คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ตะลุยซัมเมอร์สุดว้าวุ่น(และวุ่นวาย)
ตะลุยซัมเมอร์สุดว้าวุ่น(และวุ่นวาย)
----------------------------------------------------
ในเช้าวันที่ 9 สิงหาคม
หลังจากพาเหล่าเซอแวนท์ไปเก็บ Exp. ในคาลเดียเกทเรียบร้อยแล้ว
ก็ถึงเวลาแยกย้ายกันพักผ่อนหย่อนใจฟื้นฟูพลังงาน
“พักผ่อนจ้า
พักผ่อน วันนี้ทุกคนทำงานได้ดีมากเลย”
พูดจบฉันก็ออกตัวเดินไปยังห้องครัว
พอถึงที่หมายแล้วพบว่าไม่มีใครอยู่แม้แต่เงาหัวเอมิยะ
มือขวาเริ่มยื่นออกไปเปิดตู้เย็นเพื่อมองหาเสบียงดับร้อนจนเจอไอติมถ้วยรสช็อกโกแลตชิพวางอยู่ในช่องฟรีซ
ฉันไม่รอช้ารีบหยิบมันออกมาก่อนที่จะปิดตู้เย็นแล้วเดินมุ่งหน้ากลับมายรูมทันที
อ้อ...และก็ได้ยินข่าวแว่วๆ จากทางสต๊าฟแห่งคาลเดียเล่าต่อกันมาว่า
ช่วงตอนเย็นจะเริ่มมีอีเว้นท์เปิดใหม่
ซึ่งแม้แต่มาสเตอร์มือใหม่ที่เพิ่งแก้จุดพลิกผันในฟุยุกิก็สามารถเข้าร่วมได้ ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าการฟาร์มไอเทมจะยากง่ายแค่ไหน
แต่ในเมื่อยืนยัน(นอนยัน)เกี่ยวกับมาสเตอร์มือใหม่ขนาดนั้น
ก็คงต้องลองเชื่อมั่นว่าไม่ยากเกินไปบ้างแหละนะ
เมื่อเดินเข้าไปในมายรูมแล้ว
ก็รีบกระโดดนั่งบนเตียงและเปิดฝาไอติมออกพร้อมโซ้ยมันเข้าปาก
แต่ปัญหาเริ่มเกิดอยู่หนึ่งอย่าง...ไม่มีช้อนตักไอติม ง่ายๆ คือลืมเอามาติดตัวอีกแล้ว!
ซวยจริง...พาไปลุยเหนื่อยจนสมองกลับด้านและลืมเอาช้อนมาซะงั้น
แล้วแม่มมีแพทเทิลคล้ายกันกับตอนไปเที่ยววันสงกรานต์เลยง่ะ!
“อืมม...เอาวะ ลองใช้วิธีดั้งเดิมตอนสมัยเรียนมัธยมอีกสักรอบละกัน”
ว่าจบฉันก็วางถ้วยไอติมไว้บนโต๊ะข้างเตียง
หยิบฝาขึ้นมามองสักพักก่อนที่จะเริ่มจับพับมันให้เหมือนรูปช้อน
ถึงพยายามแค่ไหนก็ไม่เคยจะเหมือนสักที จึงจำเป็นต้องพับครึ่งเอาด้านในเข้าสามทบ
ต่อจากนั้นก็ลองทดสอบตักเนื้อไอติมออกมากิน
“งืมๆๆ”
แต่ตัวตนของมันก็คือกระดาษเนาะ
ตักไปตักมาต้องมีการเหี่ยวย่นจนใช้งานไม่ได้อยู่แล้ว ฉันค่อยๆ
ถอนหายใจด้วยความเซ็งจิตและโยนฝาถ้วยทิ้งลงถัง
ต่อมาก็มีเสียงประตูห้องเปิดออก
โดยแขกครั้งนี้คือ มินิคูจังที่หิ้วถุงพลาสติกมาหนึ่งถุง ในนั้นมีขวดนมไวตามิลค์และไอติมถ้วยรสช็อกโกแลต
เขากำลังเดินดุ่มๆ เข้ามาหาก่อนที่จะยกแขนทั้งสองขึ้นเป็นนัยบอกให้รู้ว่า อุ้มหน่อย
“อยากนั่งด้วยกันเหรอ...ได้เลย
มามะ”
ฉันค่อยๆ
ลุกออกจากเตียง นั่งชันเข่าแล้วอุ้มนุยตัวน้อยขึ้นนั่งบนเตียงด้วยกัน เขาหยิบนมไวตามิลค์ขึ้นมาพร้อมจับฝาบิดออกราวกับขวดน้ำธรรมดา
ซึ่งขวดนั้นเป็นรูปแบบใหม่ที่ผู้ผลิตออกแบบให้พวกเราทุกคนสามารถเปิดออกได้ง่ายขึ้นแทนการใช้ตัวช่วยดึงฝาเหมือนขวดเบียร์ทั่วไป
(แหม่...ไม่ได้ค่าโฆษณาอีกตามเคยจ้า)
พอมองไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกสงสารในใจ
เพราะขวดนมมันใหญ่เกินกว่ามินิคูจังจะยกขึ้นไหว
ฉันจึงยื่นมือช่วยจับแล้วยกให้กระดกทีละนิด ตอนแรกเขาดื้อด้านปฏิเสธอยู่นานจนสุดท้ายค่อยยอมจำนน
แถมยังบอกว่าอร่อยกว่าตอนดื่มเองซะด้วย
ไม่ว่าเวลาจะผ่านกี่วัน เจ้าตัวนี้ก็ยังคงน่ารักเหมือนเดิมเลยแฮะ
และในระหว่างนั้นเอง อีกฝ่ายได้สังเกตเห็นถ้วยไอติมในมือที่กินเข้าไปบางส่วนพร้อมเปิดถุงพลาสติกของตัวเอง
ซึ่งรู้ภายหลังว่าเขาหยิบช้อนตักให้
“งั้นข้าให้ยืมใช้ก่อนละกัน และถ้ากินหมดเมื่อไหร่
อย่าลืมเอาคืนด้วยล่ะ”
อย่าลืมเอาคืน!? เดี๋ยวๆ เล่นงี้จริงดิ นี่มันแอบเนียนขอจูบทางอ้อมนี่หว่า!
แหม...ร้ายไม่เบาเลยนะ มินิคูจัง
“อ่อ...อื้ม
ขอบคุณนะ” ฉันรับช้อนจากคนตรงหน้าแล้วรีบจับโซ้ยไอติมถ้วยรสช็อกโกแลตชิพสุดโปรดปรานอย่างไว
อ่าา~ I’m feeling good หลายๆ
ค่ะท่าน การได้กินไอติมตอนมันยังเย็นใหม่ๆ แบบนี้ช่างรู้สึกดีเหลือเกิน
ยิ่งเป็นรูปแบบถ้วยนี่โคตรของโคตรจะฟินจนล่องลอยขึ้นหานางฟ้าบนสรวงสวรรค์ได้เลย
พวกเราสองคนต่างนั่งกินด้วยกันอย่างสงบโดยมินิคูจังขออาสาป้อนไอติมถ้วยเพื่อแลกเปลี่ยนกับการยกขวดนมไวตามิลค์ให้
บางครั้งก็มีพูดคุย ซักถามสารทุกข์สุขดิบพอได้สร้างบรรยากาศดีๆ ไม่มาคุหรือเงียบจนเกินไป
เมื่อสลับกันป้อนจนหมดทั้งสองอย่าง
ฉันคืนช้อนให้กับนุยตัวน้อยด้วยความรู้สึกแปลกๆ
เขาแอบยิ้มมุมปากพร้อมรับมันไปห่อใส่ถุงพลาสติกเล็กๆ เหมือนบ่งบอกประมาณว่า
‘เจ้าได้เป็นของข้าแล้วนะ’ แต่ต่อมา
คูจังตัวจริงได้เดินมาถึงหน้ามายรูมแล้วเปิดประตูเข้าหาก่อนที่จะคว้าช้อนไปแทน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มจ้องหน้ามองตาข่มขู่ด้วยสีหน้านิ่งเรียบกันเอง
“...”
นี่คือศึกสองคูจังชิงบัลลังค์คนรักแห่งชาติสินะเนี่ย
“ประกาศจากทางคาลเดีย ขณะนี้รายชื่อเซอแวนท์ที่มีโบนัสประจำอีเว้นท์ซัมเมอร์ปีนี้ได้ถูกลิสต์ไว้ในโน้ตแพ็ดเรียบร้อย
ขอให้มาสเตอร์ทุกท่านตรวจเช็คและคัดตัวเพื่อร่วมงานด้วย
ขอประกาศอีกครั้ง
ขณะนี้รายชื่อเซอแวนท์ที่มีโบนัสปีนี้ได้ถูกลิสต์ไว้เรียบร้อย
ขอให้มาสเตอร์ตรวจเช็คและคัดตัวเพื่อร่วมงานด้วย”
ในช่วงนั้นเอง จู่ๆ เสียงผู้หญิงคนหนึ่งประกาศตามสายของคาลเดียก็ดังขึ้นขัดจังหวะพวกเขาสองคนจนต้องยอมเงี่ยหูฟังด้วยกันอย่างตั้งใจสุดติ่งพร้อมหันบอกให้ฉันหยิบโน้ตแพ็ดขึ้นเปิดเช็ค
การข่มขู่เมื่อครู่จึงหยุดชะงักลงทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
พวกคุณนี่แบบช่างปรับตัวกันไวจริงๆ
เลยนะ...
เวลา 16.00 น.
