คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : Episode 12 หญิงสาวปริศนา
หลังจากพวกเราประชุมเรื่ององค์กรลับชื่อ
แบล็คโคลเวอร์ เสร็จสิ้น สมาชิกกลุ่มพอร์ตมาเฟียต่างเริ่มแยกย้ายพากันกลับฐานของตัวเองเพื่อเตรียมการหลายๆ
อย่างพร้อมรับมือกับศัตรู ถึงพวกเขาจะบอกแบบนั้น แต่ทั้งโมริ ชูยะและอาคุตางาวะก็ขออยู่คุยกับฉันในห้องประชุมนี้ก่อน
“ยูกิคุง...เธอพอจะเล่าถึงพลังพิเศษนั่นให้พวกเราฟังได้รึเปล่าเอ่ย...”
บอสแห่งพอร์ตมาเฟียที่นั่งหัวโต๊ะเริ่มเปิดประเด็นเรื่องพลังพิเศษจนทำเอาฉันรู้สึกหวาดกลัวเพราะมีค่าหัวปักหลักเอาไว้
“เอ่อ...พลังของฉัน...ไม่ต่างอะไรจากปีศาจหรอกค่ะ
อย่างที่เคยบอก...อสรพิษอัปยศมีคำสาปติดตัวอยู่ แถมยังไม่รู้วิธีชำระที่ถูกต้องด้วย...ฉันก็เลยกลัว...กลัวว่าทุกคนจะตกเป็นเหยื่อริปเปอร์เหมือนกับคุณน้าคานาเอะ...”
“แต่เธอยังมีอสรพิษที่ไม่ทำร้ายมนุษย์นี่นา...ยูกิ บางทีถ้าเรียกแค่กลุ่มเดียว
การเข่นฆ่าอาจจะไม่เกิดขึ้นใช่มั้ยล่ะ อย่างน้อยก็...ทำให้หมดสติเฉยๆ และพาส่งไปกรมตำรวจ”
ชูยะที่นั่งข้างๆ ฉันจับหมวกออกวางบนโต๊ะพร้อมเท้าคางหันหน้าพูดคุย
“เท่าที่กระผมสังเกตตอนหลุดพ้นจากโลกแห่งโซ่ตรวนคล้องบุปผา...ผ้าปิดตานั่นคงเป็นเงื่อนไขของการเรียกอสรพิษอีกด้านหนึ่งสินะ”
อาคุตางาวะที่นั่งฝั่งตรงข้ามนั่งกอดอกมองมายังผ้าปิดตาภายใต้ผมหน้าม้าสีดำอย่างจดจ่อ
“อืม...ขืนเปิดมันแล้วเรียกออกมาอีกล่ะก็...” ฉันค่อยๆ ยกมือขึ้นทาบบนใบหน้าซีกขวาแล้วพูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ทุกคน...จะต้องตาย...”
ลึกๆ ภายในใจแอบเชื่อว่าริปเปอร์ที่เคยลงมือฆ่าน้าคานาเอะต้องมีคำสาปเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
การหยุดเรียกออกมาสู้อีกครั้งจึงกลายเป็นเงื่อนไขอันยุ่งยากสำหรับหลายๆ คน
ซึ่งตัวฉันเองก็ไม่อยากปฏิเสธว่าแค่แคทเชอร์กลุ่มเดียวคงรับมือกับแบล็คโคลเวอร์ไม่ไหว
“ไม่ต้องห่วงหรอก...ยูกิคุง
เธอต้องรอดพ้นจากคำสาปแน่นอน” บอสส่งรอยยิ้มบางๆ เชิงปลอบใจและขอให้เชื่อใจพวกเขา
“อืมม...เอาเป็นว่าพวกฉันจะพยายามสืบค้นวิธีชำระล้างคำสาปให้ละกันเนาะ
ทางชูยะคุงกับอาคุตางาวะคุงเองก็...”
“แน่นอนอยู่แล้วครับ...บอส ผมจะคอยช่วยยูกิสุดกำลังเอง”
“ถ้าการช่วยเหลือทาจิบานะทำให้คุณดาไซพอใจ...กระผมก็จะทำ”
“ทุกคน...” ฉันมองสมาชิกพอร์ตมาเฟียทั้งสามคนอย่างประหลาดใจสักพักหนึ่งก่อนที่จะค่อยๆ
ส่งรอยยิ้มบางๆ ให้กับพวกเรา “ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งนะคะ...”
“แน่นอน...พวกเราไม่ได้ทำแค่เพราะความจำเป็น
แต่อยากช่วยเหลือผู้คนภายในเมืองโยโกฮาม่าที่เธอเป็นหนึ่งในกลุ่มคนนั้นด้วย...ยูกิคุง”
ว่าจบโมริก็ลุกขึ้นออกจากเก้าอี้แล้วขอตัวพาสมาชิกสองคนกลับฐานพอร์ตมาเฟียอย่างจริงจังโดยไม่ลืมที่จะบอกประธานประจำสำนักงานนักสืบบุโซ
ซึ่งระหว่างนั้นเอง มาเฟียผมส้มได้หันมายิ้มกว้างและพูดทิ้งท้ายอีกด้วยว่า...
