คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #38 : Episode 5 อดีตที่ลืมเลือน (ความสูญเสีย)
Episode 5 อดีตที่ลืมเลือน (ความสูญเสีย)
----------------------------------------------------
ช่วงเดือนมีนาคม
พอวันเดือนผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้ถึงช่วงเวลาตัดสินชะตากรรมของนักเรียนทั้งหลาย หรือก็คือวันสอบไฟนอล(ในวันจันทร์) ซึ่งแต่ละคนต่างมีรีแอคติ้งต่างกัน ขึ้นอยู่กับนิสัยหรือกิจวัตรที่ตัวเองทำในปัจจุบัน กลุ่มเด็กเรียนพากันรวมตัวติวหนังสือ กลุ่มเด็กหลังห้องไม่ใส่ใจอะไรมากมาย หรือบางคนก็เล่นเกมต่อไปตามปกติ แต่คนกลุ่มหลังส่วนมากมักทำข้อสอบได้แบบชิลๆ คะแนนไม่น่าเกลียดเท่าไหร่
ในส่วนของยูมินั้น เรียกว่ามีความวุ่นวายหลายอย่างจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือ
เพราะเดิมทีเวลาพักผ่อนของเธอก็น้อยอยู่แล้ว ไหนจะต้องทำการบ้านจากทางโรงเรียน
จัดการเรื่องเอกสารในฮงมารุ ดูแลสมาชิกดาบหนุ่ม และช่วยปกป้องประวัติศาสตร์จากกองทัพข้ามเวลา
อย่างไรก็ตามแต่...เธอยังคงมีเพื่อนสนิทผู้เป็นหัวหน้าห้องหรือมาเอโนะ
โทมะติวหนังสือด้วยกันเป็นครั้งคราว ทั้งสองมักติวในห้องเรียนเมื่อถึงเวลากลับบ้านของทุกคน
ซึ่งพออาจารย์โคนามะพบเห็นปุ๊บก็ยื่นมือคอยสนับสนุนด้วย
และเพราะมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นล่าสุดในเย็นวันศุกร์นั่นเอง
เหล่านักเรียนหญิงที่แอบตามส่องพฤติกรรมจึงเริ่มอิจฉาริษยา รู้สึกหมั่นไส้ยิ่งกว่าเดิม
พวกเธอมองว่าเด็กใหม่แสนจืดชืดนั่นชักจะได้ใจกับการอยู่เคียงข้างโทมะแทนเพื่อนผู้หญิง หรือแม้กระทั่งเป็นที่รักของอาจารย์โคนามะมากเกินไปแล้ว
“ชิ...บางทีก็รู้สึกเบื่อๆ
ยังไงไม่รู้แฮะ”
“เหมือนยัยจืดนั่นจะลืมดูฐานะของตัวเองเลยเนอะ”
“พวกเราอดคุยกับโทมะคุงเพราะยัยอิชิมารุแท้ๆ”
“เฮอะ! ตอนแรกก็เห็นว่าเรียนเก่งอยู่หรอก
พออยู่ด้วยกันนานหน่อย ชักจะเริ่มเบื่อละ”
“งั้น...มาลองเติมเต็มความว่างเปล่าในชีวิตวัยเรียนกันเถอะ”
“นั่นสินะ และถ้าเป็นไปได้ล่ะก็...”
“...?”
“...เอาให้คนทั้งโรงเรียนกดดันจนต้องอยู่คนเดียวอย่างทรมานเลยดีกว่า”
เหล่านักเรียนหญิงกลุ่มนี้ต่างแอบพูดคุยกันนอกห้องและวางแผนที่จะทำให้ยูมิแยกตัวออกจากโทมะแล้วถูกขนานนามว่าเป็น
‘แกะดำ’ ประจำโรงเรียนมัธยมเซย์โชว
รอยยิ้มกว้างของพวกเธอถูกฉีกกว้างอย่างชั่วร้ายราวกับนางมาร
มันถึงเวลาแล้ว...ที่ต้องทวงโทมะกลับคืนมา...
พวกเธอจะไม่ยอมให้เขาคนนั้น...ถูกออร่าหม่นหมองบดบังจนจืดชืดตามยูมิอีกต่อไป!!
เวลา 06.30 น.
ช่วงเช้าวันเสาร์ ซานิวะสาวค่อยๆ ลุกขึ้นตื่นด้วยความงัวเงียบวกกับความเหนื่อยล้าจากการหักโหมเคลียร์งานของทางโรงเรียนและฮงมารุ
ซึ่งเรียกได้ว่าเยอะเป็นกองภูเขาไม่ใช่น้อย ขนาดมิทสึทาดะผู้เป็นเลขาพยายามบอกย้ำให้พักผ่อนแล้ว
แต่เธอกลับยิ้มบางพร้อมบอกว่า ‘ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่’
นั่นทำให้เขารู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
แม้ใจจริงอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระแทบตาย สุดท้ายจึงฉุกคิดได้ว่าคงถูกปฏิเสธอีกตามเคย
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้อย่างมากสุดคือ ดูแลห้องซานิวะและคอยแอบมองอยู่ห่างๆ ก็พอ
“อืมม...เอาล่ะ หาอาบน้ำแต่งตัวก่อนเลยดีกว่า
เสร็จปุ๊บค่อยนั่งเคลียร์งานต่อ”
ยูมิหยิบชุดมิโกะตัวใหม่กับอุปกรณ์อาบน้ำในตู้เสื้อผ้าแล้วเริ่มเดินออกจากห้องซานิวะเพื่อมุ่งหน้าไปยังโรงอาบน้ำ โดยชุดมิโกะของเธอเป็นกิโมโนสีขาวที่ครึ่งล่างมีผ้าคล้ายกางเกงสีน้ำเงินใส่ทับไว้ประมาณเหนือเอว ทำให้การเคลื่อนไหวสะดวกมากขึ้นหลายเท่า อีกทั้งยังมีผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงิน ถุงเท้าทาบิสีขาว และรองเท้าแตะโซริสีดำอ่อน
“...”
