ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กรุ่นไอดิน กลิ่นไอรัก

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 2 คุณภรรเมียสุดที่รัก (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 54


    ตอนที่ 2

    คุณภรรเมียสุดที่รัก

     “กำนัน กำนันตื่นยัง” แก้วตาร้องเรียกลูกชาย เมื่อเห็นว่าตอนนี้เริ่มสว่างแล้ว แต่ธราเทพยังไม่ออกจากห้องไปดูแลสัตว์ที่เลี้ยงไว้ตามปรกติก่อนที่จะกลับมาทำงานศึกษาหาข้อมูลจากห้องทำงานซึ่งสร้างไว้เป็นสัดเป็นส่วน เพื่อใช้ประโยชน์ในการช่วยเหลือชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก

    “นังลูกปัดไหนเองช่วยเรียกลุงกำนันหน่อยซิวะ ป่านนี้แล้วยังไม่ตื่นสงสัยจะกลับมาถึงบ้านดึกมาก เลยเพลีย อ้อ...เอ็งอย่าลืมเอาจดหมายไปให้ลุงเขาด้วยละ”

    “ได้จ๊ะย่า สบายอยู่แล้ว นังปัดไม่ลืมหรอกเรื่องแค่นี้” เด็กหญิงยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง เมื่อคิดถึงรางวัลที่จะได้จากลุงกำนัน แล้วร่างเล็กป้อมก็กระวีกระวาดหาจดหมายที่เพิ่งจะได้รับมาเมื่อวาน แต่แล้วคิ้วหนาโก่งได้รูปก็ขมวดมุ่นเข้าหากัน ดวงตาเป็นประกายแห่งคำถามตวัดมองไปยังผู้เป็นอย่าง “ย่าแล้วจดหมายที่ย่าเฮ้ย!! ไม่ใช่...น้าหวีเซ็นรับเมื่อวานมันอยู่ไหนนะ?” เด็กหญิงถามเมื่อหาในโต๊ะที่เขียนหนังสือของตัวเองซึ่งวางไว้ตรงมุมห้องด้านหนึ่ง และทุกซอกทุกมุมของลานบ้านแล้วไม่เห็นจดหมายดังกล่าวเลย

    “เอ็งเอาไปเก็บไว้ที่ไหนหรือเปล่านังปัด เอ็งยิ่งชอบป้ำๆ เป๋อๆ กับเรื่องพวกนี้อยู่ เห็นลุงเอ็งบ่นเป็นประจำไม่ใช่หรือกับเรื่องเก็บของไม่ถึงที่ของเอ็งนะ” นางแก้วตาว่าหลานสาว สายตาก็กวาดมองไปในกระเซ้าใส่หมาพลู ความจริงนางไม่ได้กินหรอก แต่ก็นำเอาไว้ให้ชาวบ้านที่มาเยี่ยมเยียนและแจ้งข่าวแก่ลูกชายได้กิน เพราะคนแก่ๆ แถวบ้านนอกยังคงติดนิสัยกินหมากพลู ในขณะที่สาวๆ กลับบอกว่าเหม็นแล้วก็ยังทำให้ปากสกปรกแล้วก็ออกอาการแหวะใส่

    ปานธิดาถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ ใบหน้างองุ้มและแดงระเรื่อ ดวงตาขุ่นขวาง สองมือยกขึ้นเท้าสะเอว ริมฝีปากเล็กและบางขบเม้มเข้าหากัน ก่อนจะพ่นคำพูดโวยวายใส่ผู้เป็นย่าอย่างไม่ยอมรับความผิดที่ไม่ได้กระทำ “ย่านะโทษหนูประจำเลย ทำไมไม่โทษน้าฉวีบ้างละ ป่านนี้ยังนอนอุตุอยู่ในมุ้งเลย แล้วหนูว่าคนที่เอาจนหมายไปก็คือน้าฉวีนั่นแหละ แล้วป่านนี้แกก็เอาไปทิ้งที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

    “อ้าว...นั่งนี่ เดี๋ยวข้าก็ถีบให้ น้าเขาอยู่เฉยๆ ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยแกเอาน้าเขามายุ่งเกี่ยวทำไมวะนังปัด ข้าว่าเอ็งนั่งแหละเอาไปวาดรูปหรือพับโน่นนี่เล่นมากกว่า” ถึงแม้จะรู้ว่าลูกสาวคนเล็กไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว แต่เพราะลูกสาวคนเล็กชั่งออดอ้อน ปากหวาน และเอาอกเอาใจ แล้วที่สำคัญคือพรฉวีก็นำชื่อเสียงมาสู่บ้านและหมู่บ้าน ทำให้แก้วตาหลงปลื้มและรักลูกคนนี้ถึงขนาดทูนหัวทูนเกล้าให้ทุกอย่าง ไม่ว่าลูกสาวเอ่ยปากสิ่งใดก็จะพยายามหามาให้อย่างที่ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักนิด

    “หนูรู้นะย่าว่าอะไรควรไม่ควร” ปานไพลินเถียงคอเป็นเอ็นอย่างไม่ยอมแพ้ ถ้าทำผิดจริงถึงจะเถียงแต่ก็ยอมรับว่าผิด แต่ในเมื่อไม่ใช่ก็อย่ามาโยนขี้ใส่ ไม่ชอบ “ทำอย่างกับไม่รู้นิสัยลูกสาวตัวเองงั้นแหละ หนูมันเป็นแค่หลานนิ แล้วก็ไม่ใช่จากลูกที่รักด้วย ย่าเลยไม่รักหนูเลย” เด็กหญิงต่อว่าอย่างน้อยอกน้อยใจ น้ำตาเริ่มเอ่อล้นนองหน้าด้วยความน้อยใจ

    บ้านนี้ทั้งบ้านมีเพียงแค่ลุงกำนันและปู่เท่านั้นที่รักเธอด้วยใจจริง แต่ปู่ถึงจะรักเธอมากเพียงไหนท่านก็จำต้องอยู่ในโลกของท่าน นั่นเป็นเพราะท่านละทางโลกหันหน้าเข้าสู่ร่มกาศาวพัฒน์นับเป็นเวลาได้เกือบจะเท่ากับอายุของเธอ

