คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #32 : Episode 22 นักดาบคนหนึ่ง [ภาคกลางวัน]
[ ช่วงที่ชูยะกำลังจะคุยกับคูแลนน์ ]
[ มุมมองของยูกิ ]
หลังจากพวกเรากลุ่มนักสืบบุโซร่วมประชุมเรื่องงานไหว้วานใหม่
ตัวฉันที่ได้รับกำลังใจจากคุนิคิดะตบท้ายก็เดินออกมายังโซนทำงานจนได้พบกับฟุมิโกะที่กำลังนั่งคุยกับดาไซอย่างหอมปากหอมคอ
แน่นอนว่าทางนักสืบจิตพิลึกมีสีหน้าสุดแสนจะอิ่มเอม ยิ้มชื่นบานยามได้อยู่กับสาวๆ
คือแบบบางทีก็ทำเอารู้สึกเอือมๆ
แปลกๆ ยังไงพิลึก
“เอ่อ...เอาเป็นว่าพวกเราเข้าคาเฟ่กันก่อนดีกว่าเนาะ”
ฉันมองคู่สนทนาด้วยความเอือมระอาพร้อมพาอัตสึชิกับเคียวกะเดินลงไปยังเป้าหมาย
ส่วนกลุ่มนักสืบแว่นและสองพี่น้องทานิซากิก็เริ่มปฏิบัติงานตามแผนการ
โดยระหว่างนั้นดาไซได้แอบขยิบตาส่งให้ด้วยความเล่ห์เหลี่ยมตามประสาหนุ่มขี้หลี
แต่ทำไม...มันดูเหมือนมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่นะ
“...”
อืมม...
เอาเถอะ...ถ้าเขามีความคิดอะไรในหัวจริงๆ ก็คงจะเฉลยอีกไม่นานแหละ
ตึก...ตึก...ตึก
พวกเราสามคนเลือกที่จะเดินลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์เพราะไม่ค่อยจำเป็นอะไรมากมาย
ซึ่งในระหว่างนั้นเด็กสาวชุดกิโมโนถือโอกาสนี้ขอเปิดประเด็นพูดคุยกับฉัน
“คุณยูกิ...ฉันอยากเจออิชิคาวะ เรียวโกะ ไวๆ จัง...”
“นั่นสินะ...ช่วงนี้เรียวโกะคงจะไม่ได้แวะเวียนมาหาฉันบ่อยๆ
ซะด้วยสิ เธอคนนั้นกำลังทัวร์เมืองตามประสานักท่องเที่ยว แถมยังไม่รู้ว่าพักผ่อนอยู่ที่ไหน”
“เอ๊ะ...? คุณเรียวโกะไม่ได้บอกเรื่องนั้นเลยเหรอครับ
คุณทาจิบานะ”
“ไม่เลยจ้ะ...แต่ฉันเชื่อว่าสักวันเธอต้องบอกอย่างแน่นอน” ฉันพูดอย่างมีความคาดหวังพร้อมหันหน้าส่งรอยยิ้มบางให้เสือสมิงผมขาวตบท้าย
“นั่นสินะครับ ผมเองก็หวังเอาไว้แบบนั้นเหมือนกัน”
“ฉันก็เหมือนกัน...”
ทั้งอัตสึชิกับเคียวกะต่างแสดงถึงความคาดหวังเหมือนกันแล้วค่อยเริ่มเดินลงบันไดต่อจนถึงชั้นล่างสุดก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าคาเฟ่อิสึมากิ
กริ๊ง~
เสียงกระดิ่งน้อยๆ
ดังต้อนรับพวกเราพร้อมกับบรรยากาศแสนอบอุ่นเหมือนเคย ธีมห้องสีน้ำตาลบวกกับเหล่าเก้าอี้นุ่มสีเขียวที่แสดงให้เห็นถึงความสบายใจ
ยิ่งได้จิบเครื่องดื่มอันโปรดปรานยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยบนท้องฟ้า
แต่สิ่งที่เพิ่มเติมในครั้งนี้คือ
ร่างของชายหนุ่มชุดคลุมดำและมีผมดำปลายขาว ซึ่งกำลังนั่งจิบชารอรับฟังงานไหว้วานใหม่
มันจะเป็นใครที่ไหนได้นอกจากเจ้าของราโชมอนอย่างอาคุตางาวะนั่นเอง
“...? เสือสมิง? นี่แกร่วมงานในครั้งนี้ด้วยงั้นเหรอ...” เขาสังเกตเห็นอัตสึชิคนแรกแล้วขมวดคิ้วจ้องมองอย่างสงสัย
(แม้จะไม่มีคิ้วให้เห็นก็เถอะนะ...)
“ผมกับคุณทาจิบานะเป็นเพื่อนร่วมงานด้วยกันอยู่แล้วนี่
ไม่เห็นมีอะไรต้องแปลกตรงไหนเลย”
“ฮึ...กระผมคิดไว้แล้วว่าต้องพูดแบบนี้...ใช้คำว่า เพื่อนร่วมงาน มาอ้างได้ตลอดจริงๆ”
“อย่างน้อยก็ดีกว่าแกละกันที่หาคำว่า
ความแข็งแกร่ง กับ คุณดาไซ มาอ้างตอนสังหารคนอื่น”
“ว่าไงนะ...”
เอาอีกแล้ว...จะจิกกัดเหมือนเด็กไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย
ฉันมองสองหนุ่มขาวดำพลางถอนหายใจแบบเอือมระอาปนกับความเหนื่อยหน่ายเหมือนตัวเองกำลังเลี้ยงเด็กน้อยก่อนที่จะพานั่งลงฝั่งตรงข้ามหนุ่มพอร์ตมาเฟียแล้วค่อยเริ่มอธิบายรายละเอียดงานอย่างไม่รีรอ
.
..
...
....
.....
“อย่างนี้นี่เอง...เธอคนนั้นหายตัวไปเหมือนคดีก่อนๆ สินะ”
“อืม...ไร้การติดต่อกลับมา
แถมยังไม่มีท่าทีพร้อมรับสายตอนโทรไปด้วย หวังว่าพวกเราจะตามหาเจอเร็วๆ ละกัน...” ฉันค่อยๆ ยกศอกขวาขึ้นชันโต๊ะและกุมขมับทันทีที่พูดจบด้วยความกังวล
“คุณยูกิ...” เคียวกะนั่งจับแขนเสื้อฮู้ดหูกระต่ายของฉันไว้แล้วดึงเบาๆ
เชิงปลุกกำลังใจ “ไม่ต้องกังวลหรอกนะ...พวกเราต้องเจอคุณยาสุอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้วครับ...ไม่มีทางที่พวกเรากลุ่มนักสืบบุโซจะทำงานพลาดแน่นอน”
“...” อาคุตางาวะเงียบปากไม่ออกความเห็นใดๆ
พร้อมหยิบรูปภาพสองสาวบนโต๊ะขึ้นมองพิจารณา “งั้นเริ่มงานเลยดีกว่านะ...ทาจิบานะ พวกเราไม่ควรใช้เวลานานโดยใช่เหตุแบบนี้แล้ว”
“อะ...อื้ม งั้นเดี๋ยวฉันขึ้นไปเรียกคุณฟุมิโกะเองละกันเนาะ”
ว่าจบฉันก็ค่อยๆ
ลุกออกจากเก้าอี้และบอกให้ทั้งสามคนที่เหลือนั่งรอในคาเฟ่แห่งนี้ก่อนที่จะเดินออกไปยังสำนักงานนักสืบบุโซ
เพื่อเริ่มต้นงานไหว้วานใหม่ตามหาเพื่อนสาวที่กำลังหายตัวไป
“...”