ระหว่างที่เดินตามพื้นไม้รอบอาคารฮงมารุ เธอก็กวาดสายตามองรอบๆ จนพบกับเหล่าดาบหนุ่มกำลังจัดการปัดกวาดพื้นที่นั่งเล่น
หนึ่งในนั้นคือมุทสึโนะคามิ ดาบหนุ่มของชาวโทสะผู้เป็นเลขาอีกหนึ่งคน เขาหันไปเจออีกฝ่ายพอดิบพอดีพร้อมทักทายด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
“อรุณสวัสดิ์ นายท่าน วันนี้ก็อย่าหักโหมละกันเน้อ
พวกข้าทุกคนต่างเป็นห่วงแทบแย่เลย”
“อะ...อื้ม อรุณสวัสดิ์นะ มุทสึคุง แต่ฉันไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เหลืองานไม่ค่อยเยอะแล้วล่ะ”
หญิงสาวทักทายกลับพร้อมพยายามยิ้มบางให้พวกเขารู้สึกสบายใจ
ไม่ต้องกังวลอะไรนอกจากการปกป้องประวัติศาสตร์ เธอคอยตระหนักไว้เสมอว่าต้องทำตัวเข้มแข็ง
ไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอให้ใครเห็นทั้งสิ้น แม้ปากจะบอกว่าเหลืองานไม่เยอะก็ตาม แต่นั่นกลับเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น
“...”
เพราะเอาแต่คิดเช่นนี้ตลอดมา...ความเก็บกดจึงค่อยๆ
เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“งั้นขอตัวก่อนล่ะนะ...”
ต่อมาเธอได้ขอตัวมุ่งหน้าเข้าโรงอาบน้ำและไม่ยอมปล่อยให้ทุกวินาทีสูญเสียอย่างเปล่าประโยชน์ เมื่อลองมองรอบๆ ฮงมารุอีกหนึ่งรอบก็พบกับสมาชิกคนอื่นอีกมากมาย รวมถึงโอคุริคาระที่กำลังยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ เขาก้มหน้ามองพื้นพักหนึ่งก่อนที่จะเหลือบไปเจอซานิวะสาวเดินอยู่คนเดียว
“...?”
ช่วงวินาทีนั้นเอง ดาบหนุ่มเริ่มสังเกตเห็นร่างเงาดำค่อยๆ ล่องลอยตามหลังอย่างช้าๆ
มันปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้เขาคิดได้ว่า ขืนปล่อยไว้โดยไม่ยอมแก้ไขต้นตอ
อาจเกิดความผิดปกติภายในจิตใจเธอจนถึงขั้นอันตรายก็เป็นได้
.
..
...
ซึ่งแน่นอน...
“นายท่าน...ระวังตัวด้วยล่ะ”
ความคิดของเขาไร้ซึ่งข้อผิดพลาดใดๆ
และอีกไม่นานมันก็จะเกิดขึ้นจริงๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ณ โรงอาบน้ำ
หลังจากยูมิมองดูรอบๆ ฮงมารุจนทักทายเหล่าดาบหนุ่มไปบางส่วนแล้ว
เธอก้าวขาเดินเข้าไปในโรงอาบน้ำที่มีลักษณะเป็นออนเซ็น มือทั้งสองเก็บอุปกรณ์อาบน้ำไว้ในตู้เก็บของและเริ่มเปลี่ยนเป็นชุดอาบน้ำโดยใส่เสื้อคลุมบางสีขาวเผยให้เห็นเนินอกขาวเนียน มีความยาวชายผ้าถึงต้นขา
จากนั้นก็ค่อยล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดรอบแรกก่อนที่จะเดินลงไปแช่ในบ่อน้ำอุ่น
“ฮ้าา...อุ่นดีจังแฮะ”
หญิงสาวเอนตัวพิงขอบบ่อพร้อมเงยหน้าขึ้นข้างบน
เหม่อมองและครุ่นคิดหลายๆ เรื่อง เช่นงานการจากทางโรงเรียนหรือภารกิจปกป้องประวัติศาสตร์
ความสัมพันธ์เชิงมิตรภาพระหว่างคนในชั้นเรียน โดยเฉพาะหัวหน้าห้องหนุ่มอย่างมาเอโนะ
โทมะ ซึ่งสนิทติดหนึบมากที่สุด รวมทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างโคนามะ จุนอิจิ แม้อยู่ในสถานการณ์ใดๆ
พวกเขาทั้งสองจะคอยอยู่เคียงข้างเรื่อยมา
แต่เธอไม่เคยรู้ตัวเลยว่า เพื่อนๆ ผู้หญิงหลายคนกำลังแอบตามสังเกตพฤติกรรมมาจนถึงตอนนี้แล้วเกิดความรู้สึกไม่เหมือนเดิม
พวกเธอเหล่านั้นเริ่มมองว่าเด็กใหม่ใส่แว่นแสนจืดชืดดึงดูดความสนใจมากเกินความจำเป็น ทำให้ตัวเองมีคุณค่าน้อยลง
ทั้งที่มีสามารถในบางเรื่องเหมือนกัน
“...”