ณ หน้าประตูทางเข้าอีเว้นท์
“เอาล่ะ...ขอเช็คสมาชิกเลยละกัน
ถ้าถูกขานชื่อแล้วก็เดินเข้าร่วมอีเว้นท์ได้เลยนะ” ฉันยืนถือโน้ตแพ็ตมองเหล่าเซอแวนท์ของตัวเองตรงหน้าก่อนที่จะเริ่มขานชื่อทีละคน
“เซอแวนท์ว่ายน้ำปี 2016 กับ 2017 : คิโยฮิเมะ, ไรโค, อิชทาร์, มอเดรด, เนโร่, สกาฮะ, โนบุนากะ และมาชู
เซอแวนท์อื่นๆ : โรบิ้นฮู้ด, กิลกาเมชแคสเตอร์ และเอ็ดมอนด์ ดันเต้ ซึ่งผู้ชายทั้งสามจะได้มีชุดใหม่เป็นของตัวเองเหมือนมาชูรอบก่อน”
เหล่าสาวๆ ทุกคนรับทราบพร้อมพากันเดินเข้าอย่างลั้นลาแถมมีเรื่องพูดคุยเยอะแยะมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำในซัมเมอร์ปีนี้
เหลือแต่เพียงชายหนุ่มสามคนยืนมองอย่างประหลาดใจ
“เห...ดูท่าทางครั้งนี้ผู้ชายจะมีบทจริงจังสักทีสินะ”
< โรบิ้น
“ช่างน่าประหลาดยิ่งนัก
ข้านึกว่าทางทีมงานจะยังไม่เข้าใจมาสเตอร์หญิงเสียอีก” < กิลกาเมช
“คึฮ่าๆๆๆๆ
ทีนี้ท่าโจมตีบัสเตอร์ของข้าก็เริ่มมีประโยชน์ขึ้นมาแล้วล่ะ!” < ดันเต้
“เอ่อคือ...นายจะคันไม้คันมือโจมตีท่านั้นใส่สาวๆ
ชุดว่ายน้ำไม่ได้นะเฮ้ย เดี๋ยวก็ได้กลับคาลเดียพร้อมรอยตบตีหรอก”
พอได้ยินประโยคเมื่อครู่ของอเวนเจอร์หนุ่ม
ฉันก็รีบยกมือขวาคัดค้านและตักเตือนเขาโดยไม่คิดอะไรเลยทั้งสิ้น (เผื่อนึกไม่ออก
ถ้าพวกท่านใช้ดันเต้แล้วเลือกการ์ดควิก-บัสเตอร์ นั่นแหละที่ฉันหมายถึง)
ในช่วงที่พวกเราสามคนกำลังคุยกัน จู่ๆ
ก็มีอีกหนึ่งกลุ่มวิ่งตรงเข้ามาด้วยความเร่งรีบ เมื่อมองดูปุ๊บ พบว่ามีเด็กน้อยสามคนอย่างแจ๊ค
ไรม์ อบิเกล รวมถึงเมเดีย คูแลนเซอร์-อัลเตอร์ มุทสึโนะคามิ และเอมิยะแดง-ดำ อีกทั้งยังมีโฟว์คุงกับมินิคูจังที่แอบเนียนขอร่วมอีกสองตัว
“คุณแม่ๆ ให้พวกหนูไปเล่นน้ำด้วยสิ
อยู่แต่ในคาลเดียมันไม่สนุกเลย”
ลูกสาวผมขาวพุ่งเข้ากอดพร้อมขอเที่ยวทะเลด้วยกันทุกคน
ซึ่งแน่นอนว่าเด็กๆ ต่างเตรียมใส่ชุดว่ายน้ำทูพีชลายจุดกันหมดแล้ว โดยแจ๊คใส่สีเขียวอ่อน ไรม์สีกรมท่า และอบิเกลสีแดง ส่วนที่เหลือยังคงใส่ชุดประจำตัวอยู่เช่นเดิม
คาดว่าจะเปลี่ยนอีกทีภายในอีเว้นท์ แต่เมเดียก็ได้ยืนยันว่าจะถอดแค่ผ้าคลุมชั้นนอกออกตัวเดียว
“อ่า...โอเคจ้ะ ช่วงนี้พวกหนูไม่ค่อยได้เล่นข้างนอกนี่เนอะ
ยังไงก็ฝากดูแลเด็กๆ ด้วยนะ เมเดีย”
“รับทราบ” เมเดียน้อมรับคำบัญชาก่อนที่จะจูงมือโลลิทั้งสามและอุ้มโฟว์คุงเข้าประตูด้วยกัน
“แล้วที่บ็อบมิยะมาด้วยนี่มีจุดประสงค์อันใดอยู่รึเปล่า ปกติไม่ค่อยได้ออกคบหาสมาคมกับใครนอกจากต้องร่วมสู้ตามอีเว้นท์เลยนะ” ฉันหันไปถามเอมิยะอัลเตอร์ด้วยความแปลกใจอย่างมาก คือมันหายากจนคู่ควรต่อการจารึกบนแผ่นศิลาจริงๆ
“เปล่าหรอก แค่อยากรับวิตามินจากแสงแดดหลังจากอยู่แต่ในร่มเท่านั้นเอง”
เอิ่ม...เดิมทีนายก็ดำเมี่ยมอยู่แล้ว ถ้าตากแดดเพิ่มอีกมันจะไม่เข้าสถานะไหม้เกรียมเลยเรอะ
“เอาเป็นว่าพวกข้าจะขอเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้
โปรดยืนยันคำตอบด้วย มาสเตอร์” เอมิยะแดงยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีแบบฟอร์มกรอกรายชื่อสมาชิกผู้เข้าร่วมงานและลายเซ็นตรงมุมขวาล่าง
นี่นายคิดว่าตัวเองกำลังสมัครงานอยู่รึไงเนี่ย!
“โอเค ฉันอนุญาต”
ว่าจบฉันก็หยิบปากกาน้ำเงินด้ามหนึ่งจากกระเป๋ากระโปรงพร้อมขอยืมหลังคูแลนเซอร์เพื่อเซ็นชื่อยืนยันคำตอบให้กับพวกเขาทั้งเจ็ด(ที่จับรวมโฟว์คุง-มินิคูจังเรียบร้อย)
จากนั้นจึงยื่นกลับไปให้เซอแวนท์ชุดแดงตรงหน้าก่อนที่เขาจะรีบติดเทอร์โบวิ่งหาใครสักคน
ราวกับเหตุการณ์นักเรียนวิ่งตามขอแก้ศูนย์จากอาจารย์ประจำวิชานั้นๆ
“งั้นพวกข้าขอเดินเข้าล่วงหน้าก่อน อย่ามัวแต่ชักช้าล่ะ
เจ้าพันทาง” กิลกาเมชแคสเตอร์พูดแล้วพาพ้องพวกผู้มีโบนัสอีเว้นท์เดินเข้าประตูอย่างสง่าผ่าเผย
“ระหว่างรอเจ้าพลธนูแดงตอนนี้ เดี๋ยวพวกข้าขอเวลาหยิบเสบียงใส่ลังไว้กินระหว่างอีเว้นท์สักหน่อยดีกว่า”
คูแลนเซอร์ยิ้มกว้างพร้อมโอบคอคูจังมุ่งหน้าไปยังห้องครัวโดยมีมินิคูจังยืนเกาะบนไหล่
สุดท้ายเหลืออยู่แค่มุทสึโนะคามิกับเอมิยะอัลเตอร์
พวกเขาสองคนต่างไม่เปิดปากคุยด้วยกันสักนิดจนกระทั่งดาบหนุ่มเข้ามาตบบ่าฉันแล้วยิ้มร่าเหมือนน้องหมาร่าเริง
“การได้เข้าร่วมอีเว้นท์ซัมเมอร์กับนายท่านนี่มันดีจังน้อ สมัยเจ้าเป็นซานิวะยังไม่มีโอกาสได้เล่นน้ำขนาดนี้เลย”
“แหะๆ ดีใจด้วยนะ มุทสึคุง” ฉันทำอะไรไม่ถูกนอกจากหัวเราะเบาๆ
และยิ้มเล็กให้อีกคน “จะว่าไปทำไมคุณแม่มิทสึถึงไม่มาร่วมด้วยเหรอ”
“ก็เจ้านั่นต้องคอยเฝ้าครัวแทนเอมิยะเนี่ยสิ ปล่อยให้เจ้าทามาโมะแคททำอาหารคนเดียวคงไม่ไหวแน่นอน”
ในช่วงที่ฉันบางอ้อกับคำตอบเมื่อครู่
เสียงฝีเท้าก็ดังรัวจากอีกทาง เมื่อหันหน้าไปมองปุ๊บ พบกับร่างพลธนูแดงติดเทอร์โบวิ่งกลับอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษทีที่มาช้า มาสเตอร์ พอดีดา
วินชี่เรียกให้เอากระเป๋าใบนี้น่ะ นางบอกว่ามีชุดว่ายน้ำของเจ้าเตรียมไว้ข้างใน”
เอมิยะยืนหอบสักพักก่อนที่จะยื่นกระเป๋าสีน้ำตาลใบเดียวกันกับที่เคยบรรจุชุดประกวดราชินีครั้งนู้นเป๊ะ
หวังว่านางจะไม่พิเรนทร์เอาชุดแปลกประหลาดให้ใส่ละกัน
“เอ่อ...ขอบคุณนะ เอมิยะ งั้นพวกเรารอ...”
“มาสเตอร์! พวกข้ากลับมาแล้วนะ
มีเสบียงเตรียมไว้เพียบเลยล่ะ”
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค เสียงทักของคูแลนเซอร์ดังขึ้นขัดจังหวะพร้อมร่างของคูจังกับนุยตัวน้อยที่รีบแจ้นกลับมาด้วยความเร็วสูงดังสายฟ้าแลบ
เรียกว่าเป็นหมาติดจรวดของแท้จริงๆ
“อะ...โอเค ทีนี้ก็มาครบทุกคนแล้ว เพราะงั้นรีบเข้าร่วมกันเลยดีกว่า ซัมเมอร์ปีนี้เราต้องสู้ตาย!”
