คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
วิวาห์รักใต้เงาแค้น 1
“ณิชา ลูกจะทิ้งแม่กับอริญชย์ไปจริงๆ น่ะหรือ”
มารดาเอ่ยถามเสียงสะอื้นเจ็บปวด ลูกสาวแท้ๆ ของหล่อนกำลังจะไปอยู่ที่อื่น ทิ้งหล่อนและลูกสาวคนเล็กของตัวเองไว้ที่นี่ไม่ได้พาไปด้วย หัวใจของคนเป็นแม่เจ็บปวดยิ่งนักเมื่อลูกสาวในไส้ที่ตนเบ่งออกมาด้วยความยากลำบากและกว่าจะเลี้ยงให้เติบใหญ่ได้นั้นไม่คิดที่จะเหลียวแลแม่ที่แก่ชราอีกต่อไป
“ณิชาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วค่ะแม่ ณิชาเหนื่อยและเบื่อที่จะต้องมาอดมื้อกินมื้ออย่างนี้ ทำไมเราต้องมามีชีวิตแบบนี้ด้วยคะ ชีวิตบัดซบเฮ็งซวยอย่างนี้ ณิชาอยู่ไม่ได้หรอก กระท่อมปลายสวนแถมยังมาอาศัยเขาอยู่เล็กเท่าแมวดิ้นตาย ณิชาไม่สามารถอยู่ต่อไปได้จริงๆ ณิชาจะไปตายเอาดาบหน้าไม่จะยังไงก็ไม่ขอกลับมาที่นี่อีก”
พูดจบณิชาก็กระชากกระเป๋าจากมือมารดาอย่างแรงก่อนจะหันไปคว้าข้อมือลูกชายที่ยืนเยื้องไปเข้ามาใกล้ๆ
“รัชไปกับแม่”
ณิชาบอกเสียงสะอื้น หล่อนรู้ว่าหล่อนนั้นเลวและบาปแค่ไหนที่ทิ้งแม่และลูกสาวไว้ที่นี่กันเพียงสองคน ซึ่งแม่ของหล่อนก็แก่ชรามากแล้วลูกสาวของหล่อนนั้นก็อายุแค่หกขวบเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าตัวเองเลวแค่ไหนที่กล้าทิ้งผู้ที่ให้กำเนิด แต่หล่อนจำต้องเลือกเพราะเลือกได้เพียงหนึ่งคนที่ต้องพาไปด้วย
วีรัชชัยเด็กชายวัยสิบเอ็ดปีมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจเมื่อถูกมารดาคว้ากระชากข้อมืออย่างแรง เด็กชายหันไปมองหน้ายายที่มีน้ำตาไหลอาบสองแก้มเหี่ยวย่นด้วยวัยชรา เหนี่ยวรั้งไม่ให้ลูกสาวและหลานชายจากไปอย่างน่าสงสาร เด็กชายสงสารยายก็สงสารแต่พูดอะไรไม่ได้ เพราะด้วยความที่กลัวแม่มากกว่ายายจึงไม่กล้าที่จะพูด
“อย่าทิ้งแม่กับอริญชย์ไปเลยนะลูก อย่าทำอย่างนี้เลยลูกอย่าทิ้งแม่ไป”
คำอ้อนวอนและเสียงร้องไห้ของยายและมารดาดังระงมไปทั่ว ทำให้เด็กหญิงที่เพิ่งกลับจากการไปเก็บขวดที่ผู้คนกินแล้วทิ้งทั้งตามพื้นและถังขยะเพื่อนำไปขายให้ได้เงินมาเพื่อนำไปซื้ออาหารมาเลี้ยงชีพนั้นต้องเร่งฝีท้าวให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้รู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน
ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือการยื้อยุดฉุดกระชากกระเป๋าใบหนึ่ง แม่และยายกำลังทำอะไรกันเกิดอะไรขึ้น
“แม่... ยาย”
