คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Episode 6 เกิดเหตุด่วน!?
หลังได้ทัวร์เมืองโยโกฮาม่าเกือบทั้งหมด
ฉันและชูยะพากันหยุดพักในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ซึ่งตอนนี้แทบไม่มีใครเดินเพ่นพ่านแถวนี้เลย พวกเราเสพบรรยากาศอันร่มรื่นบวกกับแดดอ่อนๆ
มีสายลมแอบพัดมาบ้างพอให้ได้รู้สึกสบายใจ ทางมาเฟียหนุ่มนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ยาวพร้อมโยนใบไม้ขึ้นและใช้พลังพิเศษควบคุมแรงโน้มถ่วงให้ฉันได้เห็น
“ล่องลอยอย่างกับพรมวิเศษในการ์ตูนที่เคยดูสมัยเด็กเลยแฮะ”
“พรมวิเศษ? หืมม...ถ้ามันมีอยู่จริง กลุ่มคนที่ขายพวกยานพาหนะส่วนตัวคงขาดทุนย่อยยับอ่ะ”
ฉันแอบหัวเราะเบาๆ
แล้วขอให้เขาช่วยควบคุมแรงโน้มถ่วงอย่างอื่นบ้าง ซึ่งครั้งนี้เป็นชิงช้าที่กำลังนั่งอยู่พอดี
มันค่อยๆ ออกแรงเหวี่ยงไปมาจนทำให้เกือบเหวอและจับโซ่ด้านข้างไม่ทัน เขาใช้พลังพิเศษแกว่งชิงช้าเหมือนกับพ่อแม่แกว่งให้ลูกน้อยของตัวเองก็ไม่ปาน
บางทีมีแอบแกล้งเหวี่ยงแรงบ้างแต่ไม่บ่อยนัก
ถึงเขาจะเป็นมาเฟียแต่ในใจกลับดูอ่อนโยนมากเลย...
ความคิดนั้นทำให้ฉันรู้สึกถึงความสุขที่เพิ่มพูนมาเติมเต็มภายในใจหลังจากได้ประสบกับความมืดหม่นเพราะคำสาปของพลังพิเศษมานาน
20 ปี แต่เอาจริงๆ โตมาขนาดนี้ก็ยังคงนึกถึงเหตุการณ์ตอนอายุสองขวบที่พ่อแม่ถูกฆ่าตายต่อหน้า
รู้สึกจะจำความในช่วงนั้นได้ว่า
ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลย แค่นอนมองพวกเขาที่กำลังดูโทรทัศน์ด้วยกันเท่านั้น
และก็เพราะมองอย่างเดียวนี่แหละที่เป็นจุดชนวนของการเกิดคำสาป โดยพ่อตายก่อนรายแรก
แม่กรีดร้องด้วยความตกใจและถูกเล่นงานตามกัน
เสียงกรีดร้องนั่นดังออกลั่นจนถึงหูของญาติข้างบ้าน พวกเขารีบตามเข้ามาแล้วมองสภาพศพสลับกับตัวฉันที่มีคราบเลือดกระเด็นใส่
“นี่เธอ...ฆ่าพ่อแม่ตัวเองงั้นเหรอ!”
“ช่างเป็นลูกที่บาปหนาอะไรเช่นนี้!”
“พลังพิเศษที่สืบทอดมาเป็นคำสาปแน่ๆ”
“นังกาลกิณี! อยู่กับใครก็ตายหมดใช่มั้ย!”
“บ้านเริ่มพังพินาศเพราะแกคนเดียวเลย
ยูกิ!”
“แบบนี้คงไม่มีใครเขารับเลี้ยงแกหรอก!”