ซานิวะสาวนั่งลูบไล้แขนขาด้วยน้ำอุ่นไปสักพักใหญ่แล้วยันตัวขึ้นออกจากบ่อเพื่อนั่งอาบใหม่อีกครั้งด้วยน้ำสะอาด
ต่อมาเธอย่างก้าวเดินไปหาตู้เก็บของ หยิบผ้าขนหนูเช็ดตัวให้แห้งและเปลี่ยนเป็นชุดมิโกะสีน้ำเงิน-ขาวที่เตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย
“เอาล่ะ...ถึงเวลาเคลียร์งานให้หมดในวันนี้ล่ะนะ”
ตึก...ตึก...ตึก
เธอหอบรวบเหล่าอุปกรณ์อาบน้ำและชุดเก่าก่อนที่จะเตรียมมุ่งหน้าไปยังโซนซักผ้าข้างนอกเพื่อขอซักด้วยตัวเองบ้าง แต่วินาทีนั้นเอง...เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เริ่มเกิดขึ้นกับตัวจนได้
‘ฮิๆๆ’
“...!!! เสียงนี่มัน...”
ช่วงที่เสียงหัวเราะดังกึกก้องในหัว ยูมิได้หยุดชะงักลงทันที สมองประมวลผลผิดปกติราวกับกระแสไฟฟ้าในสมองลัดวงจร มีความรู้สึกวูบๆ ภายในท้อง เหมือนเจ้าของเสียงหัวเราะส่งสัญญาณเป็นลางว่า เคยพบเจอเหตุการณ์นี้มาก่อน ซึ่งแท้จริงแล้วมันเพิ่งจะเป็นครั้งแรก
‘มาสนุกกันเถอะ...ยูมิ’
เมื่อสิ้นเสียงพูดดังกล่าว ส่วนหนึ่งของร่างเงาที่ถูกฝังไว้บนท้ายทอยและแผ่นหลังร่วมกันทำหน้าที่สร้าง
‘คำสาป’ ใส่เหยื่อของตน เธอพยายามถามตัวเองในใจซ้ำๆ
ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนกระทั่งสติเริ่มเลือนรางทีละนิด ปากเรียวบางค่อยๆ
อ้าออกพร้อมเสียงที่เปล่งจากลำคอคล้ายจะขาดอากาศหายใจ กล้ามเนื้อตามร่างกายเกร็งและกระตุกจนทำให้ทรุดลงคุกเข่าบนพื้น
“อะ...อ่ะ...อะ...”
หญิงสาวพูดอะไรไม่ออกสักคำนอกจากร้องไห้ในระหว่างนั้น
น้ำตาภายใต้ดวงตาสีน้ำเงินทั้งสองข้างค่อยๆ เอ่อไหลลงอาบแก้ม รวมทั้งน้ำลายจากปากที่อ้าออกเอง
นิ้วโป้งของมือขวากระตุกขึ้นใกล้ปากแล้วพยายามจ่อเข้ามาด้วยสติอันเลือนรางหวังกัดมันแทนลิ้นที่เริ่มยื่นออกทุกที
งั่บ!!
“อ๊าาาาา!!!!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นโรงอาบน้ำจนกระทั่งส่งต่อถึงหูของเหล่าดาบหนุ่มบางส่วน
ซึ่งหนึ่งในนั้นดันเป็นคนที่เพิ่งเตือนไม่ให้ซานิวะของตนหักโหมเมื่อไม่นาน
“...!!?”
ช่วงที่กำลังนั่งพักจากงานทำความสะอาด มุทสึโนะคามิได้ยินเสียงกรีดร้องของซานิวะสาวและรีบลุกขึ้นวิ่งตามต้นเสียงเมื่อครู่จนกระทั่งมาถึงหน้าโรงอาบน้ำ มือขวาจับเลื่อนประตูออกข้างก่อนที่จะเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด เพราะเธอคนนั้นล้มลงพื้นอย่างทุรนทุรายไปแล้ว
“นายท่าน!! เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ!!”
“อ่ะ...อา...อะ...”
สติของยูมิในตอนนี้เหลืออยู่ไม่มากนัก
มือขวายังคงถูกกัดลงแทนลิ้นอย่างสุดแรงพร้อมเปล่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมานคล้ายจะขาดอากาศหายใจ
น้ำตาไหลลงเป็นสายเรื่อยๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเธอยังร้องไห้ไม่หยุด
“นายท่าน!! รู้สึกตัวสักทีสิ!!!”