    “บ่นอะไรนักหนานะลูกปัด เราชักเอาใหญ่แล้วนะ เถียงย่าคำไม่ตกฟากเลย ถ้าย่าเป็นลมเป็นแล้งไปจะทำไงกันหือ...” แม้ปากจะเอ่ยเหมือนดุแต่มือใหญ่กลับยกขึ้นลูบบนศีรษะหลานสาวด้วยความรักระคนเอ็นดูและสงสารที่เด็กหญิงเกิดมาแล้วถึงจะมีพ่อแม่ก็เหมือนกับไม่มี

    ธราดลพาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังท้องมาอยู่ที่บ้าน โดยบอกว่าผู้หญิงคนนั้นคือเมียที่หนีตามกันมา แต่ดูเหมือนว่าน้องชายจอมเจ้าชู้จะไม่ยอมหยุดอยู่กับผู้หญิงเพียงคนเดียว เพราะหลังจากผ่านไปได้เพียงสองสามเดือนธราดลก็ออกลายเก็บข้าวของและขโมยเงินของเขาและแม่พร้อมกับทิ้งจดหมายไว้ว่าจะไปทำงานหาเงินและขอฝากลูกไว้กับเขาและแม่

    ตอนแรกๆ ธราดลก็โทรกลับมาบ้าง แต่เมื่อแม่ของลูกปัดใกล้จะคลอด น้องชายเขาก็ขาดการติดต่อไปเลย ส่วนผู้หญิงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของลูกปัดก็ทนอยู่จนคลอดเด็กหญิงและก็หนีหายไปไม่ดูดำดูดี ไม่เคยส่งข่าวกลับมาอีกเลยเหมือนกัน

    “โธ่ลุงกำนัน ย่าแข็งแรงจะตายไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก ย่าต้องอยู่กับลูกปัดนานๆ ใช่ไหมจ๊ะย่าจ๋า” ร่างป้อมรีบถลาวิ่งไปกอดรัดร่างเล็กพร้อมหอมแก้มซ้ายแก้มขวา

    “เออ...แต่ข้าคงจะตายเร็ว เพราะเถียงแกไม่ทันอย่างที่ลุงกำนันเขาว่านั่นแหละนังลูกปัด” มือเหี่ยวยกขึ้นลูบศีรษะหลานสาวอย่างรักใครระคนเอ็นดู ก่อนที่สายตาฝ้าฟางจะมองไปยังสาวน้อยร่างโปร่งบางที่เดินตามหลังลูกชายมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ถ้ามองไม่ผิดรู้สึกเหมือนกับว่าไอ้ริมฝีปากสีแดงๆ นั่นจะขยับอยู่บ่อยๆ เหมือนกับกำลังเจริญพรลูกชายอยู่

    “แล้วนั่นกำนันพาใครมาด้วยนะ เอ้า...เอ๊า...นั่งก่อนซิอีหนู ลูกเต้าเหล่าใครกันละ แล้วทำไมถึงได้มาพร้อมกับกำนันได้ละ ว่าไงกำนัน” นางแก้วตาถามยาว มองสองหนุ่มสาวสลับกันไปมาด้วยความงุนงง ยิ่งเมื่อได้เห็นลูกชายหันไปส่งยิ้มหวานให้กับสาวน้อยหน้าสวยผู้มาใหม่

    แต่อีกฝ่ายกลับถลึงตาใส่ อีกทั้งใบหน้าขาวก็เริ่มมีสีแดงระเรื่อลามเลียถึงลำคอ เรือนกายโปร่งบางสั่นเทิ้มลมหายใจหอบแรง ถ้าลมร้อนๆ ที่แสดงถึงความโกรธจะสามารถออกจากใบหูได้ ป่านนี้มันคงพ่นเป็นสายเรียบร้อยแล้ว

    “ไม่จริงนะ ไอ้บ้านี่จับฉันมา” เกล็ดแก้วแหวเสียงขุ่นเขียว มือเรียวชี้ไปที่ร่างหนาใหญ่ และพยายามปลดเอามือแข็งแกร่งเหมือนกับคีมเหล็กออกจากแขน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่หลุด แล้วยังจะถลาจมหายเข้าไปในอ้อมแขนกว้างใหญ่ทำให้ใจเต้นแรงเร็วไม่เป็นจังหวะอีกด้วย

    มาถึงตอนนี้เมื่อสติสัมปชัญญะมาครบ เกล็ดแก้วก็เริ่มรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกหวั่นไหวกับหน้าตายิ้มๆ ดวงตาพราวระยับและอกแข็งแกร่งและเต็มด้วยมัดกล้ามนี่ด้วยก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ก็เธอมีพี่หมอทินภัทรชายหนุ่มผู้แสนดี ร่ำรวยและเหมาะกับเธอทุกอย่างอยู่แล้วนี่น่า

    “ห๊า...กำนันพูดผิดพูดใหม่ได้นะ? ไหนใครเป็นผัวใครเป็นเมียพูดมาให้ชัดซิกำนัน” นางแก้วตาถามเสียงดังลั่น ถ้าไม่ติดว่ามีร่างหลานสาวนั่งกอดอยู่คงลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาลูกชายเพื่อให้ได้ยินคำพูดนั้นอีกครั้ง พร้อมกับมองสาวน้อยร่างโปร่งที่ดูเหมือนจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ถูกชายพูดมาเลยสักนิด

    “นั่นซิ ลุงกำนันพูดอะไรนะ” แม้แต่ปานธิดาเองก็เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ลุงสุดที่รักบอก ดวงตากลมโตมองไปยังร่างโปร่งบาง หน้าตาก็สวยดีอยู่หรอก แต่ไอ้ตาคู่นั้นกลับน่ากลัวชะมัด จ้องมาทีเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อ คิดแล้วเสียวไส้แทนลุงกำนัน ถ้าได้เมียแบบนี้มีหวังต้องนอนสะดุ้ง เพราะไม่รู้แม่เจ้าประคุณจะลุกขึ้นมาควักไส้ควักพุงกินเมื่อไหร่ กายอวบอ้วนสั่นเทาพร้อมกับใบหน้ากลมป้อมส่ายหนีเบาๆ

    “ไม่จริงนะ ป้าอย่าไปเชื่ออีกตาบ้านี่พูดนะ ไอ้บ้านี่ไปจับตัวฉันมา” เกล็ดแก้วแหวเสียงแหลมเล็ก ยืนสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ มือและเท้าก็พยายามยกขึ้นประทุษร้ายร่างหนาใหญ่อยู่ตลอดเวลา