“ไว้ว่างๆ พวกฉันจะมาแวะเวียนเข้าคาเฟ่อีกนะ ยูกิ”
ให้ตายเถอะ...ช่างเป็นมาเฟียที่แปลกดีแฮะ
.
..
...
....
.....
เอี๊ยดด~
เมื่อเวลาผ่านพ้นไม่นานที่นั่งพูดคุยกับสมาชิกพอร์ตมาเฟียสามคนในห้องประชุม
ฉันค่อยๆ เดินออกมาปิดห้องไว้เตรียมมุ่งหน้าเข้าห้องสำนักงาน พอหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองรอบห้องก็พบว่าทุกคนต่างนั่งประจำที่กันเรียบร้อยยกเว้นรัมโปและโยซาโนะที่หายไป
แต่เอาเถอะ...พวกเขาคงจะได้รับงานสืบสวนเพิ่มแหละมั้ง
“ยู...กิจวางง~”
เอาแล้วไง...ตัวก่อกวนและจอมอู้ประจำสำนักงานนักสืบบุโซนัมเบอร์วัน
“มีอะไรจะพูดรึเปล่า...ดาไซ
ตอนนี้ฉันกำลังจัดการเอกสารประจำวันอยู่นะ” ฉันถามดาไซด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
บวกหน้าตายขณะที่มือทั้งสองกำลังพิมพ์ข้อความในโน้ตบุ๊กอย่างตั้งใจ
“เลิกงานเย็นนี้ว่างมั้ยเอ่ย พอดีฉันอยากจะพาไปดูคอนเสิร์ตสักหน่อยน่ะ
เห็นลือกันว่ามีไอดอลสาวน้อยน่ารักมาร้องเพลงด้วย~” นักสืบจิตพิลึกเดินมาคุยอยู่ด้านหลังฉันพร้อมเลื่อนมือนวดไหล่ทั้งสองข้างพลางๆ
“สรุปคือ...คุณจะตามหลีสาว?”
“รู้ใจดีจังเลยน้าา~ สมกับเป็นคนน่ารักประจำสำนั---
แอ่ก!!”
ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะพูดชมจบประโยค
ฝ่ามืออรหันต์จากคู่หูร่วมงานอย่างคุนิคิดะก็ฟาดเข้ามาที่กะโหลกเต็มแรงแล้วค่อยลากคอเสื้อให้ห่างออกจากฉันเตรียมลงไม้ลงมือเขย่าตัวสั่งสอนเช่นเดิม
“แกนี่มันสอนยากสอนเย็นเหลือเกินนะ ดาไซ!! บอกแล้วใช่มั้ยว่าให้สนใจงานมากกว่านี้หน่อย!! ตัวก็โตเท่าก็อตซิล่าแล้ว...ยังมัวแต่ตามก่อกวนชาวบ้านเหมือนลูกหมาอีก!!”
“ขอ~ ประทานโทษ~ ด้วยคร้าบบ~ ยอมแล้วคร้าบบ~”
เอ่อ...นี่สินะที่ดาไซบอกว่าเป็นคุณแม่แห่งสำนักงานนักสืบบุโซ
พอเจอแบบนี้หลายๆ รอบปุ๊บ...ดิฉันขออนุญาตแสดงความรู้สึกเช่นเดียวกับเขาด้วยละกันค่ะ
“อ้อจริงด้วย! ฉันมีเรื่องอยากขอร้องเธออยู่พอดีเลย
ทาจิบานะ” คุนิคิดะทำท่าเหมือนนึกบางอย่างออกแล้วค่อยๆ
ปล่อยให้ดาไซล้มนอนคว่ำบนพื้นด้วยความอนาจ
“คุนิคิดะคุงใจร้ายอ่า~”
“เธอคงจะเห็นแล้วแหละว่าคุณหมอโยซาโนะหายไปเพราะตามช่วยหนุนหลังคุณรัมโป
แถมเสบียงยังใกล้หมดอีก ถ้าไม่เป็นการรบกวนอะไรมากก็อยากจะฝากตามซื้อเข้ามาเพิ่มหน่อย”
“อ่อ...ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยซื้อให้เอง”
ฉันพยักหน้าตอบรับและยิ้มบางๆ ในช่วงที่มือสองข้างพิมพ์เอกสารประจำวันเสร็จพอดีพร้อมจับหน้าจอโน้ตบุ๊กพับปิดไว้
โดยจังหวะนั้นเองหนึ่งในสมาชิกอีกคนอย่างเสือสมิงได้ยกมือขึ้นหลังจากเช็คงานเสร็จเรียบร้อย
“งั้นผมจะไปเป็นเพื่อนคุณทาจิบานะเองครับ
คุณคุนิคิดะ ยิ่งพักนี้องค์กรแบล็คโคลเวอร์ก็เล็งค่าหัวไว้ ขืนออกข้างนอกเพียงคนเดียวคงไม่ดีแน่”
“อา...ฝากด้วยนะ อัตสึชิ” นักสืบแว่นเปิดสมุดอุดมคติและหยิบปากกาขึ้นเตรียมเขียนลิสต์รายการที่ดูๆ
แล้วไม่ค่อยเยอะมากเท่าไหร่ก่อนที่จะฉีกกระดาษแผ่นนั้นออกมาให้ “นี่คือเสบียงที่ต้องซื้อครั้งนี้ อ้อ...ในนั้นมีของที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องซื้อมาให้ได้ด้วย”
“ต้องซื้อมาให้ได้...” ฉันเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยพร้อมก้มมองลิสต์รายการเมื่อครู่จนสังเกตเห็นเครื่องหมายดอกจันเน้นๆ
สีดำ “เอ่อ...หนังสือแฟนตาซีสยองขวัญ?”