“โอ้ว!!!”
ว่าจบพวกเราทั้งหมดก็เริ่มย่างก้าวสู่ประตูอีเว้นท์ซัมเมอร์ประจำปี
2018 มาสเตอร์แห่งคาลเดียอย่างฉันต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อต่อสู้กับศัตรูที่ขวางหน้าทุกตัวและคว้าเหล่าไอเทมกลับมาให้ได้!!
ณ
พื้นที่อีเว้นท์ว่ายน้ำปี 2018
เมื่อพวกเราชาวคาลเดียได้ก้าวเท้าเหยียบพื้นดินบริเวณนี้ปุ๊บ
สิ่งที่พบอย่างแรกคือ บรรยากาศในเมืองอันโล่งโจ้ง
ซึ่งก็ไม่เชิงโล่งชนิดที่ว่าไม่มีอะไรเลย อย่างน้อยก็ยังพอได้เห็นต้นไม้ ตึกรางบ้านช่อง
สะพานลอย ชาวบ้านธรรมดาเดินเพ่นพ่าน หรือเหล่ามาสคอตสัตว์น้อยน่ารักคอยให้ความบันเทิงแก่เด็กๆ
ตามทางพร้อมแจกขนมขบเคี้ยวเล็กน้อยหรือไอติมเย็นๆ เป็นของขวัญ
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ...
“ทำไมมันร้อนชิบเป๋งเลยฟะเนี่ยยยย!!”
ใช่! โคตรของโคตรร้อนเลย แดดเปรี้ยงเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายซาฮาร่าหรือร่วมทำสงครามปาก้อนทรายในแอฟริกา(?)
ซึ่งพอลองเปิดเช็คสถานที่ที่พวกเราเข้าร่วมอีเว้นท์ในสมาร์ทโฟน
ปรากฏว่ามันมีจุดสีขาวกะพริบไปมาตรงช่วงระดับไล่เลี่ยกับประเทศจีน!
คืออากาศมันควรจะเย็นกว่านี้ไม่ใช่เรอะ! พออีเว้นท์ซัมเมอร์ปุ๊บ ดันเกิดคึกแปรปรวนนึกว่าประจำเดือนมาเฉย
“ก็ช่วงนี้เป็นหน้าร้อนของญี่ปุ่นนี่นา
คุณหนู ถ้าไม่มีแดดสาดส่องแบบนี้จะเป็นหน้าร้อนได้ไงล่ะ จริง-มะ” คูแลนเซอร์พูดพร้อมยื่นพัดหัวแมวให้ใช้และค่อยหยิบแว่นกันแดดสีทึบมาใส่เองอย่างเท่
เอ็งอย่าเพิ่งมากวนส้นตึกอย่างหน้าด้านๆ
แบบนั้นสิคะ บักหมาหอกแดง
“โอ๊ะ! แต่เหมือนข้าจะนึกอะไรบางอย่างออกแฮะ”
“หืม? นึกอะไรออกงั้นเรอะ มุทสึโนะคามิ”
“ก็ลองจินตนาการดูสิ แคสเตอร์
ถ้าสมมุติพวกเราไม่มีเตาถ่านทำอาหารในช่วงปิกนิก เจ้าแดดแรงๆ
นี่แหละจะช่วยประทังชีวิตได้ดีเลยนา” มุทสึโนะคามิเปิดลังเสบียงแล้วหยิบกระทะสีดำยี่ห้อดังชูขึ้นฟ้าพร้อมยิ้มแฉ่งราวกับเป็นฮีโร่พิทักษ์โลกา
งั้นแปลว่าข่าวลือเรื่องทอดไข่กลางแดดเปรี้ยงจ๋าจนสุกนี่เป็นเรื่องจริงสินะ
“โหๆ
น่าลองใช้วิธีนี้ดีนี่นา เอาเป็นว่าค่อยลองทีหลังละกัน ตอนนี้พวกเราควรจองโรงแรมไว้นอนพักผ่อนซะก่อน”
เอมิยะจับคางตัวเองแล้วทำท่าทีเห็นด้วยกับความเห็นของดาบหนุ่มบ้านนอกก่อนที่จะขอยืมสมาร์ทโฟนเปิดหาโรงแรมราคาถูก
เอ๊ะ? แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เขาพูดว่า แคสเตอร์ ใช่มะ
อย่าบอกนะว่า...
พอลองหันมองรอบตัว
ก็พบร่างของคูแคสเตอร์ผู้หลงคลาสในชุดดั้งเดิมกำลังยืนข้างๆ คูแลนเซอร์และยิ้มแฉ่งจนเห็นเขี้ยวอันมีเสน่ห์
“เอ่อคือ...นายมาได้ยังไงนิ
แคสเตอร์”
“เดินตามหลังนี่แหละ เกิดเป็นคนทั้งทีคงไม่เลื้อยตามพื้นเหมือนงูหรอก จริง-มะ”
‘เฮ้ย! เอาคำตอบแบบจริงจังหน่อยสิวะ
อย่ากวนส้นตึกแถวนี้!’
ฉันแอบส่งโทรจิตหาคนตรงหน้าพร้อมยืนเท้าเอวด้วยมือขวาแล้วจ้องมองด้วยความหงุดหงิดปนกับความซีเรียสที่มากล้นจนเกินตัว
ทำให้เขาถึงกับต้องหน้าเสียภายในชั่วพริบตา
“ละ...ล้อเล่นน่า
คุณหนู ใจเย็นก่อน คือตอนนั้นข้าเห็นพวกเจ้ากำลังเตรียมตัวเข้าอีเว้นท์ซัมเมอร์อยู่
ก็เลยคึกอยากร่วมด้วยน่ะ โอเคมั้ยคร้าบ~”
‘เยี่ยม!’
“งั้นข้าขอตัวสำรวจพื้นที่ก่อนล่ะ”
เอมิยะอัลเตอร์ที่ยืนฟังอย่างเงียบๆ อยู่นานได้หลีกตัวออกจากการสนทนาและบอกว่าจะขอเปลี่ยนชุดใหม่ให้เข้ากับธีมว่ายน้ำหลังสำรวจเสร็จเลย
“อ้อ...และก็ไม่ต้องห่วงเรื่องหลงทางหรอก
ยูมิ เดี๋ยวข้าจะใช้วิธีทางประวัติศาสตร์เดินตามรอยเท้าเจ้าเอง” คูจังหันหน้ากลับมาพูดก่อนที่จะเดินแยกไปอยู่เคียงข้างกับพลปืนชุดดำอย่างนิ่งๆ
“คูจัง...กำลังหลอกด่าอยู่ใช่ป่ะ”
ฉันเปิดปากถามพร้อมกอดอกตัวเอง ส่งสายตาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
เพราะประโยคเมื่อกี้เหมือนส่อไปทางเรื่องหัวโบราณเฉกเช่นไดโนเสาร์
ซึ่งโคตรจี้จุดต่อมประสาทแรงมาก
“ก็เปล่า แค่เล่นมุกเฉยๆ
ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นแฝงเลย” เบอเซิกเกอร์หนุ่มเดินมาจับดึงแก้มเล่นแล้วแอบส่งโทรจิตบอกบางอย่าง
‘เจ้าน่าจะรู้นี่ว่า ด้ายแดงแห่งพันธสัญญาของพวกเราสองคนศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน
เพราะงั้น...แม้อยู่ห่างไกลกันสักเพียงใด ข้าก็ตามหาจนเจอแน่นอน’
อื้อหือ! นี่ถ้าเปิดปากพูดให้คนอื่นได้ยิน คงต้องมีการฉีดน้ำหอมดับกลิ่นเหม็นความรักบ้างแหละ
‘อื้ม เข้าใจแล้ว
ระวังตัวด้วยนะ’
ว่าจบอัลเตอร์ทั้งสองก็สลายหายไปกับออร่าสีน้ำเงิน
คาดว่าน่าจะเตรียมเปลี่ยนชุดว่ายน้ำและสำรวจพื้นที่อีเว้นท์จริงๆ พวกเราที่เหลือต่างจ้องหน้ามองตาสลับกันอย่างงุนงงก่อนที่จะพากันเดินหาโรงแรมตามที่พลธนูแดงได้ค้นหาในสมาร์ทโฟน
เฮ้อ...หวังว่าจะไม่มีเรื่องให้วุ่นวายไปมากกว่านี้ละกัน
เพลียใจเหลือเกิน
.
..
...
....
.....
พวกเราต่างพากันลากสังขารตากแดดจ้าเดินตามทางมาหลายนาทีจนถึงหน้าโรงแรมตามคาดหวัง
ความรู้สึกแรกในใจเลยคือ โคตรตะลึง! แค่บรรยากาศข้างนอกก็ดูร่มรื่นน่าอยู่เหลือเกินแล้ว ถ้าเป็นพวกห้องพักมันจะขนาดไหนเนี่ย
ยิ่งผู้คนต่างใส่ชุดธีมฮาวายและจิบน้ำบลูฮาวายเย็นๆ หรือเล่นทะเล
ยิ่งเข้ากันมากหลายเท่าตัว
“...!”
