัศวินแห่งผืนผาและพื้นแผ่นดินทั้งหลาย            
    ‘ไฟไมค์’ คืออัศวินแห่งเปลวไฟและความร้อนแรง
    ‘วาโตล’ คืออัศวินแห่งสายน้ำและสายธารที่ใสบริสุทธิ์           
    ‘เบลสวิน’ คืออัศวินแห่งท้องฟ้าและสายลมโชกโชน
    ทั้งสี่อัศวินนี้ต่างเป็นอัศวินจากต่างเมืองและแตกต่างตามธาตุเกิดทั้งหมด พวกเขาเป็นอัศวินที่น่าภาคภูมิใจจากเหล่าดินแดน ดิน น้ำ ลม ไฟ เพราะขึ้นชื่อได้ว่าผู้ที่ได้รับการเป็น ‘อัศวิน’ ของเมืองนั้น ๆ แล้วจะต้องเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลและมีพลังด้านธาตุกำเนิดของตัวเองมากที่สุด
    วันหนึ่งระหว่างที่อัศวินทั้งสี่กำลังทำธุระกิจส่วนตัวของตัวเองอยู่นั้น พวกเขาทั้งสี่ก็ได้รับกระแสรับสั่งจาก ‘พีโอไนท์’ จักรพรรดิ์ใหญ่ที่คอยควบคุมความเป็นไปของเมืองทั้งสี่เมืองนี้ให้ไปประชุมการกันที่เมืองหลวงหรือศูนย์รวมของทั้งสี่เมือง จึงทำให้ทั้งสี่อัศวินรีบเดินทางมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เพราะจักรรพรรดิ์พีโอไนท์นั้นเป็นบุคคลชนชั้นสูงมาก พวกเขาจึงไม่สมควรที่จะไปพบกับท่านจักรพรรดิ์พีโอไนท์สายเกินไปแม้แต่วินาทีเดียว !
    ไม่นานนัก ทั้งสี่อัศวินก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงของจักรรพรรดิ์พีโอไนท์ด้วยวิธีการของตัวเอง โซลอิลเดินทางมาโดยการขี่ม้า ไฟไมค์เดินทางมาโดยการขี่รถมอเตอร์ไซค์ วาโตลเดินทางมาโดยการใช้เรือ ส่วนเบลสวินเดินทางมาโดยการขี่ไม้กวาดฝ่าก้อนเมฆและชั้นบรรยากาศสูงสุดของท้องฟ้า
    เมื่อทั้งสี่อัศวินลงมาจากยานพาหนะของตัวเองและย่างกรายมาถึงประตูหอประชุมของเมืองแล้ว ทั้งสี่ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองไปที่นาฬิกาเรือนใหญ่ที่อยู่เหนือประตูบานใหญ่ตรงหน้าเหมือนทุกที ก่อนที่จะพบว่า ... แย่แล้ว ! วันนี้พวกเขามาสายไปสองวินาที
    ไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือยืนตกใจอยู่นาน ทั้งสี่ก็รีบเปิดประตูเข้าไปแล้วตรงดิ่งเข้าไปนั่งที่เก้าประจำการของตัวเองทันที โซลอิลนั่งที่เก้าอี้สีเหลือง ไฟไมค์นั่งที่เก้าอี้สีแดง วาโตลนั่งที่เก้าสีน้ำเงิน ส่วนเบลสวินนั่งที่เก้าอี้สีขาว
    “วันนี้พวกเจ้าทั้งสี่คนมาช้านะ -_-”
    เฮือก !
