คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : [Meeting Time!] ช็อตเดียวกับสุนัขแห่งพอร์ตมาเฟีย
เนื่องจากวันนี้ทางประธาน
ฟุคุซาวะ ยูคิจิ
อนุญาตให้พนักงานนักสืบบุโซทุกคนได้พักผ่อนหย่อนใจจากการงานสุดหนักหน่วงหนึ่งวัน
ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างประหลาดที่เขายอมทำเช่นนี้เพื่อพวกเรา
ขนาดคุนิคิดะเองก็ยังช็อกสลบลงพื้นเลย ซึ่งปกติจะแสดงสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเครียดตลอดเวลา
แต่ภายในกลับมีความใจดีแฝงอยู่ ยิ่งตอนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ อ่อนๆ
ยิ่งทำให้รู้สึกสบายหูเป็นอย่างมาก
ขณะนี้ตัวฉันในชุดเดิมและใส่ฮู้ดหูกระต่ายเหมือนเดิมกำลังตามหาจุดรอรถบัสเพื่อเตรียมมุ่งหน้าไปที่น้ำตกคนเดียว
ตอนแรกตั้งใจจะชวนสมาชิกนักสืบบุโซทุกคนเที่ยวด้วยกันอยู่หรอก
แต่คุนิคิดะกลับลากดาไซให้ทำงานพาร์ทไทม์ร่วมกับพี่น้องทานิซากิ ทางรัมโป
เคนจิกับคุณหมอโยซาโนะได้รับมอบหมายช่วยสืบสวนคดีจากอีกเมือง
ส่วนอัตสึชิกับเคียวกะก็ไปเที่ยวกันอย่างมีความสุข
สรุปคือเหลือฉันและท่านประธานที่ตอนนี้ไม่อาจทราบได้ว่าอยู่
ณ พิกัดไหนของเมืองนี้
ตึก...ตึก...ตึก
ระหว่างที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อย
ร่างของผู้ชายผมสีเงินในชุดยูกาตะสีเขียวภายใต้ผ้าคลุมสีดำขอบทองก็เดินมาหยุดมองตรงหน้าพอดี
บ้าจริง
พูดถึงปุ๊บท่านมาปั๊บเลยนะคะเนี่ย
“สะ...สวัสดีค่ะ ท่านประธาน” ฉันกล่าวคำทักทายประธานฟุคุซาวะพร้อมโค้งคำนับอย่างสุภาพนอบน้อมหลังจากแอบลนลานอยู่ในใจหลายวินาที
“ทาจิบานะเองงั้นเหรอ” อีกฝ่ายพูดกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมตามเคย “วันหยุดทั้งทีสมาชิกคนอื่นน่าจะอยู่รวมตัวด้วยนะ
พวกเขาหายไปไหนกันหมดล่ะ”
“เอ่อ...พอดีต่างคนต่างมีงานทำเสริมน่ะค่ะ
ทั้งพาร์ทไทม์ สืบคดีจากอีกเมือง
หรือไปเที่ยวด้วยกันเองบ้าง...ตัวฉันที่ไม่มีอะไรทำก็เลยต้องหาเดินเที่ยวสักหน่อย”
“ฮืม...ถ้าเธอไปเองคนเดียวคงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักสิ เอาเป็นว่าฉันจะขอร่วมทางด้วยละกัน” เขาเดินตรงเข้ามาใกล้ตรงหน้าโดยยังคงรูปหน้าเคร่งขรึมเหมือนเดิม
แล้วคือท่านจะไปเที่ยวกับฉันเนี่ยนะ!? ตลอดที่ผ่านมาก็เหนื่อยมามากแล้วไม่ใช่เหรอ
“ตะ...แต่ท่านควรพักผ่อนดีกว่านะคะ
ถ้าเรื่องความปลอดภัยล่ะก็...ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ” ฉันพยายามยิ้มให้ประธานรู้สึกสบายใจเพราะในใจคิดว่ามีแคทเชอร์กับริปเปอร์คอยปกป้องอยู่เคียงข้าง
“แต่เธอเป็นลูกน้องของฉัน จะไม่ให้เป็นห่วงได้ไง”
คำพูดคำจาของประธานประจำสำนักงานนักสืบบุโซเมื่อครู่ทำให้ฉันประหลาดใจมาก
ถึงเขาจะอายุ 45 ปี แต่นั่นกลับทำให้รู้สึกหวั่นไหวในใจยังไงไม่รู้
บุคลิกหรือการพูดคุยที่แสนอ่อนโยนแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่อลูกน้องของตนได้อย่างชัดเจน