    “อ้าว...คุณเมียสุดที่รักจ๋า อย่าพูดแบบนั้นซิ เมียนี่ขี้ลืมจริงๆ สงสัยความจำยังกลับมาไม่หมด รู้งี้ไม่น่าใจดีพาออกจากโรงพยาลตามคำขอเลย ให้ตายซิ” ธราเทพบ่นพึมพำ สองมือใหญ่ดันให้ร่างโปร่งบางล้มตัวลงนั่งใกล้กับร่างมารดา

    “นี่ไพลินเมียฉันเองแหละแม่ พอดีว่าเราสองคนรักกัน แต่พ่อไพลินเขาไม่ยอมรับ เราสองคนเลยหนีตามกันมา แต่ว่าตอนที่กำลังเดินทางรถมันเกิดอุบัติเหตุหัวไพลินไปกระแทกพื้นเลยทำให้ความจำมีปัญหานะแม่”

    นางแก้วตานั่งฟังด้วยความงุนงง อย่างกำนันลูกชายนางนี่หรือจะพาผู้หญิงหนีมา...เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ฐานะทางบ้านจะไม่ได้ร่ำรวยมีเงินมีทองมากมาย แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้นถึงขั้นไม่มีอันจะกิน แล้วที่สำคัญคือว่าลูกชายเป็นชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ มีสาวน้อยสาวใหญ่ในหมู่บ้านและต่างหมูบ้านให้ความสนใจแทบจะทุกบ้านที่มีลูกสาว ถ้าเป็นยุคสมัยเก่าเขาใช้กับผู้หญิง แต่มายุคสมัยนี้กลับใช้แทนผู้ชายก็ได้ที่มีผู้หญิงแวะเวียนมาหาเข้าถึงเย็นถึง เรียกว่าหัวบันไดบ้านไม่เคยจะแห้ง

    สำคัญๆ ก็เห็นจะมีอยู่สามคนที่เทียวไล้เทียวขื่นอยู่เป็นประจำทุกวัน นั้นก็คือภาลูกสาวของนายอำเภอ คุณครูจิตรเลขา แล้วก็ยังจะมีทิพย์นาราลูกสาวเจ้าของร้านขายของชำในตลาดอีกที่มาหาเกือบจะทุกอาทิตย์พร้อมกับข้าวของติดไม้ติดมือ บางทีมาถึงพร้อมๆ กันก็เล่นละครจำอวดให้คนในบ้านและชาวบ้านใกล้เรือนเคียงได้ดู แล้วเอาไปนั่งนินทากันและหัวเราะจนท้องคับท้องแข็ง

    “ไม่จริงนะป้า ไอ้บ้านี่โกหก ฉันชื่อเกล็ดแก้ว กันติวัจน์”

    “โธ่...คุณเมียสุดที่รักจ๋า บอกกี่ครั้งแล้วว่าคุณภรรเมียชื่อไพลิน  ปันภูนา” ว่าแล้วร่างหนาใหญ่ก็หันไปหามารดาที่นั่งอ้าปากค้าง มองสองหนุ่มสาวสลับกันไปมา พอจะเอ่ยปากถามก็ถูกขัดไปเสียทุกครั้งจนต้องเลิกถาม แล้วปล่อยให้ลูกชายเป็นคนเริ่มต้นเล่าเรื่องไปก่อน แล้วค่อยถามไถ่เรื่องราวเอาทีหลัง

     “แม่อย่าไปถือไพลินเลยนะ ตั้งแต่ตกรถมานี่ ความจำเลอะเลือนเหมือนคนแก่เลย ไปจำแต่ว่าตัวเองชื่อเกล็ดแก้ว  กันติวัจน์ลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ เป็นคุณหนูไฮโซแต่งตัวสวยๆ เดินเฉิดชายอยู่ในเมืองกรุงไปวันๆ งานการไม่เคยคิดทำ” ธราเทพถือโอกาสด่าหญิงสาวทางอ้อมไปเสียทีหนึ่ง ถึงแม้ว่านายเพชรกรุณจะเปิดร้านให้ดูแล แต่หญิงสาวก็เพียงแค่แวะเวียนไปนั่งประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น แล้วก็ออกไปเริงร่ากับการจับจ่ายซื้อของ หรือไม่ก็ทำเล็บทำผม นวดหน้าอบตัวแล้วก็ไปเฝ้าผู้ชาย

    “กรี๊ด...แกว่าใครห๊ะไอ้บ้า ไอ้ห้าร้อย พูดมาได้ไม่อายปากตัวเองเลย” ไม่พูดเปล่ามือเล็กเรียวก็ถือโอกาสฟาดลงไปบนแขนแข็งแกร่งและลากแรงๆ

    “โอ๊ย!! เจ็บนะคุณเมียสุดที่รักจ๋า เดี๋ยวเถอะคืนนี้ผัวจะลงโทษให้หนำใจเลยคอยดู” มือใหญ่จับปลายจมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าเปื้อนยิ้มดวงตาเป็นประกายแพรวพราว และยังไม่อยากคิดถึงเรื่องที่หลับที่นอนคืนนี้ เพราะเดี๋ยวต้องมีปัญหาแน่นอน รู้อย่างนี้แล้วค่อยคิดเมื่อถึงเวลาเอาก็แล้วกัน

    “ก็ลองดูซิ ถ้าขืนนายไม่พาฉันส่งบ้านในวันนี้นะ คือนี้อย่าหวังจะได้นอนหลับอย่างเป็นสุข แม่จะเอามีดเสียบพุงให้ไส้ทะลักเลยคอยดู”

    “โอ๊ย...คุณเมียที่รักของผัวใจร้ายจัง จะทำผัวได้ลงเชียวหรือจ๊ะ ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่มีใครกอดให้อุ่นนะซิ” มือใหญ่ลากไล้ไปตามลำแขนเรียวยาว พร้อมรอยยิ้มแล้วหันไปเลิกคิ้วให้กับลูกปัดที่ตอนนี้นั่งอ้าปากค้างตามคนเป็นย่าไปอีกคนแล้ว