“เพราะคุณรัมโปชื่นชอบตามสืบคดีอาชญากรรม ฉันก็เลยคิดว่าเขาน่าจะชอบอ่านหนังสือพวกนั้นด้วย
ถือเป็นของขวัญต้อนรับกลับจากงานสืบสวนวันนี้ละกัน” เขาพูดพร้อมกับนั่งเคลียร์งานเอกสารประจำวันในโน้ตบุ๊กของตัวเองต่อไป
แบบนี้ก็ต้องแบ่งลิสต์รายการสักครึ่งหนึ่งแล้วค่อยรีบตรงไปร้านหนังสือให้ไวเลยสิเนี่ย...
“ทาจิบานะ...อัตสึชิ...”
ระหว่างนั้นเอง เสียงเรียกได้ดังจากปากของประธานประจำสำนักงานนักสืบบุโซอย่างฟุคุซาวะรวมทั้งก้าวเดินออกมาหาพวกเราด้วยความเกรงขามเช่นเดิม
“ท่านประธาน...!? เอ่อคือ...พอดีครั้งนี้พวกฉันจะออกไปซื้อเสบียงเข้าสำนักงานสักหน่อยน่ะค่ะ
ถะ...ถ้านั่นทำให้เสียงานการสำหรับเด็กใหม่ล่ะก็...”
“ไม่เป็นไร...ในเมื่อเธอมีสมาชิกอีกหนึ่งคนคอยอยู่เป็นเพื่อน
เพราะงั้นฉันไม่ว่าอะไรหรอก แต่...” อีกฝ่ายเว้นช่วงประโยคไว้แล้วยื่นซองสีน้ำตาลตรงหน้าฉันที่ดูทรงแล้วเหมือนจะมีเงินอยู่ข้างใน
“ต้องกลับมาที่นี่อย่างปลอดภัยให้ได้ล่ะ...”
กลับมาอย่างปลอดภัย...ก็แอบหวังอยู่ลึกๆ
เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างนั้น
“รับทราบครับ...ท่านประธาน เดี๋ยวผมจะคอยติดตามและช่วยพากลับมาที่นี่เอง”
อัตสึชิพยักหน้าตอบรับแล้วรับซองขนาดเล็กนั่นไว้
ตึก...ตึก...ตึก
“ยูกิจัง...ถ้าระหว่างนั้นเธอสืบเจอเหตุการณ์อะไรบางอย่างได้ก็ช่วยจดเก็บไว้หน่อยนะ”
ดาไซในสภาพปกติดีทุกอย่างทั้งกายและจิตใจย่างก้าวเข้าหาพร้อมถือสมุดเล่มเล็กกับปากกาหนึ่งด้ามยื่นมาให้ตรงหน้า
“เผื่อเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับองค์กรแบล็คโคลเวอร์ด้วย”
“...” ฉันไม่พูดตอบอะไรนอกจากพยักหน้าตอบรับแล้วรับของเหล่านั้นเก็บใส่กระเป๋าเสื้อแขนยาว
“อย่าลืมนะ...เธอไม่ได้เป็นแค่คนมีพลังพิเศษเฉยๆ แล้ว
เธอมีค่าหัว...ถูกองค์กรตามล่า...เผลอๆ อาจเจอใครคนอื่นที่บังเอิญรู้เรื่องนี้ด้วย
เพราะงั้น...ระวังตัวด้วยล่ะ”
ว่าจบนักสืบผมน้ำตาลก็เดินมาใกล้ ยกมือขวาขึ้นลูบหัวเบาๆ
อยู่หลายวินาทีพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนสักพักแล้วค่อยๆ ผละตัวออกไปนั่งประจำที่เช่นเดิมก่อนที่นักสืบผมขาวจะหันมาพูดกับฉัน
“ไปกันเถอะครับ...คุณทาจิบานะ”
“อื้ม...”