    ทั้งสี่คนสะดุ้งพร้อมกันจนหลังตรงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อท่านจักรพรรดิ์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงต่ำจนน่ากลัว ณ เวลานี้ถ้าใครบังอาจมาโวกเหวกโวยวายงอแงล่ะก็ รับรอง ... ท่านจักรพรรดิ์ได้ใช้ดาบที่ยาวเฟี้ยวที่แขวนอยู่ตรงผนังเหนือศีรษะข้างหลังตัดหัวแน่
    “เอ่อ คือว่า ... วันนี้ดูเหมือนหินทางต้นน้ำจะเคลื่อนที่มาปิดทางไหลของแม่น้ำไปส่วนหนึ่ง เลยทำให้หม่อมฉันเดินทางมาที่เมืองหลวงค่อนข้างช้า หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยเพคะ” วาโตลพูดเหตุผลของเธออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นนิด ๆ พร้อมกับยืนขึ้นแล้วก้มโค้งตัวเก้าสิบองศาให้กับท่านจักรพรรดิ์อย่างนอบน้อม  
    “ส่วนของกระหม่อม คาดว่าลมพายุจะพัดเข้ามาอย่างแรงพะยะค่ะ ทำให้การบังคับทิศทางไม้กวาดค่อนข้างยากกว่าปกตินิดหน่อย จึงทำให้การมาถึงที่เมืองของกระหม่อมค่อนข้างช้า กระหม่อมขอประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ” เบลสวินพูดเหตุผลการมาของตัวเองขึ้นมาบ้าง แล้วโค้งเก้าสิบองศาเหมือนกับที่วาโตลทำ
    ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนต้องรีบอธิบายเหตุผลในการมาสายของตัวเองซะแล้ว เพราะว่าสีหน้าของท่านจักรพรรดิ์ในตอนนี้ดูโหดร้ายมากเหลือเกิน
    “ส่วนของกระหม่อม ปัญหาการดินทางค่อนข้างติดขัดไม่แพ้คนอื่น วันนี้จู่ ๆ ต้นไม้ของเมืองก็หล่นลงมาขวางทางกระหม่อมซะอย่างนั้น กระหม่อมจึงต้องลงมาจากหลังม้าแล้วไปยกต้นไม้นั่นขึ้นมา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กระหม่อมมาช้าในวันนี้พะยะค่ะ” โซลอิลพูดด้วยท่าทางเงียบขรึมและไม่หวั่นเกรงใด ๆ ก่อนที่จะโค้งคำนับเก้าสิบองศาให้กับท่านจักรพรรดิ์
    “ส่วนของกระหม่อม ก็เกิดปัญหาอีกเช่นกัน ดูเหมือนว่าวันนี้อะไร ๆ จะไม่เป็นใจให้พวกเราทั้งสี่คนทั้งหมดซะเหลือเกิน เพราะตอนที่กระหม่อมกำลังเดินทางมานั้น จู่ ๆ ก็เกิดไฟไหม้ใหญ่ที่จุดศูนย์กลางของเมืองธาตุไฟอย่างฉุกละหุก จึงทำให้กระหม่อมต้องรีบย้อนกลับไป เพื่อไปจัดการกับไฟพวกนั้นพะยะค่ะ” ไฟไมค์พูดด้วยท่าทางเป็นกังวลและวิเคราะห์กับสิ่งที่ได้ฟังมาทั้งหมด ก่อนที่จะลงท้ายด้วยการโค้งคำนับเก้าสิบองศาให้กับท่านจักรพรรดิ์เหมือนกับทุกคนที่ผ่านมา 
    “ได้โปรดประทานอภัยให้แก่พวกเราด้วย !”
    ทั้งสี่อัศวินโค้งคำนับอย่างนอบน้อมด้วยความสำนึกผิดให้กับจักรพรรค์พีโอไนท์เพื่อเป็นการอ้อนวอนอีกครั้งซึ่งการกระทำของทั้งสี่นั้นก็ทำให้ท่านจักรพรรดิ์พีโอไนท์ถึงกับต้องใจอ่อน ก่อนที่จะสั่งให้พวกอัศวินทั้งหลายนั่งลง ก็พวกเขาเพิ่งมาสายครั้งนี้เป็นครั้งแรก และหัวข้อที่ประชุมในครั้งนี้ก็สำคัญมากซะด้วย คงจะไม่มีเวลามาออกคำสั่งทำโทษพวกเขาหรอก 
    “เอาล่ะ ๆ นั่งลงกันได้แล้ว แต่ว่าเมืองของพวกเจ้าไม่มีอะไรเสียหายกันมากนักใช่มั้ย”
    “เพคะ / พะยะค่ะ !”