เสียงเรียกของเด็กหญิงทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหยุดการยื้อแย่งกระเป๋ากัน ผู้ใหญ่ทั้งสองหันไปมองเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนมองการกระทำของทั้งคู่อย่างสงสัย ใบหน้าเด็กน้อยนั้นเลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเหงื่อไคล ผมเปียสองข้างก็หลุดลุ่ยไม่เป็นทรง ความอยากรู้สื่อผ่านดวงตากลมใสบริสุทธิ์ที่มองจ้องมา
“อริญชย์”
ยายเรียกหาหลานสาวผู้น่าสงสารที่กำลังจะถูกแม่ทิ้งไป อริญชย์วิ่งเข้าไปหายายที่ผายมือออกรอให้หลานรักวิ่งเข้าสู่อ้อมแขน
“ยายจ๋า... แม่จ๋า... เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะ ทำไมแม่กับยายถึงร้องไห้ แล้วนั่นแม่จะไปไหนจ๊ะทำไมถือกระเป๋าเสื้อผ้า”
เด็กหญิงถามด้วยความสงสัยกับเหตุการณ์ที่เห็น
“แกมาก็ดีแล้ว ฉันกับตารัชจะไปอยู่ที่อื่น”
น้ำเสียงเย็นชาของมารดาที่เอ่ยออกมานั้นทำให้เด็กหญิงขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ
“ไปอยู่ที่อื่น พวกเราจะไปอยู่ที่ไนกันเหรอจ๊ะ”
หนูน้อยอริญชย์ยังคงไม่เข้าใจคิดว่าแม่นั้นจะพาตัวเองและยายไปอยู่ที่อื่น
“ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นฉันกับตารัชแค่สองคน ส่วนแกก็อยู่กับยายที่นี่”
จบประโยคของมารดา เด็กหญิงอริญชย์ถึงกับอึ้งตาโตในสิ่งที่ได้ยิน เด็กหญิงเริ่มเข้าใจแล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“มะ แม่จะไปอยู่ที่อื่นกับพี่รัช แล้วให้อริญชย์อยู่ที่นี่กับยานแค่สองคน หมายความว่าแม่กำลังจะทิ้งอริญชย์กับยายไปอย่างนั้นเหรอคะ”
“ฉลาดดีเหมือนกันนิ่ เข้าใจอะไรง่ายๆ อย่างนี่ก็ดีแล้วฉันจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย เสียเวลามามากพอแล้วไปเถอะตารัช”
ณิชาว่าพลางจูงมือลูกชายคนโตเดินจากมารดาและลูกสาวคนเล็กไปตามทางดินขรุขระอย่างเร่งรีบ หล่อนเองก็ใช่ว่าจะไม่เสียใจที่ทำอย่างนี้แต่หล่อนไม่มีทางเลือก จากคนที่เคยอยู่สุขสบายมาก่อนต้องมาลำบากลำบนอดมื้อกินมื้อไปวันๆ และนั่นจึงทำให้หล่อนตัดสินใจหาทางให้ตัวเองกลับไปมีชีวิตที่สุขสบายอย่างเดิม หล่อนไม่คำนึงถึงคำว่ากตัญญูกตเวทีที่ลูกๆ ควรจะมีต่อพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า มโนธรรมในจิตใจนั้นได้หายไปเพราะคำว่าลำบากคำเดียวที่ทำให้หล่อนละทิ้งมารดาผู้ให้กำเนิด
อริญชย์ผละจากอ้อมแขนของยายวิ่งตามมารดาและพี่ชายไปเพื่อขอร้องอ้อนวอนไม่ให้แม่ทิ้งตนและยายไป
“แม่จ๋า... แม่อย่าไป อย่าทิ้งริญและยายไปแม่จ๋า...”