หวังว่าริปเปอร์จะไม่ดื้อทำอะไรกับคุณยาสุละกัน...
ห้านาทีผ่านไป
ตึก...ตึก...ตึก
ณ ตอนนี้พวกเราห้าคนต่างเดินริมถนนท่ามกลางบรรยากาศช่วงกลางวันที่ยังมีผู้คนบางส่วนเดินเพ่นพ่านอยู่
บ้างก็กำลังนั่งพักผ่อนหย่อนใจ บ้างก็ทำการซื้อขายภายในร้านขนาดย่อม หันมองรอบๆ
ไม่มีวี่แววของกลุ่มนักเรียนนักศึกษาแม้แต่ปลายเส้นผม
เหล่ารถยนต์ขับจราจรไม่มากเสียเท่าไหร่
ดูท่าทางปกติดีจริงๆ
แหละ ถ้าเกิดไม่นับกลุ่มคนที่ยังซึมๆ เมื่อฮารุกิหายไปอ่ะนะ
“จะว่าไปคุณดาไซได้คุยเรื่องอะไรกับคุณงั้นเหรอครับ
คุณอิเคโดะ” อัตสึชิหันมาถามลูกค้าสาวด้วยความสงสัยหลังพบว่ามีบรรยากาศที่ดูชื่นบานชื่นใจ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ
เขาแค่อยากอยู่เป็นเพื่อนตอนที่พวกคุณเข้าห้องประชุมเท่านั้นเอง”
สรุปดาไซแอบเนียนม่อสาวจริงๆ
เหรอเนี่ย...
“ยะ...อย่างนี้นี่เอง
แต่พอเห็นพวกคุณนั่งพูดคุยด้วยกันอย่างหอมปากหอมคอแบบนี้
แปลว่าคุณฟุมิโกะคงถูกใจดาไซแน่ๆ เลยค่ะ”
“กระผมว่าคนที่ดูท่าทางถูกอกถูกใจน่าจะเป็นคุณดาไซมากกว่า...แค่สีหน้าก็บ่งบอกแล้ว” อาคุตางาวะพูดต่อจากฉันก่อนที่จะยกมือปิดปากไอสองสามรอบเหมือนเคย
“นั่นสิ...อาคุตางาวะคุงพูดถูกจริงๆ แหละเนาะ”
ต่อจากนั้นพวกเราก็หมดคำพูดอื่นใดพร้อมเดินทางและชมบรรยากาศแสนสงบต่อเรื่อยๆ
รวมถึงการเหลือบหาเพื่อนสาวของฟุมิโกะอย่างยาสุไปพลางๆ เผื่อบังเอิญพบเจอระหว่างทาง
แต่ดูท่าทางว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
ตึก...ตึก...ตึก
“...”
อืมม...จะว่าไปทางชูยะเป็นไงบ้างนะ
เห็นริปเปอร์เล่าในฝันเมื่อคืนให้ฟังว่าเขาใช้พลังพิเศษจนเกินขีดจำกัดของตัวเอง
แถมยังเกือบตายถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากนักสืบผมน้ำตาลผู้มีพลังลบล้างพลังพิเศษเพียงแค่ปลายนิ้ว
“ยูกิเอ๋ย...คืนนี้เจ้ามีเรื่องอะไรกังวลในใจหรือไม่”
“เอ๊ะ...? ทำไมจู่ๆ ถึงได้...”
“ข้าสัมผัสได้ถึงหัวใจเจ้าที่กำลังมีคำถามอยู่...”
“งะ...งั้นตอนที่ฉันสลบลงไป...เกิดอะไรขึ้นกับชูยะบ้าง”
“ฮืม…เพื่อนพอร์ตมาเฟียผมส้มนั่นคอยปกป้องเจ้าและสู้ด้วยพลังทั้งหมด
แต่เขาดันใช้มากเกินขีดจำกัด”
“เกินขีดจำกัด...”
“พลังพิเศษของนากาฮาระ
ชูยะ...นอกจากควบคุมพลังแรงโน้มถ่วงเองแล้ว
ยังถูกแรงโน้มถ่วงควบคุมด้วยพลังอันแท้จริงอย่างมลทิน มีผลต่อร่างกายทุกส่วน
รวมถึงจิตใจที่ถูกครอบงำด้วย”
“อึ่ก...ยะ...อย่าบอกนะว่าเขา...”
“แต่อย่าได้กังวลใจไป...เขากำลังอยู่ในการพักฟื้นอยู่ หากตื่นเช้ามา...อาจจะหายดีก็ได้”
“ชูยะ...”
ตื๊ดด~
ตื๊ดด~ ตื๊ดด~
ระหว่างที่กำลังเดินนึกคิดถึงเรื่องชูยะ
เสียงโทรศัพท์สั่นก็ดังขัดจังหวะพอดี
พอลองหยิบขึ้นมาดูบนหน้าจอพบกับหมายเลขของเจ้าตัวเหมือนมีตาพันลี้บอกว่าเขาจะโทรมา
ฉันขอตัวแยกจากพวกอัตสึชิสักสามเมตรก่อนที่จะกดรับสายทันที
“ฮัลโหล...นี่ยูกิเอง มีเรื่องอะไรอยากคุยรึเปล่า ชูยะ”
“เอ่อ...คืองี้นะ ยูกิ ช่วยมาหาที่ร้านคาเฟ่ประจำสำนักงานนักสืบได้รึเปล่า”
น้ำเสียงที่ได้ยินนั้นทำเอาฉันรู้สึกโล่งใจเพราะดูท่าทางจะสบายดีขึ้นแล้ว
แต่แอบแปลกใจเหมือนกันที่จู่ๆ
เขาก็เรียกให้คุยในสถานที่ที่เพิ่งเดินออกมาเมื่อห้านาที
“เอ๊ะ...? ตอนนี้เลยงั้นเหรอ...”
“ใช่...อีกอย่างฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอเยอะเลย กลัวว่ามันจะคาใจอีกนานน่ะ”
เรื่องคาใจ...? ใช่เรื่องเมื่อคืนที่ร่วมสู้กับฮารุกิแล้วใช้พลังพิเศษเกินขีดจำกัดรึเปล่านะ
จากใจจริงก็ยังเป็นห่วงอยู่ แต่ไม่รู้ว่าร่างกายตอนนี้ฟื้นฟูเต็มที่รึยัง
ถ้าลองกลับไปคุย...คิดว่าน่าจะทันอยู่แหละนะ
ฝากฝังให้นักสืบและมาเฟียสามคนคอยช่วยฟุมิโกะแทนไปก่อนก็คงไม่เลวร้ายอะไร
“งั้นฉันขอบอกผู้ว่าจ้างงานก่อนละกัน...ถ้าได้คำตอบยังไงเดี๋ยวจะติดต่อกลับไป โอเคเนาะ”
“อะ...อ่า...ฉันจะรอละกันนะ”
ติ๊ด!