คำพูดเหล่านั้นมันยังคงฝังลึกในใจอยู่ไม่เลือนราง
เหมือนเป็นปมด้อยสำหรับใครหลายคน แต่คุณลุงนายพรานกลับแก้ปมด้อยนั่นและหาวิธีผนึกไว้ได้
เขาเป็นคนแรกที่รับมือพร้อมแก้ไขเรื่องคำสาปอย่างตรงจุด
ทำให้ฉันใช้ชีวิตจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบางครั้งจะต้องมีคนตายเพราะพลังพิเศษก็ตาม
“ยูกิ...ยูกิ!”
“ห๊ะ!? มะ...มีอะไรเหรอ ชูยะ”
“เมื่อกี้เห็นเหม่อลอยไปน่ะ
คิดเรื่องอะไรอยู่รึเปล่า” ชูยะที่เข้ามานั่งบนชิงช้าข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้จับไหล่ซ้ายฉันและมองอย่างสงสัย
“อ่อ...เปล่าหรอก
แค่นึกย้อนเรื่องอดีตเท่านั้นเอง” ฉันยิ้มให้เล็กน้อยกลบเกลื่อนความขมขื่นในชีวิตของตัวเองไว้
มาเฟียหนุ่มผมส้มขมวดคิ้วจ้องมาสักพักแล้วค่อยลุกขึ้นยืนและยื่นมือซ้ายมาตรงหน้า
เขาบอกว่าเดี๋ยวจะพากลับไปที่หน้าสำนักงานนักสืบบุโซตอนนี้เลย
ฉันเอื้อมมือจับไว้โดยอีกฝ่ายดึงร่างให้ลุกขึ้นยืน
ต่อมาพวกเราจึงพากันเดินออกจากสวนสาธารณะเพื่อมุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย
ชูยะเล่าเรื่องเหตุการณ์เกี่ยวกับเมืองโยโกฮาม่าแห่งนี้ที่ตอนแรกเปรียบเสมือนเมืองมืดซึ่งเต็มไปด้วยอาชญากรรม
หนักสุดคือเหตุการณ์ผู้ใช้พลังพิเศษล้มตายต่อเนื่อง แต่วันนี้บ้านเมืองสงบสุขได้เพราะมีความร่วมมือระหว่างกลุ่มสำนักงานนักสืบบุโซกับพอร์ตมาเฟีย
ถึงเจ้าตัวจะยังแอบหมั่นไส้คู่หูเก่าอย่างดาไซก็ตาม
แต่การร่วมต่อสู้ด้วยกันของพวกเขาถือว่าวิเศษจริงๆ
แต่ประเด็นต่อไปคือ...พอถึงหน้าสำนักงานปุ๊บฉันควรทำยังไงล่ะ จะกลับบ้านพักคนเดียวก็กลัวหลงทางอีก เฮ้อ...การผันตัวจากคนป่ามาเป็นคนเมืองนี่มันยุ่งยากเหลือเกิน
“เอ่อ...ชูยะ ตัวฉันที่ไม่ได้เป็นสมาชิกในสำนักงานนักสืบบุโซเนี่ย...”
ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค
จู่ๆ ชูยะก็พาหยุดเดิน ส่งสัญญาณให้เงียบเสียงและหลบหลังกำแพงพร้อมแอบมองใครบางคนที่กำลังอยู่ด้วยกันในซอกหลืบ(อีกแล้วเรอะ!)
