คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : Episode 6 อดีตที่ลืมเลือน (การล้างแค้น)
Episode 6 อดีตที่ลืมเลือน (การล้างแค้น)
----------------------------------------------------
เวลา 18.30 น.
ณ ฮงมารุ
พอเวลาผ่านไปเมื่อตอนเย็น ยูมิได้ตกเป็นเหยื่อของมลทินแห่งความดำมืดเพราะถูกสังคมโรงเรียนกดดัน
เพื่อนร่วมชั้นกลั่นแกล้งสารพัด ยิ่งกว่านั้นคือ โทมะทรยศทางอ้อม มาซากิกับพรรคพวกลากเข้าโรงยิมพร้อมตัดผมออก
อาจารย์โคนามะล่วงล้ำเขตต้องห้ามด้วยความรักใคร่ ร่างเงาดำสะกดจิตทิ้งท้ายเอาไว้
ถ้าหากแผนการขั้นสุดท้ายของมันสำเร็จไปด้วยดี...เธอจะกลายเป็นตัวแทนแห่งความเคียดแค้นต่อสังคมอย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะนี้ตัวเธอในชุดมิโกะสีน้ำเงิน-ขาวกำลังนั่งบนโต๊ะและมองกองรายงานของเหล่าดาบหนุ่มที่ออกลาดตระเวนหรือจัดการกองทัพข้ามเวลาด้วยสายตาอันว่างเปล่า
แม้การบ้านจากโรงเรียนจะหมดแล้วก็ตาม แต่จิตใจแทบไม่คิดจะเคลียร์งานอื่นเลย
“...”
พอลองมองรอบๆ ห้องสักพัก เธอพบกับกล่องกระดาษสีน้ำตาลอ่อนใบหนึ่งวางอยู่บนตู้หนังสือ
ซึ่งไม่เคยมีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แม้แต่มุทสึโนะคามิกับมิทสึทาดะเองก็ไม่อาจรู้ความจริงได้ว่าภายในกล่องใบนั้นมีอะไรด้วยอำนาจจากซานิวะสาวที่สั่งไว้ตลอดสามปี
“...”
ต่อจากนั้นมือสองข้างก็เริ่มหยิบกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่นกับปากกาดำหนึ่งด้ามเพื่อเขียนข้อความเชิงคำสั่งก่อนที่จะพับใส่ซองจดหมายสีน้ำตาล ขาสองข้างย่างเดินไปเปิดประตูห้องและยื่นซองให้เลขาประจำฮงมารุอย่างมิทสึทาดะในชุดธรรมดาซึ่งกำลังยืนเฝ้าอยู่
“ช่วยส่งเจ้านี่ให้โอคุริคาระหน่อยนะคะ...พอส่งแล้วก็ทำอาหารเย็นรอทุกคนได้เลย”
“รับทราบ” เขารับซองจดหมายไว้กับมือพร้อมมองอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล
“นายท่าน...คงไม่ได้ฝืนตัวเองมากเกินไปใช่มั้ยเอ่ย”
“ไม่ค่ะ...สบายมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้โรงเรียนก็จัดงานปัจฉิมนิเทศแล้ว...หมดกังวลได้เลยค่ะ”
หญิงสาวตอบดาบหนุ่มและพยายามยิ้มบาง
จับจ้องมองด้วยแววตาสีน้ำเงินที่ยังคงว่างเปล่าไม่หาย รวมทั้งปกปิดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ไม่ยอมเปิดเผยความอ่อนแออื่นใดนอกจากตอนถูกฝังคำสาปอีก
“งั้นก็ดีแล้วล่ะนะ...พวกข้าเป็นห่วงเจ้ามาตลอดสามปีเลย แถมคาดหวังเอาไว้ว่าจะต้องเรียนจบและทำหน้าที่ซานิวะต่อไปเรื่อยๆ
จนกว่าทุกอย่างจะจบลง”
มิทสึทาดะยิ้มบางพร้อมยกมือซ้ายขึ้นลูบหัวเชิงปลอบใจอย่างเบามือ เขามองตัวเธอที่ค่อยๆ ก้มหน้าลงเล็กน้อย มือขวากำหมัดไว้แน่นด้วยความรู้สึกบางอย่างภายในจิตใจ
จากนั้นเขาจึงเดินลงบันไดเพื่อส่งของให้โอคุริคาระตามคำสั่ง
ตึก...ตึก...ตึก
พอลองมองรอบๆ ฮงมารุแล้ว พบว่ามีเหล่าดาบหนุ่มคนอื่นๆ กำลังทำความสะอาดบริเวณนั่งเล่นในช่วงใกล้เสร็จเต็มทน บ้างก็นั่งพูดคุยบนเฉลียงอย่างสนุกสนาน ส่วนทางมุทสึโนะคามิก็ยืนอยู่แถวๆ สะพานข้ามแม่น้ำสายเล็กอยู่คนเดียว
“อืมม...ลองคุยกับเขาสักหน่อยดีมั้ยนะ”
ว่าจบดาบหนุ่มเจ้าของผ้าปิดตาสีดำก็มุ่งหน้าตรงไปหาเขาคนนั้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเดินมาถึงจุดหมายปลายทาง ดาบหนุ่มแห่งเมืองโทสะในชุดนักดาบประจำตัวที่กำลังยืนพิงและแหงนหน้ามองขึ้นฟ้าได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายพร้อมหันไปตามต้นเสียง
“มุทสึโนะคามิ...”
“โอ๊ะ...โชคุไดคิรินี่เอง พอดีวันนี้ข้าอยากจะรับลมเย็นๆ หลังจากลาดตระเวนสักหน่อยอ่ะนา” เขาพูดคุยด้วยรอยยิ้มกว้างที่เผยเขี้ยวเล็กอันมีเสน่ห์ออกมาให้เห็นเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ
“...”
“ว่าแต่มีเรื่องอะไรจะคุยด้วยรึเปล่า เห็นปกติจะเริ่มทำอาหารเตรียมไว้ให้พวกข้าเลยนี่”
“พักนี้...ช่วงที่รับหน้าที่เป็นเลขาแทนข้า เจ้าได้เห็นท่าทีแปลกๆ
ของนายท่านบ้างรึเปล่า”
“...!”
เพียงแค่ถามคำถามเดียว บรรยากาศรอบตัวก็เริ่มมาคุขึ้นอย่างแปลกประหลาด
รอยยิ้มของดาบหนุ่มชุดสีส้มเมื่อครู่ได้หายไปชั่วพริบตา เขาก้มลงมองพื้นสะพานเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มหันหน้าเปิดปากคุยกับอีกฝ่าย
“นายท่านน่ะ...ดูเหนื่อยๆ ยิ่งกว่าสมัยยังเป็นซานิวะครั้งแรกซะอีก พยายามเรียกมาเดินเล่นข้างนอกด้วยกันแล้วแต่นางไม่ยอมออกมาเลย
ข้าวปลากินน้อยกว่าผิดปกติมาก มื้อเช้าที่ว่าสำคัญที่สุดในชีวิตยังกินแค่ครึ่งถ้วย เผลอๆ ช้อนเดียวด้วยซ้ำ”
“ไม่จริงน่า...แบบนั้นนางจะทำงานต่อไหวเหรอ
มื้อเช้าเลยนะ!”
“ขนาดข้าเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน! อีกอย่าง...ถึงโรคลมชักจะค่อยๆ บรรเทาทีละนิดด้วยฤทธิ์ยาที่ยะเก็นปรุงให้ แต่...ไม่รู้สิ ตราบใดที่ยังไม่ได้แก้ไขต้นตอที่แท้จริง
มันต้องไม่หายขาดง่ายๆ แน่นอน”
มุทสึโนะคามิพยายามสอดส่องการเคลื่อนไหวของยูมิภายในฮงมารุแห่งนี้มาโดยตลอด
แม้ถูกไล่ให้อยู่ข้างนอก แต่เขากลับไม่ยอมแพ้จนเธอต้องยอมให้ยืนเฝ้ามุมห้องแทน
ข้อแม้ที่ได้รับคือ อย่าพูดคุยอะไรทั้งนั้นและทำหน้าที่ของตัวเองไป
โดยช่วงระยะเวลาสามปีที่เริ่มเป็นแกะดำ เธอไม่ยอมเปิดใจ
แสดงความรู้สึกที่แท้ใจนอกจากนิ่งเงียบ เวลาทำงานมักทำไปหยุดไป ถอนหายใจออกแรงเป็นครั้งคราวเพราะเหนื่อยล้าจากหลายๆ
อย่าง
“ข้าเป็นห่วงนางแทบแย่จริงๆ นา...บางครั้งก็รู้สึกเจ็บปวดในใจที่ทำอะไรเพื่อนางไม่ได้
ข้าอยากให้นางอารมณ์ดีขึ้น...ยอมพูดคุยกับพวกข้าทุกคนตามปกติ...และไม่อยากให้นั่งทำงานคนเดียวอย่างเหน็ดเหนื่อยไปมากกว่านั้นอีก”
“ถ้าเจ้ารู้สึกแบบนั้นด้วยล่ะก็...คงไม่ต่างอะไรกับข้านักหรอก
มุทสึโนะคามิ”
“...นั่นสิน้อ พวกเราต่างเป็นเลขาด้วยกัน จะเป็นห่วงยิ่งกว่าคนอื่นก็ไม่แปลก”
ทั้งสองคนต่างอยู่ในสภาวะตึงเครียดทันทีหลังจากพูดคุยเรื่องซานิวะสาวเมื่อครู่
แต่พอมิทสึทาดะก้มหน้าลงมองซองจดหมายสีน้ำตาลแล้ว ก็เพิ่งนึกได้ว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่ออีก
“จะว่าไป...เจ้าเห็นคาระจังบ้างรึเปล่า”
“คาระจัง...” มุทสึโนะคามิพยายามนึกอยู่นานก่อนที่จะรู้ชื่อจริงของคนๆ
นั้น “อ้อ...โอคุริคาระสิน้อ รู้สึกว่าจะนั่งพักใต้ต้นซากุระอยู่คนเดียวนา...เจ้านั่นเข้าหาสังคมยากชะมัดเลยจริงๆ”
“ฮ่ะๆๆ เอาน่า เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก” เขาหัวเราะเบาๆ และพยายามยิ้มให้อีกฝ่าย “งั้นข้าขอตัวไปก่อนละกัน
อีกไม่นานก็จะทำอาหารเย็นให้พวกเจ้าแล้วล่ะ”
ว่าจบเจ้าตัวรีบวิ่งมุ่งหน้าไปยังบนเนินเขาสีเขียวที่ห่างออกไปพอสมควร ซึ่งมีต้นซากุระสีชมพูอ่อนๆ ขนาดใหญ่ที่มองดูแล้วสบายตาสบายใจ พอลองมองหารอบๆ สักพักจึงพบว่าร่างของดาบหนุ่มผมน้ำตาลเข้มซึ่งกำลังนั่งพิงและหลับตาอยู่ เขากำลังอยู่ในเสื้อแขนยาวสีดำ-ส้มใส่ทับเสื้อแขนสั้นสีขาว กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าผ้าใบสีเทา-ส้ม และสร้อยคอแบบเดียวกันกับชุดนักดาบ
พอผ่านไปไม่กี่วินาทีอีกฝ่ายก็ลืมตาตื่นเสียแล้ว
“ไม่คิดจะสนิทสนมด้วยหรอกนะ...”