โอ๊ะ...พอพูดถึงฮาวายแล้ว คาดเดาได้เลยว่า ดา วินชี่ต้องยัดชุดธีมนี้ใส่กระเป๋าให้อย่างแน่แท้ แต่ก็ช่างเรื่องนี้ไปก่อน สิ่งที่น่าโฟกัสอย่างแรกคือ การพักจองในโรงแรม ไหนจะเรื่องความเป็นอยู่ ราคาค่าเช่า สิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการต่างๆ
ตึก...ตึก...ตึก
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย
เสียงฝีเท้าจากทางด้านหลังก็ดังขึ้น เมื่อหันกลับไป พบว่ามีร่างเซอแวนท์ผมทองตาแดงอันน่าคุ้นเคยเดินเข้ามาหาพร้อมถือบัตรบางอย่างซึ่งดันเป็นสีทองตามด้วยแล้วยื่นแก่พนักงานฝ่ายต้อนรับลูกค้าจนต้องเหวอพักใหญ่และจึงยอมเซ็นชื่อจองห้องให้ทุกคน
“ให้ตายเถอะ
ปล่อยให้เศรษฐีเงินล้านอย่างข้ารอคอยตั้งนานนมเสียจริง เจ้าพันทาง”
“เศรษฐีเงินล้าน!?
ว้าว...งั้นหม่อมฉันก็สามารถขอกู้ยืมเงินได้ใช่มั้ยเพคะ”
แม่มชอบตอกมุกมานัก ขอตอกกลับไม่(อยาก)โกงโว้ยย!!
“ย่อมได้อยู่แล้ว แต่ถ้าซื้อตัวเจ้าแทนเลยจะไม่ดีกว่ารึ...เผื่อเอาไว้ใช้งานยามฉุกเฉินเรื่องพลังเวทใกล้หมดกลางสนาม”
กิลกาเมชแคสเตอร์ในชุดดั้งเดิมเข้ามาจับเชยคางมองหน้าฉันพร้อมยิ้มมุมปาก
ส่งสายตาอย่างมีเลศนัยโดยไม่แคร์สื่อ
แถมดูท่าทางการตอกกลับเมื่อกี้จะไม่สะกิดต่อมประสาทเขาด้วย
ผัวะ!!
จังหวะนั้นเอง
มินิคูจังที่เกาะบนไหล่ก็กระโดดไปเตะท่าจระเข้ฟาดหางอัดหน้าราชาแห่งอุรุคอย่างเต็มแรง
จ้องมองด้วยความเกรี้ยวกราดแล้วพยายามพาตัวฉันให้เดินถอยห่างจากคนตรงหน้า
“มะ...ไม่ได้หรอกเพคะ
หม่อมฉันต้องดูแลทุกภาคส่วน
ไม่เว้นแม้แต่ทางนักวิจัยที่พยายามทำงานเพื่อพวกเราทุกคน”
“อะไรกัน
แค่หยอกเล่นนิดหน่อยเอง ไม่เห็นจะต้องลงไม้ลงมือขนาดนี้เลยนี่”
เขายังคงยืนหยัดหน้าด้านเดินชิดใกล้พร้อมยื่นมือมาหวังจับนุยตัวน้อยโยนออก
แต่ดูเหมือนโชคจะเริ่มเข้าข้างเมื่อมีร่างของเซอแวนท์ในเสื้อ Aloha กางเกงขายาวสีดำที่เคยใส่ช่วงวันสงกรานต์ปรากฏตัว ณ
ตรงหน้าและจับข้อมือหยุดยั้งไว้พอดี
“เลิกทำให้ยูมิลำบากใจและรีบนำทางเข้าห้องพักได้แล้ว...”
“โหๆ
พอเจ้าพันทางเป็นอะไรปุ๊บ จมูกไวเชียวนะ เจ้าหมาคลั่ง”
“คู...จัง?” ฉันถึงกับต้องยืนตกตะลึงเหมือนถูกสตั๊นที่เขามาหาได้รวดเร็วขนาดนี้ก่อนที่จะสะบัดหน้าตัวเองปลุกสติและเดินวนรอบตรวจเช็คเรื่องหาง
ผลปรากฏว่ามีการถอดออกโดยไม่มีปัญหา “ฮู่ว...โล่งอกไปที”
“...” เขาไม่พูดอะไรนอกจากยกมือขึ้นขยี้หัวเบาๆ
ด้วยความเอ็นดูแล้วจูงมือพาไปขอกุญแจห้องพักจากพนักงานฝ่ายต้อนรับลูกค้าหนุ่มแว่นผมทองอ่อน
แทบไม่รอให้กิลกาเมชนำทางเลย
“นี่ครับ
กุญแจห้องของพวกคุณ” เจเคิลหยิบขึ้นมาทั้งหมดสี่ดอกพร้อมยิ้มเล็กน้อย
“อ้อ...และก็ผมขอแนะนำให้เข้าภัตตาคารทานข้าวเย็นหลังจากเดินทางด้วยนะครับ เพราะเห็นว่าน่าจะหิวกันหมด”
โอเค ฉันยอมรับอยู่ว่าหิวข้าวเต็มทนเพราะไม่ได้กินข้าวกลางวัน แต่อันที่น่าสงสัยโคตรๆ
เลยคือ ทำไมถึงให้กุญแจมาไม่ครบหว่า...
ระหว่างนั้น
พนักงานฝ่ายต้อนรับลูกค้าสาวห้าวอย่างมอเดรดก็ได้เดินมาจากด้านหลังอีกคนและบอกเหตุผลให้พวกเราเหมือนรู้ใจ
“เอ้อใช่! อีเว้นท์นี้มีความพิเศษอย่างหนึ่งด้วยนะ มาสเตอร์”
“ความพิเศษ?”
“ก็ทุกๆ
สุดสัปดาห์จะมีการจัดงานเซอแวนท์เฟส ซึ่งต้องจับกลุ่มกันวาดมังงะเพื่อจัดขายตามบูธ
ส่วนเรื่องเงินจะไม่ใช้เป็นเยนกัน แต่แบ่งเป็นสามแบบคือ กิลดอล มิมิดอล กับบีบีดอล
เพราะงั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็น่าจะต้องเป็นการไล่ตามตบมอนสเตอร์ล่าเงินและบริหารจัดการให้ดีล่ะนะ”
ห๊ะ!? เป็นอีเว้นท์ซัมเมอร์ที่คู่ควรกับกิจกรรมทางทะเลแท้ๆ
ดันต้องนั่งบนโต๊ะ จับปากกาวาดมังงะเนี่ยนะ! (ไรท์ : ปีที่แล้วเขาแข่งรถ แหกคุกกัน เอ็งยังไม่เห็นพูดอะไรเลยนี่ยะ!)
“เข้าใจละ งั้นตอนนี้พวกเราแบ่งกลุ่มจองห้องแล้วค่อยกินอาหารเย็นดีกว่า
พอหลังจากนั้นก็เตรียมเปลี่ยนชุดว่ายน้ำกัน”
ว่าจบคุณแม่แห่งคาลเดียชุดแดงก็ตบบ่าราชาแห่งอุรุคพร้อมขอให้นำทางไปยังห้องพักของแต่ละคนและขอตัววาร์ปตามหากลุ่มเมเดียเพื่อบอกจุดพิกัด ณ ตรงนี้
ส่วนโรบิ้นกับดันเต้นี่...พวกเขายังอยู่ในชุดเดิม แถมกำลังเดินเล่นกินลม(แดด)ชมวิว(อบอ้าว)กันอย่างสบายใจ
ซึ่งคาดว่าน่าจะรู้เรื่องรายละเอียดอีเว้นท์ครั้งนี้บ้างแล้ว
ต่อจากนี้ก็คงเป็นการเริ่มต้นของอีเว้นท์
เซอแวนท์ ซัมเมอร์ เฟสติวอล 2018 อย่างจริงจังสินะ
เอาเป็นว่าถึงแม้จะต้องโต้รุ่งวาดมังงะให้เหมือนอ่านหนังสือสอบ
แต่ฉันก็พร้อมสู้ตลอดโว้ย!!
ท้ายลูปที่
20 ในเช้าวันที่ 29 สิงหาคม
ฟุ่บ!
“อ่าา...ไม่ไหวแล้วง่า
ขอนั่งพักแป๊บนะ...”
ถึงปากจะบอกว่า พร้อมสู้ตลอดโว้ย!! แต่พอมาเริ่มปั่นมังงะจริงๆ โคตรเหนื่อย และกลุ่มที่ถูกแบ่งก็ดั๊นนทุเรศทุรังอีก โดยตัวการจะเป็นใครได้นอกจากราชาแห่งเอโร้ย...เอ๊ย! ราชาแห่งอุรุคอย่างกิลกาเมชแคสเตอร์ ซึ่งตอนแรกหม่อมแม่เอมิยะขออาสาแบ่งให้แฟร์ แต่ราชาหัวทองมาไม้ไหนไม่รู้ จู่ๆ ก็ขอแบ่งเอง สุดท้ายผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้
1.
กลุ่ม 3P ประจัญบาน [คูแลนเซอร์ เอมิยะ คูแคสเตอร์]
2.
กลุ่มดาบบ้านนอกคอกทมิฬ [มุทสึโนะคามิ
คูอัลเตอร์ เอมิยะอัลเตอร์]
3.
กลุ่มแม่หญิงเบรกเกอร์ [เมเดีย แจ๊ค ไรม์
อบิเกล]
4.