ซึ่งเป็นผู้ชายสองคนในธีมที่ต่างกัน นั่นคือขาว-ดำ
ทางธีมขาวมีรูปลักษณ์เป็นคนผมสั้นสีขาวออกเทานิดๆ
หน้าม้าถูกตัดเฉียงไม่สม่ำเสมอกัน ดวงตาสีม่วงที่ถูกแรเงาด้วยสีเหลืองด้านล่างจนดูแปลกใหม่
องค์ประกอบของชุดมีเสื้อแขนยาวสีขาวที่พับแขนเสื้อขึ้นประมาณศอก
เนคไทสีดำใส่ไว้หลวมๆ ถุงมือไม่มีนิ้วสีดำ กางเกงสีดำที่ขายาวต่ำกว่าเข่าเล็กน้อย
รูปแบบการใส่เข็มขัดของเขาเป็นการห้อยปลายเข็มขัดทางด้านซ้ายลงจากหัวเข็มขัด และสุดท้ายคือรองเท้าบู๊ทสีดำ
ส่วนทางธีมดำมีรูปลักษณ์เป็นคนผมสั้นประมาณคางสีดำ
ปลายผมทั้งสองข้างของใบหน้ามีสีขาว ดวงตาสีเทาเข้มอันเรียวคม องค์ประกอบของชุดมีเสื้อคลุมยาวสีดำที่มีปกเสื้อด้านหลังค่อนข้างใหญ่บวกกับกางเกงขายาวและรองเท้าคัทชูสีดำ
จุดสำคัญอยู่ตรงบริเวณคอเสื้อแขนยาวด้านในของเขาที่มีผ้าผูกคอสีขาวดูท่าทางนุ่มมือดี
พิจารณาลักษณะภายนอกของพวกเขาสองคนมาจนครบแล้ว
ทีนี้พิจารณาสถานการณ์ที่กำลังพบเห็นบ้างละกัน
ทางชายหนุ่มฝั่งขาวถูกบุกรุกให้แผ่นหลังแนบบนกำแพงโดยชายหนุ่มฝั่งดำ มือซ้ายพยายามจับหูหิ้วถุงพลาสติกที่เต็มไปด้วยเหล่าเสบียงมากมายเอาไว้มั่น ส่วนมือขวาก็พยายามผลักอีกฝ่ายให้ถอยหลังออก ใบหน้าของพวกเขาที่แสดงออกคนละอารมณ์มันโคตรจะใกล้ชิด
“ถอยไป...อาคุตางาวะ...”
“ไล่ตามทันขนาดนี้ คิดว่าจะยอมปล่อยงั้นรึ...เสือสมิง”
“พวกเราไม่มีเรื่องต้องบาดหมางกันแล้วไม่ใช่เหรอ
ทำไมยังไล่ตามผมอยู่ล่ะ...!”
“ตราบใดที่ยังฆ่าแกไม่ได้
กระผมก็จะไม่ล้มเลิกง่ายๆ หรอก!”
“ยังบ้าคลั่งในผลงานโชกเลือดเหมือนเดิมอีกเหรอ...ถ้าคุณดาไซเห็นเข้าคงไม่ปลื้มหรอกนะ”
ปึง!
หลังจาก
‘เสือสมิง’ พูดประโยคเมื่อครู่จบ ‘อาคุตางาวะ’ ก็ทำท่าทีเหมือนโมโหและโกรธเคือง มือทั้งสองจับตรึงข้อมืออีกฝ่ายไว้กับกำแพงพร้อมขยับใบหน้าชิดยิ่งกว่าเดิมจนปลายจมูกชนกัน
“หุบปากไปเลย!
ครั้งนี้แหละที่จะต้องทรมานแกให้หมดแรง...แล้วฆ่าทิ้งซะ!”
“...!?”
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อจากนี้ถือเป็นเหตุการณ์ช็อกโลกสำหรับฉันเลยก็ว่าได้
ชายหนุ่มชุดดำเริ่มกระแทกริมฝีปากเข้ากับของอีกฝ่ายอย่างแน่น สีหน้าตกตะลึงอันแดงระรื่นถูกเปิดเผยชัดเจน
มือไม้ที่กำลังถือหูหิ้วพลาสติกสั่นเล็กน้อยและค่อยๆ คลายออกทีละนิด
อาคุตางาวะพยายามสอดแทรกลิ้นเข้าช่องปากแต่ถูกต่อต้าน ทำให้ต้องงัดไม้ตายโดยการขบกัดริมฝีปากล่างให้เผยอปากออกจากกัน
เมื่อทำสำเร็จก็โลมเลียเลือดแล้วสอดลิ้นเข้าจูบอย่างเร่าร้อน ทางเสือสมิงดูท่าทางจะต้านทานไม่ไหวจนต้องปล่อยถุงพลาสติกลงพื้นและคล้อยตามอีกฝ่ายไป
ที่บอกว่าจะทรมานให้หมดแรงนี่คือการจูบแบบดูดดื่ม...เรอะ!!