ฉันมองไปยังแววตาสีโลหะของอีกฝ่ายแล้วค่อยๆ
พยักหน้าตอบตกลง ยอมให้ร่วมเดินทางด้วยกัน เขาบอกว่าก่อนจะเที่ยว
ขอแวะทักทายสมาชิกคนอื่นในเมืองโยโกฮาม่าซะก่อน
โดยมีกลุ่มคุนิคิดะที่ทำงานพาร์ทไทม์สักแห่งหนึ่ง
ซึ่งไม่อาจตอบได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนกัน
“งั้นลองเดินรอบๆ
เมืองก่อน ถ้าไม่เจอค่อยตกลงกันใหม่อีกที”
“ดะ...ได้ค่ะ”
ตื๊ดด~ ตื๊ดด~ ตื๊ดด~
เสียงโทรศัพท์สั่นจากกระเป๋ากางเกงดังขึ้นช่วงจบการสนทนาพอดี เมื่อหยิบมาดูหน้าจอก็พบกับเบอร์โทรแปลกๆ ฉันขอตัวเดินออกห่างไปประมาณสามก้าวจากประธานผมเงินพร้อมกดรับสายโดยยังไม่พูดอะไรจนกว่าปลายสายจะยืนยันตัวตน
“...”
“ยูกิคุง นี่ฉันเองนะ”
เมื่อได้ยินเสียงปลายสายเมื่อครู่
ความรู้สึกแรกเลยคือสะดุ้งในใจ สติเกือบกระเจิงเพราะบอสแห่งพอร์ตมาเฟียกำลังโทรมาชนิดที่ว่าหายากเหลือเกิน
แม้ว่าทั้งสององค์กรจะหมดเรื่องบาดหมางกันแล้ว
แต่แทบไม่มีการติดต่อทางโทรศัพท์กันเลย
“คุณโมริ? มะ...มีอะไรรึเปล่าคะ
พอดีฉันกำลังเตรียมเที่ยวน้ำตกกับท่านประธานอยู่น่ะค่ะ”
ฉันไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากยอมคุยกับเขาให้เหมือนปกติที่สุด
“ไม่มีอะไรมากมายหรอก
แค่อยากให้เธอช่วยตามหาอาคุตางาวะคุงหน่อยน่ะ”
“อาคุตางาวะคุง...เหรอคะ”
“ใช่แล้ว
ถ้าเจอตัวปุ๊บ ฝากบอกเขาด้วยว่า ครั้งนี้ฉันอยากให้ลองสร้างผลงานใหม่ๆ แต่ห้ามก่อเหตุเดือดร้อนต่อบ้านเมืองหรือสังหารใครเด็ดขาด
ถือเป็นการทดสอบความเต็มใจของการทำงานในองค์กรพอร์ตมาเฟียแบบใหม่ที่ฉันตั้งขึ้นเอง”
การทดสอบ? จะว่าไปทางพอร์ตมาเฟียเขารับสมาชิกใหม่ด้วยวิธีไหนกันนะ
น่าสงสัยจัง ถ้าสำนักงานนักสืบบุโซทดสอบเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้คน งั้นทางนั้นก็...ลงภารกิจเพื่อให้มือตัวเองสกปรกจนทำงานเป็นมาเฟียได้อย่างแท้จริงงั้นเหรอ
ไม่เอาน่า
เธอคงคิดไปเองแหละ ยูกิ
“ยูกิคุง? ฟังอยู่รึเปล่าเอ่ย”
ในขณะที่ฉันเหม่อลอยคิดเรื่องเมื่อครู่
โมริก็ดึงสติให้กลับมาเหมือนเดิม จึงทำให้การสนทนาทางโทรศัพท์ดำเนินต่อไป
“เอ๊ะ!? ฟะ...ฟังอยู่ค่ะ เอาเป็นว่าวันนี้ฉันจะช่วยตามหาเขาเอง
ส่วนเรื่องผลงานนี่...คงต้องกำหนดเองสินะคะ”
“ถูกต้อง เธอจะช่วยกำหนดให้ก็ได้นะ
ตามสะดวกเลย อย่างเช่น...ช่วยเหลือใครสักคนที่กำลังเดือดร้อนอยู่หรือสร้างสีสันให้กับคนใดคนหนึ่ง
อะไรประมาณนี้ เผื่อเขาจะทำงานร่วมกับกลุ่มพวกเธอได้ดีกว่าเดิม”
อย่างนี้นี่เอง
แสดงว่าเขาวางแผนการร่วมมือกันระหว่างองค์กรทั้งสองกลุ่มเรื่องช่วยเหลือประชาชนในเมืองโยโกฮาม่าไว้แล้วแน่ๆ
เลย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น
ฉันก็พยักหน้าตกลงและพูดตอบรับคำขอร้องของโมริทันที
“รับทราบค่ะ งั้นขอตัวก่อนนะคะ
คุณโมริ”
“อื้มๆ ขอให้โชคดีนะ
ยูกิคุง”
ติ๊ด!