เมื่ออีกฝ่ายพูดจบก็รีบกดวางสายภายในช่วงเสี้ยววินาทีปานสายฟ้าแลบ
ฉันยืนมองโทรศัพท์ด้วยความงุนงงได้สักพักแล้วค่อยเดินกลับไปบอกฟุมิโกะเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เอ่อ...คุณฟุมิโกะ พอดีฉันต้องกลับไปคุยธุระตรงๆ กับเพื่อนร่วมงานที่คาเฟ่น่ะค่ะ
เพราะงั้นเดี๋ยวจะฝากให้พวกอัตสึชิคุงคอยช่วยเดินตามหาไปพลางๆ ก่อน”
“อ่อ...ได้ค่ะ หวังว่าจะไม่คุยนานมากเกินนะคะ
เพราะพวกเราไม่มีทางรู้เลยว่ายาสุจังอยู่ที่ไหน”
“นั่นสินะ...แต่ไว้วางใจพวกกระผมได้เลย...ทาจิบานะ มีคนช่วยสามคนก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“อื้ม...ฝากด้วยนะ อาคุตางาวะคุง อัตสึชิคุง เคียวกะจัง” ฉันกล่าวขอบคุณพร้อมฝากฝังงานให้ทั้งสามคนแล้วเดินออกมา
มือขวาหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหาเบอร์ของหนุ่มพอร์ตมาเฟียผมส้มและแนบหูรออีกฝ่ายรับสาย
“...”
.
..
...
“ฮัลโหล ยูกิ”
“ตอนนี้ฉันคุยกับผู้ว่าจ้างเรียบร้อยแล้ว...เดี๋ยวรออีกแป๊บเดียวเนาะ ในระหว่างนั้นก็ฝากสั่งนมสดอุ่นเผื่อให้---”
“คุณทาจิบานะ!!
ระวังด้านหลัง!!”
เอ๊ะ...?
ช่วงวินาทีที่ฉันกำลังคุยโทรศัพท์กับชูยะแล้วยังไม่ทันได้จบประโยค
เสียงเรียกจากปากอัตสึชิดังขึ้นเชิงเตือนให้ระวัง พอหันมองกลับไปจึบพบว่าร่างของฟุมิโกะเดินตามมา
เธอถือท่อนไม้ที่มีลักษณะคล้ายดาบไม้ก่อนที่จะจับด้ามฟาดมายังไหล่ขวาอย่างเต็มแรง
ปึก!!
“อ๊ะ...!”
ด้วยความรุนแรงที่ทุ่มเข้าใส่
ทำเอาฉันรู้สึกเจ็บแปร๊บทั่วแขน หนำซ้ำเธอยังพยายามเล็งปลายไม้เตรียมแทงกลางอก ซึ่งยังดีที่มีแขนอีกข้างว่าง
จึงต้องยอมใช้มันเพื่อป้องกันไว้ แน่นอนว่ามันเจ็บมาก ขาสองข้างเดินเซถอยเข้าซอกหลืบจนล้มลงพื้น
นี่มัน...เกิดบ้าอะไรขึ้น...
“ฮึๆๆ
รู้สึกดีจังเลยน้าา...ขอบใจมากที่ยอมรับงานตามหาเพื่อนฉันในครั้งนี้”
“คุณ...ฟุมิโกะ...?”
ตึก...ตึก...ตึก
เสียงรองเท้าส้นสูงดังเป็นจังหวะเดินช้าๆ
หญิงสาวผมสีเบจมองลงมาด้วยสีหน้าค่อนไปทางเหยียดหยามบวกกับรอยยิ้มมุมปากที่สัมผัสได้ถึงความชั่วร้าย
ราวกับว่าเป็นไปตามแผนเรียบร้อย เธอก้มลงหยิบโทรศัพท์จากมือฉันในจังหวะทีเผลอ
“...!?” คุณฟุมิโกะ...เมื่อกี้มันหมายความว่าไงกันคะ...”
“ก็แหม...ได้ยินข่าวลือว่าเธอมีค่าหัวสูงชะลูดจนเป็นราคาเศรษฐีเลยนี่นา
แถมรอบนี้ยังอุตส่าห์แบ่งกลุ่มแยกกันตามหายัยยาสุด้วย
เพราะงั้นเกราะป้องกันของเธอลดน้อยลงแล้วล่ะ”
ค่าหัว? บะ...บ้าน่า ถ้าเป็นคนธรรมดาจริงๆ
ข่าวลืออะไรนั่นมันไม่ควรกระจายถึงชาวเมืองทั่วไปนอกจากสามองค์กรไม่ใช่เหรอ
แล้วเธอคนนี้...เป็นใครกันแน่...
เรื่องที่บอกว่าเพื่อนหายไปนี่คืออะไร...
“อึ่ก...นี่คุณได้ทำอะไรกับคุณยาสุไว้รึเปล่า...”
“ยัยนั่นน่ะ...กำลังโดนหลอกให้ไปเช่าหนังสืออยู่
ถึงตามหายังไงก็คงไม่เจอหรอก” อีกฝ่ายบอกความจริงพร้อมลองกดปุ่มให้เปิดโหมดลำโพง
“ยูกิ!! ได้ยินรึเปล่า!! รีบหนีออกมาเร็วเข้า!!”
ชะ...ชูยะ...!?
ติ๊ด!
“ชิ...เป็นผู้ชายที่น่ารำคาญจริง
บังอาจขัดขวางแผนการของฉันได้ลง” เธอฟังด้วยสีหน้ารังเกียจและชิงชังก่อนที่จะกดวางสายตัดหน้า
“คบหาเพื่อนมาเฟียแบบนี้สมกับเป็นเธอจริงๆ แหละนะ กาลกิณี...ทาจิบานะ ยูกิ”
“กาล...กิณี?”
“เธอไม่เคยรู้ตัวเหรอว่าตัวเองต่ำตมมากแค่ไหนหลังจากฆ่าพ่อแม่ตัวเอง...”
“...!!?”
“เอาเถอะ...เรื่องไร้สาระในอดีตคงไม่สำคัญต่อไป เดี๋ยวอีกไม่นาน
‘คนๆ นั้น’
ก็จะได้ปรากฏตัวให้พวกเธอเห็นหน้าเห็นตากันแล้ว...”
สิ้นเสียงเมื่อครู่ปุ๊บ ฟุมิโกะได้ทำการจับกระโปรงทรงเอฉีกออกข้างเดียว
เปลี่ยนต่างหูกับสร้อยคอเป็นรูปใบโคลเวอร์สีดำ เธอจับโทรศัพท์ของฉันโยนขึ้นเหนือหัวและกำด้ามดาบไม้แน่นทำท่าเตรียมฟาดฟันเหมือนเบสบอล
แต่ทว่า...