เขานั่งคุกเข่าและจับยกร่างซานิวะสาวขึ้นอุ้มในอ้อมแขน สายตาทั้งสองมองดูอาการอย่างเจ็บใจ อุตส่าห์ตักเตือนไว้แท้ๆ แต่อีกฝ่ายกลับฝืนตัวเองจนเกิดอาการผิดแปลกไป
วินาทีนั้นเอง ร่างเงาดำค่อยๆ ปรากฏตัวในบ่อน้ำอุ่นพร้อมจ้องมองทั้งสองคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแฝงความชั่วร้าย รู้สึกดีที่สร้างคำสาปเริ่มต้นใส่เหยื่อสำเร็จหนึ่งขั้น เพราะไม่มีใครรู้เห็นว่าเป็นฝีมือของตน และเหยื่อก็จะต้องทรมานเพราะมีคำว่า ‘งานการ’ เป็นตัวอ้างชั้นดี
ต่อมาเหล่าดาบหนุ่มบางส่วนได้วิ่งตามมาทางนี้ด้วย ซึ่งมีมิทสึทาดะคอยนำคนแรก เขาสังเกตเห็นหญิงสาวแล้วเริ่มรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงรีบบอกให้ดาบหนุ่มแห่งโทสะดึงมือเธอออก พยายามจับกรามไว้ไม่ให้กัดอะไรทั้งสิ้นและพาอุ้มไปยังห้องซานิวะเพื่อทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นต่อ
ณ ห้องซานิวะ
เหล่าดาบหนุ่มทั้งหลายต่างแตกตื่นกันด้วยความวุ่นวายเนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับยูมิ
เธอมีอาการผิดแปลกหลังอาบน้ำเสร็จเมื่อไม่นาน ซึ่งน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
ขณะนี้ทางมุทสึโนะคามิและมิทสึทาดะกำลังคอยอยู่ใกล้ชิดกับเธอ
โดยกลุ่มคนที่เหลือถูกสั่งให้รีบตามหายะเก็นมาช่วยวินิฉัยโรคและเตรียมทำยารักษา
ดาบหนุ่มแห่งโทสะเริ่มจับร่างของหญิงสาวให้นอนตะแครง
หยิบหมอนนิ่มๆ รองไว้ใต้ศีรษะในขณะที่อีกมือพยายามจับกรามไว้ ดาบหนุ่มเจ้าของผ้าปิดตาเริ่มทำการเลิกไหล่เสื้อกิโมโนสีขาวลงเล็กน้อยเพื่อระบายอากาศให้หายใจได้สะดวกขึ้น
จากนั้นก็หยิบนาฬิกาเรือนหนึ่งมาจับเวลาโดยเผื่อเวลาที่ตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ประมาณสิบวินาที
“อะ...อ่ะ...ฮ้า...” เธอนอนตะแครงขวาและยังคงออกเสียงแปลกๆ
จากลำคอคล้ายจะขาดอากาศหายใจ เพียงแต่ความถี่เริ่มน้อยลงบ้างแล้ว
“นายท่าน...จะเป็นอะไรไปรึเปล่านา...”
“ตอนนี้คงบอกได้ยากหน่อย...ถึงข้าจะไม่เคยเห็นอาการนี้กับตามาก่อน แต่ก็ยังพอจำได้ลางๆ จากหนังสือแพทย์ในตู้หนังสืออ่ะนะ”
“หมายความว่าไงน่ะ โชคุไดคิริ”
มิทสึทาดะนั่งลังเลอยู่หลายวินาที ทำใจค่อนข้างยากที่จะตอบความจริงให้กับอีกฝ่าย
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมเปิดเผยด้วยความรู้สึกกังวลและลำบากใจไม่น้อย
“ไม่แน่ว่านายท่าน...อาจเริ่มเป็น ‘โรคลมชัก’ แล้วก็ได้”
“...!!?”
“พักนี้นางไม่ค่อยพักผ่อนจากงานเลยใช่มั้ยล่ะ...ภาระงานในฐานะซานิวะและนักเรียนเพิ่มพูนเรื่อยๆ
จนต้องอดหลับอดนอน ขนาดตอนพวกเรากำลังจะเตรียมเข้าสู้กับกองทัพข้ามเวลา ตัวนางในสภาพเหน็ดเหนื่อยก็ยังขอร่วมทีมด้วยความทุลักทุเลอีก”
“นายท่าน...”
เมื่อมุทสึโนะคามิฟังจบ เขาเบิกตากว้างและดูอาการของซานิวะสาวอย่างเจ็บปวดใจลึกๆ
เริ่มรู้สึกเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม เขาคิดไว้ว่าตัวเองคงตักเตือนอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ต่อจากนี้ต้องอยู่เฝ้าภายในห้องนี้ฐานะเลขาประจำฮงมารุให้นานขึ้น
ระหว่างนั้นเอง เงาดำรางๆ ปรากฏตัวจากบนตู้หนังสือริมห้อง
มันแอบมองทั้งสามคนพร้อมยิ้มกว้าง สังเกตการณ์ไปเรื่อยๆ เพื่อรอดูว่าต่อจากนี้เหล่าดาบหนุ่มทั้งหลายจะรับมือกับคำสาปในรูปแบบโรคลมชักกันอย่างไร
‘ฮิๆๆ สีหน้าอันทรมานของเธอช่างงดงามเหลือเกิน...’
เสียงพูดที่ไม่อาจส่งต่อให้คนอื่นได้ยินนอกจากยูมิดังกึกก้องในหัวชวนหลอกหลอนเป็นระยะ
ความอัปยศและพิษสงของคำสาปที่ตนฝังไว้ตามร่างกายเธอค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่ว ซึ่งมันจะฝังนานจนกว่าเจ้าตัวจะหาวิธีกำจัดได้เอง
‘ถ้าเป็นในโรงเรียนด้วยคงจะสนุกน่าดูเลยน้าา...’