“ไม่เอาน่า คาระจัง ครั้งนี้มาหาแป๊บเดียวเอง” มิทสึทาดะยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะยื่นซองจดหมายสีน้ำตาลให้ “อ่ะนี่ นายท่านฝากเอามาให้น่ะ”
“จากนายท่าน...?”
“อื้ม...ข้าไม่รู้หรอกว่าเขียนเรื่องอะไร แต่อย่าลืมเปิดอ่านด้วยล่ะ”
ต่อมาผู้ส่งสารก็ขอตัวกลับห้องครัวเพื่อเตรียมทำอาหารเย็นให้เหล่าสมาชิกดาบทั้งหลาย รวมถึงบอกให้ผู้รับสารตรงหน้าร่วมนั่งกินด้วยกันสักครั้งหนึ่ง เขาหันหลังกลับไปและเดินลงตามเนินเขาอย่างช้าๆ โดยแอบสงสัยไม่หายว่ายูมิเขียนข้อความอะไรลงไป
“...”
โอคุริคาระนั่งมองซองสีน้ำตาลในมือพักใหญ่ก่อนที่จะเปิดออกพร้อมหยิบกระดาษสีขาวที่ถูกพับครึ่งเอาไว้อย่างเรียบร้อย
เขาค่อยๆ จับคลี่ออกแล้วเริ่มกวาดสายตาอ่านข้อความเหล่านั้น มันถูกเขียนเอาไว้สามบรรทัดว่า...
‘ช่วยมาที่ห้องซานิวะหน่อย...โอคุริคาระ พอดีมีเรื่องจะคุยด้วยแค่สองคน
นายเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฉันสามารถพูดคุยได้ในตอนนี้
และขอร้อง...อย่าให้ใครรู้เห็นหรือเป็นพยานเด็ดขาดนะ’
.
.
.
.
.
หลังจากโอคุริคาระได้รับข้อความเชิงคำสั่งของยูมิผู้เป็นซานิวะสาวและอ่านมันจนครบถ้วนแล้ว
เขาค่อยๆ
ลุกขึ้นยืนพร้อมหันมองรอบตัวเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีดาบหนุ่มคนอื่นเดินเพ่นพ่าน ต่อมาจึงรีบมุ่งหน้าไปอย่างเงียบๆ
ไม่ยอมเผยตัวให้ใครมาพบเห็น ถึงแม้จะไม่รู้เหตุผลที่ทำเช่นนั้นเท่าไหร่ก็ตาม
“คุณสึรุ...ฝากตามเรียกคาระจังที่ต้นซากุระหน่อยได้มั้ยเอ่ย”
“คาระโบน่ะเหรอ...ได้เลย เดี๋ยวข้าจัดการเอง!”
“...!”
ระหว่างนั้นเอง การสนทนาระหว่างดาบหนุ่มสองคนก็ได้ดังขัดจังหวะ ซึ่งเป็นเสียงของมิทสึทาดะและสึรุมารุ คุนินากะ เสียงพูดคุยของพวกเขาดังมาจากเฉลียงใกล้กับทางเข้าห้องครัว
แถมยังบังเอิญอยู่ใกล้กับดาบหนุ่มผมน้ำตาลเข้มด้วย เขาพยายามหาที่หลบหลังต้นไม้พร้อมสังเกตการณ์ดาบหนุ่มผมขาวอยู่นานจนกระทั่งห่างออกไกลพอสมควรเรียบร้อยแล้ว
“หรือว่า...คาระจังจะไม่ร่วมกินข้าวกับพวกเราเหมือนเดิมกันนะ”
เขาพูดพึมพำกับตัวเองเบาๆ
ก่อนที่จะย่างก้าวเข้าห้องครัวเพื่อเตรียมจัดโต๊ะอาหารให้กับดาบหนุ่มคนอื่นๆ
อีกนับสิบ โดยในใจแอบคิดล่วงหน้าไว้ว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่เข้าร่วมแน่นอน และมันก็ดันเป็นจริงอยู่แทบทุกครั้งซะด้วย
“...”
เมื่อเส้นทางถูกเปิดออก
โอคุริคาระไม่รอช้ามุ่งหน้าเข้าภายในอาคารฮงมารุ ขาสองข้างก้าวเดินอย่างระมัดระวังจนถึงบันไดที่นำทางไปยังห้องซานิวะ
เขายืนมองหน้าประตูสักพักก่อนที่มือขวาจะค่อยๆ ยื่นออกเปิดบานประตูทางขวาพร้อมย่างก้าวเข้าภายในห้องอย่างเงียบๆ
“นายท่าน...ข้ามาตามคำสั่งแล้ว”
“โอคุริคาระ...?”
หญิงสาวผมสั้นสีดำผู้ที่กำลังนั่งห่มผ้าและกุมมือสองข้างบนฟูกค่อยๆ
หันหน้าตามต้นเสียงตรงหน้าราวกับคนไร้วิญญาณครึ่งหนึ่งของชีวิต เธอเริ่มเปิดปากเรียกอีกฝ่ายให้เดินมานั่งใกล้ๆ
โดยสั่งให้ล็อกประตูไว้ด้วย
“...”
แกร๊ก!
ดาบหนุ่มทำตามคำสั่งเมื่อครู่โดยการล็อกประตูห้องและมุ่งตรงเข้าหาซานิวะสาว
เขานั่งลงบนพื้นข้างๆ เธอพร้อมเตรียมรับฟังเรื่องที่จะพูดคุยในครั้งนี้
“วันพรุ่งนี้...ฉันมีงานปัจฉิมนิเทศที่โรงเรียนน่ะ ถ้าไม่ว่าอะไร...ช่วยมากับฉันได้รึเปล่า”
ยูมิหันหน้าถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และแววตาอันว่างเปล่า ภายในจิตใจแทบไม่คิดที่จะสดใสแม้แต่นิดเดียว
“ถ้าพูดถึงร่างเงาดำที่ตามติดด้วยล่ะก็...มันพยายามปกปิดตัวตนไว้ตลอดอยู่แล้ว
ทุกคนไม่มีทางสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้หรอก”
เป็นเรื่องแปลกไม่น้อยที่ไม่เคยมีใครสังเกตเห็นร่างเงาสีดำรอบตัวหญิงสาวยกเว้นโอคุริคาระเพียงคนเดียว เพราะเดิมทีความสามารถในการพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของร่างเงาชั่วร้ายก็ถือว่าสูงพอตัวอยู่แล้ว
“แล้วตอนนี้...เจ้านั่นยังอยู่ใช่มั้ย...”
หลังจากถามคำถามออกไปสั้นๆ โอคุริคาระได้ทำการเพ่งสายตาสังเกตรอบตัวเธอ
สิ่งที่เขาพบเจอเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ตอนแรกเป็นแค่ออร่าบางๆ
ตอนนี้ก่อตัวเป็นร่างเงาสีดำทึบ มีรูปลักษณ์คล้ายกับมนุษย์คนหนึ่ง ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นจ้องเขม็งมาทางเขาอย่างเลือดเย็น
อีกทั้งยังถือบางอย่างที่เรียวยาวในมือข้างขวา
“...”
“อา...มันยังอยู่กับเจ้าเหมือนเดิม...”
“งั้นเหรอ...”