พวกเราสองคนต่างเดินออกจากสำนักงานเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าเตรียมซื้อเสบียงกับหนังสือตามลิสต์รายการที่คุนิคิดะจดไว้ให้โดยไม่รอช้าทั้งสิ้น
“...”
แต่พอนึกย้อนกลับอีกที...ทำไมคำเตือนของดาไซดูเหมือนรู้ทันเรื่องอะไรบางอย่างเลยแฮะ
ใครจะไปคิดล่ะ...บางทีเขาอาจรู้เยอะยิ่งกว่าทุกคนในสำนักงานพอๆ กับรัมโปก็ได้นี่
“...”
นักสืบอย่างเขาน่ะ...ต้องมีข้อมูลมากกว่าที่เคยประชุมไว้ไม่นานแน่ๆ
ณ บริเวณทางเดินริมถนน
ทั้งฉันและอัตสึชิต่างยังไม่เปิดปากพูดคุยเรื่องใดๆ
นอกจากเดินมุ่งหน้าเตรียมซื้อเสบียงในห้างสรรพสินค้า เมื่อมองรอบๆ
ตัวก็ยังคงพบเหล่าผู้คนที่สัญจรไปมาด้วยยานพาหนะทางบก รวมถึงการเดินเท้าคนเดียว
คู่ และกลุ่ม
ส่วนเรื่องอสรพิษอัปยศ
ฉันจะขอเรียกแค่แคทเชอร์กลุ่มเดียวแล้วผนึกริปเปอร์ภายใต้ผ้าปิดตาสีดำต่อไปด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ยอมรับหรือไว้ใจให้ร่วมต่อสู้
“...”
ตึก...ตึก...ตึก
พอเวลาผ่านไปไม่กี่นาที จู่ๆ
อัตสึชิก็เริ่มเปิดประเด็นเมื่อครู่ด้วยความสงสัย
“เอ่อ...คุณทาจิบานะ ตอนที่พวกเราประชุมเรื่องแบล็คโคลเวอร์เสร็จ...พอร์ตมาเฟียได้คุยเรื่องอะไรกับคุณไว้เหรอครับ...”
“อืมม...ไม่มีอะไรมากมายหรอก
แค่...พูดถึงพลังพิเศษของฉันน่ะ”
“คือ...ผมไม่รู้หรอกว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่คุณมีค่าหัวติดอยู่ไม่ใช่เหรอครับ แถมยังมีเรื่อง...อาคุตางาวะ” เสือสมิงผมขาวพูดอย่างกังวลใจแล้วกำหมัดไว้หลวมๆ
พร้อมหันมองฉัน “วันดีคืนดีเจ้านั่นอาจจะหลอกฆ่าคุณเพื่อเงินก็ได้”
“แหะๆ ขอบคุณที่อุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยฉันนะ...อัตสึชิคุง แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกเขาต้องช่วยต่อกรกับองค์กรลับอย่างแน่นอน” ฉันพยายามยิ้มบางให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจขึ้นแม้ในใจจะแอบกังวลด้วยก็ตาม
“งั้น...ผมจะพยายามปกป้องคุณ...ด้วยน้ำมือของเสือสมิงผู้เคยอ่อนด้อยนี้ให้ได้นะครับ”
“อะ...อื้ม...”
บ้าจริง...พอเขาพูดแบบนั้นแล้ว ทำไมถึงดูหล่อขึ้นขนาดนี้นะ...
ไม่ได้ๆๆ ตอนนี้เป้าหมายคือห้างสรรพสินค้าและซื้อของเท่านั้น
เลิกคิดเพ้อเรื่องอื่นได้แล้ว!
“งะ...งั้นไปกันเถอะเนาะ เดี๋ยวคุณคุนิคิดะจะดุเอา”
“โอเคครับ!”
ว่าจบฉันก็รีบพาอัตสึชิเดินทางต่อไปโดยพยายามไม่เปิดสนทนาต่อทั้งสิ้น
โดยบรรยากาศรอบตัวยังคงเต็มไปด้วยผู้คนเช่นเดิม เหล่านักเรียนนักศึกษาบางส่วนต่างเดินเพ่นพ่านไปมาเป็นกลุ่มอย่างไม่มีทุกข์ร้อนคล้ายกับกำลังตั้งใจโดดเรียน
แต่ทันใดนั้นเอง พวกเธอได้เปิดบทสนทนาที่เรียกได้ว่าค่อนข้างดึงดูดความสนใจเอาเรื่อง
“นี่ๆ รู้เปล่าแก เย็นนี้จะมีไอดอลคนหนึ่งมาพบปะแฟนคลับที่คอนเสิร์ตด้วยล่ะ”
“ไอดอล...? ฉันไม่เคยได้ยินข่าวคราวเรื่องสังกัดไหนเลยนะ”
“ก็แหม~ ไอดอลหน้าใหม่นี่เนอะ แถมยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ด้วย”
“รู้สึกว่าจะชื่อ...ฮารุกะจังใช่ม้า~”
“ใช่ๆ ฮารุกะจัง! น่าร๊ากกกก~
มากเลยล่ะ”
ฮารุกะ...? แถมยังเป็นไอดอลผู้หญิงซะด้วย...ตรงกับเรื่องที่ดาไซเคยพูดชักชวนไว้เลย
ฉันเริ่มหยิบสมุดกับปากกาในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจดเรื่องเมื่อครู่โดยไม่ลืมโน้ตทิ้งท้ายว่าได้รับฟังข้อมูลมาจากเหล่านักเรียนผู้หญิงอย่างละเอียดยิบแล้วค่อยพาเสือสมิงเดินไปห้างสรรพสินค้าต่อ
ในใจยังคงนึกลังเลอยู่ว่าตอนเย็นจะเข้าคอนเสิร์ตร่วมกับนักสืบผ้าพันแผลหรือจะพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายดี
ตึก...ตึก...ตึก
“...”