ขนาดดาไซกับชูยะที่ฉันเจอรอบแรกยังไม่รุกถึงขั้นนี้เลย
คู่นี้แจวกันแรงชะมัด!
ฉันแอบมองพวกเขาจูบกันแล้วรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวบนแก้มสองข้าง
มือซ้ายกุมอก มือขวาปิดปากตัวเองไว้ คือแบบร่างกายตอนนี้เริ่มแสดงอาการแปลกๆ แถมเหงื่อไหลลงเล็กน้อย
อย่างกับว่าเหตุการณ์ตรงหน้ามันกำลังปลุกเร้าอารมณ์อยู่
“...!”
และอารมณ์นั้นก็ได้หายไปเมื่ออาคุตางาวะมองพวกฉันด้วยหางตา
หลังเสื้อคลุมถูกแปลงให้เป็นใบหน้าของสัตว์ประหลาดแล้วพุ่งเข้ามาเตรียมโจมตี แต่ชูยะกำหมัดแน่นพร้อมต่อยมันให้ปลิวกระแทกกำแพงจนต้องดึงตัวเองกลับเข้าที่เดิม เรียกว่าเขาช่วยชีวิตฉันได้อย่างเฉียดฉิวเลยทีเดียว
“เฮ้ยๆ พวกแกจะหวานทั้งทีก็เชิญที่โรงแรมเถอะ
เกรงว่าสาธารณชนแถวนี้บังเอิญมาเจอเข้าน่ะ”
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณชูยะจะชอบสอดเรื่องของคนอื่นเช่นนี้...กระผมกำลังยุ่งอยู่กับเมนูหลักอย่างเสือสมิงแท้ๆ
เชียว” อาคุตางาวะปล่อยมือออกจากข้อมืออีกฝ่ายแล้วหันมาคุยกับชูยะด้วยท่ายืนล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมเข้าทั้งสองข้าง “แล้วผู้หญิงคนนั้น...เป็นใครจากไหนกัน”
“อ้อ...เป็นแค่คนรู้จักของไอ้เบื๊อกดาไซน่ะ
เจ้าแว่นนั่นฝากให้ฉันช่วยเดินทัวร์เมืองโยโกฮาม่าแล้วเดินไปทำตามกำหนดการอะไรของมันเฉยเลย”
“เอ๊ะ...? คุณคือทาจิบานะ ยูกิ...ที่คุณดาไซเล่าให้ฟังเมื่อเช้าเองเหรอครับ” ชายหนุ่มผมขาวหยิบถุงเสบียงขึ้นพร้อมเดินตรงเข้ามาหาอย่างสงสัย
ฉันพยักหน้าให้และถามชื่อจริงของเขา
คำตอบคือ นากาจิมะ อัตสึชิ คนที่นักสืบจิตพิลึกนั่นพูดแว่วๆ ตอนช่วยดึงขึ้นจากแม่น้ำว่า เคยขัดขวางการฆ่าตัวตายมาก่อน
เมื่อลองถามชื่ออีกคน เขาไม่ตอบอะไรเลย แถมยังมองด้วยสายตาเย็นชาอีก
อัตสึชิแอบโมโหแล้วจึงตอบคำถามแทน นั่นคือ อาคุตางาวะ ริวโนะสึเกะ
“กระผมไม่ได้อยากมีเพื่อนเพิ่มเลยสักนิด...ขอแค่คุณดาไซคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”
“เออๆ ทั้งชีวิตพล่ามแต่ชื่อดาไซอยู่นั่นแหละ
เป็นลูกแหง่ติดพ่อรึไง”
“...”