ว่าจบก็กดวางสายพร้อมเก็บใส่กระเป๋ากางเกงไว้แล้วเดินบอกประธานฟุคุซาวะเรื่องสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้
แน่นอนว่าเปลี่ยนแผนใหม่หมดเกลี้ยง
โดยให้เขาตามหาสมาชิกที่เหลือและถามสารทุกข์สุกดิบ ส่วนฉันตามหาอาคุตางาวะและเตรียมบททดสอบความเต็มใจในการทำงาน
“งั้นเหรอ...หวังว่าเธอจะกลับมาปลอดภัยดีละกัน
ทาจิบานะ”
อีกฝ่ายหยิบบางอย่างออกจากแขนเสื้อยูกาตะสีเขียวแล้วยื่นให้ฉันก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป เจ้าสิ่งนี้คือซองบรรจุเงินค่าขนมไว้ซื้อกินระหว่างเดินทาง
เมื่อแกะซองออกดูจำนวนเงินปุ๊บ...แทบช็อกหลุดโลก
เพราะเขาให้มาตั้งหนึ่งหมื่นเยน!!
(ไรท์ : ถ้าเทียบเงินไทยก็ประมาณ 2,900 บาทอ่ะนะ)
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้เยอะเท่านี้มาก่อนเลย
มากสุดก็ได้จากลุงนายพรานแค่ 500 เยนเอง
หลังยืนช็อกโลกหลายวินาที ฉันก็รีบเก็บใส่กระเป๋าสตางค์แล้วค่อยเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อแขนยาวเหมือนเดิม ยังพอโชคดีหน่อยที่พกมันมาด้วย ไม่งั้นเผลอทำเงินหายแน่ๆ
จากนั้นจึงเริ่มเดินตามหาตัวอาคุตางาวะเพื่อบอกให้เขาสร้างผลงานใหม่ที่ดีกว่าเก่าตามคำขอของบอสแห่งพอร์ตมาเฟีย
บททดสอบเพื่อการทำงานร่วมกันเหรอ...อืมม
จะเอาแบบไหนดีนะ เขาไม่ค่อยทำงานเป็นกลุ่มซะด้วยสิ
ได้ข่าวว่าชอบปลีกตัวออกคนเดียวหรือบางทีก็จำเป็นต้องร่วมกันเป็นคู่กับใครสักคน
เดี๋ยวก่อน
ร่วมกันเป็นคู่...กับใครสักคน?
“...”
โอ๊ะ! คิดออกแล้ว ฉันคิดบททดสอบที่น่าจะคู่ควรกับเขาออกแล้วล่ะ!
เวลาผ่านไปสิบนาที
“...”