“คุณทาจิบานะ...เย็นนี้ลองไปส่องดูไอดอลตามที่พวกเขาคุยกันดีมั้ยครับ”
“อ่ะ...จะว่าไปดาไซเองก็ชวนฉันเหมือนกัน
บางทีพวกนายสองคนอาจน่าจะ...ไปกันเองได้”
“หมายความว่า...คุณจะไม่เข้าร่วมด้วย?” นักสืบผมขาวหยุดเดินอีกครั้งแล้วหันมองด้วยสีหน้าผิดหวังปนกับเสียดายในใจ
ทำเอาฉันรู้สึกผิดทันทีที่พูดออกไปแบบนั้น
“มะ...ไม่ใช่ๆๆ คือแบบว่าฉัน...เอ่อ...”
“ไปด้วยกันเถอะครับ...พวกเราอยู่สำนักงานเดียวกันต้องคอยดูแลเพื่อนร่วมงาน
ถือว่าได้เปิดโลกกว้างให้กับคุณในตัวเลยไงล่ะ” อัตสึชิพยายามพูดโน้มน้าวสุดกำลังในขณะที่มือทั้งสองยกขึ้นจับไหล่ฉันไว้พร้อมจ้องมองรอฟังคำตอบอย่างมีความหวัง
สีหน้าของเขาดูท่าทางคาดหวังมากขึ้นยิ่งกว่าที่เคยคิดไว้ซะอีกนะเนี่ย...
แบบนี้คงต้องยอมใจนักสืบอายุน้อยแล้วล่ะ...
“อื้ม...โอเค เดี๋ยวฉันจะไปด้วยละกัน
ส่วนดาไซก็...”
ตื๊ดด~ ตื๊ดด~
ช่วงที่ยังไม่ทันพูดจบประโยค
เสียงโทรศัพท์สั่นดังจากกระเป๋ากางเกงของฉันขัดจังหวะเสียก่อน เมื่อหยิบมาดูหน้าจอพบกับข้อความใหม่จากนักสืบผ้าพันแผล นั่นทำให้ฉันแอบรู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆ
ขึ้นมา จากนั้นจึงเริ่มกดเปิดอ่านเนื้อหาใจความ
จาก : ดาไซ โอซามุ
ถึง : ทาจิบานะ ยูกิ
ขอโทษที่รบกวนเวลาเดินทางนะ ยูกิจัง แต่ฉันและคุนิคิดะคุงอยากคุยธุระกับเธอด้วยหน่อย
ระหว่างนั้นก็ฝากอัตสึชิคุงซื้อเสบียงรอไว้ก่อนเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์
งั้น...เจอกันตามพิกัดที่ฉันแนบส่งไว้นะ
[แนบพิกัดแผนที่]
ธุระ...? แต่เมื่อกี้คุนิคิดะเพิ่งสั่งให้ซื้อเสบียงอยู่เลยนี่นา
อืมม...บางทีอาจจะเป็นเรื่องสำคัญก็ได้มั้ง...
ต้องรีบแล้วล่ะ...
“เอ่อ...อัตสึชิคุง เมื่อกี้ดาไซส่งข้อความเรียกให้ฉันคุยธุระน่ะ”
ฉันหันไปคุยกับอัตสึชิพลางเปิดดูพิกัดแผนที่จากข้อความเมื่อครู่
ซึ่งพอตรวจสอบคร่าวๆ ปุ๊บ จุดมุ่งหมายคือซอกหลืบเดิมที่เคยเจอเหตุการณ์ระหว่างดาไซกับชูยะครั้งนู้น
“เอ๊ะ...? ถ้าแบบนั้นพวกเราไปหาคุณดาไซก่อนก็ได้นี่ครั---”
“แต่ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ไปที่ไหนไกลเลย เพราะงั้นช่วยซื้อเสบียงแทนฉันหน่อยเนาะ
อ้อ...อย่าลืมลิสต์รายการที่ยังไงก็ต้องซื้อละกัน”
ช่วงวินาทีนั้นฉันไม่รอช้าหยิบกระดาษลิสต์รายการกับซองสีน้ำตาลแล้วจับวางไว้ในมืออีกฝ่ายพร้อมย้ำว่าต้องซื้อให้ได้
ต่อมาก็รีบวิ่งมุ่งหน้าตามคำเรียกของนักสืบผมน้ำตาล
ตึกๆๆๆๆ
เรื่องที่อยากเขาคุย...หรือว่าจะเป็นข้อมูลใหม่เกี่ยวกับองค์กรแบล็คโคลเวอร์?