เด็กหญิงวิ่งไปดักหน้ามารดาไว้ก่อนจะโผเข้ากอดเอาไว้แน่น
“แม่จ๋าอย่าทิ้งริญกับยายไปเลย อย่าทิ้งพวกเราไปเลยนะจ๊ะแม่ ริญสัญญาว่าจะไม่ดื้อไม่ซนจะทำทุกอย่างที่แม่สั่งให้ทำ จะเป็นเด็กดีว่าง่ายๆ นะจ๊ะแม่อย่าทิ้งพวกเราไปเลยนะจ๊”
เด็กหญิงขอร้องอ้อนวอนทั้งน้ำตาแต่คนเป็นแม่หาฟังไม่ ณิชาบีบจับเข้าที่ต้นแขนเล็กๆ ของลูกสาวอย่างแรงก่อนจะกระชากและผลักออกไปด้านข้างอย่างไม่ปราณี จึงเป็นเหตุให้เด็กหญิงล้มก้นกระแทกพื้น
“โอ้ย... แม่... จ๋า”
ถึงจะเจ็บเพราะก้นกระแทกพื้นอย่างแรงแต่กระนั้นเด็กหญิงก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเหนี่ยวรั้ง เด็กหญิงคลานท้าวเข้าไปหา มือเล็กๆ เกาะกุมข้อท้าวของมารดาเอาไว้แน่นไม่ยอมให้ก้าวต่อ
“ปล่อยสิไอ้เด็กบ้า ปล่อย”
คนเป็นแม่ด่าทอพลางสะบัดข้อท้าวให้หลุดจากมือเล็กที่เกาะกุมอยู่ เมื่อสะบัดหลุดได้ก็เร่งฝีท้าวให้เร็วขึ้น ไม่สนใจหันกลับมามองลูกสาวที่ร้องไห้และคลานตามอย่างน่าเวทนา เสียงร้องไห้และคำอ้อนวอนไร้ประโยชน์เมื่อคนเป็นแม่อย่างณิชากลายเป็นคนที่ไม่มีหัวใจไปแล้ว
“แม่จ๋า... พี่รัช อย่าไป อย่าทิ้งริญไป แม่ไม่รักริญแล้วเหรอ แม่... พี่รัชไม่รักริญแล้วเหรอ พี่รัชอย่าทิ้งริญไป กลับมาพี่รัชกลับมาหาริญ”
เด็กหญิงร้องอ้อนวอนพี่ชายที่เอี้ยวหน้าหันกลับมามอง เมื่อเห็นน้องสาวร้องไห้ปานจะขาดใจ เด็กชายก็น้ำตาไหลด้วยความสงสารก่อนจะเอ่ยกับมารดาเพราะไม่อาจทนเห็นน้องสาวและยายถูกทิ้งไว้ที่นี่ได้
“แม่ทำไมไม่พาน้องกับยายไปด้วย รัชสงสารน้องกับยาย พาน้องกับยายไปด้วยเถอะนะแม่”
พีรัชชัยเด็กชายวัยสิบเอ็ดปีเอ่ยขอร้องมารดาทั้งน้ำตาแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อแม่ของเขารู้สึกว่าจะใจดำยิ่งกว่าสัตย์เดรัจฉาน ขนาดหมามันยังรักลูกของมันแล้วจิตใจของณิชานั้นทำด้วยอะไรถึงกล้าทิ้งลูกสาวในไส้และแม่ผู้บังเกิดเกล้าได้ลงคอ
“ไม่ต้องมาพูดมากรีบๆ เดินเข้า” ณิชาไม่ฟังเสียงของลูกชายหล่อนหันมาตะหวาดใส่เสียงดัง เด็กชายน้ำตานองหน้าไม่สามารถช่วยอะไรน้องและยายได้
“แม่จ๋า...”