ฟ่ออ~
เสียงอสรพิษตัวหนึ่งร้องขู่พร้อมกับการปรากฏตัวท่ามกลางควันสีดำด้านหลัง
พอหันมองทางต้นเสียงก็พบกับร่างของแคทเชอร์เปล่งแสงนัยน์ตาสีม่วง
ทำให้รู้ว่ามันเริ่มแสดงอารมณ์ความโกรธเป็นครั้งแรก
จากนั้นก็รีบพุ่งไปคาบโทรศัพท์กลับมาให้จนต้องรับกรรมโดนฟาดบนหัวแทน
“...!! แคทเชอร์...!!” ฉันพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่งคุกเข่าพร้อมจับดึงลำตัวเข้ามาหาก่อนที่จะลูบหัวปลอบด้วยความเจ็บใจลึกๆ
“ทำไมต้องมารับกรรมขนาดนี้ล่ะ...ไม่เจ็บปวดเลยงั้นเหรอ...”
“...”
มันหันหน้ามองแล้วพยายามคลอเคลียมือ ไม่มีท่าทีเจ็บปวดใดๆ จนกระทั่งส่งโทรจิตทิ้งท้ายก่อนสลายหายไปกับควันเอาไว้ว่า ไม่อยากให้อุปกรณ์สื่อสารอันสำคัญต้องพังทลายเพราะมีเบอร์ของเหล่านักสืบบุโซและพอร์ตมาเฟียบันทึกอยู่
แม้ต้องรับกรรมแทน มันก็จะยอมทำเพื่อฉันทั้งหมด
“อึ่ก...ยะ...อย่างน้อยก็ต้องหลบบ้างสิ
เจ้าบ้า...”
“ฮึ...คนอะไรพูดคุยกับสัตว์ประหลาดแบบนี้...สมกับเป็นกาลกิณีจริงๆ
เลยนะ”
“ไม่ใช่!! พลังพิเศษของคุณทาจิบานะไม่ใช่สัตว์ประหลาดสักหน่อย!!”
ช่วงวินาทีนั้น อัตสึชิก็เดินเข้ามาเผชิญหน้ากับฟุมิโกะพร้อมพูดประโยคเมื่อครู่ด้วยความมั่นใจและเชื่อใจในตัวอสรพิษของฉัน
เขายืนจ้องมองในขณะที่มือทั้งสองกำหมัดไว้แน่น
“หืมม...?” หญิงสาวผมสีเบจส่งสายตาจิกแล้วค่อยเริ่มจับดาบไม้เผชิญหน้าทางเสือสมิง
“เด็กน้อยอย่างนายคงจะไม่เข้าใจคำว่ากาลกิณีมากพอสินะเนี่ย”
“...ผมรู้ว่าคุณทาจิบานะต้องไม่ใช่กาลกิณีแน่ๆ ทุกอย่างมันต้องเปลี่ยนแปลงได้
ถ้าลองปรับเปลี่ยนมุมมองของตัวเองบ้าง...คุณจะรู้ได้เลยว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดเสมอไป”
“อัตสึชิคุง...”
“ชิ...น่าหมั่นไส้ซะจริง ทำตัวเหมือนพระเอกไปได้ ถ้างั้น...”
อีกฝ่ายเว้นช่วงประโยคพร้อมควงอาวุธไม้เพื่อเตรียมเข้าสู่โหมดต่อสู้รูปแบบซามูไร
“ลองจัดสักดอกจะดีกว่ามั้ยล่ะ...เจ้าหนู”
ตึก...ตึก...ตึก
“ถอยไปซะ...เสือสมิง กระผมขอจัดการเหยื่อครั้งนี้เอง”
เสียงรองเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะเดินบวกกับคำพูดเมื่อครู่ดังจากทางด้านหลังนักสืบผมขาว
แน่นอนว่าต้นเสียงนั้นเป็นของมือสังหารประจำองค์กรพอร์ตมาเฟียอย่างอาคุตางาวะ
รวมทั้งร่างของเคียวกะที่เดินสมทบเคียงข้าง
“คุณอัตสึชิ...รีบพาคุณยูกิตามหาคุณยาสุดีกว่านะ พวกฉันสองคนจะช่วยจัดการเรื่องคุณฟุมิโกะเอง...”
“อาคุตางาวะคุง...เคียวกะจัง...” ฉันมองพวกเขาที่อาสาช่วยเป็นคนถ่วงเวลาก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นยืนในสภาพบาดเจ็บบริเวณไหล่ขวาและแขนซ้าย
“ใครจะไปยอมปล่อยให้ขัดขวางกันเล่า!!”
“คุณทาจิบานะ...!!” อัตสึชิรีบใช้พลังพิเศษเปลี่ยนรูปแขนขาเป็นเสือสมิงแล้วพุ่งเข้ามาคว้าร่างฉันไว้ในจังหวะที่ฟุมิโกะกำลังจะฟาดดาบไม้กลางหัว
ซึ่งอย่างน้อยก็หลบหลีกได้ทัน “งั้นฝากด้วยล่ะ...อาคุตางาวะ เคียวกะจัง”
“รับทราบ...”
“ไม่ต้องบอกกระผมก็รู้หน้าที่อยู่แล้วแหละน่า...”
“ไปกันเถอะครับ คุณทาจิบานะ!”
“อื้ม...!”
ว่าจบพวกเราสองนักสืบเริ่มพากันหนีออกจากซอกหลืบแห่งนี้และมุ่งหน้าตามริมถนนที่ค่อนข้างปลอดคน
ทำให้เคลื่อนไหวไปมาได้สะดวกยิ่งขึ้น ในระหว่างนั้นก็เหลือบซ้ายขวาเพื่อมองหายาสุแต่ยังไม่พบวี่แววแม้แต่นิด
ตึกๆๆๆๆ
“...?”
ช่วงที่กำลังสับเท้าวิ่งนั้น สายตาฉันได้เหลือบเห็นร่างผู้หญิงคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมตัวสีดำ
ไม่ใส่ฮู้ดคลุมหัว เมื่อลองมองพิจารณาทรงผมกับใบหน้าของเธอ พบว่ามีทรงผมสั้นสีน้ำตาลเข้ม
นัยน์ตาสีเหลืองทองสว่าง ผิวคล้ำ แน่นอนว่าคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี
“เรียวโกะ...?”
“...” เธอยืนมองพวกเราบนตึกสูงนิ่งๆ ก่อนที่จะหยิบอะไรบางอย่างจากผ้าคลุมแล้วค่อยโยนลงมาให้ด้วยความแม่นยำ โดยมันเป็นกระบอกไม้สีน้ำตาลอ่อนคล้ายกับคัมภีร์ม้วนสมัยเก่า ภายในนั้นมีกระดาษสองแผ่นม้วนบรรจุกันอยู่
“ข้อมูล...งั้นเหรอครับ”
“น่าจะเป็นแบบนั้นแหละนะ...” ฉันค่อยๆ
ชะลอตัวลงหยุดวิ่ง ณ ตรงหน้าซอกหลืบใหม่พร้อมหยิบแผ่นกระดาษดังกล่าวออกมาอ่าน
ใจความทั้งหมดมีอยู่ว่า...
“รีบตามหาคัมภีร์ห้าห่วงในร้านเช่าหนังสือซะ
นั่นคือสิ่งที่อิเคโดะ ฟุมิโกะกำลังเล็งอยู่
พิกัดร้านจะอยู่ในกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง
แต่ถ้าคว้ามาไม่สำเร็จ...เกิดเรื่องใหญ่แน่นอน
และพอถึงเวลานั้นจริง...ขอให้เตรียมอาวุธไว้ด้วยล่ะ”
“คัมภีร์ห้าห่วง...”