งั้นถือเป็นโอกาสที่ค่อนข้างโอเคไม่น้อยเลย
เพราะทางฉันอยากขอลองเสนอข้อมูลที่รับฟังมาและจดเก็บไว้ในสมุด ถึงไม่ค่อยแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์เนื่องจากนักเรียนกลุ่มนั้นคุยเรื่องไอดอลคนใหม่
เอาเถอะ...พอไปถึงก็คงจะรู้เองแหละ
.
..
...
....
.....
ผ่านไปไม่กี่วินาที (วิ่งอย่างกับมาราธอน)
“แฮ่ก...แฮ่ก...ตรงนี้สินะที่ดาไซนัดพบ...”
กลับมาเจอกันอีกแล้วนะ...ซอกหลืบคุง
นายนี่มันเป็นสถานที่ในตำนานจริงๆ
ฉันมองรอบๆ ทั้งซ้ายขวาพร้อมก้าวเท้าเดินเหยียบเขตบริเวณนี้ ในหัวนึกถึงภาพเหตุการณ์ครั้งก่อนที่ดาไซเคยแกล้งชูยะและทำเอารู้สึกเพี้ยนเพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงประเภททอมบอย จนปัจจุบันความมึนงงพวกนั้นก็ยังแอบตามหลอกหลอนเบาๆ
“อืมม...บรรยากาศดูเงียบจัง เงียบอย่างแปลกประหลาดเลย...”
ตึก...ตึก...ตึก
“อ่ะ...นั่นมัน...ทางเข้าตอนลึก? ไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยแฮะ”
พอเดินเข้าเรื่อยๆ ปุ๊บ บริเวณตรงหน้านี้ยังมีทางเลี้ยวด้านซ้ายมืออีก
แต่มันกลับมืดกว่า ไม่ค่อยมีแสงสว่างสาดส่องลงมา จึงไม่แน่ใจว่าดาไซกับคุนิคิดะจะรอแถวนั้นจริงรึเปล่า
ตึก...ตึก...ตึก
“เอ่อ...ดาไซ...คุณคุนิคิดะ...ฉันมาตามที่คุณส่งข้อความบอกไว้แล้วนะคะ”
“...”
.
..
...
มะ...ไม่มีเสียงตอบรับ...?
หรือว่าพวกเขาจะ...
“ตายจริง...มีหนูซกมกเดินเข้าซอกหลืบด้วย”
“...!!?”
จังหวะที่กำลังจะเตรียมหยิบโทรศัพท์ติดต่อนักสืบทั้งสองนั้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง พอหันกลับไปจึงพบกับผู้หญิงวัยประมาณเลขสองใกล้สามยืนมองด้วยความเย่อหยิ่งเชิงเหยียดหยามประกอบคำว่า
หนูซกมก
เธอมีรูปร่างค่อนข้างสูง
เรือนผมสีชมพูที่ปล่อยหน้าม้าออกข้างและลงตรงกลาง ทางด้านหลังรวบทรงเกล้ามวยสูงขึ้นเป็นวงกลม
นัยน์ตาสีน้ำตาล-ทองเข้มไร้ซึ่งอารมณ์เหมือนมนุษย์มนา ชุดที่ใส่เป็นเซ็ตสาวทำงานสไตล์เซ็กซี่ธีมสีม่วง
ไม่มีเนคไท ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตไว้ประมาณสองเม็ด เลคกิ้งรูปแบบมีสายสีน้ำตาลอ่อนๆ
และรองเท้าส้นต่ำสีม่วง
คือดูโดยรวมแล้วเหมือนสาวออฟฟิศทั่วไป...
...แต่ไม่น่าจะธรรมดาแน่ๆ
เพราะเธอมาพร้อมกองกำลังชายฉกรรจ์ชุดดำที่กำลังถืออาวุธปืนอยู่ หนำซ้ำคนเหล่านั้นยังมีสัญลักษณ์ใบโคลเวอร์สีดำติดไว้อีกด้วย!
“บะ...แบล็คโคลเวอร์...!?”
“หืมม...นี่คือคำพูดแรกจากปากกาลกิณีแห่งตระกูลทาจิบานะงั้นเหรอ
ช่างไร้มารยาทในการทักทายซะจริง” ผู้หญิงตรงหน้าค่อยๆ ย่างก้าวมาหาอย่างช้าๆ
เหมือนกำลังลองเชิงอะไรบางอย่างจนกระทั่งหยุดยืนบริเวณกึ่งกลางทางเดิน
แต่คำว่า กาลกิณี เมื่อกี้มัน...เป็นคำเหยียดจากทางครอบครัวกับญาติพี่น้องไม่ใช่เหรอ
คนอื่นไม่น่าจะรู้ได้นี่!