‘อ่าา...ชักทนรอไม่ไหวซะแล้วสิ...’
นั่นคือสิ่งที่ร่างเงาพึมพำเป็นประโยคสุดท้ายพร้อมกับรอเริ่มต้นแผนการขั้นสอง ‘สร้างแกะดำประจำโรงเรียนมัธยมเซย์โชว’ และมันกลับกลายเป็นความบังเอิญที่กลุ่มนักเรียนสาวเองก็ปรารถนาหรือตั้งใจไว้ด้วยเช่นกัน
ต่อจากนี้ไป...ฝันร้ายที่แท้จริงของยูมิจะเริ่มถูกส่งต่อจากทั้งสองฝ่าย...ในอีกไม่ช้านาน!
ณ โรงเรียนมัธยมเซย์โชว
เมื่อวันเวลาผ่านไปสองวันจนถึงคราที่ต้องสอบไฟนอล พวกเขาต่างมีท่าทีและสีหน้าแตกต่างกันไป กลุ่มเด็กเรียนซึ่งเคยติวหนังสือก่อนหน้านี้รวมตัวกันทบทวนใหม่อีกหนึ่งรอบ
กลุ่มเด็กหลังห้องยังคงพูดคุยเรื่องอื่นตามปกติ บางคนก็ลุกลี้ลุกลนนั่งท่องจำบทเรียนในคาบเช้านี้จนติดเป็นนิสัย
ส่วนยูมิกับโทมะก็ยังคงเจอกันหน้าโรงเรียนเหมือนเคยก่อนที่จะเข้าห้องเรียนเพื่อนั่งทบทวนบทเรียนต่อ
ซึ่งครั้งนี้เธอดูเหน็ดเหนื่อยแปลกๆ เพราะวันเสาร์พยายามเคลียร์งานทุกอย่างจนครบและมีรายงานของกลุ่มดาบหนุ่มเพิ่มอีกในวันอาทิตย์
แต่อย่างน้อยก็ยังมีมุทสึโนะคามิกับมิทสึทาดะคอยช่วยแบ่งเบาภาระตอนเธอนอนพักผ่อนอยู่บ้าง
ทั้งสองคนพยายามทำเพื่อนายท่านอย่างสุดกำลังหลังพบเหตุการณ์ประหลาดขึ้น ยะเก็นวินิฉัยโรคได้คำตอบแบบเดียวกัน นั่นคือลมชัก เขานั่งดูอาการไปเรื่อยๆ
พร้อมนั่งปลอบโยนให้เธอใจเย็นลงแล้วรีบหาสูตรทำยาทันที
แม้ช่วงนี้จะยังไม่สำเร็จก็ตาม
แต่พวกเขากลับไม่มีทางรู้เลยว่าอาการเหล่านี้เกิดจากคำสาปที่ถูกสร้างขึ้นจากท้ายทอยและแผ่นหลังของเธอ
พวกเขาต่างมองว่ามีสาเหตุเพราะฝืนร่างกายตัวเอง
พยายามอดหลับอดนอนเคลียร์งานให้หมดสิ้น
และในวันนี้ร่างเงาดำแสนชั่วร้ายจะเริ่มแผนการขั้นสอง
‘สร้างแกะดำประจำโรงเรียนมัธยมเซย์โชว’ โดยใช้กลุ่มนักเรียนหญิงเป็นเครื่องมือร่วมกับตนด้วย มันแอบมองหญิงสาวผมดำพร้อมยิ้มร่าด้วยความสนุกสนานยิ่งกว่าวันก่อน
‘ฮิๆๆ มาเริ่มแผนการกันเลยดีกว่า...’
พอนักเรียนสอบเสร็จครึ่งวันเช้า พวกเขาต่างเดินออกจากห้องไปกินข้าวกลางวันในโรงอาหาร ยูมิกับโทมะรวมหัวกันหยิบข้าวกล่องของตัวเองเหมือนที่เคยทำ
“มาเอโนะ...ฉันว่าข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ปีนี้มันยากเกินไปรึเปล่านะ
เนื้อหาที่พวกเราติวมีออกแค่นิดเดียวเอง” เด็กใหม่ผมดำพูดพร้อมหยิบขวดน้ำขนาดเล็กขึ้นวางบนโต๊ะแล้วเปิดฝากล่องออก
เผยให้เห็นเหล่าข้าวปั้นขนาดกลางประมาณสี่ชิ้น
“มาอีหรอบนี้เหมือนทุกปีเลยสิเนี่ย
ฉันล่ะยอมใจคนออกข้อสอบจริงๆ” หัวหน้าห้องเปิดฝากล่องและหยิบข้าวปั้นทรงกระบอกขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อยแต่ภายในใจยังแอบปลงกับข้อสอบอยู่
“นั่นสิ...อยากจะปลงกับเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว แต่มันก็ทำไม่ได้แฮะ”
“เอาน่า...ยูมิ เดี๋ยวสักพักเธอก็คงชินเองแหละ โอเคเนาะ”
“อะ...อื้ม”
รอยยิ้มกว้างของชายหนุ่มและการเรียกชื่อจริงเมื่อครู่ทำเอาหัวใจของหญิงสาวแอบหวั่นไหว
ใบหน้าขาวเริ่มร้อนทีละนิดรวมทั้งรอยยิ้มบางที่ถูกส่งไป
ทำให้เขาเริ่มมองว่าอีกฝ่ายน่ารักขึ้นแปลกๆ ทั้งสองคนนั่งกินข้าวด้วยกันต่อเรื่อยๆ
จนกระทั่ง...