“คิดว่าน่าจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรสักอย่างที่สำคัญต่อคุณอิเคโดะน่ะครับ”
อัตสึชิพูดอย่างครุ่นคิดแล้วหยิบกระดาษอีกแผ่นออกมาดู
ซึ่งนั่นคือพิกัดร้านที่พวกเราต้องมุ่งหน้าไป พบว่าร้านอยู่ห่างจากซอกหลืบในตำนานประมาณสองกิโลเมตร
แน่นอน...มันห่างจากที่นี่สามกิโลเมตรเลย
“ถ้ารีบไปตอนนี้ จะยังทันรึเปล่านะ...” ฉันพึมพำเบาๆ ในขณะที่มือกำลังเก็บแผ่นกระดาษข้อความม้วนเข้ากระบอกไม้แล้วหันมองเป้าหมายตรงหน้าที่ห่างออกไกล
“ต้องทันสิ...พวกเราต้องทำได้อยู่แล้ว เผลอๆ อาจเจอตัวคุณยาสุระหว่างทางด้วย”
“นั่นสินะ อย่างที่อัตสึชิคุงพูดเลย
เพราะถ้าเจอตัวแล้วก็จะสามารถห้ามเธอได้”
“...งั้นรีบไปกันดีกว่าครับ คุณทาจิบานะ!”
ตึกๆๆๆๆ
ว่าจบพวกเราสองคนต่างมุ่งหน้าไปร้านหนังสือบนริมถนนที่ปลอดคนเดินเพ่นพ่าน
ทำให้วิ่งได้สะดวกเช่นเดิม พอหันมองซ้ายขวาแล้วยังไม่พบอะไรผิดปกติแต่อย่างใด ทางเรียวโกะที่ยืนอยู่บนตึกก็หายตัวไปไหนไม่อาจทราบได้
“...”
แต่ถ้าลองคิดดูแล้ว...ทำไมเริ่มรู้สึกหวั่นๆ ว่ามีโอกาสที่ฉันจะโดนเล็งช่วงกลางวันแสกๆ
เหมือนกับช่วงกลางคืนเลย
แถมโค้ดเนมตอนนี้ยังเหลือแค่ E MR กับ R ด้วย...
สมาชิกแบล็คโคลเวอร์คนต่อไปจะเป็นใครกันแน่นะ...
.
..
...
....
.....
“แฮ่ก...แฮ่ก...นะ...นั่นไง...!”
ฉันวิ่งด้วยความเหนื่อยหอบนานหลายนาทีจนกระทั่งหันไปเจอเป้าหมายของพวกเรา
นั่นคือร้านเช่าหนังสือ ซึ่งเป็นอาคารสองชั้นธีมสีฟ้าอ่อนขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่มากเกิน
บรรยากาศภายนอกไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านมากมายนัก
“คุณยาสุไม่ได้อยู่แถวนี้ซะด้วยสิ...” อัตสึชิหันมองทั่วพื้นที่แต่ไม่พบวี่แววของยาสุเลยสักนิด
“พวกเราจะเอายังไงดีครับ”
“อืมม...เอาเป็นว่าเข้าไปในร้านกันก่อนดีกว่า
เผื่อจะเจอเบาะแสสักอย่าง ถ้าไม่ใช่คุณยาสุก็ต้องเป็นคัมภีร์ห้าห่วงนั่น
ต้องทำให้มั่นใจให้ได้ว่าทุกอย่างจะอยู่ในกำมือพวกเรา”
“ในระหว่างนั้นก็ต้องแยกกันตามหาคนละโซนสินะครับ...”
“ใช่แล้วล่ะ...แน่นอนว่าพวกเราต้องระวังตัวด้วย โอเคเนาะ”
“ครับผม!”
สิ้นสุดการตกลงกันปุ๊บ พวกเราสองคนย่างก้าวมุ่งหน้าเข้าร้านอย่างไม่รอช้า
เมื่อเดินผ่านประตูเลื่อนอัตโนมัติแล้ว พบว่าบรรยากาศภายในดูสงบมาก วัยรุ่นบางส่วนรวมกลุ่มกันตรงโซนอ่านหนังสืออย่างมีมารยาท
ไม่ส่งเสียงดังระหว่างอ่าน
ถือว่าโชคดีหน่อยที่ไร้ความกังวลไปบ้างนิดหน่อย...
“...”
ฉันเริ่มกวาดสายตามองสันหนังสือทุกเล่มตั้งแต่ตู้แรกริมซ้ายมือ
โดยเป็นหมวดประวัติศาสตร์ เท่าที่เจอคร่าวๆ มีแต่พวกหนังสือประกอบการเรียนการสอนวิชานั้นเต็มไปหมด
รวมถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับดาบทั้งสิ้น
“...”
ตู้ต่อไปเป็นหมวดนวนิยาย...ส่วนใหญ่เจอแนวโรแมนติกเยอะพอสมควร
บ้างก็แนวแฟนตาซี สยองขวัญ ดราม่า เชิงจิตวิทยา
แม้จะเจอเรื่องที่มีนักดาบอยู่ด้วยแต่มันไม่ใช่คัมภีร์ห้าห่วง
“...”
ตู้ต่อไป...ไลท์โนเวล
“...”
ตู้ต่อไป...มังงะ
“...”
ตู้ต่อไป...นิตยสาร
“อึ่ก...”
ให้ตายเถอะ...ไม่เจอเล่มไหนที่มีชื่อกำกับว่าคัมภีร์ห้าห่วงเลยแฮะ
ฉันแอบกำหมัดแน่นในกระเป๋าเสื้อฮู้ดหูกระต่ายแล้วเปลี่ยนหน้าที่เป็นการเดินสอดส่องหาตัวยาสุแทน
โดยพยายามไม่ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นๆ ภายในร้าน แต่ไม่ว่าจะลองสำรวจโซนไหนก็ไม่พบแม้แต่ปลายเส้นผมเดียว
“ทำไงดีนะ...หรือว่าจะออกจากร้านไปตั้งนานแล้ว?”
“คุณทาจิบานะ...ทางนี้ครับ”
ในระหว่างที่กำลังพึมพำตั้งคำถามอยู่ เสือสมิงได้สะกิดไหล่เรียกพร้อมพาเดินไปยังตู้หนังสือฝั่งขวามือของร้าน
เขาชี้นิ้วที่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งวางแนบชิดตู้และมีชื่อกำกับไว้ว่า คัมภีร์ห้าห่วง
ภาคสุญญตา พอลองหยิบออกมามองพิจารณา ทำให้มั่นใจได้เลยว่านี่คือหนึ่งในเบาะแสสำคัญ
“เท่าที่ผมมองหาทุกตู้แล้ว มีแค่เล่มนี้เล่มเดียวเองครับ”
“แอบมองหายากเหมือนกันแฮะ...ปกติน่าจะวางเรียงเป็นเซ็ตเลยไม่ใช่เหรอ”
“ผมเองก็คิดแบบนั้น...หรือว่าจะมีคนอื่นนอกจากคุณยาสุที่เช่าไปก่อนหน้าแล้ว”
เช่าไปก่อนหน้า...? งั้นคงมีทางเลือกเดียวแล้วสินะ...