เอิ่ม...แต่คืออยากจะบอกว่า
มองทางไหนก็ไร้วี่แววของหนุ่มชุดคลุมสีดำรายนั้นจริงๆ หาไม่เจอสักจุด
แม้แต่ซอกหลืบสุดแสนยอดนิยมก็ไม่มี นี่เขาเป็นมนุษย์เงาประจำเมืองโยโกฮาม่ารึไงเนี่ย
ตึก...ตึก...ตึก
ฉันพยายามหันซ้ายหันขวาเดินมองหาอาคุตางาวะอย่างใจจดใจจ่อ
ค้นทุกซอกทุกมุมจนถึงขั้นแอบเปิดถังขยะดูเลย แล้วถ้ามีใครสักคนมาเห็นเข้าปุ๊บ เขาคงต้องคิดในใจว่าเป็นเด็กข้างถนนหรือขอทานจากเมืองชนบท
แต่เอาเถอะ...ก่อนที่จะได้เป็นสมาชิกนักสืบบุโซก็เคยนอนโทรมประหนึ่งคนใกล้สิ้นลมหายใจอยู่ใต้สะพานมาแล้ว
ซึ่งมันหนักยิ่งกว่าข้างถนนอีกหลายเท่าตัว
ตึก...ตึก...ตึก
ในขณะที่กำลังปิดฝาถังขยะใบสุดท้าย พลังงานบางอย่างก็เริ่มย่างก้าวเข้ามาจากทางขวามือ สิ่งเดียวที่ทำได้คือ รีบทำตัวให้เหมือนเดินเล่นธรรมดาเพื่อป้องกันความสงสัย
แต่ทว่า...มันสายเกินไป เจ้าพลังงานนั่นได้เข้ามาใกล้เต็มทนแล้ว
ไม่เอาน่า...คงไม่ใช่ชาวบ้านคนไหนใช่มะ
หนูไหว้ล่ะ
อย่าต่อว่าอะไรหนูเลยน้าา
.
..
...
“เมื่อกี้ทำอะไรของเธอน่ะ
แม่สาวผมดำ”
ห๊ะ...?
เสียงชายหนุ่มน่าคุ้นเคยดังในช่วงที่กำลังก้าวขาเดินไม่กี่ครั้ง พอหันกลับไปมองจึงพบกับคนที่ฉันตามหาอยู่พอดี อาคุตางาวะยืนมองนิ่งๆ ก่อนที่จะถามต่อว่า...
“คุ้ยถังขยะหาของเหลือเดนกินงั้นเหรอ”
ฉึ่ก!
อะไรกัน
ทำไมมันช่างเจ็บปวดแท้...
“มะ...ไม่ใช่สักหน่อยนะ พอดีฉันเจอแผ่นกระดาษใบหนึ่งบนฝาถังโดยบังเอิญน่ะ ก็เลยหยิบขึ้นมาดูแล้วเก็บทิ้งไป”
ฉันตอบออกไปแบบนั้นพร้อมยิ้มแห้งให้กับอีกฝ่าย เรียกได้ว่าจังหวะนี้ต้องมีการใช้สกิลแถสดสีข้างถลอกบ้างแล้ว ต่อมาจึงนึกได้ว่ามีเรื่องต้องบอกด้วย แต่เขาก็ดันเดินผ่านอย่างหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดะ...เดี๋ยวก่อน
อาคุตางาวะคุง”
“...?”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำหยุดก้าวเดินตามที่รั้งไว้พอดี
ค่อยโล่งใจหน่อยละ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เย็นชามากมายขนาดนั้นสินะ
“อันที่จริงแล้ว...”
.
.
.
.
.
.
ฉันพูดชี้แจ้งเรื่องที่โมริได้บอกทางโทรศัพท์ไว้ว่าวันนี้อาคุตางาวะต้องสร้างผลงานใหม่ให้กับกลุ่มพอร์ตมาเฟียซึ่งเป็นหนึ่งในบททดสอบการทำงานร่วมกับผู้อื่น
โดยห้ามก่อเหตุเดือดร้อน สังหารใครคนหนึ่งหรือทำงานสกปรกเด็ดขาด พอพูดจบ
เขาก็แสดงท่าทางขัดใจอย่างมาก
“แล้วเช่นนั้นกระผมจะเป็นพอร์ตมาเฟียทำไมล่ะ”
“กะ...ก็เมืองนี้สงบสุขดีนี่นา
จะให้ก่อเหตุมันไม่ถูกต้องหรอก อีกอย่างทั้งสององค์กรหมดเรื่องบาดหมางกันแล้ว
ถ้าลองทำงานร่วมกันอาจเป็นความคิดที่ดีมากเลย”
“ทำงานร่วมกันเหรอ งั้นถ้าให้กระผมอยู่กับคุณดาไซล่ะก็...จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง”
จริงด้วยสิ
เจ้านักสืบจิตพิลึกนั่นเป็นคนที่อาคุตางาวะอยากแสดงพลังให้เห็นมากสุดนี่เนอะ
ไม่แปลกใจเลยที่ชูยะหาว่าเป็นลูกแหง่ติดพ่อครั้งนู้น
“...”