    “งั้นก็ดี ปัญหาที่พวกเจ้าแก้ได้ก็ควรจะแก้ ๆ กันไป เอาล่ะ ... คราวนี้ก็มาเข้าประเด็นของข้าในวันนี้กันสักที” จักรพรรดิ์พีโอไนท์ยกน้ำชาขึ้นมาจิบด้วยความแห้งคอ ก่อนที่จะวางแก้วน้ำชานั้นลงไปแล้วกราดสายตามองทั้งสี่อัศวินในห้องนี้ด้วยแววตามุ่งมั่น “สิ่งที่วางอยู่บนหน้าของพวกเจ้านั้น เป็นแผนที่และแผ่นผนึกที่เราจะมอบให้กับพวกเจ้าไป ซึ่งแผนที่และแผ่นผนึกทั้งหลายแหล่นี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ห้ามพวกเจ้าทำหายหรือเอาไปไว้ให้กับใครเลยแม้แต่คนเดียว เข้าใจมั้ย !”
    “เพคะ / พะยะค่ะ !” อัศวินทั้งสี่ตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็งขัน
    “และสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำเป็นอย่างต่อมาก็คือ ให้พวกเจ้าไปที่จุดหมายปลายทางที่แผ่นที่นั้นระบุไว้ เมื่อไปถึงที่หมายแล้ว ให้พวกเจ้าใส่พลังเข้าไปที่แผ่นผนึกนั้นให้เต็มที่ จากนั้นจึงนำแผ่นผนึกไปแปะกับสัญลักษณ์ประจำธาตุของพวกเจ้าซะ แค่นี้ทุกอย่างก็เสร็จสิ้น หลังจากนั้นพวกเจ้าก็มารายงานความเป็นไปของภารกิจนั่นกับข้าด้วยเหมือนเดิม ”
    “เพคะ / พะยะค่ะ !”
    “ไปทำตามที่ข้าบอกได้แล้ว !”
    ฟึ่บ !
    เมื่อได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิ์พีโอไนท์แล้ว ทั้งสี่อัศวินก็รีบคว้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าสองอย่างเพื่อออกไปทำภารกิจทันใด เมื่อออกมาจากหอประชุมของเมืองหลวงกันแล้ว ทั้งสี่คนก็เปิดแผนที่ที่ได้รับมาจากจักรพรรดิ์พีโอไนท์เพื่อดูจุดหมายปลายทางของตัวเอง
    โซลอิล ... ได้จุดหมายปลายทางคือภูเขาไฟเก็นดูล
    ไฟไมค์ ... ได้จุดหมายปลายทางคือป่าไม้กิมมัล
    วาโตล ... ได้จุดหมายปลายทางคือหุบเขาโอลโซน
    บลสวิน ... ได้จุดหมายปลายทางคือแม่น้ำว้อดไก
    ทันทีที่ได้รู้ว่าจุดหมายปลายของตัวเองอยู่ที่ไหน ทั้งสี่อัศวินถึงกับต้องขมวดคิ้วจนแทบจะเป็นปมทันทีด้วยความรู้สึกทะแม่ง ๆ กับสถานที่จะต้องไปทำภารกิจ มันเหมือนกับว่าสถานที่ที่จักรพรรดิ์พีโอไนท์มอบหมายมาให้พวกเขานั้น มันช่างไม่เหมาะและไม่เข้ากันกับพวกเขาทั้งสี่คนเลย 
    แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อในแผนที่บอกมาแบบนี้ คำสั่งของจักรพรรดิ์พีโอไนท์เป็นแบบนี้พวกเขาทั้งสี่คนก็คงต้องก้มหน้าก้มตาทำกันต่อไปล่ะ 
    ไฟไมค์เลิกที่จะสนใจกับแผนที่แล้วหันมาสนใจกับแผ่นผนึกที่ทำมาจากไม้มีฝาเปิดสองฟากของอีกสิ่งหนึ่งที่ได้มาจากจักรพรรดิ์พีโอไนท์แทน ด้วยความสงสัยว่าแผ่นผนึกนั้นจะมีอะไรซ่อนอยู่ข้างในบ้าง เขาจึงเปิดแผ่นผนึกนั้นออกมาดู แต่ทว่า ...
    เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก !
    ท่าทางของไฟไมค์ที่ดูเหมือนจะมีปัญหากับอะไรสักอย่างทำให้ทั้งสามคนที่เหลือหันหน้ากันมามอง ณ บัดนี้ไฟไมค์มีสีหน้าที่บูดเบี้ยวมากเพราะออกแรงเปิดแผ่นผนึกไม่ได้ เขาเลยต้องเงยหน้าขึ้นไปพูดกับโซลอิลแทน
    “โซลอิล นายแรงเยอะมหาศาลไม่ใช่เหรอ ไหนนายลองเปิดแผ่นผนึกของนายดูบ้างซิ” ไฟไมค์บอกกับโซลอิลด้วยสีหน้าบูดเบี้ยวมากกว่าเดิมเพราะแรงใกล้จะหมดเต็มทน ส่วนโซลอิลก็หันไปมองแผ่นผนึกที่มือตัวเอง ก่อนที่ทำตามที่ไฟไมค์บอก
    แต่ทว่า ... โซลอิลจะงัดกำลังออกมาขนาดไหน แผ่นผนึกก็เปิดออกไม่ได้อยู่ดีเหมือนกัน อะไรกันเนี่ย ! ขนาดแรงกำลังของโซลอิลก็ยังเอาชนะเจ้าแผ่นผนึกนี่ไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ 
    “ฉันก็เปิดไม่ออกเหมือนกันไฟไมค์ ท่าทางเราต้องไปถึงที่หมายในแผนที่ก่อน พวกเราทั้งสี่คนถึงจะเปิดแผ่นผนึกนี่ออกมาได้นะ”
    “ใช่ ... ท่านจักรพรรดิ์ได้บอกกับพวกเราว่าถึงที่หมายแล้วจากนั้นก็ต้องใส่พลังเข้าไปในแผ่นผนึกนี่นี่นา จริงมั้ย เพราะฉะนั้นก็อย่างที่โซลอิลบอกล่ะ เราต้องถึงที่หมายในแผนที่นี้ก่อนถึงจะเปิดแผ่นผนักนี่ออกมาได้” วาโตลพูดพร้อมกับโชว์แผนที่ให้กับทุกคนดู
    “อืม ... แต่ว่า ทุกคนเป็นเหมือนกับฉันมั้ย ฉันรู้สึกแปร่ง ๆ กับที่หมายของพวกเรายังไงก็ไม่รู้” เบลสวินพูดด้วยสีเป็นหน้ากังวล ทุกคนที่เหลืออีกสามคนก็พยักหน้าตาม ๆ กันไปด้วย
    “หวังว่าจักรพรรดิ์พีโอไนท์จะไม่มาเล่นตลกอะไรกับพวกเรานะ” โซลอิลพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
    “ดูยังไง ๆ ที่หมายของฉันก็เหมือนกับไม่ใช่ในที่ที่ฉันจะต้องไปอยู่ดี” ไฟไมค์พูดพร้อมกับพ่นหายใจทางจมูก
    “แต่ฉันว่า ... พวกเรารีบไปกันเถอะ ท่านจักรพรรดิ์กำลังเดินมาเปิดประตูแล้วววว” วาโตลพูดด้วยน้ำเสียงแตกตื่นเพราะเซ้นส์มันบอก
    “จริงเหรอ ! งั้นรีบไปกันเร็วเดี๋ยวถ้าพวกเราโดนไม้กายสิทธิ์เล่นงานก่อนไปทำตามกระแสรับสั่งจะไม่ดีนะ !” ส่วนเบลสวินนั้นก็รีบเตือนทุกคน และจากนั้นอัศวินทั้งสี่ก็รีบเผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็ว
    แอ๊ด ~!!
    “มัวแต่ยืนทำอะไรกันอยู่ อยากมีเรื่องกับไม้กายสิทธิ์ของข้าหรือยังไง !”
    เป็นเหมือนที่วาโตลบอกจริง ๆ ! จักรพรรดิ์พีโอไนท์เดินออกมาพร้อมกับไม้กายสิทธิ์ยาวครึ่งตัวของตัวเอง แต่โชคดีของทั้งสี่อัศวินมาก ๆ ที่สามารถวิ่งออกไปจากหน้าประตูหองประชุมหลวงนี่ได้ทัน ไม่งั้นล่ะก็ ได้มีเรื่องกับไม้กายสิทธิ์ของท่านจักรพรรดิ์พีโอไนท์อย่างที่ได้ยินแน่ ๆ !