ฉันยืนรวบรวมความกล้าเข้าให้เต็มอกเต็มปอด
บอกให้นักสืบผมขาวยืนรอพร้อมถือหนังสือเล่มดังกล่าวไว้ด้วย
เพราะสิ่งที่จะทำต่อจากนี้คือ การถามเจ้าของร้านโดยตรงเลย
“...”
“สวัสดีค่ะ...คุณลูกค้า วันนี้ต้องการเช่าหนังสือเล่มไหนเหรอคะ”
หญิงสาวผมทรงโพนี่เทลสีดำกับนัยน์ตาสีดำยืนทักทายต้อนรับตามหน้าที่
เธอยืนอยู่หลังโต๊ะเคาน์เตอร์ไม้พร้อมคอมพิวเตอร์จอแบนเครื่องหนึ่ง
คาดว่าน่าจะใช้ลงทะเบียนการเช่าหนังสือในแต่ละครั้งของลูกค้า
“เอ่อ...คุณพอจะทราบมั้ยคะว่ามีใครเช่าหนังสือเซ็ตคัมภีร์ห้าห่วงไปแล้วบ้าง”
“คัมภีร์ห้าห่วง...? งั้นเดี๋ยวรอสักครู่นะคะ”
อีกฝ่ายยืนนึกคิดอยู่ไม่กี่วินาทีแล้วค่อยเริ่มทำการตรวจสอบจากเครื่องคอมพิวเตอร์
เธอเลื่อนหารายชื่อจนกระทั่งหยุดชะงักลง “รู้สึกว่าจะมีลูกค้าหนึ่งรายที่เพิ่งเช่าไปค่ะ”
“มีคนเช่าไปแล้ว...”
“เธอชื่อ...อาคาซาวะ ยาสุ ไม่ได้เป็นลูกค้าประจำร้าน แถมเพิ่งเข้ามาครั้งแรกซะด้วย
วันนี้เช่าหนังสือไปทั้งหมดสี่เล่มจากเซ็ตคัมภีร์ห้าห่วง เล่มสุดท้ายหาไม่เจอเพราะดูเหมือนว่าช่วงนั้นมีคนหยิบไปอ่านพอดี
เธอจะคืนกลับมาภายในสองวัน”
อาคาซาวะ ยาสุ...
“ยัยนั่นน่ะ...กำลังโดนหลอกให้ไปเช่าหนังสืออยู่
ถึงตามหายังไงก็คงไม่เจอหรอก”
“...!!?”
อย่าบอกนะว่าชื่อนี้คือคนที่ฟุมิโกะอ้างเป็นเพื่อน...!!?
ยะ...แย่แล้วสิ ป่านนี้เธอเดินทางถึงไหนแล้วเนี่ย...
ฉันเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันทีแล้วค่อยขอลงทะเบียนเช่าหนังสือเล่มสุดท้ายสักสองวันพร้อมหยิบเงินเตรียมจ่ายส่วนหนึ่งด้วย
เจ้าของร้านยอมรับข้อตกลงนี้ก่อนที่จะเริ่มกรอกข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์
“...”
ทันใดนั้นเอง...
ตึกๆๆๆๆ
เสียงรองเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะวิ่งดังจากหน้าร้านจนกระทั่งมาหยุดอยู่ใกล้ๆ
พวกเรา เมื่อหันไปมองแล้วก็พบกับร่างชายหนุ่มผมส้มในชุดธีมดำและหมวกอันมีเอกลักษณ์
แต่รอบนี้เขาดันไม่ได้ใส่เสื้อคลุมยาวตัวนอกสุดมาด้วย
“แฮ่ก...แฮ่ก...ยูกิ...!?”
“ชูยะ...!? กะ...เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าถึงได้วิ่งมาหอบแบบนี้...”
“ก็นะ...ตอนที่พวกเราคุยโทรศัพท์กัน...ฉันได้ยินเสียงเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย
อีกอย่าง...ฉันต้องรีบเช่าหนังสือเกี่ยวกับนักดาบด้วย”
หนังสือเกี่ยวกับนักดาบ!?
ทางเขาเองก็ได้รับข้อมูลเหมือนพวกเรางั้นเหรอเนี่ย...
“หรือว่าจะเป็น...คัมภีร์ห้าห่วง?” ฉันลองถามชูยะด้วยความสงสัยและต้องทำให้มั่นใจพร้อมถือหนังสือดังกล่าวที่เหลือแค่เล่มสุดท้ายเท่านั้น
“...!!? ไม่จริงน่า...เหลืออยู่เล่มเดียว!?”
“ครับ...พวกผมสองคนพยายามมองหาทุกตู้แล้ว เล่มหนึ่งถึงสี่ถูกคุณยาสุเช่าไปก่อนหน้าเมื่อไม่นานนี้เอง”
“บ้าเอ๊ย...!” หนุ่มพอร์ตมาเฟียเริ่มกุมขมับตัวเองพลางหยิบบัตรสี่เหลี่ยมมนจากกระเป๋าเสื้อด้านในก่อนที่จะยื่นให้เจ้าของร้าน
“งั้นใช้บัตรสมาชิกใบนี้เช่าคัมภีร์ห้าห่วงเล่มสุดท้ายละกัน”
“เอ่อ...ดะ...ได้ค่ะ” หญิงสาวผมโพนี่เทลนั่งนิ่งอยู่นานท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดแล้วค่อยทำการลงทะเบียน
โดยเธอขอยืนยันข้อมูลจากบัตรใบนั้นก่อน “เจ้าของบัตรชื่อ
คูแลนน์ แสดงว่าวันนี้คุณยืมเขามาใช้สินะคะ”
“อ่า...ประมาณนั้นแหละ เจ้านั่นเป็นคนงานเยอะ ก็เลยฝากให้เช่าแทน”
“อ่อ...โอเคค่ะ งั้นรอสักครู่นะคะ”
คูแลนน์...ผู้ชายใส่ผ้าคลุมตัวสีดำที่มาด้วยกันกับเรียวโกะเมื่อคราวก่อนนู้นนี่เอง
เขาเคยช่วยฉันไว้ตอนที่กลุ่มแบล็คโคลเวอร์หมายจะยิงหัวในพื้นที่จำกัดนั่น
เรียกว่ามีบุคลิกลึกลับมากและยังไม่เคยเปิดเผยใบหน้าให้เห็นเลย
“อ่ะ...จริงด้วย” ฉันเพิ่งนึกบางอย่างออกในหัวหลังจากยืนครุ่นคิดเรื่องเมื่อครู่ก่อนที่จะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่เป็นรูปถ่ายยาสุกับฟุมิโกะยืนอยู่หน้าร้านแพนด้า
“ชูยะ...นายเจอผู้หญิงผมดำคนนี้ระหว่างทางรึเปล่า”
“หืม...?” ชูยะรับไปมองพิจารณาได้สักพักแล้วตอบกลับมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“โทษทีนะ...แต่ตอนนั้นฉันกังวลเรื่องเธอมากกว่า
ก็เลยไม่ทันได้สังเกตมองใครสักคนเดียว”
“อึ่ก...”