อืมม...แต่พอลองคิดดูดีๆ
แล้ว นี่อาจเป็นโอกาสดีในการสร้างผลงานใหม่อย่างแท้จริงก็ได้
“ตอนแรกกะว่าจะให้เดินสำรวจพื้นที่เมืองด้วยกันอยู่หรอก
แต่ถ้าให้นายทำงานพาร์ทไทม์ร่วมกับดาไซในวันนี้คงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเนาะ” ฉันเสนอทางเลือกงานให้กับชายหนุ่มชุดคลุมดำพร้อมหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงแล้วเลื่อนหาเบอร์โทรนักสืบผมน้ำตาล
“นี่เธอ...” ในขณะที่เขากำลังเริ่มพูดไม่กี่คำ ปลายสายทางนั้นก็กดรับภายในทันที
“สวัสดีจ้า ยูกิจัง
มีธุระอะไรกับดาไซคนหล่อรึเปล่าเอ่ย”
ดาไซพูดทักทายด้วยความร่าเริงแถมยังแฝงความเป็นคนหลงตัวเองนิดๆ
“เอ่อคือ...ตอนนี้คุณทำงานอยู่ที่ไหนเหรอ
พอดีอยากจะไปหาสักหน่อย”
“ว้าว~ นางฟ้าแสนสวยกำลังมาหาฉันด้วยล่ะ
นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ~”
เอิ่ม...เจองี้ถึงกับตัดสินใจไม่ถูกว่าจะให้คะแนนหลงตัวเองเท่าไหร่ดี
มันช่างอยู่เหนือขีดจำกัดจริงๆ
“ดาไซ
อย่าเพิ่งหลงระเริงในความหล่อแล้วรีบบอกพิกัดที่คุณทำงานอยู่สักทีสิ!”
“โอ้พระเจ้า~ แทบไม่เชื่อ
ยูกิจังอยากเจอจนตัวสั่นอย่างแรงสินะเนี่ย...โอเค เดี๋ยวฉันจะส่งพิกัดให้ทางไลน์ละกัน
เพราะงั้นเปิดข้อความรอไว้ได้เลยจ้า”
ว่าจบดาไซก็กดวางสายอย่างไวทันใจวัยทำงาน
ฉันรีบเปิดเมนูเลื่อนหาแอพไลน์ รอรับข้อความจากปลายทาง
อาคุตางาวะยืนเงียบเป็นเป่าสากนานหลายนาทีพร้อมเดินเข้าหา
ใบหน้าของเขาเคลื่อนมาใกล้เพื่อดูหน้าจอด้วย
บะ...บางทีก็ใกล้เกินไปนะเฮ้ย!
“...” ฉันรู้สึกถึงหยาดเหงื่อและความร้อนผ่าวที่เริ่มแผ่บนแก้มทีละนิดจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนจับโทรศัพท์รออย่างนิ่งๆ ราวกับหุ่นยนต์
ไลน์!
ต่อมาข้อความของดาไซได้เด้งขึ้นพร้อมเสียงเตือนประจำแอพไลน์
ซึ่งมันช่วยปลุกสติสตางค์ได้ดีเหลือเกิน
“ฉันทำงานขายเบเกอรี่ในร้านนี้นะ
ถ้าอยากกินอะไรก็สั่งมาได้เลย เดี๋ยวจะทำไว้ให้ล่วงหน้าเป็นพิเศษ”
(ส่งรูปพิกัดบนแผนที่)
แหม่...มารยาทความเป็นพนักงานพาร์ทไทม์นี่มันมาเต็ม
“งั้นฝากชงน้ำชากับนมสดอุ่นอย่างละหนึ่งแก้วละกัน
อ้อ...และก็เอาพายแอปเปิ้ลสองชิ้นด้วยนะ”
“พวกเธอดูสนิทสนมกันจังเลยนะ
แม่สาวผมดำ”
“มะ...ไม่ขนาดนั้นหรอก
เขาแค่เป็นคนที่ช่วยฉันไว้ก่อนที่จะเป็นหนึ่งในสมาชิกนักสืบบุโซน่ะ”
“ช่วยไว้?