ชูยะถึงกับต้องพูดดุเหมือนเป็นพ่อแม่ช่างจุ้นจ้าน
อาคุตางาวะเงียบไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนที่จะเดินออกจากซอกหลืบ ทิ้งพวกเราสามคนไว้ด้านหลัง
ถ้าคุณท่านจะเกิดมาเย็นชาขนาดนี้
ก็เชิญกักขังตัวเองในห้องนอนแล้วไม่ต้องออกมาพบปะกับคนอื่นเขาหรอกนะคะ...
“เอาล่ะ...ถึงเวลาที่ฉันจะต้องกลับฐานพอร์ตมาเฟียแล้วสิ
ฝากส่งยูกิหน้าสำนักงานนักสืบบุโซด้วยละกัน เจ้าเสือสมิง” มาเฟียหนุ่มผมส้มเดินตามออกไปและโบกมือลาแบบส่งๆ
อัตสึชิถอนหายใจหนักหน่วงที่รอดพ้นจากสถานการณ์ย่ำแย่เมื่อครู่สักที
เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่อาคุตางาวะจะไล่ตามนั้น
หนึ่งในสมาชิกสำนักงานนักสืบบุโซได้สั่งให้ไปซื้อเสบียงที่ใกล้หมดตู้แต่กลับไม่มีใครช่วยเลยสักคน
เขาพูดประโยคที่ดาไซบอกทิ้งท้ายให้ว่า ‘ถ้าเดินในตัวเมืองเช้านี้เดี๋ยวจะเจอตัวยูกิจังเอง
พอถึงคราวนั้นค่อยขอให้ช่วยถือของก็ได้’ และดันมีการเลียนเสียงด้วย จนทำให้ฉันต้องหลุดขำออกมาเล็กน้อย
“เอ่อ...ผมพูดส่วนไหนเพี้ยนไปรึเปล่าครับ
คุณทาจิบานะ”
“ปะ...เปล่าจ้ะ
แค่รู้สึกว่าเลียนเสียงได้เหมือนพอควรเลยน่ะ ก็เลยเผลอนิดหน่อย”
ตื๊ดด~ ตื๊ดด~ ตื๊ดด~
เสียงโทรศัพท์สั่นจากกระเป๋ากางเกงดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาพอดี เมื่อหยิบมาดูหน้าจอพบกับเบอร์โทรแปลกๆ (อีกแล้วเหรอ)
ฉันชักจะเริ่มไม่มั่นใจหรือไว้ใจพิลึกแต่ก็ยังคงต้องกดรับสายโดยไม่พูดอะไรจนกว่าปลายสายจะยืนยันตัวตน
“...”