กลุ่มโบนัสยัดเยียดพันทาง [ยูมิ
กิลกาเมชแคสเตอร์ ดันเต้ โรบิ้น]
แต่ละชื่อนี่แบบ...ยอมใจเลย
“เหลือแค่หน้าเดียวเองไม่ใช่รึ
เจ้าพันทาง ทนต่ออีกหน่อยเดี๋ยวก็ได้พักแล้วนี่นา”
กิลกาเมชที่กำลังนั่งเลื่อนไอแพ็ดทองคำบนเตียงในชุดหัวหน้าบริษัทหันมาพูดด้วยสีหน้านิ่งนิดๆ
ปนกับกวนบาทาหน่อยๆ
ที่สำคัญคือเขาอู้แทบทุกลูป ไม่เข้าใจเลยว่าจะแบ่งกลุ่มเองไปเพื่ออะไรกัน แถมยังจับแยกฉันกับคูจังให้ห่างกันอีก
เห็นแล้วมันน่าเตะท่าจระเข้ฟาดหางซ้ำเติมเหลือเกิน
“เฮ้อ...ทำเป็นพูดไป
คนอู้งานก็งี้แหละ” ฉันค่อยๆ
เงยหน้าออกจากโต๊ะพร้อมจับเมาส์ปากกาวาดต่อไปทั้งที่มือขวาก็เริ่มใกล้ล็อกทุกที
“อย่าเอาแต่บังคับให้มาสเตอร์วาดรูปต่อสิ
คุณราชา มือของนางจะล็อกแล้วนะนั่น”
โรบิ้นในชุดซัมเมอร์นายพรานสังเกตเห็นจนต้องหันไปเตือนราชาผมทองด้วยความขัดใจและเดินเข้ามาแตะมือขวาฉันเบาๆ
“เจ้าพักผ่อนก่อนก็ได้นะ ขืนยังทำต่ออีกคงไม่ไหวแน่ๆ เดี๋ยวที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
“เอ่อ...อื้ม
ขอบคุณนะ โรบิ้น”
“แถวๆ ชายหาดตอนนี้แทบไม่มีใครเดินเพ่นพ่านเลยด้วย
อาจเป็นเพราะยุ่งอยู่กับงานล่ะมั้ง” ดันเต้ในชุดมอนเต้
คริสโต้สุดเท่เปิดหน้าต่างมองออกไปยังชายหาดแสนงามและปลอดจากผู้คนแล้วค่อยเดินมาแตะไหล่ขวา
“เอาเป็นว่าข้าจะพาเจ้าเดินเล่นละกัน ถ้าแดดแรงไป...เสื้อคลุมตัวนี้น่าจะช่วยได้”
เซอแวนท์หนุ่มทั้งสองต่างเห็นอกเห็นใจฉันอย่างคาดไม่ถึง
ไม่เหมือนอีกคนที่ควรดึงนิสัยขยันขันแข็งของตัวเองมาใช้แท้ๆ แต่กลับมัวแต่เห่อไอแพ็ดทองคำและนั่งเล่นเกมเฉย
พอจะขอให้ช่วยปุ๊บ คำตอบที่ได้มามักเป็นประมาณนี้เสมอ
“อย่าเพิ่งมากวนเวลาจะได้มั้ย
เจ้าพันทาง! ข้ากำลังตีป้อมอยู่”
เฮ้อ...เหนื่อยใจจริงๆ
อยากตีป้อมนักใช่มะ...ได้! งั้นปล่อยให้เขาติดเกมต่อไปละกัน
พอคิดได้เช่นนั้น
ฉันก็วางเมาส์ปากกาลงพร้อมลุกขึ้นหยิบหมวกแก๊ปกันแดดสีขาวในตู้เสื้อผ้าแล้วสะบัดผมเดินออกจากห้องอย่างไม่เกรงกลัวสายตาคนข้างหลัง
แต่ก่อนที่จะลงข้างล่างเนี่ย อย่างน้อยก็ขอเข้าห้องน้ำสักหน่อยดีกว่า
“...”
ฉันยืนมองหน้าตัวเองบนกระจกในสภาพหมีแพนด้าตัวเมีย
เพราะทุกวันคืนในช่วงอีเว้นท์นี้มัวแต่นั่งจ้องหน้าจอโน้ตแพ็ด
อุตส่าห์ได้ใส่ชุดซัมเมอร์แล้วเชียว พอจะเดินเล่นบนชายหาดที จู่ๆ
เวลาพักก็แหลกสลายต่อหน้าต่อตา กิลกาเมชใช้อำนาจราชายุคเก่าผสมกับความเป็นฮิตเลอร์เรียกทุกคนให้กลับมาวาดมังงะเช่นเดิม
เวลาผ่านไปหลายวินาที
สายตาของฉันก็สะดุดมาเห็นตรงทรงผมเซอเหมือนเพิ่งตื่นนอน หลังจากนั้นจึงจับรวบมัดทรงใหม่โดยมัดรวบต่ำๆ สองข้างและปล่อยลงไว้บนไหล่ ซึ่งมันก็ดูดีไม่น้อยเลยทีเดียว
“โอเค...ไปเดินเล่นเลยละกัน”
ณ
ชายหาด
ท่ามกลางแสงแดดค่อนข้างจะแรงและไม่มีผู้คนเดินเพ่นพ่านไปมา
แม้แต่เหล่าเซอแวนท์สาวเวอร์ชั่นว่ายน้ำก็ไม่ได้เล่นน้ำหรือวอลเลย์บอลชายหาดเลย
ไม่อาจทราบได้ว่าพวกเธอหายไปไหน เพราะเซอแวนท์ที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้มีแค่ดันเต้เท่านั้น
เขาเดินเล่นร่วมกับฉันโดยยังไม่เปิดบทสนทนาใดๆ
อาจเป็นเพราะเห็นว่ายังคงเหนื่อยกับงานชิ้นสุดท้าย
“นี่...ดันเต้
ซัมเมอร์ปีนี้เป็นยังไงบ้าง สนุกรึเปล่า”
“นั่นสินะ” อเวนเจอร์หนุ่มเริ่มหยุดเดินแล้วหันมาคุยกับฉันตรงๆ “ความจริงข้าไม่ได้สนอะไรมากมายหรอก ขอแค่ให้ทุกอย่างผ่านไปเท่านั้น”
“...”
“แต่ถ้าเจ้าสนุก
ข้าเองก็สนุกเหมือนกัน เพราะความสุขของมาสเตอร์คือสิ่งตอบแทนอันมีค่าของเซอแวนท์
รวมถึงพวกคนในคาลเดียทั้งหมดด้วย”
“เอ๊ะ?”
แปลกจัง
เขาเป็นเซอแวนท์ผู้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นตามชื่อคลาสแท้ๆ แต่ตอนนี้ดูท่าทีกลับตาลปัตรกันซะจนไม่คาดคิด
“คงแปลกใจสินะที่พูดเช่นนั้น
แต่ในเมื่อพวกเราอยู่ด้วยกันมานาน แถมเจ้าก็เป็นมาสเตอร์ที่พยายามได้ดีด้วย ถ้าปล่อยให้มีความสุขคนเดียวคงแย่เลย” เขาพูดจบพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวผ่านหมวกแก๊ปเบาๆ
แล้วยิ้มเล็กให้ฉันก่อนที่จะพาเดินเล่นบนชายหาดต่อ
แต่ในระหว่างนั้นเอง แสงออร่าสีแดงปริศนาจากข้างหน้าก็พุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่จะได้สังเกต ดันเต้ได้คว้าตัวไว้แล้วกระโดดหลบหลีกออกทางขวามือซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับริมน้ำทะเลพอดี ต่อจากนั้นจึงลองหันกลับมองใหม่ เจ้าสิ่งนั้นคือหอกเกโบล์กเรียวยาวของคูแลนเซอร์ที่กำลังจะพุ่งย้อนกลับไปหาเจ้าของเดิม
“โย่ว! คุณหนู พอดีกลุ่มข้าทำงานเสร็จแล้ว ก็เลยท้าแข่งอะไรนิดหน่อย” พลหอกน้ำเงินในชุด Aloha เดินมาทักทายพร้อมรอยยิ้มแฉ่งอย่างที่เคยทำ
“ท้าแข่ง? ในซัมเมอร์นี้ยังมีอะไรให้น่าแข่งเท่าวาดมังงะอีกล่ะ” ฉันเอียงคอมองและขมวดคิ้วเล็กๆ ถามคนตรงหน้าด้วยความสงสัย
“เรียกว่า
ทดสอบสปีดของอาวุธ น่าจะถูกล่ะมั้ง ทั้งข้า แคสเตอร์
และเจ้าพลธนูแดงต่างใช้อาวุธของตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่า
นอกจากความแข็งแกร่งแล้ว ความรวดเร็วของวิถีอาวุธของใครจะเหนือกว่ากัน”
อ่อ...อย่างนี้นี่เอง
แต่เดี๋ยวนะ
เมื่อกี้พวกเขาไม่ได้ตั้งเป้าหมายปลอมไว้ให้ทดสอบใช่มะ แล้วถ้าเผลอไปทิ่มสามัญชนที่บังเอิญเดินผ่านนี่จะรับผิดชอบกันรึเปล่าล่ะนั่น
“ส่วนเรื่องความปลอดภัยไม่ต้องกังวล
แคสเตอร์ใช้รูนกลางอากาศสร้างอาณาเขตไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว” คูแลนเซอร์ช่วยรับประกันเรื่องเมื่อครู่เหมือนรู้ใจพร้อมขยิบตาให้หนึ่งทีตบท้าย
“ไหนๆ คุณหนูก็ว่างทั้งที ลองทดสอบด้วยอีกคนดีมั้ยเอ่ย”
‘ตะ...แต่ฉันเหนื่อยแล้วนะ
แลนเซอร์’
ช่วงที่เพิ่งส่งโทรจิตจบมาสดๆ
ดันเต้ได้ยื่นมือมาดึงร่างฉันให้ออกห่างจากพลหอกน้ำเงินและทำท่าสะบัดมือไล่ไปไกลๆ
“ขอโทษด้วยละกัน มาสเตอร์ตอนนี้ต้องการพักผ่อนจากงานชิ้นสุดท้ายน่ะ”
“เห...นี่เจ้ากำลังปกป้องคนมีเจ้าของอยู่งั้นเหรอ
ถ้าเรื่องนี้ผ่านหูเจ้าอัลเตอร์เมื่อไหร่ อาจตายในไม่ช้าเลยก็ได้”