    มือเล็กยื่นไปแตะที่หน้าผากคนเป็นลุง พร้อมส่ายศีรษะอย่างไม่แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น “หัวก็ไม่ร้อนสักหน่อยนี่ลุงกำนัน แล้วทำไมถึงพูดจาแบบนั้นละ” เด็กน้อยอดถามไม่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆ จากปากผู้เป็นลุง ที่เป็นเหมือนกับละครบางเรื่องที่เคยดู แต่ดูท่าว่าจะเปิ่นกว่าหลายเท่านัก

    “นั่นซินังปัด ข้าก็คิดว่าตัวเองหูคงฝาดไป แต่นี่ทั้งได้เห็นและยังได้ยินอย่างชัดเจนอีก สงสัยข้าจะแก่จนเลอะเลือนหรือเปล่าว่ะ ถึงได้เห็นพ่อกำนันเปลี่ยนไปนะ” นางแก้วตาถามหลานสาว ด้วยเพราะลูกชายเป็นคนพูดจาไพเราะ มีเหตุมีผล อีกทั้งยังรู้จักใช้คำพูดคำจาให้ผู้อื่นคล้อยตามได้เสมอ แต่ไอ้ประโยคหลายๆ ประโยคที่ได้ยินมันกลับเลี่ยนๆ และเปิ่นๆ เหมือนเสแสร้งและไม่จริงใจอย่างไรก็ไม่รู้

    “โอ๊!! เอ็งหยิกข้าทำไมวะนังลูกปัด” มือเหี่ยวยกขึ้นลูบแขนป้อยๆ ใบหน้าก็ตวัดค้อนใส่หลานสาวที่ทำเอาเจ็บตัวไปเสียหนึ่งที

    “อ้าว...ก็ย่าสงสัยไม่ใช่หรือว่าตัวเองกำลังเลอะเลือน หนูก็ช่วยให้แน่ใจไงว่าไอ้ที่ยินมานะไม่ผิด” คิ้วคมเข้มเลิกขึ้น ใบหน้าอมยิ้มจนแก้มตุ่ย

    “อ้าว...แล้วทำไมเอ็งไม่หยิกตัวเองวะนังลูกปัด มาหยิกข้าทำไม”

    “จะหยิกตัวเองให้เจ็บทำไมกันละย่าก็ หยิกย่านั่นแหละดีแล้ว ชัวร์ที่สุด” ปานธิดาเลิกคิ้วขึ้นสูงหยิกๆ สองมือยกขึ้นกอดอก และผันมองไปทางลุงที่รักและหญิงสาวหน้าสวยผู้มาใหม่ แล้วรอฟังเหตุการณ์ก่อนจะได้เอาไปป่าวประกาศให้กับพี่ป้าน้าอาข้างๆ บ้านได้รู้ และที่สำคัญคือจะได้รีบไปรายงานข่าวให้กับทิพย์นาราในตลาดอีกด้วย งานนี้เงินก้อนโตคงจะลอยเข้ากระเป๋าอีกแล้ว เสียดายว่าไอ้กระดาษที่จดหมายเลขโทรศัพท์ของอินทุภาถูกน้าพรฉวียึดไปเสียแล้วไม่งั้นก็ได้กำไรสองต่อทีเดียว แต่ก็ชั่งเถอะแค่จากทิพย์นาราคนเดียวก็ได้กินขนมไปหลายวันแล้ว

    ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีเพราะไม่รู้ว่าถูกพาตัวมาทำไมและต้องการอะไร แต่การได้เห็นสองย่าหลานที่แม้จะทะเลาะกันบ้าง แต่กลับมีความรักให้แก่กันอย่างเห็นได้ชัดก็เรียกรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าขาวสวยได้ไม่ยาก

    ด้วยเพราะในบ้านเธอไม่เคยมีภาพแบบนี้ให้เห็นเลย แม้กระทั่งเวลาที่จะกินอาหารด้วยกันครบทั้งครอบครัวก็ยังไม่มีเลย ทุกวันพ่อจะต้องเอาแต่ทำงาน เลิกงานตอนเย็นก็ไปกินเลี้ยงสังสรรค์และตีกอล์ฟกับลูกค้า เพื่อนๆ บ้างก็มีอีหนูหน้าแฉลมร่วมวงด้วยแต่ไม่เคยมีเวลาให้คนในบ้าน

    ส่วนแม่ก็เช่นกัน วันๆ ก็ขลุกอยู่แต่กับเครื่องเพชรพลอย หรือไม่ก็งานการกุศล งานใดที่บริจาคแล้วมีชื่อขึ้นแม่เร่งทำทันที แต่งานใดที่ไม่เด่นดังแม่ไม่เคยผันหน้ามอง เพียงแค่คิดถึงเรื่องของคนในครอบครัวน้ำตาอุ่นร้อนก็เอ่อล้นคลอเบ้า ถึงแม้จะร่ำรวยแต่ไม่เคยมีความสุขและอบอุ่นอย่างเช่นครอบครัวของหนุ่มที่จับตัวมา แล้วก็ได้แต่แอบอิจฉาอยู่ในใจ

    เกล็ดแก้วผันหน้าหนีภาพแห่งความสุข แต่กลับหันไปเจอชายหนุ่มที่มามองด้วยรอยยิ้มกรุ่มกริ่มอยู่ใกล้ๆ แล้วก็รู้สึกขัดอกขัดใจขึ้นมาอีก แสงสว่างที่ส่องเขามาทำให้มองเห็นรูปร่างหน้าสามีกำมะลอได้ชัดขึ้น

    ใบหน้าคมคร้าม คิ้วเข้มหนาอีกทั้งดวงตาคมดุล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอน จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหนา ลำคอและเรือนร่างแข็งแกร่งได้รูป ถ้าให้คิดถึงรูปร่างตอนที่กำลังใกล้ชิดกันอยู่ ใบหน้าขาวสวยเห่อแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว บ้า...คิดอะไรของนะเกล็ดแก้วบ้าไปแล้ว ศีรษะทุยได้รูปรีบสะบัดเบาๆ สลัดความคิดเกี่ยวกับเรื่องรูปร่างของเทพออกไปจากสมอง แต่ความอบอุ่นยามที่ได้อยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง อีกทั้งริมฝีปากหนาที่บดเบียดกับเรียวปากนุ่มก็ทำให้วางเรื่องที่กำลังคิดอยู่ได้ยากเย็นเหลือเกิน

    “ลูกปัดไปปลุกน้าฉวีให้ลุงหน่อย”

    “โอ๊ย!!” ปานธิดาร้องเสียงดังเสียลั่นบ้านด้วยความเจ็บปวด ศีรษะทุยได้รูปส่ายแรงๆ จนเส้นผมกระจาย สองมือก็ยกขึ้นมาบอกปฏิเสธ “ไม่เอา ลุงกำนันไปเรียกเองซิ เดี๋ยวน้าฉวีด่าหนูอีก ไม่เอาด้วยหรอก” ร่างอวบอ้วนขยับไปนั่งด้านหลังผู้เป็นย่า สองแขนโอบรอบร่างเล็กเอาไว้อย่างต้องการที่พึ่ง เพราะความกลัวในรสมือที่จิกทึ้งลงบนเรือนกายแล้วแต่จะทำได้ และปากบางเฉียบที่มักจะคอยดุด่าและจิกกัดอยู่เสมอ คำที่สร้างความเจ็บปวดให้ทุกครั้งคือ...

    นังเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ นังเด็กพ่อทิ้ง

    “ไม่หรอกลูกปัด บอกว่าลุงเป็นคนเรียก”

    “เดี๋ยวแม่ไปเรียกเองก็ได้กำนัน” แก้วตาเสนอตัว เพราะต้องการตัดปัญหาต่างๆ

    “ไม่ต้องแม่ ผมใช้ลูกปัดให้ไปเรียกฉวี ถ้าหากเรื่องมากก็ไม่ต้องมาพูดกัน แล้วถ้าไปเรียกแล้วถูกฉวีด่ากลับมา ผมจะจัดการเอง” ธราเทพพูดเสียงเข้มงวด เคยเตือนมารดาหลายต่อหลายครั้งแล้ว เรื่องนิสัยของพรฉวีที่ด่าเก่ง และชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่น แต่มารดากลับเข้าข้าง ไอ้เขาก็งานยุ่งไม่ค่อยได้ดูแลมากนัก

    ปานธิดาอิดออดไม่อยากไป แต่เมื่อสบสายตากับผู้เป็นลุงแล้วรีบกดหน้างุด เพราะรู้ดีว่าถ้าไม่ทำตามจะต้องถูกผู้เป็นลุงลงโทษ แล้วเธอก็ไม่อยากถูกผู้เป็นลุงลงโทษด้วยการเมินหน้าหนี ไม่พูดไม่จาอีก ร่างป้อมๆ ลุกขึ้นเดินอย่างเชื่องช้าไปเคาะประตูห้องพรฉวีด้วยความขลาดกลัวและรังเกียจ

    “กำนันต้องการอะไรจากฉวีมันละ ถึงได้ให้นังลูกปัดไปปลุกนะ” แก้วตาอดถามไม่ได้ ดวงตาที่มองอะไรใกล้ๆ แทบไม่เห็นแล้วเพ่งมองหน้าสาวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของลูกชายอย่างงงๆ อยากจะเอ่ยถามให้ได้เรื่อง แต่ก็รู้ดีว่าถ้าเมื่อไหร่ลูกชายไม่อยากจะบอกขึ้นมา ต่อให้เอาคีมเหล็กไปง้างก็ไม่มีทางที่จะขยับปาก

    “อยากยืมเสื้อผ้าของฉวีให้ไพลินเขาใส่ก่อนนะแม่ เดี๋ยวหลังจากที่ดูแลเจ้าพวกข้างล่างเรียบร้อยแล้ว ค่อยพาไปซื้อในตัวเมือง แต่ถ้ายุ่งมากก็คงจะให้ซื้อที่ตลาดพรุ่งนี้”

    เมื่อได้ยินเช่นนั้นเกล็ดแก้วถึงกับยิ้มกระจ่างสดใส ถ้าได้เข้าไปในเมืองก็หาทางส่งข่าวบอกให้พ่อรู้ได้ แล้วให้ท่านสงคนมารับ แต่ก่อนอื่นก็ต้องรู้เสียก่อนว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วห่างจากกรุงเทพฯเท่าไหร่ จะว่าไปตอนถูกเอาตัวมาเงินทองก็ไม่มีติดตัวมาเลย ยกเว้นก็พวกเครื่องเพชรพลอยที่ติดตามตัวมา แต่ของพวกนี้ตอนซื้อราคาสูง แต่ตอนขายออกนี่แทบจะไม่มีค่ามีราคาไม่รู้ว่าจะได้สักกี่บาทกัน จะพอค่ากินและค่าเดินทางไปถึงกรุงเทพฯหรือเปล่าก็ไม่รู้

    “คิดอะไรอยู่หรือคร้าบคุณเมียสุดที่รักจ๋า” ธราเทพแกล้งถาม เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของสาวน้อยในอ้อมแขน

    ร่างโปร่งบางสะดุ้งเฮือก และรีบหันไปมองพร้อมปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เปล้า...เปล่าสักหน่อย ฉันจะคิดอะไรแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย”

    “แน่ใจ๋” ธราเทพยังแกล้งถามเสียงสูง คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างไม่ค่อยเชื่อในคำพูดหญิงสาวสักเท่าไหร่ นี่คงคิดหาทางหนีจากเขาละซิ

    “แล้วทำไม ฉันจะคิดอะไรมันหนักส่วนไหนของนาย แล้วไอ้คำบ้าๆ เมียจ๋า คุณภรรเมียสุดที่รักอะไรของนายนะ ก็เลิกเรียกได้แล้ว ได้ยินแล้วมันจักกะจี้หูและรำคาญ ได้ยินไหมว่ารำคาญนะ” ใบหน้าคมตวัดสายตาคมกริบไปมองธราเทพ แล้วอยากจะกางนิ้วทั้งสิบนิ้วฝากไว้บนใบหน้าคมคร้ามนั้นด้วย เพราะดูเหมือนว่าชายหนุ่มกำลังยิ้มชอบอกชอบใจเสียมากกว่าจะสนใจคำพูดของเธอ

    “แล้วถ้าผัวจะไม่เรียกละคุณเมียสุดที่รักจ๋า” ธราเทพถามกลับน้ำเสียงรื่นเริง แล้วยังมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า คิ้วคมเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูงและขยับยิกๆ เป็นคำถาม “ถ้าผัวจะไม่เรียกคุณเมียสุดที่รักจะทำยังไงละ จะตบด้วยจูบบนแก้มสากๆ ของผัวนี่หรือไงจ๊ะ” มือยาวใหญ่ยกขึ้นตบบนแก้มสากเบาๆ