ยูมิก้มหน้าลงพร้อมค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากตัวก่อนที่จะเดินไปยังตู้หนังสือริมห้อง ดวงตาสีน้ำเงินอันว่างเปล่าจับจ้องมองกล่องกระดาษสีน้ำตาลอย่างไม่ละสายตา
จากนั้นจึงเขย่งตัวหยิบมันลงมาวางบนพื้นและเปิดฝากล่อง
ภายในนั้นบรรจุไปด้วยสมุดจดเล่มสีดำ อุปกรณ์การเรียนเก่าๆ
ที่เคยใช้สมัยเรียนมัธยมต้น กระเป๋าสตางค์ทรงเหลี่ยมสีดำ แว่นสายตาอันเก่ารูปแบบเดียวกับปัจจุบันที่แตกหักโดยฝีมือใครคนหนึ่ง
รวมถึงร่มคันเล็กสีดำแบบพับเก็บได้และพกสะดวก
ซานิวะสาวค่อยๆ เอื้อมมือหยิบร่มออกแล้วนั่งคุกเข่ามองมันอยู่นานหลายวินาทีก่อนที่จะเตรียมจัดเก็บใส่กระเป๋านักเรียนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“ดูท่าทาง...ฉันต้องใช้เจ้านี่ ‘อีกรอบ’
แล้วสินะ...”
“อีกรอบ...? หมายความว่าไงกัน...นายท่าน”
“หืม? อ้อ...หมายถึงว่าต้องใช้เผื่อฝนจะตกระหว่างเดินทางไปโรงเรียนน่ะ
เพราะบางทีกรมอุตุนิยมอาจพยากรณ์อากาศผิดพลาดบ้างก็ได้ อีกอย่าง...เวลาใส่เสื้อกันฝน มันเก็บยุ่งยากสำหรับฉันเกินไป...”
สิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่สร้างความสงสัยและฉงนใจให้กับดาบหนุ่มเป็นอย่างมาก
เท่าที่เขาแอบสังเกตพฤติกรรมหรือชีวิตประจำวันในฮงมารุตลอดสามปี ไม่เคยพบว่าใช้ร่มคันนั้นมาก่อน
อย่างมากก็ใส่เสื้อกันฝนเป็นครั้งคราว หรือบางวันไม่ใช้ทั้งคู่เลย
“...”
แต่ต่อมา โอคุริคาระก็ไม่ได้คิดอะไรต่ออีกนอกจากตอบรับว่าจะยอมไปด้วยในวันพรุ่งนี้ตามคำสั่งแล้วค่อยขอตัวเดินออกจากห้องอย่างเงียบๆ
ซึ่งระหว่างนั้นเอง สิ่งที่ยูมิสั่งทิ้งท้ายเพิ่มเติมอีกคือ...ต้องแอบตามไม่ให้ดาบหนุ่มคนอื่นๆ รู้เห็นหรือเป็นพยานเช่นเดียวกับในจดหมายที่เขียนให้เมื่อไม่นาน
ความสงสัยเหล่านี้จึงยังคงติดวนเวียนภายในใจเขาจนกว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึงแล้วค่อยรับรู้เอง!
ณ โรงเรียนมัธยมเซย์โชว
เมื่อยูมิเดินทางจากฮงมารุมาถึงหน้าประตูเหล็กของบ้านหลังที่สองแล้ว
สิ่งที่เธอพบเป็นอย่างแรกคือ บรรยากาศอันเต็มไปด้วยกลีบซากุระที่โปรยปรายตามสายลมอ่อนพร้อมป้ายตั้งพื้นขนาดใหญ่หน้าอาคารเรียนถูกเขียนด้วยน้ำหมึกดำว่า
เรียนจบ เหล่ากลุ่มเพื่อนๆ รุ่นพี่-รุ่นน้องที่รู้จักกับผู้ปกครองบางส่วนที่ร่วมงานต่างพากันมีความสุขและปลาบปลื้มยินดียิ่งนัก
ทว่า...ความรู้สึกของเธอกลับไม่ใช่แบบนั้น
เธอรู้สึกมืดมน ไร้ซึ่งความยินดีเนื่องจากถูกกลั่นแกล้งจนไม่มีเพื่อนอยู่เคียงข้าง
แม้แต่โทมะเองก็ไม่คิดจะเข้าหาในช่วงเวลาพักกลางวัน แย่กว่านั้นคือร่างเงาสีดำที่ตามติดได้ก่อร่างสร้างตัวจนมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์บนโลกแล้ว
เพียงแค่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเพศอะไร
ส่วนทางโอคุริคาระตอนนี้กำลังประจำตัวอยู่บนดาดฟ้าซึ่งไม่มีใครขึ้นมาสักคน
เหตุผลหลักคือเขาได้รับมอบหมายคำสั่งบางอย่างจากซานิวะสาวและเตรียมทำหน้าที่ในอีกไม่ช้า
“...”
หญิงสาวก้มลงมองนาฬิกาข้อมือตัวเองแล้วพบว่ายังเหลือเวลาเตรียมตัวร่วมงานปัจฉิมนิเทศอีกเยอะพอสมควร
จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เดินเข้าอาคารเรียนหลังใหญ่พร้อมฝ่าดงเหล่าคำนินทา
ล้อเลียนหรือสายตาที่มองเหยียดหยามโดยไม่คิดจะสนใจทั้งสิ้น
เพราะของพวกนี้...ไม่มีทางกระทบกระเทือนจิตใจได้อีกต่อไปแล้ว
ตึก...ตึก...ตึก
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นอาคารอย่างช้าๆ
และทำการมุ่งหน้าไปห้องพักครูชั้นล่าง เมื่อเธอลองเปิดประตูห้องจึงพบว่ามีเพียงอาจารย์โคนามะเท่านั้นที่ยังนั่งจัดเอกสารสำคัญ
ช่วงที่เขาวางกองกระดาษลงบนโต๊ะ สายตาคู่นั้นก็สังเกตเห็นนักเรียนสาวอันน่าคุ้นเคยก่อนที่จะยิ้มทักทายเหมือนทุกครั้ง
“อรุณสวัสดิ์...อิชิมารุ วันนี้ดูแปลกจังแฮะที่มาหาครูตั้งแต่เช้าน่ะ”
“...อรุณสวัสดิ์ค่ะ...อาจารย์”
เธอทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้นอกจากกล่าวคำทักทายกลับด้วยอารมณ์นิ่งๆ
และมืดมน ไม่สมกับวัยเรียนมัธยมที่ควรจะเป็น เขานั่งมองสักพักแล้วค่อยๆ
ยื่นมือขวาแตะต้นคอไล่ลงถึงบริเวณเนินอกเสื้อนักเรียน นัยน์ตาสีแดงเข้มจับจ้องมองทั่วเรือนร่างอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ขอโทษด้วยนะ...ที่เมื่อวานทำรุนแรงกับร่างกายอันบอบบางของหนูเกินไป”
“...”
“แต่ไม่ต้องห่วง...ครูไม่บอกเรื่องนี้กับใครหรอก อ้อ...และก็เตรียมตัวด้วยล่ะ
เพราะครูเลือกให้หนูเป็นตัวแทนกล่าวความรู้สึกบนเวที ใครไม่แคร์ช่างมัน...ขอให้ทำอย่างเต็มที่ก็พอ”
ความรู้สึกรักใคร่ที่เขามีให้ตลอดสามปีและการล้ำเขตต้องห้ามระหว่างอาจารย์กับนักเรียนในวันวานยังคงตราตรึงในใจไม่หาย
ในขณะที่อีกคนไม่ได้มีความรู้สึกต่อเขาเลยนอกจากนิ่งเฉยและแอบแค้นเคืองเล็กน้อย
วินาทีนั้นเอง นักเรียนสาวได้เกิดนึกบางอย่างขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มเปิดปากคุยกับอาจารย์ทันที
“อาจารย์คะ...คือหนูอยากได้แผนผังโรงเรียนอ่ะค่ะ...พอดีวันนี้อยากลองเดินดูรอบๆ
ให้ครบจนกว่าจะเรียนจบ”
“ดูรอบๆ เหรอ ถ้าแบบนั้นเดี๋ยวครูก็ช่วย---”
“แต่หนูอยากไปด้วยตัวเองนี่คะ...หนูโตแล้ว...ไม่ใช่เด็กอนุบาล”
ประโยคที่พูดขัดจังหวะเมื่อครู่ของยูมิทำให้อาจารย์โคนามะรู้สึกได้ถึงความก้าวร้าว
เริ่มพูดจาผิดแปลกจากเดิมจนบางทีก็ไม่มั่นใจว่านอกจากกลุ่มนักเรียนคนอื่นแล้ว เป็นเพราะตัวเขาเองด้วยอีกคนรึเปล่าที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป
“...”
นัยน์ตาสีน้ำเงินอันว่างเปล่ายังคงจ้องมองอีกฝ่ายรอคำตอบจากสิ่งที่ร้องขอ
พอเวลาผ่านไปไม่กี่วินาที เขาจึงยอมเดินไปยังตู้เหล็กริมห้องเพื่อหยิบแผนผังพื้นที่ภายในโรงเรียนมัธยมเซย์โชวให้อย่างไร้ทางเลือก
“งั้น...ใช้เวลานี้ให้คุ้มค่าเถอะนะ อิชิมารุ เดี๋ยวอีกไม่นานครูก็จะไปรอที่โรงยิมแล้วล่ะ”
“ขอบคุณค่ะ...อาจารย์โคนามะ”
หลังจากกล่าวคำขอบคุณพร้อมโค้งคำนับหนึ่งทีแล้ว
ยูมิก็ค่อยๆ ก้าวขาเดินออกจากห้องพักครูโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ด้วย เธอคลี่แผ่นกระดาษออกทำท่ามองดูไปเดินสำรวจไปทั่วทั้งชั้นล่าง
ซึ่งระหว่างนั้นก็แอบสังเกตเห็นเพื่อนร่วมชั้นบางส่วนที่ส่งสายตาแปลกๆ และมีคำนินทาตามเคย
“อยู่มาสามปีแล้วยังจะใช้แผนผังบ้าบอนี่อยู่อีกเหรอ”
“ปัญญาอ่อนจริงอะไรจริง”
“ทำอย่างกับตัวเองเพิ่งจะเรียนใหม่”
“สงสัยคิดล่วงหน้าว่าต้องซ้ำชั้นรึเปล่าถึงได้ทำแบบนี้”
“แต่แหม...น่าสงสารจังเนาะ คนไม่มีเพื่อนก็เป็นงี้แหละ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“...”