“พูดเป็นเล่นไป เจ้าหมาหวงก้าง
ข้าแค่เห็นใจอยากให้พักเหนื่อยเท่านั้นเอง ขืนรับคำท้าแข่งต่ออีกมีหวังเป็นลมแดดแน่นอน”
“ห๊าา? เอ็งว่าอะไรนะ ข้าเคยเป็นหมาหวงก้างซะที่ไหนล่ะ!” คูแลนเซอร์ขมวดคิ้วด้วยความโมโหเหมือนฟิวส์ขาดแล้วยืนกอดอกจ้องหน้าอีกฝ่ายค่อนข้างใกล้
“ถึงข้าจะมาทีหลัง
แต่ก็สังเกตเห็นพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ของเจ้าอย่างเรื่องสโต๊กเกอร์ตามหลัง
เตรียมแอบมองมาสเตอร์อาบน้ำจนได้แช่ออนเซ็นด้วยกัน อ่านโดจินแล้วทำท่าเหมือนกำลังถูกนางทำบางอย่าง
บลาๆๆ”
เดี๋ยวนะ...มันคือรายการแฉพฤติกรรมเหรอเนี่ย
ร่ายซะแทบฟังไม่ทันเลย
ฉันยืนมองเซอแวนท์หนุ่มทั้งสองสลับไปมาก่อนที่จะเริ่มก้าวขาเดินถอยออกห่าง
แต่ในจังหวะนั้นดันมีเซอแวนท์อีกคนแตะไหล่จากด้านหลัง พอหันมองปุ๊บ
พบกับเอมิยะในชุดดั้งเดิม แต่ถอดเสื้อคลุมสีแดงออก
เขายิ้มเล็กแล้วถือวิสาสะความเป็นแม่โดยการโอบเอวไว้หลวมๆ
“อย่าอยู่รวมกลุ่มกับคนบ้านักเลย
ให้ข้าช่วยดูแลแทนเจ้าอัลเตอร์แทนน่าจะดีกว่า”
“นะ...นั่นสินะ รู้สึกได้ถึงความปวดหัวเลยจริงๆ” ฉันยกมือกุมหัวตัวเอง ทำแสร้งเห็นด้วยกับเขาแล้วขอให้พาไปเดินชายหาดแทนดันเต้จนช่วงเวลาแฉพฤติกรรมหยุดชั่วขณะภายในทันที
พวกเขาที่มีออร่าคนละสีท่วมทั้งร่างหันขวับมามองอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็เดินตรงมาหาด้วยความพร้อมเพรียงเหมือนเลิกคิดเรื่องการเขม่นกันแล้ว สายตาที่ลุกเป็นไฟกำลังจ้องลึกเข้าในดวงตาสีน้ำเงินบ่งบอกถึงอารมณ์อิจฉาริษยาจริงจัง
เอมิยะถึงกับต้องถอนหายใจก่อนที่จะคลายอ้อมกอดลงแล้วพยายามจับรวมกลุ่มให้ร่วมแข่งขันด้วยกัน
แน่นอนว่านั่นทำเอาฉันเงิบแดกหลายวินาที แทนที่จะได้เดินรับลมทะเล พักผ่อนจากงานมังงะชิ้นสุดท้ายบ้าง
“ท่าทางจะพักผ่อนชิลๆ
ไม่ได้ซะแล้วสินะ งั้นข้าขอเปิดการแข่งขันอีกหนึ่งเกมละกัน โดยพวกเราต้องรุมประชาทัณฑ์มาสเตอร์ด้วยพลังทั้งหมดที่มีเพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้ให้กับนางเพิ่มอีกขั้น!”
“ห๊ะ...?”
.
..
...
ห๊าา!!? เดี๋ยวสิคะ ทำไมคุณแม่โหดร้ายกับหนูเช่นเน้!!
แถมเหล่าคูแลนเซอร์
ดันเต้ กับคูแคสเตอร์ยังพยักหน้าตอบรับแล้วยิ้มกว้างให้อีก!!
แหม่...ทีเรื่องนี้สามัคคีกันเหลือเกิน
“น่าสนุกดีนี่นา
จะได้ลองพิสูจน์สักหน่อยว่าคุณหนูจะเก่งแค่ไหน”
“นั่นสินะ
ข้าเองก็เห็นด้วยกับเจ้าเช่นกัน เจ้าหมาหวงก้าง”
“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่หมาหวงก้างล่ะเฟ้ย!!”
“งั้นข้าขอร่วมด้วย
อย่าคิดว่าเซอแวนท์ผู้หลงลืมคลาสตัวเองอย่างข้าจะยอมออมมือให้ซะล่ะ”
“อย่างที่เห็นนี่แหละ
ยูมิ ข้าต้องขอโทษด้วยแต่มันจำเป็นในภายภาคหน้าจริงๆ”
เอมิยะผู้ใจร้ายใจดำหันหน้ามาพูดหน้าตาเฉยก่อนที่จะย่อตัวชันเข่า
ยกมือขวากุมอกตัวเองแล้วร่ายบทโฮกุต่อจากนี้ “I am the bone of my sword.
So, as I prey...Unlimited Blade Works!!”
ออร่าสีฟ้ารอบตัวพลธนูแดงค่อยๆ
แตกกระจายทั่วพื้นที่ ซึ่งปรับเปลี่ยนจากชายหาดกลายเป็นเขตแดนมนตราโดยมีท้องฟ้าในยามเย็น
อาวุธดาบถูกปักบนพื้นดิน พร้อมทั้งเหล่าฟันเฟืองหลากขนาดประดับรอบๆ
ถ้าจะให้บอกอีกนัยหนึ่งคือ เขตแดนของฉันและเขามีความคล้ายคลึงกันดี
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า...ทำไมถึงใช้โฮกุตั้งแต่เริ่มแรกเลยล่ะ!
“เพื่อไม่ให้พื้นที่ซัมเมอร์แสนสงบต้องเกิดความวุ่นวาย
ข้าจึงขอใช้มันเป็นสนามรบแทน” เอมิยะที่เหมือนจะรู้ความในใจได้เปิดปากบอกเหตุผลให้ฟัง
จากนั้นจึงเรียกดาบประจำตัวออกมาถือไว้ “เจ้าจะหยิบกลัดมณีเวทย์เรียกอาวุธมาใช้ก็ได้
ข้าไม่เกี่ยงเรื่องนี้หรอก”
ช่วงเวลานั้นเอง
คูแลนเซอร์-แคสเตอร์ต่างเรียกหอกแดงกับคฑาเตรียมเข้าประทะด้วยความมั่นใจ
ส่วนดันเต้มามือเปล่าเพราะเขาต่อสู้ด้วยพลังเวทสีดำจากตัวเอง
เฮ้อ...แต่ในเมื่อรวมหัวท้ากันขนาดนี้ คงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ สินะ
ฉันถอนหายใจเบาๆ พร้อมถอดหมวกแก๊ปทิ้งลงพื้น มัดผมทรงใหม่เป็นโพนี่เทลแทน หยิบกลัดมณีเวทย์จากกระเป๋ากางเกงออกมาบีบให้แตกก่อนที่มันจะหลอมรวมเป็นมีดคุไนสองเล่มคล้ายของโคทาโร่และถือไว้แน่น
“เอางั้นก็ได้ ฉันจะรับคำท้าและสู้กับพวกนายทุกคนด้วยพลังทั้งหมดที่มีเอง!”
.
..
...
....
.....
[ มุมมองที่ 3
]
ยูมิ
เอมิยะ คูฮูลินน์แลนเซอร์-แคสเตอร์และดันเต้ได้ยืนเตรียมพร้อมสำหรับการบุกโจมตีโดยที่ยังไม่มีใครประเดิมศึก
สายตาของพวกเขาแต่ละคนจ้องเข้ามาสลับกับการยิ้มมุมปากเหมือนกำลังบ่งบอกว่าต้องเป็นฝ่ายชนะแน่ๆ
จนกระทั่งแคสเตอร์ยกมือซ้ายขึ้นเขียนตัวอักษรรูนคล้ายตัว F กลับด้านแล้วปัดมือ ณ
จุดนั้นเพื่อพลิกเข้าด้านเดิมของมันก่อนที่จะปัดขึ้นฟ้าให้อักษรนั้นลอยในระดับใบหน้าของตัวเอง
“ให้ตายเถอะ...ช่างเป็นศึกที่ไม่แฟร์เลยสักนิด”
“เอาน่า
คุณหนูต้องรับมือไหวอยู่แล้ว เพราะงั้น...เค้นความสามารถของเจ้ามาใช้ให้เต็มที่ซะล่ะ!”
ว่าจบเขาก็ยกอาวุธของตนขึ้นให้หัวคฑาชี้ตำแหน่งเดียวกับอักษรรูนแล้วปล่อยพลังลูกไฟตรงเข้าไปอย่างไว
มาสเตอร์สาวเริ่มถ่ายโอนพลังเวทลงที่ขาสองข้างพร้อมกระโดดหลบออกทางด้านหลังและปามีดคุไนหนึ่งเล่มเตรียมโจมตีเอมิยะ
ซึ่งเขาตาไวสมกับคลาสอาเชอร์จริงๆ จึงสามารถใช้ดาบประจำตัวเล่มขวามือปัดมีดออกข้าง
ต่อจากนั้นพลธนูแดงได้เริ่มสวนกลับโดยขว้างอาวุธสองเล่มหวังจะให้พวกมันพุ่งโจมตีจากด้านหลัง
แน่นอนว่าทุกคนเคยเห็นทริคนี้อยู่บ่อยมาก เธอรีบหันตัวกลับและปัดป้องออกด้วยมีดคุไนเพียงเล่มเดียวเท่านั้น
สิ่งที่ตามมาอีกคือ เหล่าอาวุธดาบบนพื้นค่อยๆ ลอยออกมาทีละเล่มจนนับได้เป็นสิบเพื่อเตรียมเล็งมาสเตอร์สาว
“งั้นต่อไปข้าขอออกลุยสักหน่อยละกัน
ส่วนเจ้าสแตนด์บายดาบพวกนั้นรอไว้เลย”
คูฮูลินน์แลนเซอร์จับหอกพาดไหล่
หันไปบอกกับอาเชอร์ผมขาวด้วยรอยยิ้มมุมปากก่อนที่จะเผชิญหน้ากับหญิงสาวผมดำผู้ซึ่งเป็นศัตรูการต่อสู้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“...”