ครืดด~
“โอ๊ะ...โทมะคุง อยู่ห้องนี้นี่เอง
เห็นพักนี้ไม่ค่อยได้นั่งกินข้าวกับพวกเราเลยนี่เนาะ”
“นี่ๆ โทมะคุง ช่วยมากับพวกเราหน่อยสิ พอดีอาจารย์โคนามะฝากให้เรียกตัวน่ะ”
“โทษทีที่ขัดจังหวะนะ...อิชิมารุ
แต่พวกเราขอยืมตัวคุณเพื่อนหนุ่มก่อนละกัน”
กลุ่มนักเรียนหญิงสามคนค่อยๆ เปิดประตูห้องและเดินเข้ามายืนอยู่ใกล้โทมะ
ทำท่าทีสนิทสนมผิดปกติ เขาแอบหัวเราะเบาๆ พลางลุกขึ้นเก็บข้าวกล่องให้เรียบร้อยและขอตัวเดินออกจากห้องเรียนไป
“...”
ยูมินั่งมองนักเรียนทั้งสี่อย่างงุนงงแล้วค่อยกินข้าวต่ออย่างเงียบๆ
โดยจังหวะนั้นหนึ่งในกลุ่มนักเรียนหญิงแอบหันมองด้วยหางตาพร้อมกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยราวกับตนกำลังเริ่มมีชัยไปหนึ่งขั้น
‘ขอโทษด้วยนะ...แต่คนอย่างเธอไม่สมควรเป็นเพื่อนกับใครหรอก!’
และพวกเธอ...ก็ดำเนินแผนการ ‘จับแยกแกะดำ’ เช่นนี้เรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุผลตามที่ต้องการ!
.
.
.
.
.
วันเวลาผ่านไปจนขึ้นปีสอง
เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับยูมิอีกครั้งด้วยฝีมือร่างเงาดำ มันแอบมองสถานการณ์จากบนอาคารเรียนและยิ้มกว้างอย่างสะใจ
สาวแว่นผมดำรู้สึกถึงความผิดปกติตามร่างกาย กระแสไฟฟ้าในสมองลัดวงจรกะทันหัน มีความรู้สึกวูบๆ
ภายในท้องก่อนที่จะมีอาการ ‘ลมชักกำเริบ’ ครั้งแรกของชีวิต
ซึ่งเหตุการณ์นี้ดันเกิดขึ้น ณ
ใจกลางโรงเรียนหรือจุดที่มีต้นซากุระและบ่อน้ำพุตั้งอยู่
โดยมีเหล่านักเรียนหลายรุ่นพบเห็นเข้า บ้างก็ยืนนิ่งเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ
บ้างก็รีบช่วยหามเข้าห้องพยาบาล
แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เริ่มรู้สึกสนุก อยากลองกลั่นแกล้งเพื่อให้ได้เห็นตัวเธอในสภาพนั้นอีกครั้ง
แน่นอนว่าวันต่อมา เธอเริ่มถูกผู้คนในสังคมโรงเรียนมองด้วยสายตาผิดแปลก
จากเดิมที่มองแค่ว่าเป็นผู้หญิงจืดชืด ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้หญิงที่มีโรคทางจิตไปแล้ว
ส่วนโทมะก็ถูกกลุ่มนักเรียนหญิงสี่คนกีดกั้นไม่ให้อยู่ด้วยกันอีกพร้อมอ้างเหตุผลร้อยแปด
ช่วงคาบเรียนปกติ เมื่อมีการขานชื่อยูมิในชั่วโมงโฮมรูม
กลุ่มนั้นมักจะสลับหน้าที่บอกว่า ‘ตายแล้วค่ะ’ ในทุกๆ วัน ตัวเธอที่นั่งริมขอบหน้าต่างเริ่มมีความรู้สึกย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
แต่ด้วยการที่อาจารย์ที่ปรึกษาคนเก่าอย่างโคนามะยังมองเห็นตัวตน เขาจึงยอมเช็คชื่อว่ามาเรียนอยู่ตามเคย
.
.
.
ยิ่งนับวัน...ยิ่งเริ่มมีการกลั่นแกล้งที่ทวีคูณหนักขึ้น
เช่น ใส่เข็มหมุดในตู้รองเท้า ต่อด้วยการโยนเก้าอี้และกระเป๋านักเรียนออกทางหน้าต่าง
ทำให้เธอต้องเสียเวลาลงไปเก็บข้างล่าง
“...”
เมื่อหญิงสาวผมดำหยิบกระเป๋าขึ้นมองพร้อมเปิดซิปตรวจสอบสภาพภายในพบว่า
ทั้งอุปกรณ์การเรียนและโทรศัพท์พังยับเยินไม่มีชิ้นดี เธอยืนมองด้วยสายตาเรียบนิ่งที่แฝงความเจ็บปวดเล็กๆ
ก่อนที่จะหยิบเครื่องโทรศัพท์มาโยนทิ้งโดยไม่รู้สึกเสียดายแล้วเดินยกเก้าอี้กลับห้องเรียน
แต่พอไปถึงริมหน้าต่างจุดเดิม สิ่งหนึ่งที่เพิ่มเติมอีกคือ รอยปากกาหมึกดำที่ถูกขีดเขียนบนโต๊ะว่า...