...คนอะไรชอบพูดให้เปลืองน้ำลาย...
นี่คือสิ่งที่หญิงสาวผมดำคิดในใจแต่ไม่อยากเผยเป็นคำพูดตรงๆ
เพราะยังไงซะ...ไม่ว่าเธอจะพูดบอกอะไรก็ไร้ความหมายสำหรับพวกเขาอยู่แล้ว
ตึก...ตึก...ตึก
พอเดินสำรวจเรื่อยๆ จนถึงชั้นสาม
ห้องที่ยูมิยืนอยู่ตรงหน้าคือห้องบันทึกภาพวงจรปิด ซึ่งมันถูกล็อกไว้ด้วยแม่กุญแจสีเหลืองทอง
แต่มีเหรอที่จะยอมถอย เธอรูดซิปกระเป๋านักเรียนพร้อมหยิบถุงผ้าสีดำขนาดเล็กออกมาเปิด
มือขวาล้วงเข้าไปคว้าสิ่งหนึ่งขึ้น มันคือชุดกุญแจผีที่เคยแอบซ่อนไว้ในกล่องกระดาษสีน้ำตาล
กึกๆๆ
เธอพยายามปลดล็อกแม่กุญแจอย่างใจเย็น
ซึ่งขณะนั้นก็แอบกวาดสายตามองรอบตัวเป็นระยะป้องกันไม่ให้ใครสักคนจับได้
พอเวลาผ่านไปไม่กี่วินาที...
แกร๊ก!
แผนการปลดล็อกห้องบันทึกภาพวงจรปิดสำเร็จด้วยดี หญิงสาวค่อยๆ ยื่นมือเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปสำรวจภายในห้องโทนมืด สิ่งที่พบเด่นชัดคือคอมพิวเตอร์ที่เปิดโปรแกรมเก็บภาพจากกล้องวงจรปิดทั่วทั้งโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นทางเดินรอบอาคาร หน้าอาคาร ห้องเรียน โรงอาหาร พื้นที่ใจกลาง และสถานที่สำคัญคือ โรงยิมที่มีการจัดงานปัจฉิมนิเทศ
“นี่แหละที่ต้องการ...”
เธอเริ่มใส่ถุงมือหนังสีขาวในกระเป๋ากระโปรงและทำการปิดตัวโปรแกรมไม่ให้กล้องทำงานได้อีก
จากนั้นก็ล้างข้อมูลภาพหรือวีดีโอออกจากสารระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมด รวมทั้งรีเซ็ตเครื่องนี้เพื่อล้างทุกอย่างไม่ให้เหลือแม้แต่ข้อมูลวินโดว์
สุดท้ายคือถอดปลั๊ก ใช้กรรไกรตัดสายไฟทุกเส้น
ฉั่บ...ฉั่บ...
.
.
.
“เท่านี้ก็เรียบร้อย...”
หญิงสาวพึมพำเบาๆ พร้อมเดินออกจากห้องและล็อกประตูเหมือนเดิม
มือขวาหยิบโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่มิทสึทาดะซื้อให้วันก่อนๆ เธอยืนรออยู่ไม่ถึงสิบวินาทีก่อนที่ปลายสายจะกดรับ
“จัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ...”
“อืม...ต่อไปก็คิวของนายที่ต้องทำตามคำสั่งแล้วนะ...”
“รับทราบ...”
“อย่าให้พลาด...แม้แต่นิดเชียวล่ะ...โอคุริคาระ”
ณ โรงยิม
พอเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง
เหล่าอาจารย์ ผู้ปกครองและนักเรียนทุกระดับชั้นเริ่มทยอยกันรวมพลเพื่อเข้าร่วมงานปัจฉิมนิเทศด้วยความตื่นเต้น
รู้สึกสนุกสนาน ยิ้มแย้มแจ่มใสกันดี ซึ่งภายในอาคารนั้นมีเก้าอี้หลายตัววางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
บนเวทีตรงหน้ามีโพเดียมสำหรับอาจารย์หรือตัวแทนนักเรียนที่ต้องการเปิดประเด็นสักเรื่องหนึ่ง
ระหว่างที่พวกเขาทั้งหมดนั่งประจำที่แล้ว
ยูมิก็ค่อยๆ เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย เธอกวาดสายตามองหาเก้าอี้ที่ยังว่าง
ปรากฏว่ามีเพียงแค่ตัวเดียวและอยู่แถวหลังสุด แถมยังมีคนจงใจวางให้ไม่มีเก้าอี้ตัวอื่นวางขนาบข้างด้วย
“...”
นักเรียนสาวผมดำไม่ใส่ใจใดๆ
พร้อมหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง ซึ่งวินาทีนั้นเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งตรงหน้าแอบมองด้วยหางตาแล้วค่อยหันกลับโดยไม่ยอมเปิดใจคุยเช่นเดิม
ส่วนกลุ่มมาซากิก็แอบยิ้มมุมปากก่อนที่จะเปิดบทสนทนาแรกของวันนี้
“น่ายินดีจัง...แกะดำร่วมงานปัจฉิมนิเทศได้ด้วยล่ะ”
“แหมๆ จะว่าไปฝีมือการตัดผมของมาซากิจังเนี่ย...ระดับโปรเลยเนาะ”
“เห...มาซากิตัดผมให้เหรอ แทบไม่เชื่อว่าจะใจบุญขนาดนี้”
“แตะตัวยัยนั่นไม่รู้สึกขยะแขยงบ้างเหรอ”
“โธ่...เขาเรียกกันว่า เพื่อนเก่าหวังดี ต่างหาก”
“หวังดีให้กลายเป็นแกะดำขี้เหร่ใช่มะ”
“อุ๊ย...ไม่พูดงี้สิ เดี๋ยว ‘มัน’ ได้ยินเข้าแล้วจะจิตตกอีก”
“เป็นโรคจิตไปเลยก็ได้มั้ง”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
บรรยากาศแห่งความยินดีที่จะได้เรียนจบเริ่มถูกกลบด้วยเหล่าคำนินทา
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของกลุ่มนักเรียนสาวแกลผมเหลืองทอง พวกเธอไม่เคยรู้ตัวเลยว่า แม้พูดแบบนั้นบ่อยๆ
จิตใจของอีกคนก็ว่างเปล่าและไม่อาจรับรู้ได้อีกต่อไปแล้ว
“...”
“เอาล่ะ...นักเรียนทุกคน ถึงเวลาที่พวกเรารอคอยแล้ว ขอให้อยู่ในความสงบและเตรียมรับฟังอาจารย์พูดซะนะ”
เสียงของอาจารย์โคนามะกล่าวทักทายกับนักเรียนทุกระดับชั้นพร้อมการปรากฏตัวบนเวที
เขาเดินมาหยุดอยู่ที่โพเดียมแล้วเริ่มเปิดพิธีปัจฉิมนิเทศประจำปีนี้
โดยต่อจากนั้นก็มีการกล่าวถึงประวัติโรงเรียน ความรู้สึกที่เหล่าอาจารย์มีต่อนักเรียนตั้งแต่มัธยมต้นถึงปลาย
จนกระทั่งถึงช่วงเวลาอันสำคัญ...ที่ตัวแทนนักเรียนจะกล่าวความรู้สึกของตัวเองบ้าง
“ทีนี้...หลังจากครูทุกคนกล่าวความรู้สึกหมดแล้ว ต่อไปก็คิวของตัวแทนนักเรียนประจำโรงเรียนมัธยมเซย์โชวนะ
คนๆ นั้นคือ...อิชิมารุ ยูมิ นักเรียนหญิงประจำชั้นปีสามห้องเอนั่นเอง!!”
“...”
พออาจารย์โคนามะเรียกชื่อแล้ว ยูมิพยักหน้าพร้อมล้วงกระเป๋าหยิบร่มพกพาสีดำขึ้นมาถือไว้ในมือขวา
ระหว่างที่เธอเดินมุ่งหน้าขึ้นเวที เสียงซุบซิบจากเหล่านักเรียนคนอื่นๆ ก็เกิดขึ้น
พวกเขาแทบไม่เชื่อว่าแกะดำในสายตาของตนจะต้องเป็นตัวแทนให้เช่นนี้
“ว่าแต่มันเอาร่มไปด้วยทำไมเนี่ย...”
“เพื่อนรักที่ไม่มีชีวิตล่ะมั้ง...”
“พอไม่มีเพื่อนเป็นคนจริง
ก็เลยต้องหาสิ่งของมาทดแทนสินะ”
“บ้าบอเนอะ...”
“...”