เด็กหญิงหมดแรงที่จะตามมารดาจึงทรุดตัวลงกับพื้นร้องไห้ปานจะขาดใจอย่างน่าสงสาร
“อริญชย์”
เสียงเรียกของยายดังขึ้นทางด้านหลัง เด็กหญิงหันไปมองยายด้วยน้ำตานองหน้าและไม่ได้ต่างอะไรไปจากยายเลยเช่นเดียวกัน
“ยายจ๋า... แม่ทิ้งเราไปแล้ว แม่ทิ้งเราไปทำไม ฮือ ฮือ...” อริญชย์ร้องไห้ซบอกยายเมื่อยายพยุงให้ลุกขึ้น เด็กหญิงไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงทิ้งเธอไป เธอไม่ดีหรือว่าดื้ออะไรอย่างนั้นเหรอ เด็กสาวถามตัวเองในใจ
“อย่าร้องไห้เลยลูกอริญชย์”
ส่วนยายนั้นก็เสียใจไม่ต่างจากหลานสาวเช่นกัน ลูกสาวกล้าทิ้งแม่ได้ลงคอ นี่หล่อนทำกรรมอะไรมาหนอ... ลูกสาวถึงได้อกตัญญูอย่างนี้
“ยายจ๋า... แม่ทิ้งเราสองคนไว้ที่นี่ทำไม ฮือ ฮือ แม่ทิ้งเราไปทำไม”
เด็กสาวเฝ้าถามยาย สะอื้นร้องไห้อย่างน่าสงสาร ยายนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจทั้งน้ำตาเช่นกัน อริญชย์ยังเด็กนักถูกแม่ทิ้งไปอย่างนี้จะทำอย่างไรต่อไปดี หล่อนนั้นก็แก่ชรามากแล้วไม่รู้ว่าจะอยู่เลี้ยงหลานได้อีกกี่ปี เมื่อสังขารของคนเรานั้นมันไม่เที่ยงไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตยืนยายพอที่จะได้เห็นหลานนั้นโตจนเป็นสาวได้หรือเปล่า
“อย่าร้องไห้เลยลูก ในเมื่อเขาอยากจะไปก็ให้เขาไปเถอะ รั้งยังไงเขาก็ไม่อยู่หรอก เลิกร้องซะนะอริญชย์”
มือที่เหี่ยวย่นเพราะความแก่ชรานั้นยกปาดน้ำตาให้หลานสาวผู้น่าสงสารอย่างสั่นเทา ใบหน้าเรียวเล็กอ่อนเยาว์เลอะคราบน้ำตาแหงนมองใบหน้าของยายที่มีน้ำตาไหลอาบสองแก้มเหมือนกัน มือน้อยเอื้อมปาดเช็ดน้ำตาให้ยายบ้าง หัวอกของคนถูกทิ้งทำให้สองยายหลานกอดกันกลมร้องไห้ ปลอบโยนด้วยอ้อมกอดของกันและกัน ต่อจากนี้ไปกระท่อมหลังน้อยนี้คงมีเพียงเด็กหญิงและยายอยู่กันเพียงสองคนเท่านั้นหรือ แม่และพี่ชายของเธอไปอยู่ที่ไหนกันทำไมไม่พาเธอและยายไปด้วย
“กลับเข้าบ้านกันเถอะลูก อย่าร้องไห้อีกเลยนะอริญชย์ เขาอยากทิ้งเราไปก็ให้เขาไปเถอะ เราอยู่กันสองคนก็ได้”
ยายนั้นพูดปลอบหลานสาวและเหมือนปลอบใจตัวเองไปด้วย เมื่อเริ่มเข้าใจสัจธรรมมากขึ้น คนเราเกิดมาก็เลี้ยงเขาได้แต่ตัวส่วนหัวใจนั้นไม่สามารถบังคับอะไรกันได้ อยู่ที่ว่าใครคนนั้นจะคิดได้ไม่ได้เท่านั้นเอง
“เราจะอยู่กันที่นี่สองคนได้จริงๆ หรือจ๊ะยาย”
เด็กหญิงเอ่ยถามพลางแหงนมองหน้ายายเมื่อหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังคงสะอื้นอยู่
“ได้สิลูกทำไมจะไม่ได้ล่ะ ถึงอยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่ให้ได้”