ยัยโรคจิต
แกะดำ
ชักกระตุกเว้ยเฮ้ย
อยากเห็นท่าชักกระตุกอีกครั้งจัง
จืดชืด โรคจิต
เก่งแต่กับงานของตัวเองน่ะแหละ
เสียเพื่อนได้แต่เสียงานการไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ
คำสบประมาทเหล่านี้ทำเอาจิตใจของซานิวะสาวหมดค่าเรื่อยๆ
จนสัมผัสถึงออร่าความหม่นหมองแผ่รอบตัว แววตาเริ่มว่างเปล่า ความกระตือรือร้นลดน้อยลง
รวมถึงรอยยิ้มที่หายไป พอมาถึงฮงมารุ เธอจะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยอมให้ใครอยู่ใกล้ชิดอีก
ข้าวปลาแทบไม่กินและทำงานต่อเงียบๆ แม้แต่เลขาสองคนก็ยังถูกไล่ออกไปข้างนอกด้วยเหตุผลว่าอยากอยู่คนเดียว
ทุกครั้งที่ย่างก้าวเข้าผ่านประตูโรงเรียน
สิ่งที่เธอพบเห็นและรู้สึกอย่างแรกคือ ความมืดมนของสภาพแวดล้อมรอบตัว ต่อจากนั้นก็เสียงซุบซิบนินทา
ล้อเลียนและหัวเราะเยาะเย้ยเบาๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับอาการลมชักกำเริบทั้งนั้น
เพื่อนร่วมห้องที่เคยคุยหรือขอร้องให้ช่วยเรื่องการบ้านต่างหันหน้าหนี
ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวเพื่อไม่ตกเป็นแกะดำด้วยอีกคน
.
.
.
.
.
หนักกว่านั้นอีกคือ ช่วงเข้าปีสาม โฮโตกิ มาซากิ สาวแกลผมยาวสีเหลืองทองและเหล่าเพื่อนเก่าสมัยมัธยมต้นของยูมิบางส่วนย้ายเข้ามาโดยบังเอิญ ช่วงที่กำลังจะทักทายยามเช้า มาซากิถูกหนึ่งในกลุ่มนักเรียนหญิงสี่คนรั้งไว้พร้อมบอกว่า...
“อย่าเข้าไปยุ่งกับแกะดำนะ ทุกคนเขาหันหน้าหนีและไม่อยากคบหากันหมดแล้ว”
“แกะดำ...?”
“...”
พอฟังจบ เส้นด้ายแห่งมิตรภาพก็ขาดผึงอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวผมเหลืองทองส่งสายตามองจิกสักพักหนึ่งก่อนที่จะเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ริมห้องฝั่งประตูข้างๆ
เพื่อนใหม่อีกสองสามคน รวมถึงเริ่มพูดคุยเชิงนินทาและเปิดโปงอดีตบางช่วงให้ได้ยิน
“ไม่ไหวว่ะ ยูมิทำตัวมืดมนแบบนี้ไม่มีเพื่อนคบแล้วแน่ๆ เลย”
“แต่ถ้าไม่ลองคุยสักหน่อยก็คงไม่รู้หรอก”
“บ้าเหรอแก ใครจะไปกล้าสนิทกับผีตัวนั้นกันเล่า”
“ก็ยัยนั่นล่อทำท่าจะฆ่าตัวตายหลายรอบแล้วนี่เนอะ”
“อ๋อ...ตั้งแต่ตอนประถมยันมัธยมเลยสินะ บอกตรงๆ คือโคตรไร้สาระอ่ะ”
“เออว่ะ ชีวิตโคตรน่าบัดซบ สมเพชยิ่งกว่าสงสารซะอีก”
“ถ้าทนไม่ไหวนักหนาก็ฆ่าตัวตายตอนนี้ไปเลยดีกว่ามั้ง”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“...”
เสียงหัวเราะอันเต็มไปด้วยความสนุกสุขใจเหล่านั้น...เธอจำมันได้ดี...จำได้ฝังลึกถึงภายในอก...จนถึงเวลาใกล้ถึงวันปัจฉิมนิเทศ
ซึ่งมันไม่ใช่แค่หัวเราะหรือซุบซิบนินทาเหมือนครั้งก่อนอีก
.
.
.
ในช่วงวันนั้น กลุ่มเพื่อนเก่าทั้งหลายของยูมิบีบบังคับให้ไปโรงยิมด้วยกันเพื่อลอง
‘ปรับแต่งแกะดำตัวใหม่’ มาซากิยิ้มกว้างเยี่ยงปีศาจร้ายพร้อมบอกพรรคพวกที่เหลือจับมัดไว้กับเสาไม่ให้หนีไปไหน
เธอค่อยๆ หยิบกรรไกรคมสีเงินในกระเป๋านักเรียนแล้วจับดึงผมอีกฝ่ายที่ยังมัดรวบไว้ข้างหน้าเหมือนตอนปีหนึ่ง
“มาซากิ...หยุดเถอะ ไม่เอาแบบนี้...”