หญิงสาวผมดำเลือกที่จะเดินอย่างเงียบๆ
ไม่หันหน้ามองพวกเขาตลอดทาง จนต่อมาก็ได้ยืนอยู่บนเวทีเรียบร้อย เธอค่อยๆ
วางร่มไว้บนโพเดียม สูดหายใจเข้าออกลึกๆ แล้วเริ่มเปิดปากกล่าวความรู้สึกที่มีต่อโรงเรียนแห่งนี้
“สวัสดีค่ะ...ดิฉันชื่อ อิชิมารุ ยูมิ ตัวแทนนักเรียนจากชั้นปีสามห้องเอ ก่อนอื่นก็ขอขอบคุณผู้ปกครองทุกคนที่อุตส่าห์สละเวลาเข้าร่วมงานครั้งนี้ด้วยนะคะ
ส่วนความรู้สึกที่มีต่อโรงเรียนมัธยมเซย์โชวตลอดระยะเวลาสามปีคือ...ยินดีที่ได้รับความรู้จากการเรียนการสอนของอาจารย์ทุกคน
แถมเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ก็ปฏิบัติตนต่อดิฉันได้เป็นอย่างดีมากๆ ดีจนยากที่จะลืม”
ระหว่างที่ตัวแทนกำลังกล่าวความรู้สึกอยู่นั้น
เหล่านักเรียนข้างล่างต่างไม่สนใจฟัง หนำซ้ำยังแอบนินทา หัวเราะเยาะเบาๆ ให้กับคำพูดของเธอด้วย
เพราะพวกเขามองว่าอีกฝ่ายคงถูกล้างสมองจนเป็นโรคจิตเต็มตัวไปแล้วจริงๆ
ทว่า...
“อ้อ...แต่สิ่งที่ดิฉันพูดเมื่อครู่อาจจะดูโลกสวยเกินไป เพราะงั้นขอสรุปโดยรวมแค่ประโยคเดียว...”
ยูมิหยุดชะงักสักพักหนึ่ง หลับตาลงประมาณห้าวินาทีก่อนที่จะเผยความรู้สึกลึกๆ
ที่แท้จริง ลืมตามองทุกคนด้วยความเย็นชาพร้อมกับมีร่างเงาสีดำปรากฏตัวข้างหลังเธอ
“...”
“ขอบคุณ...สำหรับความทรงจำห่วยแตกพรรคนี้นะคะ...เจ้าพวกขยะสังคม”
สิ้นเสียงของหญิงสาวบนเวที ทุกคนจากข้างล่างต่างเงียบกริบไปพักใหญ่
อาจารย์บางส่วนกำลังคุยกระซิบด้วยกันเองว่านี่มันไม่ใช่การกล่าวความรู้สึกที่หวังเอาไว้ โดยเฉพาะอาจารย์สอนชั้นมัธยมต้นที่ไม่เคยเข้าสอนมาก่อน จึงยากที่จะเห็นความโดดเดี่ยวของเธอ
ปึง! ปึง! ปึง!
ก่อนที่กลุ่มมาซากิจะทำท่าหัวเราะเยาะใส่
ประตูเหล็กของโรงยิมแห่งนี้ก็ได้เริ่มเลื่อนลงปิดไว้อย่างรุนแรงด้วยฝีมือของโอคุริคาระที่กำลังเดินมาจากหลังกลุ่มนักเรียนพร้อมถือรีโมทตัวหนึ่งในมือ
ซึ่งเป็นไปตามแผนที่เขาได้รับจากซานิวะสาวพอดี
“โอคุริคาระ...จนกว่าจะได้รับคำสั่งให้เริ่ม ‘แผนการล้างแค้น’ ในช่วงปัจฉิมนิเทศวันนี้ นายช่วยไปรอที่ดาดฟ้าก่อนนะ”
“แผนการล้างแค้น...?”
“ฉัน...อยากให้ทุกคนได้รับรู้ว่าการเป็นแกะดำแห่งโรงเรียนมัธยมเซย์โชวมันรู้สึกทรมานใจแค่ไหน
ขนาดมาเอโนะที่เคยอยู่เป็นเพื่อนก็ยังทรยศกันได้เลย ฉัน...รังเกียจการทรยศหักหลังนั่นจริงๆ”
“แปลว่าข้า...จะต้องลงมือฆ่าพวกนั้นด้วยสินะ”
“ถ้าคิดว่าทำได้...อ่ะนะ”
นี่คือการพูดคุยระหว่างเดินทางไปโรงเรียนของพวกเขาสองคนพร้อมเริ่มเผยความรู้สึกลึกๆ
ในใจบางส่วนแล้ว และตอนนี้...เธอกำลังจะเปิดโปงมันเพิ่มเติมอีก
“คุณผู้ปกครองคงจะไม่รู้สินะคะ...ว่าเหล่าลูกๆ ของคุณมีนิสัยย่ำแย่ขนาดไหน
พอหนูถูกกีดกั้นให้อยู่ตัวคนเดียว พวกเขาทำอะไรกันบ้าง...ทั้งเมินเฉยต่อเพื่อนที่กำลังตกที่นั่งลำบาก
หยอกล้อเป็นว่าเล่น ฝีปากเน่าๆ ที่ควรเก็บไว้กินข้าว ดันเอาไปเห่าอย่างกับหมาทุกวี่ทุกวัน
มือไม้เขามีไว้ทำเรื่องดีๆ แต่กลับหาเรื่องกลั่นแกล้งไม่รู้จักจบ ผมของหนูที่สั้นนี่ก็เป็นเพราะอีขยะสังคมพวกนี้”
ยูมิยกมือขึ้นจับเส้นผมที่ถูกตัดให้สั้นถึงคางพร้อมชี้นิ้วไปยังกลุ่มมาซากิ
ตัวการประจำชั้นปีสามห้องเอ เธอจ้องมองด้วยแววตาอันเคียดแค้นลึกๆ แล้วเริ่มดึงเนคไทสีแดงออกจากคอตัวเอง
จากนั้นจึงปลดกระดุมเสื้อสูทและถอดออก ไม่เว้นแม้แต่เสื้อเชิ้ตสีขาว
เธอถอดจนเหลือเพียงเสื้อชั้นในสีดำและลูบตามรอยช้ำที่อาจารย์โคนามะเคยฝากฝังไว้
“เฮ้ย...ยูมิไปมีอะไรกับใครเปล่าน่ะ”
“รอยกัดรอยดูดเต็มไปหมดเลย”
“ที่แท้ก็เป็นคนประเภทนี้นี่เอง...”
“เห็นใสๆ ตั้งนาน ไม่คิดว่าจะร่านขนาดนี้”
ช่วงเวลานั้นเอง
กลุ่มนักเรียนห้องเดียวกันเริ่มซุบซิบอย่างสงสัย บ้างก็ทำหน้าทำตารังเกียจ
แทบไม่เชื่อในภาพตรงหน้า บางคนถือคำพูดไว้เสมอว่า ‘คนใสซื่อมักร้ายกาจ
คนประหลาดมักอันตราย’ และคนประเภทนี้ก็ได้ปรากฏตัวให้เห็นจริงๆ
ในชีวิตแล้ว
ร่าน...?
เหอะ...อย่างน้อยฉันก็ตั้งใจเรียนยิ่งกว่าพวกแกหลายเท่า
“รอยช้ำอันน่ารังเกียจนี่...ถึงจะไม่น่าเชื่อใจแต่มันเป็นฝีมือของอาจารย์โคนามะ จุนอิจิ ที่หลายคนพูดปากต่อปากนักหนาว่าหล่อสุดในโรงเรียน วันๆ กรี๊ดกร๊าดเป็นหมูเป็นหมา หวังพุ่งเข้าชนจะแต่งงานด้วย ขอบอกไว้เลยว่าลูกคุณมัน หน้าด้าน”
“ว่า...ไงนะ...” เพื่อนผู้หญิงบางส่วนรู้สึกเหมือนถูกแทงใจดำแล้วกำหมัดแน่นด้วยความเคียดแค้นที่โดนเหยียดหยาม
“อิพวกคนที่อ้วนอย่างกับนางพญาหมูและไม่รู้จักฐานะตัวเอง หวังอยากปรนนิบัติอาจารย์ทุกอย่าง แม้แต่ร่างกายก็ยอม...ตอนพูดไม่เคยคิดบ้างเหรอว่าหุ่นแบบนั้นมีแต่อาหารขยะ มันคงล้นขึ้นสมองด้วยแน่ๆ”
“...!!?”
“ส่วนยัยพวกที่เรียกฉันว่าร่านเมื่อกี้...สมองขี้เลื่อยไม่เคยสำเหนียกรึไงว่าตัวเองก็เป็นเหมือนกัน ถ้ารู้สึกคันช่วงล่างเบอร์นั้น...เชิญไปหาผู้ชายตามผับแล้วลากเข้าม่านรูดแทนเถอะ รับรองหายคันแน่นอน เผลอๆ เขาอาจจะชวนทำต่ออีกหลายน้ำด้วย...บันเทิงอีกยาวเลย”
“นะ...หนอยย...”
“แหมๆๆ ตอนแรกทำตัวกร่างกับเด็กใหม่นักหนา พอถึงตอนนี้ทำเป็นโมโหกันจัง...พวกแกคิดเหรอว่าไอ้คนใจสกปรกที่มีหน้าตาหล่อเหลาพรรคนั้นจะทำอะไรกับผู้หญิงก็ได้...” หญิงสาวผมดำหันไปมองอาจารย์โคนามะทางขวามือด้วยหางตาและเริ่มหยิบร่มพกพาสีดำบนโพเดียมที่วางเอาไว้จนทำให้เขาแอบรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
กลุ่มนักเรียน
ผู้ปกครองหรืออาจารย์บางส่วนเริ่มคว้าโทรศัพท์ขึ้นเพื่อติดต่อหาใครสักคนหนึ่งและตำรวจที่อยู่ในละแวกเดียวกัน
แต่การกระทำเหล่านั้นส่งผลให้ความโกรธเคืองของเธอเพิ่มขึ้น
“งั้น...ขอจบการกล่าวความรู้สึกไว้เพียงเท่านี้...”