“ให้ตายเถอะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าคูแลนน์บอกฉันมาล่ะก็...เกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ”
จะว่าไปเรียวโกะเองก็เคยบอกไว้ในกระดาษข้อความเหมือนกันแฮะ
แปลว่าสองคนนี้ต่างมีข้อมูลแยกกันส่งให้พวกเราทั้งสององค์กร...
ดูท่าทางจะไม่ใช่แค่การเดินทางธรรมดาแล้วล่ะ
“ลงทะเบียนเช่าหนังสือเรียบร้อยแล้ว...ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ หวังว่าคุณจะนำมาคืนตามกำหนดสองวันนี้” เจ้าของร้านได้ยืนยันการลงทะเบียนเสร็จสิ้นพร้อมยื่นบัตรสมาชิกกลับคืนให้ชูยะ
“คัมภีร์ห้าห่วงถือเป็นของหายากสำหรับร้านเรา เพราะงั้นขอให้เก็บรักษาไว้ด้วยละกันนะคะ”
“...”
ฉันไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากพยักหน้าตอบรับเธอก่อนที่จะรีบพาสองหนุ่มเดินออกนอกร้านทันที
ในใจเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดระแวงในผลลัพธ์เพราะเผลอทำพลาดไป
“ทีนี้พวกเราจะเอายังไงกันดีครับ...คุณทาจิบานะ”
“...ไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาคุณยาสุให้เจอให้ได้
กุญแจหลักสำคัญสำหรับครั้งนี้กำลังอยู่ในกำมือเธอ”
“งั้นเดี๋ยวฉันเอาเรื่องนี้ไปรายงานกับบอสก่อน เผื่อจะมีแผนอะไรคอยช่วยหยุดยั้งเหตุการณ์ครั้งต่อไปได้”
หนุ่มมาเฟียผมส้มหยิบโทรศัพท์ขึ้นขอถ่ายรูปสองสาวเก็บไว้ในแกลลอรี่
“อื้ม...ฝากด้วยนะ ชูยะ”
“อ่า...ไว้วางใจฉันได้เลย ยูกิ เอาเป็นว่าในระหว่างนี้พวกเธอช่วยกันตามหาไปก่อนละกัน”
ว่าจบชูยะก็รีบวิ่งมุ่งหน้าไปยังฐานพอร์ตมาเฟียอย่างเร็วไว ส่วนฉันและอัตสึชิต่างเริ่มตามหาเป้าหมายต่อในขณะที่มือซ้ายถือหนังสือเล่มสุดท้ายไว้แนบแน่นไม่ให้ร่วงหล่น
ซึ่งเส้นทางที่เลือกเป็นทางเดิม เพราะแอบคาดหวังว่ายาสุจะส่งหนังสือสี่เล่มให้กับฟุมิโกะ
ตึกๆๆๆๆ
“แฮ่ก...แฮ่ก...ให้ตายเถอะ นี่พวกเราจำเป็นต้องย้อนกลับที่เดิมจริงๆ
สิเนี่ย”
“คุณทาจิบานะ!” นักสืบผมขาวเริ่มแปลงแขนขาตัวเองเป็นเสือสมิงก่อนที่จะวิ่งนำหน้าราวกับเสือจริงๆ “ถ้าเหนื่อยก็ขี่หลังผมได้เลยครับ!”
“อะ...อื้ม” ฉันแอบรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำเมื่อครู่แต่ก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกระโดดขึ้นนั่งย่อตัวลงให้ต่ำและเบาที่สุด
มือขวาจับไหล่ของเขาประคองตัวเองเอาไว้
“งั้น...เกาะไว้ให้ดีๆ นะครับ!”
เสือสมิงพยายามเร่งสปีดวิ่งอย่างเต็มสูบ ด้วยพื้นที่ริมถนนที่ยังคงปลอดผู้คนเดินเพ่นพ่านเช่นเคย
ทำให้มุ่งหน้าเข้าหาเป้าหมายได้รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
ในระหว่างนั้นสายตาก็พยายามกวาดมองรอบทิศทางเพื่อหาตัวยาสุต่อเรื่อยๆ
แน่นอนว่ายังไม่เจอง่ายๆ ขนาดนั้น...
แต่ว่า...พวกเราจะต้องตามหาให้เจอให้ได้!!
.
..
...
“...!!?”
จังหวะนั้นเอง พวกเราเหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนที่ล้มลงออกจากซอกหลืบฝั่งซ้ายมือ
พอพิจารณาหลายๆ อย่างแล้วจึงรู้สึกได้ว่านั่นคือร่างหญิงสาวผมตรงยาวสีดำในชุดกระโปรงสีส้ม-ขาวและแว่นตาใสกรอบวงรี
“นะ...นั่นมัน...”
“คุณยาสุ...!!!” ฉันรีบกระโดดลงจากแผ่นหลังอัตสึชิพร้อมวิ่งเข้าไปยังคนที่กำลังตามหา
สภาพของเธอดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บนแก้มขวามีรอยแดงคล้ายถูกใครตบตีเมื่อไม่นาน
“...!!? อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้ฉันนะคะ!! ตอนนี้น่ะ---”
ตึก...ตึก...ตึก
เสียงรองเท้าส้นสูงดังจากทางซ้ายมือขัดจังหวะการพูดห้ามของอีกฝ่าย แต่พอหันกลับไปมองและยังไม่ทันได้ทำอะไรสักนิด
ฟุมิโกะก็เดินจับด้ามดาบไม้ไว้แน่นด้วยมือสองข้างแล้วหมุนตัวตวัดเสยขึ้นตรงปลายคางฉันเต็มแรง
“อึ่ก...!!”
ช่วงวินาทีนั้น สมองได้เกิดการสั่นสะเทือนภายในกะโหลกอย่างรุนแรง ร่างกายทุกส่วนหมดเรี่ยวแรงพร้อมกับร่วงลงนอนหงายบนพื้น
ทำเอารู้สึกได้ว่าสติสัมปชัญญะใกล้จะวูบดับลงทุกที
“คุณทาจิบานะ!!!”
ฉึ่ก!!
“อั่ก...!!”
เสียงเรียกชื่อจากปากอัตสึชิดับสูญลงและถูกแทนที่ด้วยเสียงกระอักเลือดเมื่อมีใครบางคนนำดาบคาตานะเล่มจริงแทงเข้ากลางหลังทะลุหน้าท้อง
หยาดของเหลวสีแดงเข้มหยดลงพื้นทีละนิดละน้อย พอลองเงยหน้ามองหาอาคุตางาวะกับเคียวกะแล้วกลับไม่เห็นวี่แววใดๆ
หรือว่าสองคนนั้น...จะถูกเล่นงานซะแล้ว...?
“ช่างน่าสงสารจริงเลย...ลูกสาวแห่งตระกูลทาจิบานะ”
เสียงผู้ชายหนึ่งช่วงวัยเลขสี่พูดขึ้นมาพร้อมเผยร่างของตนให้ได้เห็น
เขาแต่งตัวคล้ายกับซามูไร เรือนผมสีดำมัดจุกหยักศกขึ้น มีหนวดเคราบางๆ วนเหนือปากลงจนถึงปลายคาง
บนหน้าผากมีรอยแผลกากบาทเส้นเล็กๆ ชุดที่ใส่เป็นเสื้อกิโมโนแขนยาวสีน้ำเงินทับกับเสื้อด้านในสีดำ
กางเกงฮากามะสีเทา ถุงเท้าทาบิสีดำ รองเท้าแตะโซริสีน้ำตาล ตบท้ายด้วยอาวุธที่เป็นดาบคาตานะสองเล่ม
เขาคนนี้...เป็นใครกัน...