     
    ทั้งสี่อัศวินได้มาถึงที่หมายในแผนที่เรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกแปลก ๆ แบบรู้สึกกระดากพิกลวิ่งเข้าสู่ร่างกายและความรู้สึกในทันที เมื่อพวกเขาทั้งสี่ลงมาจากยานพาหนะแล้วย่ำเท้าเข้ามาในที่หมาย 
    อะไรกันเนี่ย ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเราเลยนะ !
    ประโยคนี้ลอยเข้ามาพร้อมกันในหัวของอัศวินทั้งสี่เป็นประโยคแรก ทุกคนรู้สึกได้เลยว่า พวกเขามาผิดที่ ! ที่นี่ที่ไหน บรรยากาศไม่เป็นใจให้เลยสักนิด ท่านจักรพรรดิ์พีโอไนท์กำลังเล่นอะไรกับพวกเขาอยู่หรือเปล่า
    แต่ถึงจะรู้สึกขัดกับบรรยากาศของสถานที่ซะขนาดไหน พวกเขาทั้งสี่ก็จำใจต้องยอมทำตามหน้าที่อยู่ดี เพราะถ้าไม่อย่างนั้น รับรองเลย ... ได้โดนเจ้าไม้กายสิทธิ์นั่นเล่นงานปางตายแน่
    อัศวินทุกคนเริ่มส่งพลังในธาตุเกิดของตัวเองไปที่แผ่นผนึกตามที่จักรพรรดิ์พีโอไนท์ได้บอกมา เปลือกตาของทั้งสี่อัศวินปิดลง ก่อนที่แผ่นผนึกของแต่ละคนจะส่งแสงวูบวาบบนแผ่นผนึกที่อยู่บนมือของทั้งสี่อัศวินนี้
    แสงของโซลอิลเป็นสีเหลือง
    แสงของไฟไมล์เป็นสีแดง
    แสงของวาโตลเป็นสีน้ำเงิน
    และแสงของเบลสวินเป็นสีขาว
    ดวงตาทั้งสี่คู่เปิดขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีประจำธาตุเกิดที่เหมือนกับแสงที่แปล่งประกายในแผ่นผนึก ถ้านัยน์ตาของพวกเขาเปลี่ยนสีไปแบบนี้ แสดงว่า ... ตอนนี้เทพเจ้าแห่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้ครอบครองจิตวิญญาณของพวกเขาไปชั่วขณะแล้ว
    ทั้งสี่อัศวินมองหาสัญลักษณ์ประจำธาตุเกิดของตัวเอง ก่อนที่จะกางแผ่นผนึกนั้นออก แล้วเอาไปแปะทับไว้กับสัญลักษณ์นั้น แต่ทันทีที่แผ่นผนึกทั้งสี่ทับลงไปบนสัญลักษณ์ในที่ต่าง ๆ ...
    แผ่นดินก็เกิดการแยกออกจากกันเป็นสองผืน ! สายน้ำก็เกิดเป็นคลื่นมหึมาขนาดใหญ่ ! สายลมก็เกิดเป็นพายุหมุนในชั่วพริบตา ! และทุกอย่างก็เริ่มมอดไหม้ด้วยกลุ่มไฟขนาดมโหฬาร !
    ให้ตายสิ ! นี่มันกำลังเกิดอะไรขึ้น !