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่ยายพูดแต่เด็กหญิงก็พยักหน้ารับรู้
อริญชย์เป็นเด็กฉลาดหัวไวเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นั้นๆ ได้เป็นอย่างดี อย่างเช่นเมื่อตอนแรกๆ ที่ครอบครัวของหญิงเจอสภาวะล้มละลายไม่เหลืออะไรเลยแถมบิดายังมาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ทุกคนต้องระเหเร่ร่อนไปขออาศัยเขาอยู่จนมีชีวิตอย่างเช่นทุกวันนี้
เด็กหญิงไม่เคยปริปากบ่นเลยซักคำกับความลำบากที่ได้รับ แต่กลับเปิดใจยอมรับมันและทำวันนั้นๆ ให้ดีที่สุด ตามคำสอนของยาย คนเราเกิดมามีทั้งสุขและทุกข์เราต้องอยู่กับมันให้ได้ อย่าบ่นเงินน้อยอย่าคอยวาสนา เป็นคำสอนที่ยายสอนเธอมาตั้งแต่จำความได้ ถึงจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างมันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับเด็กหญิงนัก เธอเชื่อฟังยายทุกอย่างเป็นเด็กดีของยายเสมอมา
จากที่เคยเรียนโรงเรียนเอกชนใหญ่โตก็ต้องเปลี่ยนมาเรียนโรงเรียนรัฐบาล แถมยังโดนเพื่อนล้อว่าเป็นเด็กขยะอีกต่างหาก ที่ต้องโดนเพื่อนล้ออย่างนี้ก็เพราะว่าทุกวันหลังเลิกเรียนเด็กหญิงก็เที่ยวเดินหาเก็บขวดพลาสติกที่อยู่ตามพื้นตามถังขยะกลับบ้านด้วยทุกวัน เพื่อนำไปขายและเอาเงินที่ได้มาใช้จ่าย
เด็กหญิงไม่เคยโกรธที่โดนเพื่อนล้ออย่างนี้ เพราะยายบอกเอาไว้ว่าถ้าเราขยันซักวันก็ต้องมีเหมือนพวกเพื่อนๆ ที่โรงเรียน และนั่นจึงทำให้เด็กหญิงมีแรงฮึดเก็บขวดกลับบ้านทุกวัน เมื่อเก็บขวดได้เยอะๆ ก็ขายได้เงินเยอะๆ เหมือนเพื่อนๆ ที่ได้เงินไปโรงเรียนวันละหลายบาท นี่คือสิ่งที่เด็กหญิงนั้นเข้าใจ
เกือบอาทิตย์แล้วที่ณิชาและหลานชายได้จากไปอยู่ที่อื่น สองยายหลานก็อยู่กันตามลำพังอย่างเหงาหงอยเศร้าสร้อย อาหารการกินในแต่ละวันก็มีแต่น้ำพริกกับผักลวก เพราะเป็นอะไรที่หาได้ง่ายที่สุดแล้ว ผักที่นำมาเป็นอาหารในแต่ละมื้อก็เก็บเอาตามข้างทาง สองยายหลานกินอะไรที่ง่ายๆ เท่าที่จะหาได้
“ยายจ๋า... ริญจะไปเก็บขวดเดี๋ยวกลับมานะจ๊ะ”
จู่ๆ เด็กหญิงก็เอ่ยขึ้น หลังจากที่นั่งหน้าเศร้าเฝ้ามองทางอยู่ตลอดเวลา เพราะคิดว่าแม่และพี่ชายอาจจะกลับมาหาหรือมารับตนและยายไปอยู่ด้วย
“จะไปเก็บขวดอีกแล้วเหรอ... วันนี้ยายว่าไม่ต้องไปหรอก ดูท่าเหมือนฝนมันจะตก ถ้าฝนมันตกขึ้นมาจะกลับลำบากเอานะริญ”
“ริญไปแป๊บเดียวเองจ่ะยาย ฝนไม่ตกหรอก เดี๋ยวริญมานะ”
เด็กหญิงไม่รอฟังคำอนุญาตใดๆ สองท้าววิ่งอย่างรวดเร็วไปตามทางดินขรุขระ วันนี้เด็กหญิงบอกตัวเองในใจว่าขอดื้อสักวัน ที่บอกยายว่าจะไปเก็บขวดนั้นมันเป็นเพียงข้ออ้างหากแต่จริงๆ แล้วเด็กหญิงออกไปตาหาแม่และพี่ชายต่างหาก