“นี่แหละน้า...จุดอ่อนของกาลกิณี ชอบทำตัวเป็นคนดีแล้วไม่ยอมระวังตัวซะเอง
แถมยังพาเพื่อนซวยอีก...” หญิงสาวผมสีเบจพูดจาเหยียดด้วยคำว่ากาลกิณีอีกครั้งแล้วย่อตัวลงหยิบคัมภีร์ห้าห่วงเล่มสุดท้ายออกจากมือ
“อึ่ก...ยะ...อย่า...นะ...”
“แหมๆ รู้สึกดีจริงๆ ที่เธออุตส่าห์ตามหาเล่มสุดท้ายจนเจอ ไม่งั้นยัยยาสุคงโดนฆ่าทิ้งแน่ๆ
แต่เอาเถอะ...ถือว่าเป็นพระคุณละกันที่ท่านฮิเดทสึงุ...ไม่สิ ท่านเอย์จิกับฉันช่วยปรานีตั้งหนึ่งครั้ง...”
“งั้นไว้เจอกัน...หากพวกเธอยังฟื้นขึ้นมาได้”
ตึก...ตึก...ตึก
สิ้นเสียงของฮิเดทสึงุหรือเอย์จิ สองสามีภรรยาคู่นี้ก็ได้ก้าวเท้าเดินออกไปอย่างช้าๆ
ทิ้งให้พวกเรานอนอยู่ในสภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
ฉันพยายามรวบรวมสติทั้งหมดหันมองอัตสึชิที่ถูกแทงด้วยดาบคม เขานอนคว่ำหน้าจมกองเลือดพลางเคลื่อนตัวเข้าใกล้
มือขวาเอื้อมมาจับแขนเสื้อฮู้ดหูกระต่ายไว้แน่น
“คุณทาจิ...บานะ...”
“...” ฉันไม่สามารถพูดกล่าวอะไรได้สักคำเพราะเริ่มรู้สึกวูบทีละนิด
สมองสั่นกระเทือนทั่วทั้งหมดก่อนที่ตาสองข้างจะปิดด้วยสติสัมปชัญญะที่ดับลง
นี่คงเป็นตัวฉันจริงๆ สินะ...
ผู้ชักนำความตายให้คนรอบข้าง...
กาลกิณี...
[ อีกทางด้านหนึ่ง ]
ก่อนที่นักสืบทั้งสองจะถูกเล่นงานโดยอิเคโดะ ฟุมิโกะและเอย์จิ ประธานประจำสำนักงานนักสืบบุโซได้ยินข่าวจากปากเมดอิสึมากิในคาเฟ่ว่ากลุ่มแบล็คโคลเวอร์เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ซึ่งคนส่งข่าวคือนากาฮาระ ชูยะ
“...” เขาเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีแล้วที่ตัวเองยอมส่งลูกน้องแยกคนละทิศทางจนกระทั่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดหาเบอร์คุนิคิดะ
ดปโปแล้วโทรภายในทันที
.
..
...
“ฮัลโหลครับ ท่านประธาน”
“คุนิคิดะ...ตอนนี้กลุ่มองค์กรแบล็คโคลเวอร์เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ยังไงก็ระวังตัวระหว่างทำภารกิจด้วย”
“...!!? รับทราบครับ ทางท่านเองก็ระวังตัวด้วยนะครับ”
“อ่า...งั้นฝากเรียกรัมโปกับโยซาโนะกลับมาหน่อย สำนักงานของพวกเราต้องการคนคอยคุ้มกันและรักษาเร่งด่วน”
“ได้ครับผม!”
ติ๊ด!
ฟุคุซาวะ ยูคิจิได้ยินเสียงอีกฝ่ายกดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์เข้าแขนเสื้อยูกาตะด้วยความไม่สบายใจ
เขาแอบกังวลว่าสมาชิกสาวคนใหม่อย่างทาจิบานะ ยูกิจะปลอดภัยดีหรือไม่
เพราะเธอคนนั้นยังคงมีความฝันหนึ่งที่ต้องบรรลุให้เสร็จสิ้น
เธอยังคงมีความมุ่งมั่นที่ต้องชำระล้างคำสาปในพลังพิเศษให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
เธอยังคงมีความหมายในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเพื่อนร่วมงาน
เธอยังคง...เป็นคนที่ดีต่อสำนักงานนักสืบบุโซได้อีกนานๆ
ตึก...ตึก...ตึก
“เป็นอย่างที่ผมคาดเดาไว้ในหัวเลยนะครับ ท่านประธาน”
เสียงรองเท้าคัทชูดังกระทบพื้นห้องเป็นจังหวะเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับร่างนักสืบผู้มีฉายา 'ตัวสิ้นเปลืองผ้าพันแผล' อย่างดาไซ
โอซามุ เขาถือว่าเป็นคนสำคัญของสำนักงานแม้เคยอยู่ในพอร์ตมาเฟียช่วงอดีตกาลก็ตาม
“ดาไซ...? นายได้รับข้อมูลอะไรมารึเปล่า...”
“ได้แน่นอนครับ” เขายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะประธานผมสีเงินแล้วหยิบเข็มกลัดรูปใบโคลเวอร์สีดำ
ซึ่งตนฉวยโอกาสตอนพูดคุยสองต่อสองในการคว้ามันออกจากกระเป๋าด้านในเสื้อแขนยาวสีเหลืองของฟุมิโกะที่เธอแอบซ่อนไว้
“หืม...? นั่นมัน...”
“อิเคโดะ ฟุมิโกะ...ลูกค้าที่ว่าจ้างงานวันนี้เป็นหนึ่งในองค์กรแบล็คโคลเวอร์ ถึงไม่ได้ติดอยู่ในลิสต์โค้ดเนม
แต่คาดว่าน่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดมากกว่า ส่วนเพื่อนสาวที่ชื่อยาสุเป็นเหมือนเหยื่อล่อให้พวกยูกิจังติดกับดักแทน”
“...!? แบบนี้คงแย่เลยสิ...”
“แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ ผมเชื่อว่ายูกิจังต้องทำได้...และต้องมีใครสักคนคอยสนับสนุนเธอในเบื้องหลังนอกจากพวกเราทั้งสององค์กร”
“หมายความว่าไงน่ะ...” ยูคิจิขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมนั่งมองนักสืบผมน้ำตาลตรงหน้าเพราะแอบสงสัยในคำพูดเมื่อครู่ก่อนที่จะได้รับคำตอบกลับมาอันเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“เพราะเชื่อในโชคชะตา...เชื่อในพลังพิเศษที่อาจจะสื่อสารกับเธอคนนั้นได้ดี
อีกอย่าง...”
“...?”
“...ผมเริ่มเข้าใจสถานการณ์และคาดเดาทุกอย่างไว้หมดแล้วล่ะครับ”
[ To be continued ]
ความคิดเห็น