ว่าแล้วคุณดาไซเนี่ยช่างมีพระคุณเสียจริง” อาคุตางาวะเดินถอยออกห่างจากตัวฉันหลังได้ดูข้อความเมื่อครู่เป็นที่เรียบร้อย
“เพราะกระผมเองก็ได้รับการช่วยเหลือจากเขาด้วยเช่นกัน”
“เอ๊ะ...?”
เขาพาฉันเดินตามพิกัดร้านเบเกอรี่ที่ดาไซส่งมาให้พร้อมเริ่มเปิดใจเล่าเรื่องความเป็นมาของตัวเองตั้งแต่ยังเด็กจนถึงทุกวันนี้
“ตอนนั้นกระผมที่เป็นเด็กกำพร้าเคยอาศัยอยู่ในย่านสลัมแสนเน่าเฟะ
แต่ก็ได้คุณดาไซช่วยไว้โดยพาเข้ากลุ่มพอร์ตมาเฟีย”
ย่านสลัม...นี่มันหนักยิ่งกว่าตัวฉันที่ถูกทิ้งและต้องอาศัยอยู่ในป่าอีกแฮะ
ฉันตั้งใจฟังชายหนุ่มชุดคลุมดำอย่างเงียบๆ ซึ่งเขาบอกว่าไม่เคยเปิดปากเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย
แม้แต่อัตสึชิเองก็ด้วย อาจเป็นเพราะอยู่คนละองค์กร ไม่สนิทสนมอย่างจริงจัง
หรือไม่อยากเล่าถึงความอ่อนแอในอดีตที่ผ่านมา
“เธอเชื่อหรือไม่ว่ากระผมพ่ายแพ้ให้กับเขาตลอด
ถูกกล่าวหาว่าอ่อนแอ พลังพิเศษไร้ประโยชน์ ไม่ได้แข็งแกร่งพอ คำดูถูกเหล่านั้นทำให้กระผมรู้สึกโมโหตัวเอง
โมโหคนที่ชอบจมปลักกับอดีตอย่างเจ้าเสือสมิง
แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงรู้สึกเช่นเดิม”
ไม่จริง...เขาคงไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอก
ดาไซแค่พูดกดดันเพื่อเป็นแรงผลักดันให้พัฒนาตัวเองเท่านั้นเองใช่มั้ยล่ะ
พอคิดได้เช่นนั้น
ฉันก็พูดกลับไปตามที่ใจคิดไว้ทันที
“ไม่หรอก...อาคุตางาวะคุง”
“...?” เขาหยุดเดินชั่วขณะแล้วหันหน้ามองด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“ที่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้เพราะนายแข็งแกร่งขึ้นแล้วต่างหาก
ถึงจะไม่รู้เรื่องราวเชิงลึกจริงๆ แต่ฉันรู้ว่านายไม่ได้อ่อนแอลง คุณโมริเองก็น่าจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“คนที่มีพวกพ้องอย่างเธอจะไปเข้าใจกระผมด้วยงั้นเหรอ”
“เข้าใจสิ! อีกอย่าง...เมื่อก่อนฉันไม่มีเพื่อนสักคนด้วย ครอบครัวถูกฆ่า
เครือญาติพาไปทิ้งกลางป่า คนที่รับเลี้ยงแสนใจดีอย่างลุงนายพรานดันเป็นฆาตกรในภายหลัง
ขนาดความคิดที่ว่าจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเข้าเมืองนี้ก็แทบไม่มีด้วยซ้ำ”
“...”