อริญชย์คิดถึงแม่และพี่ชายจนทนไม่ไหว เด็กหญิงอยากเห็นแม่และพี่ชายทั้งที่ไม่รู้ว่าไปตามหาแล้วจะเจอหรือเปล่า ความคิดถึงนั้นมีมากกว่าที่จะคิดว่าไม่เจอ ถึงวันนี้จะไม่เจอพรุ่งนี้ก็ต้องเจอให้ได้ เด็กหญิงเชื่ออย่างนั้น
ทางที่จะเดินออกไปสู่ถนนใหญ่นั้นต้องเดินผ่านบ้านของคุณหมอวินัยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดรวมทั้งกระท่อมท้ายสวนที่เด็กหญิงนั้นอาศัยอยู่ด้วย เด็กหญิงมองบ้านหลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า ความรู้สึกเก่าๆ ก่อนที่จะไม่มีบ้านอย่างนี้อยู่วิ่งเข้ามาในใจให้เด็กหญิงหวนกลับไปคิดถึงมัน ครอบครัวที่เคยมีความสุขอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ พี่ชาย ยาย และตัวเอง กำลังนั่งทานข้าวกันอย่างมีความสุขอยู่โต๊ะอาหารนอกบ้านที่จัดเตรียมขึ้น เสียงหัวเราะสนุกสนานเมื่อพ่อเล่าเรื่องตลกให้ฟัง ตอนนั้นเด็กหญิงมีครบทุกอย่างแตกต่างจากตอนนี้ เด็กหญิงไม่มีอะไรเลยไม่มีพ่อไม่มีแม่ไม่มีพี่ชาย มีเพียงยายคนเดียวเท่านั้น
“พ่อจ๋า พ่ออยู่ที่ไหน ริญคิดถึงพ่อ แม่จ๋า... พี่รัชกลับมาหาริญเถอะ”
เด็กหญิงพูดกับตัวเองพลางร้องไห้ สองท้าวที่ก้าวเดินก็ค่อยๆ ก้าวอย่างช้าๆ ไปทีละก้าว เมื่อใกล้จะผ่านพ้นตัวบ้านไปคุณหมอวินัยก็ออกมาจากบ้านพอดี คุณหมอวินัยมองเด็กหญิงที่เดินก้มหน้าหงอยๆ ด้วยความแปลกใจ วันนี้อริญชย์ดูเหงาหงอยผิดปกติไปจากทุกครั้งที่เห็น เด็กหญิงมีใบหน้าที่ดูเศร้าซึมจนคุณหมดอดสงสัยไม่ได้จึงตะโกนเรียกถาม
“อริญชย์ จะไปไหนเหรอ”
เสียงที่ตะโกนถามทำให้เด็กหญิงหันไปหาเจ้าของเสียงทันทีและเมื่อเห็นเป็นคุณหมอเจ้าของบ้าน เด็กหญิงก็ยกมือไหว้ด้วยท่าทีอ่อนน้อมตามที่ถูกยายสอนมา เมื่อเจอผู้ใหญ่ที่รู้จักก็ให้ทำความเคารพ
“หนูริญกำลังจะไปไหนหรือจ๊ะ”
คุณหมอวินัยเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเดินเข้ามาใกล้เด็กหญิง
“ริญจะไปเก็บขวดและก็ตาหาแม่กับพี่รัชค่ะ”
เด็กสาวตอบตามซื่อแต่ทำให้คนฟังถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความแปลกใจระคนสงสัย
“อ้าว แม่กับพี่รัชไปไหนหรือจ๊ะ ทำไมหนูริญถึงต้องไปตามหา”
คุณหมอวินัยเริ่มสงสัยยิ่งกว่าเดิม แม่และพี่ชายของเด็กหญิงหายไปไหนกัน ทำไมถึงต้องออกไปตาหา เด็กหญิงอริญชย์มีท่าทีอึกอักและน้ำตาเริ่มคลอเบ้าก่อนจะปล่อยโฮร้องให้ออกมา และนั่นก็ยิ่งทำให้คุณหมอวินัยรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
ความคิดเห็น