    “ใช่...ฉันจะมอบจูบให้นายตามคำขอก็ได้ แต่ว่านะ ไม่ใช่จูบด้วยปากหรอกนะ แต่เป็นจูบด้วยไอ้นี่นะเอาไหม” เกล็ดแก้วแหวเสียงเขียว มือเรียวชี้ไปที่เท้าตัวเองอย่างโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่อยู่กับตาบ้านี่มาไม่เคยสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ได้สักครั้ง มีแต่พาลโมโหและเกรี้ยวกราดจนไม่รู้ว่าตอนนี้ไอ้หน้าสวยๆ นี่จะมีริ้วรอยขึ้นไปเท่าไหร่แล้ว

    “โธ่...ดูซิครับแม่ เมียผมนี่ร้ายจริงๆ แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เวลาที่สาวๆ พวกนั้นมาจะได้ไม่ต้องกลัวกันว่าจะสู้ไม่ได้ เอาเป็นว่าผมไม่เรียกเมียจ๋า หรือว่าคุณภรรเมียแล้วก็ได้ แต่...อ๊ะ...อ๊ะ...” นิ้วยาวใหญ่ยกขึ้นส่ายเบาๆ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนนะ ไม่งั้นก็ไม่ทำตาม”

    สองมือเรียวยกขึ้นกอดอก ทำปากขมุบขมิบอย่างคนที่กำลังใจความคิด แล้วลมหายใจอุ่นร้อนก็ค่อยๆ ผ่อนออกอย่างแผ่วเบาเมื่อมองไม่เห็นหนทางใดเลยที่ขัดความต้องการของเทพได้ “ก็ได้...ฉันจะทำตามข้อเสนอของนายก็ได้แต่ว่านะ ไอ้ข้อเสนอของนายมันก็ต้องไม่เกินความสามารถของฉัน”

    “อันมันชัวร์อยู่แล้ว” สายตาคมเป็นคำถามตวัดมองไปยังร่างหลานสาวที่เดินเข้ามานั่งเคียงข้างคนเป็นย่า “ว่าไงลูกปัด ไหนละน้าฉวีนะ”

    “น้าฉวีบอกว่าขอเวลาเดี๋ยวจ๊ะลุงแล้วจะรีบออกมา”

    “อือ...” ศีรษะทุยผงกรับรู้ แล้วหันไปทางเกล็ดแก้วที่นั่งกอดอกทำหน้าเชิดสูงอย่างไม่กลัวคอจะหัก “สำหรับคุณ ผมก็ไม่ขออะไรมากหรอก ก็เพียงแค่ให้อยู่ที่บ้านนี้ไปก่อนไม่คิดหนีแค่นี้เองคุณทำให้ผมได้ไหมละไพลิน ถ้าได้ไอ้ที่คุณขอผมก็โอเค ว่าไง?”

    หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงตากวาดมองไปทั่วบ้านหลังใหญ่อีกครั้ง ให้อยู่ที่บ้านหลังนี้โดยไม่หนีนะหรือ ไม่มีทาง บ้านโกโรโกโสไม่เหมาะกับลูกคุณหนูร่ำรวยอย่างเธอสักนิด ใครรู้เข้าเสียชื่อหมดสิ แต่ถ้าไม่ทำก็ต้องทนฟังไอ้บ้านี่เรียกเมียจ๊ะเมียจ๋าอะไรก็ไม่รู้อีกนะซิ แล้วจะเอาไงดียอมตกลงไปก่อนดีกว่าไหม แล้วค่อยหาทางหนี ใช่...วิธีนี้ดีที่สุดในตอนนี้ ไว้สมองปลอดโปร่งกว่านี้ก็ค่อยคิดหาทางหนีอีกครั้ง

    ศีรษะทุยพยักขึ้นลงเบาๆ “ได้...ฉันรับปากนายก็ได้ เฉพาะตอนนี้นะที่ยังไม่คิดหนี แต่อย่าเผลอละกัน เผลอเมื่อไหร่ฉันหนีเมื่อนั้น”

    “อ้าว...อย่างนี้มันเหมือนไม่ใช่การทำสัญญากันนี่น่า งั้นผม...”

    มือเรียวยกขึ้นชี้ใส่ร่างใหญ่  “เสียใจยะ นายรับปากแล้วห้ามคืนคำ เห็นไหม...” มือเรียวชี้กราดไปทั่ว “มีพยานรู้เห็นตั้งหลายคนทั้งแม่นาย หลานสาวนายด้วย หรือว่านายจะกลับคำพูด อย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็กเห็น” คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า

    “ก็ได้ ผมก็จะยอมแพ้แค่ในตอนนี้เท่านั้นนะคุณ ถ้าคุณผิดคำพูดที่ให้ไว้เมื่อไหร่ละก็...เรื่องยาวแน่” ชายหนุ่มคาดโทษเสียงเข้ม ถ้าเป็นคนอื่นๆ ที่รู้นิสัยชายหนุ่มดีว่าพูดคำไหนเป็นคำนั้นคงจะกลัวจนหัวหด แต่เกล็ดแก้วเพียงแค่นั่งยิ้มหน้าตาเฉยและยังยกไหล่ขึ้นอย่างไม่ยีระเสียอีก แล้วดวงตากลมโตยังจ้องไปที่ร่างใหญ่และถามด้วยน้ำเสียงแหลมเล็ก “เอาละทีนี้ก็มาพูดกันเรื่องอื่นต่อ เรื่องที่นายลักพาตัวฉันมาจากบ้านเพราะเหตุผลอะไร แล้วต้องการอะไรกันแน่”

    “หือ...” คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง อีกทั้งในดวงตาก็มีเครื่องหมายคำถาม “อีกแล้ว คุยกันที่ไรก็วกกลับมาเรื่องนี้ทุกที ผมบอกคุณตั้งกี่ครั้งแล้วไพลิน บอกจนปากจะฉีกถึงใบหูแล้วนะว่าคุณไม่ใช่ยัยเกล็ดแก้ว  กันติวัจน์ลูกคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็น เหยียบขี้ไก่ก็ไม่ฟ่อคนนั้น” ธราเทพยังคงยืนกรานคำพูดเดิม