“คะ...คุณรู้จักน้าคานาเอะด้วยสินะ...” ฉันเริ่มเดินถอยออกห่างจนเกือบชิดทางตันด้วยใจคอที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
มือซ้ายเตรียมสแตนด์บายไว้ทางด้านหลังเผื่อเกิดเหตุขึ้นจนต้องใช้พลังพิเศษ
“คานาเอะ...? เธอคงหมายถึงมินาโตะ
คานาเอะผู้ใช้พลังเกี่ยวกับดอกไม้สินะ...”
“อึ่ก...งั้นคำว่า กาลกิณี นั่นก็...”
“เฮอะ! ได้ยินบ่อยจนเบื่อละ...เพราะถึงยังไงซะ...”
อีกฝ่ายเว้นช่วงประโยคแล้วดีดนิ้วหนึ่งทีจนกระทั่งลูกน้องทั้งหมดยกปืนกลเบากับปืนพกขึ้นเล็งมาที่ฉันอย่างพร้อมเพรียง
“การได้เจอตัวจริง...มันรู้สึกดีกว่าเยอะ”
“...!!”
“ขอลองทดสอบสักหน่อยละกัน...ระหว่างปกป้องเจ้านาย...หรือฆ่าพวกฉัน...”
“...”
“...คำสาปอันน่ารังเกียจนั่นจะเลือกทางไหน!!”
ปัง!!
พอสิ้นเสียงของผู้หญิงผมชมพูคนนั้น
ลูกน้องถือปืนพกก็เริ่มเหนี่ยวไกยิงออกมาเป็นกระสุนนัดแรก ดูทรงแล้วน่าจะเป็นปืนที่รุนแรงไม่ใช่น้อย
ฉันรีบดีดตัวถอยหลังออกเตรียมดีดนิ้วเรียกแคทเชอร์ช่วยป้องกัน ทว่า...
ฟึ่บ!!
“อ่ะ...!?”
เสี้ยววินาทีที่กำลังจะได้ดีด จู่ๆ
ร่างของฉันก็ล่องลอยขึ้นฟ้าโดยมีใครบางคนโดดลงมาอุ้มไว้ระดับเอวของตัวเองแล้วค่อยพาปล่อยลงให้ยืนทางด้านหลังกลุ่มแบล็คโคลเวอร์
พอลองหันมองคนๆ นั้นปุ๊บ สิ่งที่เห็นคือร่างสูงซึ่งน่าจะเป็นผู้ชายภายใต้ผ้าคลุมสีดำรอบตั้งแต่หัวจรดเท้า
“...”
“คะ...คุณคือ...”
ตึก...ตึก...ตึก
“ถอยออกไปก่อน...”
ต่อมาเสียงผู้หญิงปริศนาของอีกหนึ่งคนดังขึ้นจากทางซ้ายมือ
ร่างที่ปรากฏเพิ่มเติมน่าจะสูงประมาณ 153 เซนติเมตร แน่นอน...เธอเองก็ใส่ผ้าคลุมสีดำเช่นเดียวกับผู้ชายคนนี้
เหมือนทั้งสองมีความสัมพันธ์ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง
“พวกแกเป็นใครกัน! ทำไมถึงกล้าขัดขวางการทดสอบของฉัน!”
“...”
หญิงสาวตัวเล็กไม่พูดตอบอะไรกับอีกฝ่ายทั้งสิ้น
เธอส่งสัญญาณให้อีกคนคอยยืนปกป้องไว้พร้อมค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้าหา
จากนั้นจึงเริ่มหยิบร่มพกพาสีดำออกจากผ้าคลุมและจับดึงด้ามร่มจนกลายเป็นมีดเรียวคมเล่มหนึ่ง
“ชิ...งั้นไม่ต้องสนว่าเป็นใครแล้ว! ยิงยัยคนนั้นทิ้งซะ!”
ตัวแทนแบล็คโคลเวอร์ชุดม่วงสั่งการลูกน้องทุกคนให้กราดยิงโดยไม่รีรอ ต่อมากระสุนเหล่านั้นไม่เกิดผลใดๆ เมื่ออีกคนกางร่มออกเป็นโล่ป้องกัน โดยปกติมันควรจะทะลุเข้าแท้ๆ แต่นี่กลับทนเหมือนโล่กันกระสุนไม่มีผิด
“บ้าจริง...กระสุนหมดแล้ว”
“ร่มนั่นทำจากอะไรกันแน่เนี่ย!”
“หนอย...คนขี้ขลาด! แน่จริงอย่าใช้ร่มสิวะ!!”
“...”