หลังจากที่เธอพูดจบ เงาดำร่างมนุษย์ได้ทำการพุ่งเข้าหาแล้วดึงสิ่งของอันเรียวยาวในมือขวาออกมาตวัดใส่เรียงคนอย่างรวดเร็ว หยาดเลือดสาดกระเซ็นเต็มพื้นพร้อมกับร่างผู้เคราะห์ร้ายที่ล้มลงนอนเพราะสิ้นใจตายไปเรียบร้อย ทำให้ทุกคนรู้เลยว่า...มันคือดาบเล่มหนึ่งนั่นเอง
“กรี๊ดดดดดด!!!!”
เสียงกรีดร้องของเหล่านักเรียนสาวดังลั่นโรงยิมด้วยความหวาดกลัว
ร่างกายเริ่มสั่นเทาจนทรุดลงพื้น ช่างต่างจากความกล้าหาญที่เคยลงมือกลั่นแกล้งกับคนอื่นมาตลอดสามปีโดยสิ้นเชิง
ซานิวะสาวสั่งให้โอคุริคาระจับรั้งตัวอาจารย์โคนามะไว้ก่อนที่จะกระโดดลงจากเวที
“ทีนี้...มีใครอยากจะรับของขวัญจากฉันบ้างน้าา...”
ยูมิถอดแว่นตากรอบสีดำออกและโยนทิ้งให้ไกลๆ
เผยให้เห็นแววตาอันว่างเปล่าอย่างชัดเจนยิ่งกว่า มือซ้ายถือตัวร่มพกพา มือขวาจับด้ามร่มแล้วดึงออกจนสุด
ทำให้โทมะเริ่มเบิกตากว้าง ตกใจกับสิ่งที่เธอกำลังถือครอง
“นี่เธอ...พกมีดมาโรงเรียนงั้นเหรอ...”
ใช่แล้ว...ภายใต้ร่มคันนี้เป็นมีดสั้นอันเรียวเล็กที่เคยใช้ตอนสมัยมัธยมต้น
เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงใกล้หน้าฝน หญิงสาวจึงพกมันติดกระเป๋าไว้ แต่พอจะใช้กลับมารู้ทีหลังว่าเป็นมีดแทน
ยังโชคดีอยู่บ้างที่ไม่มีใครบังเอิญเดินผ่านหรือมองเห็นเลย
แน่นอน...เหตุการณ์นองเลือดครั้งแรกจึงบังเกิดขึ้น!
“ยูมิ! ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ตั้งใจเรียนกว่านี้หน่อย!
ได้แค่ 3.05 มันไม่ถึง 3.50 ด้วยซ้ำ!”
“...ตะ...แต่...”
“ไม่ต้องอ้างว่าทำไม่ได้เลยนะ! นี่เธอไม่อยากให้แม่ของตัวเองภูมิใจอีกน่ะสิ...ใช่มั้ย!
ใช่มั้ย!!”
“แม่คะ! ฟังหนูก่อน...”
“นี่!! ขึ้นเสียงใส่ฉันแบบนี้อยากจะตายตามพ่อรึไงกัน!!”
“...งั้นเหรอ...ขนาดแม่ก็ยังไม่ยอมรับฟังปัญหาเลยสินะคะ...”
“ห๊า!? เมื่อกี้พูดอะไร...”
“ทั้งอาจารย์...และคนในครอบครัวที่เหลือเพียงแค่แม่คนเดียว...ทุกคนไม่เปิดใจฟังสิ่งที่หนูพบเจอเลย...เกลียด...เกลียดทุกคน...เกลียดที่สุด...เกลียดแม่ที่สุด!!”
“...!!! นั่นมัน...มีดของฉันนี่...!!!”
ฉึ่ก!!!
เหตุการณ์คือ ยูมิพบเจอปัญหารุมเร้าภายในโรงเรียนแล้วไม่มีอาจารย์คนไหนช่วย
พวกเขาต่างคิดว่าเป็นแค่การหยอกเล่นตามประสาเด็กวัยเรียน และถึงช่วงที่มีการประกาศผลการเรียน
เธอได้รับคะแนนน้อยลงกว่าปกติเพราะจิตใจไม่ค่อยดีนัก
ยิ่งตอนนั้น คนเป็นแม่ก็รับไม่ได้ที่ลูกสาวได้เกรดแค่
3.05 มันไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ โดยถ้าจะพูดง่ายๆ คือ...ผู้ใหญ่มักกดดันและคาดหวังในตัวลูกสูงเกินไป
พอกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ นักเรียนสาวผมดำเริ่มเครียด ทำอะไรต่อไม่ค่อยถูก เป็นโรคซึมเศร้า
ท้ายสุด...จบลงที่นักเรียนสาวยอมเผยสันดานดิบด้วยการใช้มีดในร่มพกพาแทงเข้าคอหอยแม่ของตัวเองและปลิดชีพทิ้งกลางห้องนั่งเล่น
ซึ่งถือเป็นการล้างแค้นแทนพ่อไปในตัว เพราะสาเหตุที่เขาสิ้นลมหายใจ...คือหญิงสาววัยทองคนนั้นนั่นเอง!
“พ่อคะ...หนูจัดการคนที่เคยฆ่าพ่อแล้ว...ทีนี้...ไม่ต้องห่วงว่าแม่จะฆ่าหนูเป็นคนต่อไปแล้วล่ะค่ะ”
.
.
.
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ทั้งนักเรียน
ผู้ปกครองและอาจารย์ต่างล้มนอนจมกองเลือดกันหมดด้วยฝีมือของยูมิกับเงาดำร่างมนุษย์
ดังนั้นผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่คือ มาซากิ โทมะ รวมถึงอาจารย์โคนามะที่กำลังถูกโอคุริคาระจับรั้งไว้
“เอาล่ะ...ถึงเวลาล้างแค้น...คนที่หนึ่ง...”
หมับ!
หญิงสาวผมดำเริ่มคว้าตัวมาซากิพร้อมถีบออกจนปลิวกระแทกกับกำแพงโรงยิมโดยมีร่างเงาช่วยหันหน้าทางกำแพงและตรึงร่างให้ยึดติดไว้
เธอค่อยๆ เดินเข้าหากระเป๋านักเรียนของอีกฝ่าย รูดซิปเปิดออกกว้าง หยิบกรรไกรสีเงินก่อนที่จะยกเท้าขวาถีบยันบั้นท้าย
“นี่แก...ตั้งใจจะทำอะไรฉันกันแน่...!” สาวแกลผมเหลืองทองพยายามดิ้นรนออกจากพันธนาการเหล่านี้และเปิดปากถามเพื่อนเก่าของตัวเอง
“...แล้วชีวิตนี้เธอเคยทำอะไรให้ฉันไว้บ้างล่ะ”
เธอจับรวบเส้นผมเหล่านั้นและดึงเข้าหาอย่างแรงราวกับกำลังจะกระชากให้หัวหลุดจากต้นคอให้ได้
นัยน์ตาสีน้ำเงินจับจ้องด้วยความขยะแขยงแต่รอยยิ้มกลับฉีกออกกว้างและหัวเราะร่าเยี่ยงปีศาจร้าย โทมะที่กำลังจะเข้าไปห้ามถูกขัดขวางโดยดาบหนุ่มผมน้ำตาลเข้มไว้
“ฮึๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ แบบนี้เขาเรียกกันว่าหัวเราะทีหลังดังกว่าสินะ มาซากิ”
“จะ...เจ็บนะ!! ปะ...ปล่อยฉันสักที!!”
“เหอะ...ของแค่นี้มันยังเจ็บไม่พอสำหรับกะหรี่อย่างเธอหรอกน่า”
ฉั่บ...ฉั่บ...ฉั่บ
เสียงกรรไกรที่ตัดเส้นผมสีเหลืองทองดังเสียดหูเข้าหูจนทะลุถึงจิตในของเหยื่อซึ่งคราวนี้สลับเป็นมาซากิแทน
เธอพยายามจะเรียกร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ถูกขัดขวางโดยร่างเงาที่ค่อยๆ
แตกตัวออกเพื่อปิดปากไว้ ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่...ยิ่งกระตุ้นต่อมประสาทของอีกคนหนึ่ง
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้มีเพียงปลดปล่อยความอ่อนแอผ่านทางของเหลวใสภายใต้ดวงตาสองข้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฉั่บ...ฉั่บ...ฉั่บ
จนเวลาผ่านไปหลายนาที ทรงผมของมาซากิได้เปลี่ยนจากเดิมโดยสิ้นเชิง
จากตอนแรกยาวเป็นลอน บัดนี้เหลืออยู่สั้นๆ เพียงแค่ติ่งหูเท่านั้น
“แหม...เป็นทรงผมที่เหมาะกับการปิดงานปัจฉิมดีนี่นา ยัยดอกไม้ริมทาง”
ยูมิตีตัวออกห่างจากอีกฝ่ายพร้อมโปรยกองเส้นผมกับกรรไกรในมือทิ้งไว้บนพื้น ร่างเงาดำเริ่มปลดปล่อยพันธนาการแล้วยืนอยู่เคียงข้างเธอ หญิงสาวผมเหลืองทองทรุดลงบนพื้นและร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เพราะกรรมที่เคยก่อไว้มันตามสนองอย่างรวดเร็ว หนำซ้ำยังรุนแรงกว่าที่คิดไว้อีก
“งั้นคนต่อไป...คงจะเป็นคุณสินะคะ อาจารย์โคนามะ จุนอิจิ เตรียมรับบทเรียนจากการล้ำเขตต้องห้ามนั่นได้เลยค่ะ”
สิ้นเสียงของเธอแล้ว โอคุริคาระก็นำพาร่างของอาจารย์หนุ่มไปนอนราบยังจุดเกิดเหตุของเมื่อวาน จากนั้นจึงจับมัดรวบข้อมือด้วยเทปกาวสีดำและชูขึ้นเหนือหัว ซึ่งมีร่างเงาดำบางส่วนคอยสนับสนุนในการรั้งไว้ไม่ให้หนีไปไหน
ยิ่งเขาพยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่ ยิ่งถูกรั้งไว้แรงมากเท่านั้น
ตึก...ตึก...ตึก
นักเรียนสาวค่อยๆ
เดินเข้าหาโดยมีมีดร่มพกพาถือไว้ติดมือขวา ดวงตาสีน้ำเงินอันว่างเปล่าจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของเหยื่อก่อนที่จะนั่งคร่อมตัก จับถอดเนคไทสีแดงและเสื้อสูทสีดำออก โทมะทำอะไรต่อไม่ได้นอกจากยืนมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเจ็บใจ
“อิชิมารุ...หนูจะทำนิสัยแบบนี้กับครูไม่ได้นะ”
“ทีเมื่อวานอาจารย์ยังฉวยโอกาสตอนหนูไร้ความรู้สึกมาล้ำเขตต้องห้ามเลย...แล้วทำไมตอนนี้หนูจะเอาคืนบ้างไม่ได้...”