                 
                                                                     
     
    บทนำ 
    13 / 12 / xx
    “จะว่าไป ... ทำไมฉันต้องมาที่นี่ด้วยเนี่ย”
    “นั่นสิ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแกจะลากฉันมาทำไม =_=”
    ‘ไดอาร์’ เพื่อนผู้ชายแต่ใจเป็นหญิงที่ฉันสนิทด้วยมากที่สุดตอบกลับมาด้วยสีหน้ามึนงงไม่น้อย ที่จู่ ๆ ฉันก็ลากมันมาที่ร้านเหล้าชื่อดังของย่านเพนโทรอนตรงหน้าโดยไม่บอกไม่กล่าว อืม ... ขนาดฉันยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าจะมาที่นี่ทำไม แล้งจะนับประสาอะไรกับนังเด็มที่ถูกฉันลากมาที่นี่แบบปุบปับกันล่ะ
    ฉันชื่อดินเนอร์ค่ะ เป็นนักเรียนหญิงที่กำลังศึกษาอยู่ในรั้วโรงเรียน ‘อัลไลน์ ไฮสกูล’ เกรดสิบเอ็ดเช่นเดียวกันกับนังเด็มที่ฉันพ่วงมาด้วยวันนี้ เพิ่งอายุสิบเจ็ดก็วันนี้เองล่ะ ใช่ วันนี้เป็นวันเกิดของฉันเอง วันที่สิบสาม เดือนสิบสอง ...
    พูดถึงวันเกิดของตัวเองแล้วก็หงุดหงิด ตั้งแต่ลืมตาตื่นจากที่นอนขึ้นมาวันนี้ ฉันก็รู้สึกหัวเสียแต่เช้าเลย ไม่รู้ทำไมกันนะ ถึงวันเกิดตัวเองทีไรก็มีแต่เรื่องจุดชนวนให้อารมณ์ฉันพลุ่งพล่านอย่างไม่สาเหตุทุกที
    ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมรอบตัวที่มองเห็นพฤติกรรมของคนรอบข้าง หรือแม้แต่สิ่งของ ... แค่ฉันได้เห็นมัน ฉันก็อยากจะทำลายล้างมันให้สิ้นซากแล้ว แม้กระทั่งไอ้ร้านเหล้าที่อยู่ตรงหน้าฉันตรงนี้
    ฉันจิ๊ปากใส่หน้าร้านเหล้าเพนโทรอนเป็นรอบที่สี่สิบห้า ก่อนที่จะยกจดหมายในมือที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันมาที่นี่ แล้วก้มอ่านมันเหมือนต้องการจะทำความเข้าใจกับตัวเองให้ลึก ~ ขึ้นเข้าไปอีก 
    ‘ถึงผู้ที่ได้รับจดหมาย ... ถ้าได้เห็นจดหมายฉบับนี้แล้ว ให้มาที่ร้านเหล้าชื่อดังของย่านเพนโทรอน ภายในวันที่สิบสามเดือนธันวาคม พ.ศ. 25xx จากนั้นก็เดินมาที่บาร์ตัวที่สิบสาม แล้วทำการหยิบของ ‘สิ่งนั้น’ ที่อยู่บนบาร์นั่นมาซะ แล้วจงเก็บมันไว้กับตัวให้ดี อย่าให้มันหายเป็นอันขาด จนกว่าเราทั้งสองคนจะได้พบเจอกันเมื่อถึงเวลา’ 
    บนเนื้อหาในจดหมายนี่ไม่ได้ทิ้งอะไรเลยที่ทำให้ฉันรู้ว่าใครเป็นคนส่งจดหมายนี่มาเลยแฮะ ... แล้วประโยคหลังที่ทิ้งไว้นี่มันคืออะไร ? ... ‘จนกว่าเราทั้งสองคนจะได้พบเจอกันเมื่อถึงเวลา’ งั้นเหรอ จดหมายรักก็ไม่ใช่ จนหมายตามฆ่าก็ไม่เชิง ? ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าจดหมายฉบับนี้ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมาหว่า
    ตามจริง จดหมายฉบับนี้มันมาอยู่กับฉันตั้งแต่สองปีที่แล้วล่ะ ฉันโยนมันทิ้งลงถังขยะหน้าบ้านแล้วด้วยซ้ำ แต่คุณแม่บังเกิดเกล้าก็ยังอุตส่าห์เอามาให้ฉันอีก เฮ้อ !