“รู้เปล่าว่าหอกของข้ามีอนุภาครุนแรงขนาดไหน”
“แน่นอน อาวุธซึ่งเต็มไปด้วยคำสาปเลวร้ายที่จะหวนกลับความเป็นเหตุและผลแบบนี้
มีจุดตายสำคัญคือหัวใจ เมื่อเล็งแล้วมิอาจหลบหลีกได้”
ยูมิตอบคำถามด้วยสีหน้านิ่งๆ ให้กับเซอแวนท์ชุดน้ำเงินแล้วค่อยหยิบกลัดมณีเวทย์ออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมอง
“อีกอย่าง...ตอนนี้มันถูกอัพเกรดจนมีดาเมจแรงขึ้นมาก
เพราะงั้นข้าจะไม่ใช้โฮกุกับเจ้าแน่นอน ถือซะว่านั่นเป็นคำสัตย์ของนักรบแห่งอัลสเตอร์คนหนึ่งละกัน”
พอพูดจบภายในเสี้ยววินาที
พลหอกน้ำเงินก็เริ่มจับหอกด้วยมือทั้งสองพร้อมพุ่งเข้าโจมตีโดยการปักอาวุธลงพื้นแล้วกระโดดเตรียมฟาดลงจุดที่มาสเตอร์สาวยืนอยู่
เธอคิดแผนการบางอย่างได้และแอบแบ่งเม็ดหลากสีไว้หนึ่งส่วนในมือซ้าย ส่วนมือขวาจับมีดคุไนขึ้นหวดปะทะหอกฝ่ายตรงข้าม
อาวุธของทั้งสองคนต่างเสียดสีจนเกิดประกายไฟเล็กน้อย
แถมยังมีการออกแรงต้านซึ่งกันและกัน
“ให้ตายเถอะ
ใช้อาวุธมือเดียวแบบนั้นมันลำบากพอควรเลยนะ”
“ฮะ! ก็ถ้าไม่ลองคงไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ!!”
เธอสวนกลับด้วยการปัดหอกสีแดงออกแล้วเตะฝุ่นขึ้นหวังปกปิดวิสัยทัศน์ของแลนเซอร์
ต่อมาจึงรีบพุ่งเข้าไปหาคูแคสเตอร์ที่พยายามเขียนตัวอักษรรูนบางอย่างพร้อมปามีดคุไนเล่มสุดท้าย
ในที่สุดมันก็เฉี่ยวมือซ้ายหยุดยั้งไว้ได้ เขาเริ่มเปลี่ยนแผนใหม่โดยควงคฑาไม้ขึ้นเหลือหัวและปักลงพื้นดินก่อนที่จะมีเหล่าไม้พันธุ์เลื้อยขึ้นเป็นทางวิ่งบนอากาศล้อมรอบตัวมาสเตอร์ดั่งสนามรบขนาดเล็ก
ดันเต้ยิ้มมุมปากแล้วใช้มือสองข้างวางทาบลงบนพื้นดินเพื่อใช้พลังของตัวเอง
แสงสีดำปนน้ำเงินเข้มเริ่มส่องประกายใต้เท้ายูมิพร้อมทำการปล่อยพลังขึ้นเป็นลำแสงหกเส้น
ทำเอาเธอเกือบตั้งตัวไม่ทัน ยังโชคดีหน่อยที่ตีลังกากลับหลังหลบได้
แต่อุปสรรคต่อมาจะเป็นต่อจากนี้
“เจอกับดักเข้าให้แล้วนะ
คุณหนู!”
“...!!?”
แคสเตอร์น้ำเงินร่ายรูนบนไม้เลื้อยสีเขียวเข้มจนเกิดเป็นเปลวเพลิงทั่วทั้งเส้นและเริ่มระเบิดตัวเองจนทำให้สาวผมดำปลิวออกประมาณห้าเมตร
ตู้มม!!
ทั้งคูแคสเตอร์กับดันเต้ต่างยิ้มแล้วแท็กกำปั้นบ่งบอกว่าแผนการสำเร็จลุล่วงหนึ่งขั้น
ส่วนคูแลนเซอร์รีบดีดตัวไปหาเอมิยะพร้อมบอกให้เริ่มใช้เหล่าดาบที่สแตนด์บายไว้ได้เลย
“แทบไม่เชื่อเลยว่าเจ้าจะร้ายกาจกับยูมิแบบนี้
แต่ก็เอาเถอะ...เพื่อให้นางได้ฝึกฝนตัวเอง มันจำเป็นต้องทำสินะ”
ชิ...เริ่มเสียท่าให้กับพวกเขาซะแล้วเหรอเนี่ย
ยูมิในสภาพค่อนข้างมอมแมมคิดในใจและค่อยๆ
ยันตัวลุกขึ้นยืน มือขวาเตรียมเสกอาวุธใหม่
แต่กลับถูกขัดขวางด้วยอาวุธหลากเล่มจากพลธนูแดงซึ่งกำลังถูกควบคุมให้พุ่งเข้ามาหา
เธอหยุดการกระทำเมื่อครู่แล้วออกตัววิ่งโอบล้อมเซอแวนท์ทั้งสี่
ซึ่งระหว่างนั้นมือซ้ายที่ถือกลัดมณีเวทย์ไว้ก็คลายลงเล็กน้อยเพื่อโปรยพวกมันทีละนิด
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรง่ายๆ
หรอกน่า!”
คูแคสเตอร์ควงคฑาสีน้ำตาลและปักลงพื้นอีกครั้ง
แต่เปลี่ยนเป็นการปลดปล่อยเปลวเพลิงขนาดใหญ่แทน ซึ่งมันกำลังแผ่เป็นเส้นทางตรงพร้อมดักหน้าหญิงสาวผมดำไว้
เธอถ่ายโอนพลังเวทลงขาสองข้างแล้วกระโดดพุ่งข้างหน้าเพราะคิดได้ว่าถ้าวิ่งอย่างเดียวคงไม่รอดจริงๆ
ฟิ้วว~
‘โห...หลบพ้นด้วยเหรอเนี่ย
สมแล้วที่เป็นคุณหนูของพวกข้า’
นักเวทชุดน้ำเงินส่งโทรจิตชื่นชมพร้อมยิ้มกว้าง
แน่นอนว่าผลคือ เส้นยาแดงผ่าแปด แอบมีบ้างที่เปลวเพลิงแตะโดนปลายผมโพนี่เทลจนท้ายสุดก็มอดหายไป
เธอกลิ้งหลายตลบก่อนที่จะตั้งตัวใหม่แล้ววิ่งโปรยกลัดมณีเวทย์ต่อ แต่อุปสรรคต่อมาก็ดันขัดขวางอีก
“คราวนี้แหละ
เจ้าหลบไม่พ้นแน่!”
เอมิยะยกมือขึ้นเรียกดาบเพิ่มอีกสิบบนพื้นเพื่อประกบข้างของฝ่ายตรงข้ามแล้วส่งสัญญาณให้ลงมือซะ
มาสเตอร์สาวกวาดสายตามองรอบตัวพลางหลบหลีกพวกมันทุกวิถีทาง ทำให้แผนการติดๆ ขัดๆ ยิ่งมีดาบพุ่งเฉี่ยวแขน-ขาด้วยยิ่งลำบากเข้าไปอีก
อเวนเจอร์หนุ่มกระโดดขึ้นฟ้าและปล่อยลำแสงสีดำจากมือสองข้างไปยังหญิงสาวเพื่อช่วยซัพพอร์ตพลธนูแดง
คูแลนเซอร์พุ่งเข้าหาพร้อมจับหอกหันด้านคมออกข้างหลังหวังใช้อีกด้านโจมตีกลางอก
เธอเห็นแล้วเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีจึงจำเป็นต้องใช้เม็ดหลากสีในมือที่เหลือเสกเป็นโล่อมตะไว้ตรงหน้า
“อ๊ะ!”
แต่ด้วยพลังจากเซอแวนท์ทั้งสองที่ร่วมกันต่อต้าน
ทำให้ร่างบางของยูมิปลิวกลับทางเดิมจนแผ่นหลังกระแทกกับสันดาบเล่มใหญ่ นั่นถือว่าโชคยังเข้าข้างที่มันไม่ใช่ด้านคม
พอเธอเริ่มเงยหน้ามองตรงไปแล้วก็พบสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะอาเชอร์ผมขาวได้ง้างธนูคู่ใจพร้อมดาบคาลาดโบล์กที่เป็นลูกศรขนาดเรียวยาวไว้เรียบร้อย
แย่ล่ะสิ...แบบนี้คงไม่รอดแน่เลย
มาสเตอร์สาวคิดในใจด้วยความรู้สึกใจคอไม่ดีนัก
เธอหยิบกลัดมณีเวทย์ขึ้นมองพร้อมกำไว้แน่น อีกฝ่ายเริ่มไม่ลังเลแล้วปล่อยมือข้างขวาเพื่อให้ศรธนูพุ่งยังเป้าหมาย
ในจังหวะนั้นเอง
เธอได้ตัดสินใจลองของบางอย่างโดยการวางเหล่าเม็ดหลากสีบนพื้นและนั่งชันเข่าพึมพำบทต่อจากนี้
“เหล่ากลัดมณีเวทย์ทั้งหลายเอ๋ย
จงฟังข้า...จากนี้ไปถึงโอกาสอันดีที่จะแสดงถึงพลังอำนาจทั้งหมดให้ได้ประจักษ์และนำพาซึ่งชัยชนะมายังตัวข้าแล้ว
จงออกมาซะ ฟรอเซ่น---”
“เอ้าๆ จบเกมการแข่งขันแต่เพียงเท่านี้แหละ”
“...!!!?”