“นะ...นั่นก็เพราะ---”
“คนที่หล่อเสียของอย่างอาจารย์คงตั้งใจจะพูดว่า ‘เพราะครูเป็นผู้ใหญ่และมีวุฒิภาวะสูงกว่าหนู’
ใช่มั้ยล่ะคะ...”
“อึ่ก...”
คำพูดแทงใจดำและเสียดสีรูปหน้าคร่าตาเมื่อครู่ทำเอาอาจารย์โคนามะเถียงไม่ออก
เพราะเขาตั้งใจจะอ้างเหตุผลแบบนั้นจริงๆ พอลองผนวกกับตอนที่ขอแผนผังโรงเรียนเมื่อเช้า
ทำให้เขาตระหนักรู้ทันทีว่านักเรียนผมดำตรงหน้ามีนิสัยที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“ตรรกะผู้ใหญ่โง่ๆ ของอาจารย์น่ะ...หนูไม่สนใจหรอก...ทุเรศทุรังจะตาย”
ระหว่างนั้น ยูมิก็ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเทาทีละเม็ดไล่เรียงลงมาจนหมด
เธอค่อยๆ ยื่นมือซ้ายไปลูบไล้ตั้งแต่ต้นคอจนถึงหน้าท้อง ถ้าเป็นเวลาปกติสุข
อีกฝ่ายคงรู้สึกดีไม่ใช่น้อยเพราะตัวเธอยังอยู่ในเสื้อชั้นในสีดำและมีท่อนล่างที่ครบทุกองค์ประกอบ
แถมยังเป็นคนที่เขาต้องการครอบครองด้วย
ทว่า...ตอนนี้เขาเริ่มกลัวในบาปกรรมที่กำลังตามสนองเข้าแล้ว
“เป็นอะไรไปเหรอคะ...หนูยอมรุกอาจารย์ขนาดนี้แล้วนะ...” เธอหันมองเหยื่อที่กำลังแสดงสีหน้าหวาดกลัวแล้วค่อยเปิดปากพูดต่ออีกประโยคหนึ่ง
“หรือบางที...อาจต้องฝากรอยช้ำด้วย เพื่อความเท่าเทียมซึ่งกันและกัน...”
“เท่าเทียม...? อึ่ก...!!”
ยังไม่ทันที่อาจารย์โคนามะจะพูดถามอะไรต่อ
คมมีดของนักเรียนสาวก็เริ่มกรีดบนต้นคอเบาๆ พอให้เป็นรอยแดงจนไล่ลงมาเป็นเส้นถึงหน้าท้อง
หนำซ้ำยังมีฝากรอยเป็นแนวนอนบริเวณแผงอกและมีจังหวะหนึ่งที่มือขวาออกแรงกรีดบริเวณเดียวกับลิ้นหัวใจหนักกว่าเดิม
“อะ...อิชิมารุ...!!”
“โอ๊ะ...ขอโทษด้วยค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะออกแรงขนาดนี้เลย”
เธอชะงักมือชั่วคราวหลังจากได้ยินเสียงอีกฝ่ายเรียกชื่อของตัวเอง
ถึงปากจะเอ่ยคำขอโทษขอโพย แต่แววตาอันว่างเปล่ากลับเบิกกว้างและรอยยิ้มที่ฉีกออกเยี่ยงปีศาจร้าย
จากนั้นจึงทำการฝากร่องรอยแห่งความเคียดแค้นต่อจนกระทั่งมีเลือดไหลซึมทีละนิด
“ยูมิ...!! พอได้แล้ว!! พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ!!”
“หุบปากหมาๆ ของตัวเองไปซะ...มาเอโนะ กล้าเข้ามาขัดขวางแบบนี้...อยากเป็นขยะสังคมตามพวกนั้นรึไง”
โทมะเริ่มทนดูไม่ได้พร้อมมุ่งตรงเข้าหาเพื่อนสาวแต่ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน
เธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและหันมองอย่างเลือดเย็นก่อนที่จะสั่งให้โอคุริคาระจับมัดตัวเขาไว้กับเก้าอี้
“อิชิมารุ...ครูขอโทษนะ...ขอโทษที่เคยทำกับหนูแบบนั้น...”
“แหม่...โง่เง่าจังเลยนะคะ...ที่อาจารย์เพิ่งสำนึกผิดเอาตอนนี้”
แม้แต่คำขอโทษของอาจารย์หนุ่มเองก็ไม่อาจทำอะไรได้
ยูมิยิ้มกว้างให้เขาพร้อมลุกขึ้นออกจากตัก พอกวาดสายตามองไปยังจุดๆ หนึ่งของกางเกงขายาวสีดำสักพัก
ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้าหัวทันที
“...!! หยุดแม้แต่จะคิดนะ...อิชิมารุ”
“ฮึๆๆ อาจารย์เนี่ย...ช่วยเช็คชื่อให้อยู่รอดตั้งแต่ปีหนึ่งเลยนะคะ
เพราะงั้น...” เธอหยุดชะงักคำพูดแล้วค่อยๆ
ยกเท้าข้างขวาขึ้นค้างไว้ “หนูขอมอบรางวัลก่อนลาขาดหน่อยละกัน!”
ปึก!!
“อ๊ากกกกกก!!!!!”
เสียงกรีดร้องอันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของอาจารย์ดังลั่นโรงยิมราวกับคนอ่อนแอหลังจากถูกนักเรียนสาวกระทืบเท้าลงมายังเป้ากางเกงอย่างรุนแรง
ด้วยเหตุที่ยังใส่รองเท้านักเรียน ความเจ็บจึงทวีคูณยิ่งกว่าเท้าเปล่า
“ตรงนี้ใช่มั้ยคะ...ที่ใช้ล้ำเขตต้องห้ามเมื่อวาน ถึงอาจารย์จะภูมิใจเรื่องขนาดกับความยาวมากแค่ไหน
แต่ขอให้จำไว้ว่า...มันช่างทุเรศอัปรีย์...ทุเรศที่สุดในปฐพีเลยล่ะ”
เธอยิ้มออกกว้างกว่าเดิมพร้อมย่ำยีมันซ้ำๆ
ไม่สนอีกต่อไปแล้วว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเจ็บปวดทรมานแค่ไหน เพราะนี่คือผลกรรมที่ตามสนองภายใต้สันดานดิบลึกๆ
ในใจที่เผยออกมา แม้พยายามเก็บมันไว้ แต่ถ้ามีเหตุจูงใจเช่นเดียวกับครั้งนี้
เธอก็ไม่สามารถควบคุมไหวเลย
“อาจารย์...” มาซากิที่หายจากความเศร้าโศกไปบางส่วนได้พบเห็นเหตุการณ์นี้เข้าแล้ววิ่งมุ่งหน้าเตรียมช่วยให้รอดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจสาว
ทว่า...
“หืมม? ดูท่าทางจะชอบหาเรื่องเจอความตายจริงๆ
สินะ...โฮโตกิ มาซากิ”
ฉึ่ก!!
ยูมิรีบหันตัวไปทางเพื่อนเก่าสมัยมัธยมต้นก่อนที่จะจับมีดจ้วงตรงที่คอหอยอย่างรวดเร็ว
สาวแกลผู้เคราะห์ร้ายเริ่มกระอักเลือดจากปากและส่งเสียงร้องด้วยความทรมานเป็นระยะ
มือไม้สองข้างพยายามยกขึ้นเพื่อดันอาวุธแหลมคมนั่นให้ห่างออกไป
“ยู...มิ...ฉัน...ขอโทษ...”