“เรื่องราวที่ฉันประสบมาทั้งหมดอาจไม่หนักหนาสาหัสเท่านาย
แต่พอรู้จักกับดาไซ ฉันก็เริ่มรู้สึกตัวได้ว่าพลังใจต่างหากที่ทำให้ผู้คนแข็งแกร่งขึ้น”
ใช่แล้ว...พลังใจ
ความฝันและความมุ่งมั่นเป็นสิ่งสำคัญในการผลักดันตัวเองให้บรรลุถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้
แม้เหตุการณ์ร้ายแรงจะยังไม่เกิดขึ้น แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีทางเลือนหายไปแน่นอน
“...” อาคุตางาวะยืนอึ้งไปพักใหญ่ก่อนที่จะค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้พร้อมเปิดปากถาม “แม่สาวผมดำ...เธอมีชื่อเต็มว่าอะไร”
“ทาจิบานะ ยูกิ
ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยละกันนะ อาคุตางาวะ ริวโนะสึเกะคุง”
ฉันแนะนำชื่อของตัวเองพร้อมเผยรอยยิ้มกว้าง และสิ่งตอบแทนที่ได้กลับมานั้นถือว่าหายากพอๆ กับของคุนิคิดะ ซึ่งมันคือรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของชายหนุ่มผู้ครอบครองพลังพิเศษ ราโชมอน ประจำองค์กรพอร์ตมาเฟีย
“ทางนี้เองก็เช่นกัน...ทาจิบานะ”
ณ ร้านเบเกอรี่
เฮ้อ...ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึงจุดหมายอย่างสถานที่ทำงานพาร์ทไทม์ของดาไซสักที สภาพหน้าร้านดูคล้ายคาเฟ่ประจำสำนักงานนักสืบบุโซ ป้ายชื่อ ‘Bake2U’ ถูกแขวนไว้เหนือหัว
แน่นอนว่าบรรยากาศภายในก็ออกแบบคล้ายคาเฟ่ของเราเป๊ะ
คืออยากจะถามเจ้าของร้านเหลือเกินว่า
นี่ได้รับแรงบันดาลใจหรือก็อปมาทั้งดุ้นกันแน่
หลังจากฉันเอื้อมมือเปิดประตูแล้วพาอาคุตางาวะเดินเข้าร้าน ดาไซได้โบกไม้โบกมือจากเคาน์เตอร์พนักงานทักทายพร้อมยิ้มกว้าง กวักมือเรียกพวกเราสองคนให้เข้ามานั่งด้วยกัน
“แหมๆ เหตุผลที่ยูกิจังสั่งเครื่องดื่มสองแก้วและพายแอปเปิ้ลสองชิ้นก็เพราะอาคุตางาวะคุงมาด้วยนี่เอง
กำลังเดทกันอยู่รึเปล่าเอ่ย”
“มะ...ไม่ใช่สักหน่อย!
ฉันแค่อยากจะให้อาคุตางาวะคุงทำงานพาร์ทไทม์กับคุณหนึ่งวันเท่านั้นเอง”
ฉันรีบแก้ตัวด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยทันทีที่ได้ยินคำพูดแซวจากปากอีกฝ่าย
“คุณดาไซ ครั้งนี้แหละที่ต้องแสดงฝีมือให้ได้เห็น ไม่ว่างานแบบไหน...กระผมจะพยายามเอง” ชายหนุ่มชุดดำพูดพร้อมแสดงสีหน้าจริงจังกับงานที่กำลังจะได้ทำ
“มุ่งมั่นไม่เบาเลยนี่นา”
“งานครั้งนี้คุณโมริขอร้องมาทางโทรศัพท์น่ะ
อีกอย่าง...มันมาจากพลังใจที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาทำได้ ตัวฉันเองก็หวังแบบนั้นอยู่เหมือนกัน”
“เห...คุณโมรินี่เอง
ถึงจะมาแปลกหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งล่ะ”
หนุ่มนักสืบผมน้ำตาลกล่าวขอบคุณฉันที่ช่วยอาคุตางาวะครั้งนี้แล้วยิ้มกว้างพร้อมปล่อยให้พวกเราสองคนนั่งกินพายแอปเปิ้ลกับเครื่องดื่มของตัวเองต่อไป
การได้ทำอะไรเพื่อชายหนุ่มผู้ครอบครองราโชมอนที่ไม่เคยจะพูดคุยอย่างจริงจังมันช่างรู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจจังแฮะ ฉันแอบหวังไว้ลึกๆ เลยว่าเขาต้องแสดงฝีมืออย่างเต็มที่แน่นอน
ยังไงก็สู้ๆ นะ...อาคุตางาวะคุง
[ Nice to meet Akutagawa Ryuunosuke ]
ความคิดเห็น