แต่พอถึงช่วงท้ายสุดของบทร่ายของเขตแดนหิมะ จู่ๆ เขตแดนและอาวุธของเอมิยะก็สลายไปจนกลับสู่สถานที่เดิมอย่างชายหาดพร้อมมีเสียงใครบางคนดังกึกก้องทั่วทั้งบริเวณ พวกเขาทั้งห้าต่างตกใจตามกันแล้วหันมองรอบตัวเพื่อหาต้นเสียงเมื่อครู่ จนกระทั่งได้พบกับร่างของชายหนุ่มผมทองกำลังนั่งบนเรือ ซึ่งอยู่ในเสื้อแขนยาวสีน้ำเงินเข้มที่ใส่กระดุมสี่เม็ด กางเกงขายาวสีขาวออกเทานิดๆ รองเท้าคัทชูสีน้ำตาลเข้ม รวมถึงเครื่องประดับเป็นกำไรสีทอง และไอเทมที่สำคัญในมือคือ ไอแพ็ดสีทอง
คนๆ
นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากราชาแห่งอุรุค...กิลกาเมชแคสเตอร์นั่นเอง!
[ มุมมองของยูมิ ]
อะไรกัน...ทำไมกิลกาเมชถึงเข้ามาแทรกแซงจนทำลายในเขตแดนของเอมิยะได้ล่ะ
แถมยังนั่งถือไอแพ็ดทองคำชิลอยู่บนเรือกล้วยแล้วขัดขวางการต่อสู้หน้าตาเฉยอีก
(ทำไมต้องเรือกล้วย...)
โคตรจะทำลายความยิ่งใหญ่ในการเอาจริงของฉันมากมาย!
“นี่เจ้า...ทำแบบนั้นได้ยังไงกัน” เอมิยะเปิดปากถามอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเพราะไม่เคยมีใครบนโลกวีรชนที่สามารถทำลายเขตแดนประจำตัวเลยสักคน
“ของมันแน่อยู่แล้ว เพราะข้าใช้วิธีการที่เหล่าสามัญชนเรียกกันว่า
แฮ็กระบบ ยังไงล่ะ”
“แฮ็กระบบเหรอ ช่างไร้สาระสิ้นดี เจ้าคงเห่ออุปกรณ์ใหม่จนเสียสติไปแล้วสินะเนี่ย”
ห๊ะ? เล่นงี้เลยจริงดิ ทั้งที่เขตแดนนั่นไม่ใช่ทั้งโปรแกรมหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ยังอุตส่าห์ทำแบบนั้นได้ มันต้องมีบัคอะไรบางอย่างแฝงอยู่แน่ๆ
“แหมๆ เฟกเกอร์อย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไรกับของจริงกันล่ะ
จริงมั้ย? และตราบใดที่ยังมีเจ้าแผ่นทองคำอันนี้ ข้าก็จะ...”
“เอ่อ...ต้องขออภัยเรื่องการเสียมารยาทด้วย แต่สิ่งที่ท่านถืออยู่มันเรียกว่า ‘ไอแพ็ด’ และลักษณะนามคือ ‘เครื่อง’ ไม่ใช่ ‘อัน’ นะเพคะ”
ฉันบอกชื่อเรียกแผ่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทองคำให้ราชาแห่งอุรุคได้รับรู้ด้วยสีหน้าตายด้านสุดๆ
พร้อมกับคิดในใจ เห่อตีป้อมจนจะจบอีเว้นท์แล้ว ยังไม่รู้ชื่ออีกเหรอฟะ
“หืมม...เป็นเช่นนั้นเองรึ
งั้นขอพูดใหม่ละกัน” เขาลุกขึ้นยืนและพยายามทรงตัวบนเรือแล้วเริ่มแก้บทพูดเหมือนตัวเองกำลังถ่ายหนังเทคสอง “ตราบใดที่ยังมีไอแพ็ดเครื่องนี้อยู่กับตัว ทุกอย่างบนโลกใบนี้ย่อมเป็นไปได้เสมอแหละน่า!!”
“เหอะๆ ป่าวประกาศได้หลงตัวเองชิบเป๋งเลยนะ เจ้าราชานักปราชญ์ ขัดขวางการต่อสู้ของพวกข้าอย่างหน้าด้านแบบนี้สงสัยต้องให้ลองชิมคำสาปสักหน่อยแล้ว!!” คูแลนเซอร์ควงหอกสีแดงคู่ใจและวิ่งมุ่งหน้าไปหาราชาแห่งอุรุคด้วยความดุร้าย
แต่ทว่า...
“แลนเซอร์! หยุดก่อนนะ ตรงนั้น...”
สุดท้ายความซวยก็บังเกิดขึ้นโดยยังไม่ทันที่คูแคสเตอร์จะเตือนจบ เพราะเขาซุ่มซ่ามไม่มองทางจนเผลอสะดุดหินซึ่งวางอยู่ห่างจากริมน้ำทะเลประมาณหนึ่งฟุต
“อ่ะ...”
“อันตราย!!”
จังหวะนั้นเอง
เจ้าชายขี่ม้าขาว(?)อย่างเอมิยะได้ปรากฏตัวและพุ่งเข้าไปช่วยโดยการโอบเอวจากด้านหลังไว้
แต่สิ่งต่อมากลับกลายเป็นฉากคัทซีนอันน่าตกตะลึงของใครบางคน หลังจากคว้าตัวสำเร็จปุ๊บ
ไม่รู้แรงโน้มถ่วงมันอวยพลธนูแดงหรือยังไง คือจากผลลัพธ์ที่ควรโอบปกติถูกเปลี่ยนเป็นล้มลงนอนแล้วส่งต่อหน้าที่คร่อมไปยังพลหอกน้ำเงินแทน
“...”
เธอจะมีใจรึเปล่า~
เธอเคยมองมาที่ฉันรึเปล่า~
เพลงเริ่มลอยขึ้นมาในหัวประกอบฉากวายระหว่างคู่รักในตำนาน พวกเขาจ้องหน้ามองตากันอยู่หลายวินาทีก่อนที่คูแลนเซอร์จะกล่าวขอบคุณและจูงมือพาลุกขึ้นยืนพร้อมส่งรอยยิ้มแฉ่ง โดยมันส่งผลให้เอมิยะแสดงสีหน้าเขินเล็กน้อยด้วย
“เหมือนในมังงะเล่มสุดท้ายที่พวกเราวาดกันเลยนะ
อาเชอร์”
“นะ...นั่นสินะ
ช่างน่าบังเอิญจริงๆ”
ระหว่างที่พวกเขาสองคนคุยกันจู๋จี๋อย่างไม่ละสายตา
กิลกาเมชผู้ที่ยังคงยืนบนเรือกล้วยได้ยิ้มมุมปากแล้วเตรียมกระโดดข้ามมาหาพวกเรา แต่ดูเหมือนความซวยจากแลนเซอร์จะถูกโอนย้ายมาแทน
ลมในเรือลำนั้นเริ่มรั่วไหลจนทำให้เขาต้องถ่วงร่างตัวเองลงทะเลทั้งที่ยังถือไอแพ็ดอยู่กับมือ
ตูมม!!
เจองี้ปุ๊บรู้ชะตากรรมเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ...
“แกนะแก!! บังอาจ...ผลิตเรือ...คุณภาพเก๊นี่...ได้เช่นไรกันห๊าา!!!” ราชาผมทองโวยวายในขณะที่กำลังพยายามว่ายน้ำตามขึ้นบก แน่นอนว่าไม่มีเซอแวนท์คนไหนใส่ใจสักนิด ถือเป็นภาพที่สุดแสนประทับใจ(?)ประจำอีเว้นท์อย่างหนึ่งเลยล่ะ “อ้าวเฮ้ย!! มาช่วยข้าก่อนสิเฟ้ยย!!”
“แย่จัง เป็นถึงนักปราชญ์แท้ๆ ทำไมทำตัวโง่เหลือเกิน มีเกท ออฟ บาบิโลนไว้ประดับเกียรติยศรึไง” เอมิยะหันหน้าพูดจิกพร้อมยิ้มมุมปากใส่อีกฝ่ายเยี่ยงจอมมารก่อนที่จะยกมือขึ้นลูบหัวฉันเบาๆ “เอาเป็นว่าอย่าใส่ใจนักเลย ยูมิ ปล่อยให้เจ้านั่นดูแลตัวเองเถอะ”
“อืมม...ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะเขาเป็นคนซื่อบื้อเหยียบบนเรือกล้วยเองนี่เนอะ”
“โหๆ พูดได้ถูกใจมากเลยนี่นา สมแล้วที่เป็นลูกสาวของข้า” เขายิ้มกว้างและโอบไหล่ไว้แนบแน่นจนท้ายสุดก็พาคนที่เหลือเดินกลับงานบูธเซอแวนท์เฟสเพื่อขายมังงะครั้งสุดท้ายในอีเว้นท์ซัมเมอร์ปีนี้
เอ่อ...งั้นขอให้โชคดีกับการล่องลอยในน้ำทะเลต่อไปนะเพคะ ท่านกิลกาเมช
[ To be contined ]
ความคิดเห็น