“ตัดเส้นด้ายแห่งมิตรภาพและเพิ่งจะสำนึกผิดตอนนี้เหรอ...มันสายเกินไปแล้วล่ะ จำไว้...เส้นทางชีวิตของกะหรี่ริมทางอย่างแกสมควรขาดออกจากกัน...เหมือนที่เคยตัดผมฉัน...ให้สั้นลง”
นักเรียนสาวผมดำพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วกระชากมีดออกทางขวามือจนแผลเปิดกว้าง ทำให้ของเหลวสีแดงข้นพุ่งเป็นสายเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้าและเนินอก เหยื่อตรงหน้าทรุดตัวลงนอนบนพื้นพร้อมกับร่างกายที่ค่อยๆ ซีดเผือดเนื่องจากขาดเลือดหล่อเลี้ยงภายใน
จากนั้นเธอก็ปล่อยให้ร่างเงาดำลงมือทรมานอาจารย์โคนามะต่อไปแล้วค่อยเดินเข้าหานักเรียนหนุ่มคนสุดท้ายที่กำลังถูกพันธนาการติดกับเก้าอี้
มือขวายังคงกำมีดเปื้อนเลือดไว้ไม่ปล่อย นัยน์ตาสีน้ำเงินจ้องมองใบหน้าเขาอย่างนิ่งเรียบบวกกับรอยยิ้มมุมปาก
“ยูมิ...ทำไมเธอถึง...”
“ฉัน...เก็บกดความรู้สึกพวกนี้มานาน สามปีแล้วที่เจ้าพวกขยะสังคมต่างตราหน้าว่าเป็นแกะดำ
แถมยังเมินเฉย ซ้ำเติมเรื่อยมา และนายก็ดันทรยศหักหลังอีก...ทุเรศชะมัด”
ยูมิเผยความรู้สึกพร้อมกวาดสายตามองกลุ่มคนที่นอนจมกองเลือดเพื่อบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นขยะสังคมสำหรับเธอ
โทมะแอบรู้สึกเจ็บใจที่ตอนนั้นไม่สามารถเข้าหาเพื่อช่วยเธอได้เลย
แม้ในใจคิดว่าจะยอมเป็นแกะดำด้วยอีกคน แต่เพราะมีอุปสรรคอย่างกลุ่มเพื่อนสาวขัดขวาง
จึงต้องทนแยกตัวออกจากกันจนกว่าจะเรียนจบ
“ต้องขอโทษด้วยละกัน แต่ว่า...ช่วยตายเพื่อฉันหน่อยเถอะ”
“ดะ...เดี๋ยวก่อน!! ยูมิ!!”
จังหวะที่กำลังจะเตรียมจ้วงกลางอกนั้นเอง ชายหนุ่มได้ขอร้องให้เพื่อนสาวหยุดการกระทำเมื่อครู่ไว้แล้วเริ่มเปิดใจพูดกับเธอด้วยความจริงจัง
ซึ่งมีการพูดถึงข้อแลกเปลี่ยนเพื่อไม่ให้เขาถูกฆ่าตาย
“ข้อแลกเปลี่ยน...?”
“เธอเป็นซานิวะใช่มั้ยล่ะ...กลุ่มคนที่คอยกำจัดกองทัพข้ามเวลาเพื่อไม่ให้มันเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลก”
“ทำไม...นายถึงรู้...” หญิงสาวจ่อมีดตรงมายังกลางอกพร้อมถามด้วยความนิ่งเรียบก่อนที่จะเบิกตากว้างให้กับคำตอบต่อจากนี้
“เพราะฉันเอง...ก็เป็นซานิวะเหมือนกัน!”
.
..
...
....
.....
หลังจากโทมะเสนอข้อแลกเปลี่ยนให้กับยูมิแล้ว
เธอยืนครุ่นคิดถึงความจริงใจที่อีกฝ่ายพูดออกมาจนกระทั่งขอเก็บไว้คิดก่อน
เพราะทั้งตัวเธอ โอคุริคาระและร่างเงาดำไร้นามกำลังจะเริ่มดำเนินแผนการล้างแค้นขั้นสุดท้าย
นั่นคือ...เผาศพและทำลายหลักฐานอื่นๆ ทิ้ง
ทุกคนที่นอนสิ้นลมหายใจบนกองเลือดถูกเก็บกวาดรวมกันเป็นกอง
พวกเขาต่างทำหน้าที่อื่นๆ ต่อโดยมีนักเรียนสาวหยิบไฟแช็กในกระเป๋ากระโปรง ดาบหนุ่มผมน้ำตาลเข้มกับร่างเงาดำช่วยหิ้วแกลอนน้ำมัน
แต่ก่อนที่จะเริ่มต้น ดาบหนุ่มส่งสายตามองไปยังมีดจากร่มพกพาสีดำในมือของซานิวะสาวแล้วขอคุยด้วยเสียก่อน
“มีดเล่มนั้น...เจ้าจะเก็บเอาไว้กับตัวรึเปล่า”
“นั่นสินะ...บางทีอาจต้องเก็บไว้ป้องกันตัวภายหลังก็ได้”
เธอมองอาวุธเล่มเล็กสักพักแล้วเก็บใส่คันร่มก่อนที่จะหยิบผ้าขนหนูสีขาวที่เตรียมไว้พร้อมฝากไฟแช็กให้อีกฝ่ายและขอตัวไปล้างเนื้อตัว
ซึ่งตอนนี้จิตใจเริ่มกลับคืนสู่ภาวะปกติ นัยน์สีน้ำเงินที่เคยว่างเปล่าค่อยๆ มีแววตาอันแฝงไปด้วยอารมณ์เดิมทุกประการ
ราวกับทุกอย่างได้ถูกสะสางครบถ้วนแล้ว
.
.
.
ระหว่างที่กำลังนั่งล้างคราบเลือดในห้องอาบน้ำ
เงาดำส่วนหนึ่งได้ปรากฏตัวออกจากท้ายทอยและแผ่นหลังซึ่งร่างหลักเคยทำการฝากฝังเป็นคำสาปไว้เนิ่นนาน
มันยืนมองในรูปลักษณ์ผู้หญิงสีดำทึบที่ไม่อาจบ่งบอกตัวตนได้ชัดเจน
จากนั้นทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกันอย่างจริงจัง
“ผ่านไปสามปี...ยังไม่เคยแนะนำตัวเลยเนาะ...ตัวฉันกับอีกร่างหนึ่งในโรงยิมคือ
เดจาวู”
“เดจาวู...?”
“พวกเราน่ะ...ไม่มีตัวตนที่แน่นอน เป็นเพียงแค่กลุ่มหมอกดำล่องลอยไปตามความมืดและไม่มีทางมองเห็นด้วยตาเปล่าง่ายๆ
ดังนั้น...”
“ตัวฉันที่ถูกสาปจะรู้เห็นเพียงคนเดียว...?”
“ใช่แล้วล่ะ...อ้อ แต่ถ้าไม่อยากให้ร่างหลักตามก่อกวนในชีวิตอีกล่ะก็...ฉันมีวิธีหนึ่งที่พอเป็นไปได้นะ
ถือว่าหวังดีเพราะเธอพยายามมาโดยตลอดละกัน”
พอเดจาวูพูดจบ ยูมิก็หยุดชะงักการกระทำทั้งหมดพร้อมหันหน้าเตรียมรับฟัง
เพราะเธอรอคอยเวลานี้มาแสนนาน...เวลาที่จะต้องหลีกหนีไม่ให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างทรมานกับคำสาปภายใต้อาการลมชัก
เพียงแต่มันจะต้องเกิดข้อแลกเปลี่ยนอีกต่อจากของโทมะ
“...”
นั่นคือ...
“เธอ...ต้องเลิกเป็นซานิวะแล้วใช้ชีวิตในเมืองลอนดอนซะ เพราะที่นั่น...กำลังมีบางอย่างรอคอยให้เธอล้างมลทินภายในจิตใจอยู่
และไม่ต้องเป็นห่วง...เดี๋ยวเจ้าโทมะก็คงรับช่วงต่อตามที่เสนอเอง”
ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ยูมิได้ยอมรับข้อเสนอพวกนี้โดยเลิกทำหน้าที่เป็นซานิวะประจำฮงมารุ
เธอเตรียมข้าวของอันจำเป็นรวมถึงร่มพกพาสีดำเก็บใส่กระเป๋าเป้
บอกลาดาบหนุ่มที่อยู่ด้วยกันมาตลอดสามปีพร้อมบอกทิ้งท้ายว่าเดี๋ยวมีคนช่วยดูแลต่ออีกที
และเธอก็เดินทางเข้าสู่เมืองลอนดอนที่มีหอนาฬิกาอันเป็นสถานที่รวมจอมเวทย์
แน่นอนว่าต้องเริ่มขอฝึกด้วยเนื่องจากยังรู้สึกถึงพลังที่หลงเหลือจากซานิวะ แม้จะมีอุปสรรคขัดขวางอยู่มาก
แต่เธอกลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จนกระทั่งผ่านไปหลายเดือน การฝึกฝนจึงสำเร็จด้วยดี อีกทั้งยังมีกลัดมณีเวทย์สายอาวุธกับป้องกันตัวด้วย
พอผ่านไปไม่นานนัก เธอรู้สึกเหมือนกับฝันดลบันดาลให้เป็นจริง
เพราะตนกำลังถูกเลือกให้เป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียและต่อสู้เพื่อมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้
“อา...นี่แหละที่ฉันกำลังตามหาเลย...”
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการล้างมลทินครั้งแรก...ในฐานะมาสเตอร์นัมเบอร์
021 แห่งคาลเดีย นามว่า อิชิมารุ ยูมิ จนถึงปัจจุบัน
[ The (Past) End ]
[ ฮ้าา จบสักทีสำหรับอดีตของยูมิ ทีนี้ก็ต้องเข้าสู่เนื้อเรื่องปกติแล้วล่ะนะ ]
ความคิดเห็น