คำท้าทายของเหล่าชายฉกรรจ์เหมือนจะยั่วต่อมอะไรสักอย่างหนึ่งจนทำให้หญิงสาวคนนั้นหุบร่มแล้วขว้างใส่เต็มใบหน้าก่อนที่จะใช้ด้ามมีดจากร่มพกพากับสันมือทุบท้ายทอยหนักๆ
เรียงคนด้วยความรวดเร็ว รวมถึงกระโดดฟาดแข้งใส่ต้นคอจนล้มนอน
เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอดูชำนาญในการต่อสู้ไม่น้อย
.
..
...
“อั่ก...!!”
เวลาผ่านไปแป๊บเดียว ชายฉกรรจ์ชุดดำคนสุดท้ายก็น็อกเอ้าท์ลงพื้นโดยถูกด้ามมีดร่มพกพาทุบลงท้ายทอยจนกระทั่งเหลือแค่ผู้หญิงชุดสีม่วงที่กำลังยืนกำหมัดแน่นสองข้างด้วยความโมโหสไตล์ตัวร้ายในละคร
“อึ่ก...นี่เธอ...”
“...”
“เฮอะ...! ถือว่าครั้งนี้โชคดีที่มีคนช่วยละกันนะ
ยัยกาลกิณี ไว้คราวหน้า...เราได้เห็นดีกันแน่!!”
ว่าจบเธอรีบเดินหนีออกจากซอกหลืบเพียงลำพัง ทิ้งให้เหล่าลูกน้องล้มนอนกันอย่างสุขสบายเรียงแถวโดยฝีมือผู้หญิงคนเดียว ขนาดฉันที่มีพลังพิเศษติดตัวยังตะลึงไม่หาย
“แอบตามติดผู้หญิงคนนั้นซะ...คูแลนน์”
“...รับทราบ”
ฟุ่บ!!
ผู้ชายชุดคลุมหัวสีดำชื่อ คูแลนน์ รับคำสั่งดังกล่าวพร้อมกระโดดขึ้นบนตึกข้างๆ
นี้ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่ชูยะเคยพาขึ้นไปไม่มีผิด ส่วนคนออกคำสั่งก็หันมาถามอาการนู่นนี่ตามประสาการยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนๆ
หนึ่ง
“เอ่อ...ขอบคุณนะคะที่พวกคุณทั้งสองคนช่วยฉันไว้...”
“อืม...พวกเราก็น่าจะรุ่นเดียวกันแหละ...เพราะงั้นคุยเหมือนเป็นเพื่อนได้เลย”
เจ้าตัวพูดในขณะที่เก็บมีดเข้าร่มพกพาแล้วค่อยเก็บเข้าผ้าคลุมเหมือนเดิม
“เอ่อ...อื้ม ว่าแต่พวกเธอ...เป็นใครเหรอ”
“ก็นะ...ฉันกับคูแลนน์เป็นแค่นักเดินทางเที่ยวเมืองโยโกฮาม่าเท่านั้นเอง”
นักเดินทาง...? แต่ความสามารถการทำให้น็อกเอ้าท์เมื่อกี้นี่มัน...
เก่งเกินฐานะนักเดินทางธรรมดาแล้วนะเนี่ย...
“เอาเป็นว่า...ในฐานะที่ฉันเคยเจอเหตุการณ์พวกนี้จนเป็นข่าวแล้ว
เธอควรระวังคนๆ นั้นให้ดีนะ และที่สำคัญ...ห้ามไปไหนมาไหนคนเดียวเด็ดขาด”
ว่าจบหญิงสาวตรงหน้าก็ค่อยๆ หันตัวเตรียมเดินออกจากซอกหลืบในตำนานนี้โดยที่ฉันยังไม่ทันได้ถามถึงเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเลยสักนิด
“อึ่ก...”
แต่อย่างน้อย...สิ่งที่ควรรู้ไว้มีเพียงหนึ่งข้อ...
...เป็นเรื่องเบสิกสำหรับชีวิตพวกเรา
“เอ่อคือ...”
“...?”
“เธอ...ชื่ออะไรเหรอ ฉันชื่อ ทาจิบานะ ยูกิ แบบว่า...เผื่อจะได้เจอหน้ากันอีก”
หลังจากถามคำถามเมื่อครู่จบ อีกฝ่ายก็หยุดเดินและหันหน้ามองพร้อมจับฮู้ดของผ้าคลุมสีดำออกเผยให้เห็นรูปหน้าคร่าตาบางส่วน เธอมีสีผิวคล้ำหน่อยๆ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นประมาณไหล่ ตบท้ายด้วยผ้าคาดตาสีเทาที่ปกปิดนัยน์ตาทั้งสองไว้
วินาทีนั้น...เธอเปิดปากแนะนำชื่อตัวเองให้ได้รู้จักเป็นเพื่อนว่า...
“อิชิคาวะ เรียวโกะ ยินดีที่ได้รู้จักละกันนะ...ยูกิ”
[ To be continued ]
ความคิดเห็น