น้ำเสียงขอร้องอ้อนวอนจากปากของหญิงสาวผมดำมิอาจทำอะไรได้นอกเสียจากยั่วต่อมโมโหและยุยงให้อยากลงมือทำยิ่งกว่าเดิม
“โทษทีว่ะ...แต่แกต้องหัดเปลี่ยนทรงผมใหม่บ้างนะ”
ฉั่บ...ฉั่บ...ฉั่บ
“...!!”
เสียงกรรไกรที่ตัดเส้นผมสีดำดังเสียดสีเข้าหูจนทะลุถึงจิตใจของเหยื่อ พอจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือก็ถูกปิดปากไว้แน่นด้วยเทปใส ยิ่งพยายามดิ้นรนมากเท่าไหร่...ยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากของหญิงสาวผมเหลืองทองพร้อมมัดข้อมือและข้อเท้า สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงปลดปล่อยความอ่อนแอผ่านทางของเหลวใสภายใต้ดวงตาสีน้ำเงินอย่างเลี่ยงไม่ได้
ฉั่บ...ฉั่บ...ฉั่บ
จนเวลาผ่านไปหลายนาที ทรงผมของยูมิได้เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
จากตอนแรกยาวสลวยสวยงาม บัดนี้เหลืออยู่สั้นๆ เพียงแค่ประมาณคางเท่านั้น
“เป็นทรงผมที่เหมาะกับการเข้าร่วมปัจฉิมดีนี่นา...ยัยแกะดำ”
กลุ่มเพื่อนเก่ายืนมองพลางหัวเราะร่าด้วยความสนุกสนาน รู้สึกสมเพชแทนอีกฝ่ายที่ถูกกลั่นแกล้งรอปิดท้ายปัจฉิมนิเทศ ต่อมาจึงปล่อยให้นั่งลงบนพื้นแล้วหันหลังเดินจากไปโดยไม่แยแสแม้แต่น้อย
“...ฮึก...ทำไมกัน...มันเกิดอะไรขึ้น...กับชีวิตของฉันกันแน่”
หญิงสาวเริ่มหมดแรงที่จะลุกขึ้นยืนพร้อมกับนั่งกอดเข่าพิงกำแพงด้วยความเศร้าโศกเสียใจ อารมณ์ที่เคยเก็บกดไว้ในใจถูกระบายออกอย่างรวดเร็ว
เธอไม่สามารถอดทนกับสถานการณ์นี้หรือนั่งร้องไห้เงียบๆ ได้อีกต่อไปแล้ว
ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา จิตใจของเธอเริ่มถูกปกคลุมด้วยความดำมืด
ว่างเปล่า ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่รู้แม้กระทั่งตอนที่อาจารย์โคนามะพยายามปลอบโยนในโรงยิมหลังจากบังเอิญได้ยินเสียงนักเรียนร่ำไห้คนเดียว
เขามองดูท่าทีแล้วคิดว่าถ้าลองทำอย่างอื่นแทนคงจะรู้สึกตัวก็เป็นได้
“เธอเนี่ย...เป็นเด็กดีตั้งแต่ปีหนึ่งเลยนะ ขอครูมอบรางวัลก่อนจากหน่อยละกัน”
ราคะภายในร่างกายของชายหนุ่มค่อยๆ บังเกิดขึ้นพร้อมทำการ
‘ล้ำเขตต้องห้ามระหว่างนักเรียนกับอาจารย์’ ซึ่งแท้จริงเขาเริ่มอดใจไม่ไหวตั้งแต่แรกพบแล้ว พอมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันจริงๆ
ในครั้งนี้ จึงขอฝากรอยช้ำไว้ทั่วบริเวณต้นคอ เนินอก หน้าท้อง ท้ายสุดก็ฝากฝังความรักใคร่นานหลายนาที
.
.
.
“...”
“ฮ้า...ถึงเธอจะไม่รู้สึกอะไร แต่ขอให้จำไว้ว่า...ครูรักและห่วงใยเสมอนะ
อิชิมารุ ยูมิ”
หลังพูดจบ อาจารย์โคนามะได้โอบกอดยูมิไว้แนบแน่นพร้อมยิ้มออกกว้างด้วยความสุขใจ แต่หารู้ไม่ว่าอีกไม่นานนี้ชีวิตของเขาจะต้องมีอันเป็นไป ร่างเงาดำรางๆ ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังของหญิงสาวผมดำอย่างช้าๆ และยื่นใบหน้าเข้าใกล้เพื่อเกลี้ยกล่อมเหยื่อที่ตนเคยฝังคำสาปไว้
‘นี่...ยูมิ ถ้าไม่อยากเก็บกดนานๆ จนต้องทรมานแบบนี้ล่ะก็...ระบายความในใจตอนเข้างานปัจฉิมซะสิ...ทุกคนจะได้รู้ว่า...เธอรู้สึกยังไงกับโรงเรียนแห่งนี้บ้าง’
เธอฟังอีกฝ่ายกระซิบประโยคเมื่อครู่อย่างเงียบๆ
โดยภายในจิตใจล้วนมีแต่ความว่างเปล่าและดำมืดไปหมด เพราะงั้นการสะกดจิตครั้งนี้จึงทำได้ง่ายขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้ว แผนการขั้นสุดท้ายจะได้ถูกงัดมาใช้งานเสียที...
หรือก็คือ ‘เปิดโปงสันดานดิบที่แท้จริง’ ของแกะดำประจำโรงเรียนมัธยมเซย์โชวนั่นเอง!
“...อืม...”
[ To be continued ]
ความคิดเห็น