    “ไม่เอาละไม่คุยเรื่องนี้แล้ว ว่าแต่ทำไมป่านนี้แล้วฉวียังไม่ยอมออกมาจากห้องเสียที นี่มันสายแล้วนะ จะนอนกินบ้านกินเมืองกันเลยหรือไง”

    “จะบ่นอะไรนักหนาพี่กำนัน” สาวน้อยร่างโปร่งเดินออกจากห้องมาทั้งที่ผมเผ้ายังยุ่งเหยิง “ยังไม่ทันแก่เลยบ่นอย่างกับหลวงพ่อที่วัดแนะ หรือว่าจะเปลี่ยนจากกำนันเป็นพระแล้ว บวชเมื่อไหร่หนูคงสบายหูขึ้นเยอะเลย”

    มือเรียวยกขึ้นปิดปากกลั้นอาการหาวหวอดๆ อย่างเสียอารมณ์ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะนังลูกปัดบอกว่าพี่ชายเรียกเพราะคุยธุระละก็ไม่ยอมตื่นมาเด็ดขาด เสียเวลานอนชะมัด เดี๋ยวผิวผ่องๆ ก็เสียหมด ใบหน้าที่พอกกับครีมราคาแพงก็จะมีริ้วรอยขึ้น แล้วอีกอย่างเพราะยังเกรงใจพี่ชายที่เป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว ไม่งั้นนะหรือนังพรฉวีคนนี้ไม่สนใจหรอก

    “ขอยืมเสื้อผ้าสักชุดสองชุดสิฉวี”

    “ห๊า...อะไรนะพี่กำนัน ขอยืมเสื้อผ้า จะเอาไปไหน จะเอาไปให้ใคร ไม่ให้หรอกเสื้อผ้าของหนูราคาไม่ใช่จะถูกๆ กว่าจะหาซื้อได้มาแต่ละตัวหนูต้องเข้าไปซื้อถึงในเมือง ไม่งั้นก็ฝากเพื่อนซื้อจากกรุงเทพฯ เรื่องอะไรจะให้กันง่ายๆ ละ” พรฉวีบอกปัดพร้อมทั้งยกเหตุผลต่างๆ นานามาอ้าง ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเพราะงกนั่นเอง

    เกล็ดแก้วเปะหน้าให้ใส่ เสื้อผ้าเฉิ่มๆ เชยๆ รูปทรงก็เหมือนกับหุ่นกระบอก แถมยังเอาผ้าสีแตกต่างกันสุดขั้วมาไว้ในชุดเดียวกัน บางสีก็แดงจัดเหมือนเลือด บางสีก็เหมือนกับผ้าเช็ดเท้าที่บ้านยังไงยังงั้น สู้ใส่เสื้อตัวหลวมโคร่งของอีตากำนันเทพนี่ยังจะดีกว่าอีก

    “ไม่ต้องหรอกนาย ฉันใส่เสื้อผ้าของนายไปก่อนก็ได้”

    เสียงใสแจ๋วที่ดังอยู่ใกล้พี่ชายเรียกความสนใจให้พรฉวีต้องรีบหันหน้าไปมองในทันที แล้วดวงตาเล็กหยีก็เบิกกว้าง ริมฝีปากอวบอิ่มอ้ากว้างจนแมลงวันแทบจะบินเข้าไปทำรัง แม้จะอยู่ในเสื้อผ้าบ้านๆ ของพี่ชายที่เป็นเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีตุ่นๆ แต่ก็ปกปิดความสวยงามของหญิงสาวคนนี้ไว้ได้เลย

    ก่อเกิดความอิจฉาในผิวพรรณผ่องใส วงหน้าขาวสวยรูปไข่ ดวงตากลมโต จมูกโด่งได้สันรับกับริมฝีปากเล็กรูปกระจับ อีกทั้งผมที่ยาวสลวยหนานุ่มเสียดายอย่างเดียวว่าผมนั้นไม่ได้เป็นสีดำ ไม่เช่นนั้นพวกแมวมองที่มาพาเธอเข้าประกวดนางงามคงจะต้องกราบกรานอ้อนวอนให้แม่สาวคนนี้เข้าประกวดแทนเธอแน่

    “คะ...ใครน่ะพี่กำนัน” พรฉวีถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ และโล่งอกขึ้นมานิดหนึ่งถ้าผู้หญิงหน้าสวยคนนี้เป็นเมียพี่ชายไอ้เรื่องที่จะเข้าประกวดเทพีแข่งกับเธอนั้นอย่าได้หวัง เพราะพี่ชายจะต้องห้ามไม่ให้ลงแข่งแน่นอน เพราะไม่ชอบเรื่องแบบนี้ขนาดเธอเองกว่าที่จะได้ประกวดก็ต้องอ้อนวอนแทบตาย

    “เมียพี่เอง ไหว้เสียซิฉวี”

    “ห๊า...พี่กำนันว่าอะไรนะ เมีย...”

    “อือ...ชื่อไพลิน”

    “อย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ใช่เมียอีตาบ้านี่ ฉันชื่อเกล็ดแก้ว กันติวัจน์”

    พรฉวีไม่สนใจคำพูดที่ออกจากปากสีแดงสดและอิ่มเต็มอย่างไม่ต้องใช้ลิปติกสีสวยอย่างเธอ “หนีตามพี่กำนันมาหรือไงจ๊ะ หน้าตาก็สวยดี แต่ทำไมหน้าหนาจังหนีตามผู้ชายมาเสียด้วย” ในเมื่อดูว่าต้นทุนทางร่างกายของหญิงสาวผู้มาใหม่จะเหนือกว่าก็หาเรื่องเล่นงานทางอื่นที่คิดว่าน่าจะใช้ได้

    เกล็ดแก้วแทบจะเต้นกับคำพูดที่ออกจากปากพรฉวี ร่างโปร่งเกือบจะลุกขึ้นไปตบอยู่แล้ว แต่กลับมาคิดได้ว่าไม่ควรเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ เธอเป็นใครแล้วยังบ้านนอกปากเสียนี่เป็นใครกัน หน้าตาเด๋อด่ายังกับคนรับใช้ที่บ้านตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ใบหน้าขาวสวยแย้มยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก

    “เสียใจด้วยนะ เผอิญว่าฉันนะมีการศึกษาพอที่จะไม่หนีตามคนบ้านนอกคอกมาหรอก เพียงแค่ว่าถูกไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้บังคับเอาตัวมา แล้วก็ระวังตัวไว้ให้ดีละกันเผลอเมื่อไหร่แม่เอาตำรวจมาจับแน่ ไม่ปล่อยให้ลอยนวลอยู่หรอก”

    “เอาน่าคุณ อย่าทำให้เรื่องเล็กต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่และมากเรื่องเลยนะ เอาเป็นว่าถ้าไม่ใช่ชุดของฉวีก็ใช้ของผมไปก่อนละกัน แล้วเดี๋ยวจะพาไปซื้อในเมืองหลังจากที่แวะลงไปหาลูกๆ หลานๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว” ธราเทพตัดบทเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ชักจะลุกลามไปใหญ่แล้ว “ว่าแต่ลูกปัดเมื่อกี้ลุงได้ยินว่ามีจมหมายมาถึงลุง อยู่ไหนละ”

    “อยู่ที่น้าฉวี” ปานธิดาตอบเสียงใสแจ๋ว

    “อะไรยะนังลูกปัด” พรฉวีหันมาแหวเสียงเขียวใส่ปานธิดาที่นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มเมื่อเห็นเธอขาดความมั่นใจ “แกนั่นแหละเป็นคนเก็บไว้นังเด็กไม่มีพ่อ” มือเรียวชี้ใส่หน้าหลานสาวอย่างไม่พอใจ นี่ถ้าพี่ชายไม่อยู่ละก็จะหยิกให้เนื้อเขียวเชียว หน็อยตัวเองเป็นคนเก็บเองพอหายแล้วมาโยนขี้ใส่ ชินักเด็กปากเสีย คอยดูนะวันหนึ่งจะตบให้คว่ำคาบ้านเชียว

    “หยุดนะฉวี ไปว่าหลานแบบนั้นได้ยังไงกัน เธอนี่ชักจะเอาใหญ่แล้ว” ธราเทพดุน้องสาวอย่างระอิดระอาใจ ถ้าจดหมายที่มาถึงเป็นจดหมายทางราชการและสำคัญละก็มีหวังเขาโดนนายอำเภอเรียกตัวไปตักเตือนแน่ โทษฐานไม่รับผิดชอบหน้าที่การงาน

    “นังลูกปัด เอ็งลองหาให้ดีๆ อีกรอบซิ เผื่อว่าลืมเอาไปตั้งไว้ตรงไหนบ้าง” นางแก้วตาที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยถามขึ้นอย่างต้องการช่วยเหลือลูกสาวไม่ให้ถูกพี่ชายดุด่ามากไปกว่านี้

    “ไม่เป็นไรแม่ เดี๋ยวผมลองโทรไปหาเพื่อนก็ได้ว่าช่วงนี้มีงานสำคัญอะไรหรือเปล่า” ธราเทพบอกอย่างตัดความรำคาญ เชื่อว่าเอกสารที่หายไปต้องเป็นฝีมือพรฉวีแน่นอน เพราะถ้าเป็นหลานสาวจะต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี  “ว่าแต่แม่ช่วยต้มน้ำร้อนให้หน่อยได้ไหม ขอกาแฟสักแก้วเมื่อคืนกว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว” มือใหญ่ยกขึ้นปิดปากกลั้นอาการง่วงที่เกิดขึ้น

    “คุณเอาด้วยไหมไพลิน” อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามอีกคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง

    “ไม่ยะ รีบๆ กินแล้วพาฉันไปอาบน้ำแต่งตัวจะได้ไปหาซื้อเสื้อผ้า เสร็จแล้วก็ส่งฉันกลับบ้านด้วย” เกล็ดแก้วสั่งเสียงยาวแล้วรีบเดินไปยังห้องที่เพิ่งจะเดินออกมา

    “อ้าว...แล้วนั่นจะไปไหน”

    “ไปให้ไกลๆ ไม่อยากเห็นหน้าดำๆ เหมือนถ่านของนาย” เกล็ดแก้วบอก ทั้งที่ความจริงแล้วผิวของธราเทพเป็นสีแทนอย่างหน้ามอง ผิดกับผิวขาวซีดของคนในเมืองที่อยู่ด้วย

    “ว้า...แล้วถ้าไพลินไม่อยู่ด้วย แล้วใครจะป้อนกาแฟให้ผมละ”

    “มือนายก็มีป้อนเองซิ หรือถ้าอยากให้ฉันป้อนให้ก็เตรียมไปนอนโรงพยาบาลเอาไว้ละกัน เพราะฉันจะป้อนทั้งแก้วโตๆ ที่นายกินนั่นแหละ”

    “ว้า...ใจดำจริงแฮะ เมียใครหว่า?”

    สองมือเล็กเรียวยกขึ้นเท้าสะเอว ใบหน้าเป็นสีแดงสด ดวงตาเป็นประกายเกรี้ยวกราด ลมหายใจหอบแรง “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ใช่เมียนายฮะไอ้บ้า พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ขืนพูดออกมาอีกคำเลือดหัวนายออกแน่” มือเรียวยกขึ้นชี้หน้าคมเข้มที่ยังยิ้มระรื่น

    “กำนันเล่นอะไรนะ แม่ไม่ชอบนะ” นางแก้วตาถามลูกชายอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ที่เอาผู้หญิงปากจัดมาเป็นเมีย ตอนนี้คนที่มีภาษีมาที่สุดสำหรับนางคือทิพย์นารานาราลูกสาวเจ้าของร้านขายของชำในตลาดที่มาแล้วไม่เคยมามือเปล่ามีข้าวของติดไม้ติดมือมาให้ตลอด แต่ร่างเล็กบางก็รีบเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อต้มน้ำร้อนตามที่ลูกชายขอ

    ใช่ว่าที่บ้านหลังนี้จะไม่มีกระติกน้ำไฟฟ้าหรอกนะ แต่การต้มน้ำร้อนกับเตาถ่านและหม้อดินใส่ใบเตยหอมลงไปก้านสองก้านให้กลิ่นหอมอ่อนและเย็น ทานแล้วชื่นใจกว่าหลายเท่านัก แล้วอีกอย่างดูเหมือนว่าธราเทพจะชอบแบบนั้นด้วยถึงได้ขอให้ต้มน้ำร้อนให้ทานบ่อยๆ

    ****************************

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×