    เอาล่ะ ในเมื่อมันอยากจะมาอยู่กับฉันดีนัก ฉันก็จะสนองให้ละกัน ไหน ๆ ก็ถึงกำหนดเวลาแล้วนี่ พร้อมกับที่ตอนนี้ฉันก็เหาะมาถึงที่หมายที่ในจดหมายนี่บอกไว้แล้วด้วย ก็อยากจะรู้เหมือนกันแหละว่า ‘สิ่งนั้น’ มันคืออะไร แอบสงสัยมานานละ   
    “ดิน ... นี่แกจะเข้าไปในร้านนี้จริง ๆ เหรอ” เด็มถามหยั่งเชิงขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับที่สายตาของตัวเองก็อ่านเนื้อความในจดหมายในมือฉันไปด้วย
    “ก็ใช่น่ะสิ แกเองก็เห็นจดหมายด้วยกันแล้วนี่ จะยืนเป็นหุ่นต้อนรับให้ไอ้ร้านนี้มันหรือยังไงกันเล่า ไป เข้าไปกันเถอะ”
    “เดี๋ยว !”
    ไม่ทันแล้ว ! ฉันลากแขนไดอาร์ให้เดินตามเข้ามาภายในร้านเหล้าแสนหรูแห่งนี้โดยที่ไม่ฟังคำพูดใด ๆ จากคนที่กำลังลากเข้ามาเลย ตอนที่ยังไม่เห็นร้านเหล้านี้ฉันก็คิดว่ามันอาจจะเหมือนร้านเหล้ายาดองธรรมดาตามถนนนะ แต่ว่าพอมาได้เห็นสถานที่ของมันจริง ๆ ... ไฮโซได้เรื่องเลย
    ด้วยความที่ว่าตอนนี้ฉันยังไม่สิบแปด และมีผู้คนที่น่าจะอายุเกินกว่าสิบแปดเดินเข้ามาพอดี ฉันก็เลยได้จังหวะนี้ลากเด็มให้เดินเนียนเข้ามาด้วยกันซะเลย หวังว่าเราสองคนจะรอดนะ
    “เดี๋ยวค่ะน้อง เดี๋ยวค่ะ ! น้องเข้าไปไม่ได้นะคะ”
    สงสัยพวกฉันสองคนคงทำบุญกันมาน้อยแน่ ๆ เลย !! เพราะเดินเนียนผ่านหน้าประตูเข้าไปแค่สองเก้าเท่านั้นพี่พนักงานผู้หญิงที่ทำงานเป็นฝ่ายต้อนรับที่สวมชุดกี่เพ้ารัดรูปไปถึงไหนต่อไหนก็วิ่งโร่เข้ามากางแขนกางขาอยู่ตรงหน้าเล่นเอาทำให้ฉันทั้งสองคนเป็นเป้าสายตาไม่น้อยเลยทีเดียว เอาล่ะซี่ ... เมื่อคุณพี่แสนเอ็กซ์คนนี้ดั๊นเจือกตาดีมาจับสังเกตฉันสองคนได้ แล้วพวกฉันควรจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ ระหว่าง ...
    หนึ่ง ... ฝ่าแม่มเข้าไปเลย !
    สอง ... อ้อนว๊อน ~  อ้อนวอน ! ว่าพี่คะ ... ให้พวกเราเข้าไปเถอะ !
    หรือสาม ... ยอมถอยทัพกลับแต่โดยดี แต่ฉันคงไม่ทำช้อยส์นี้แน่ ๆ !
     
    TALK
     
    ตอนนี้ไรเตอร์ต้องขอแสดงความเสียใจจากที่มาของอิมเมจด้วยนะคะ  ที่นำรูปมาตกแต่งแล้วหมดสวยหมดหล่อไปเลยทันที T/\T รู้สึกสงสารพวกเขาจับใจเลย แต่ว่า ... ดั๊นมาถูกใจไรเตอร์ ไรเตอร์ก็เลยไม่เว้นแม้แต่สำนึกผิดค่ะ ! สงสารพวกเขาทั้งหลายแหล่จริง ๆ เฮ้อ ....
    แต่ว่า ! อ่านถึงตรงนี้แล้วอย่าลืมติดตามตอนต่อ ๆ ไปของดินเนอร์ด้วยนะคะ ^_^ แต่งจบแล้วค่ะ แต่จะทยอยเอามาลงในนี้ให้ได้ลองอ่านกัน อ่านอย่าลืมคอมเมนต์จุดสำคัญบอกไรเตอร์นะคะ
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×