“หืมม? กดรับสายแต่ไม่พูดอะไรเลยงั้นเหรอ ใจร้ายจังน้า...ยูกิจัง”
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนกับประหลาดใจ
เสียงนั่นเป็นเสียงของผู้ชายที่คุ้นหูอย่างดี ใช่...ตัวตนนั่นคือ
นักสืบหนุ่มจิตพิลึกหาเรื่องฆ่าตัวตายอย่างดาไซยังไงล่ะ
“นี่คุณ...รู้จักเบอร์ฉันได้ไงกัน”
“มันก็ต้องมีการค้นตัวเอาโทรศัพท์ตอนเธอนอนอยู่แล้วสิ
โชคดีจังนะที่ได้บันทึกเบอร์ไว้พอดี อ้อ...และก็มีอีกอย่างที่ไม่บอกไม่ได้เลยด้วย
ตั้งใจฟังนะ”
เดี๋ยวๆ
แพทเทิลการคุยนี่มันจะเหมือนของอาชญากรนั่นไปไหนฟะ! อีกอย่างเขากลับแอบลักลอบโทรศัพท์ไปส่องเบอร์ฉันด้วย...ขี้โกงชะมัด
“อ่ะ...ว่ามาเลย”
“ยูกิจังตอนนี้ได้เจออัตสึชิคุงรึยังเอ่ย
ถ้าอยู่แล้วช่วยเปิดลำโพงที”
“อื้ม...เขายืนอยู่ข้างฉันแล้วล่ะ”
ฉันพูดตอบรับอีกฝ่ายพร้อมกดเปิดโหมดลำโพงให้อัตสึชิได้ฟังด้วย
“ดีเลยๆ คืองี้...ที่สำนักงานนักสืบกำลังตกอยู่ในอันตราย ฉันอยากให้พวกเธอสองคนรีบกลับมาช่วยให้ไวที่สุดน่ะ”
ห๊ะ? เอาอีกแล้ว...ตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะแก้ไขมันง่ายๆ
ขนาดนั้นนะ เมื่อวานก็เหนื่อยและลำบากกับคดีคนหายต่อเนื่องเหลือเกินแล้ว
“คุณดาไซ? แล้วที่นั่นยังมีสมาชิกคนอื่นรวมอยู่ด้วยรึเปล่าครับ”
“มีเพียงประธานคนเดียวเท่านั้นที่โดนผู้บุกรุกจับเป็นตัวประกัน
ที่เหลือยังไม่เข้ามาทำงานเลยสักคน
ส่วนคุนิคิดะคุงกับฉันก็โดนไล่ให้ลงมาอยู่ในคาเฟ่ประจำสำนักงานนี่แหละ”
“ดันเกิดเรื่องตั้งแต่เช้าแบบนี้
กำหนดการของฉันที่กะว่าจะทำถึงได้ยุ่งเหยิงทั้งตารางเลย” ฉันและอัตสึชิได้ยินเสียงคุนิคิดะกำลังบ่นงึมงำเกี่ยวกับกำหนดการในสมุดอุดมคติด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
“อ้อ...พวกนายอย่าชักช้าละกัน ขืนปล่อยนานไป
สำนักงานของเราเละเทะแน่ๆ”
“รับทราบ!! จะไปตอนนี้เลยครับ/ค่ะ!!”
ติ๊ด!
ฉันกดวางสายและเก็บใส่กระเป๋ากางเกงอย่างไว
จากนั้นพวกเราสองคนก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักงานนักสืบบุโซโดยให้อัตสึชิเป็นคนนำทาง
ตอนนี้ยังโชคดีบ้างที่ผู้คนพากันทำธุระของตัวเอง ไม่ค่อยเดินเพ่นพ่านหรือการจราจรทางถนนแล้ว
ทำให้วิ่งกลับได้รวดเร็วยิ่งกว่า
ฉันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนเมืองทั้งทีต้องทำสิ่งที่เคยใฝ่ฝันให้สำเร็จ
ถึงแม้จะไม่ใช่สมาชิกในสำนักงานนักสืบบุโซ แต่การช่วยเหลือชีวิตผู้คนก็ยังคงเป็นหน้าที่ที่อยากทำเพื่อสังคมบ้านเมืองอยู่ดี
หวังว่าประธานคนนั้นจะปลอดภัยนะ...
ณ
หน้าอาคารสำนักงานนักสืบบุโซ
หลังจากฉันและอัตสึชิวิ่งมาประมาณเกือบห้านาที
พวกเราก็ได้มาถึงจุดหมายอย่างสำนักงานนักสืบบุโซสักที สภาพภายนอกตอนนี้ยังดูปกติดี
แต่ภายในอาจจะย่ำแย่กว่าที่คิดหลายเท่า
“แฮ่ก...แฮ่ก...ในที่สุดก็ถึงจนได้นะครับ
เล่นเอาเหนื่อยหอบพอควรเลย”
“นะ...นั่นสินะ
แต่เราจะยืนพักนานๆ ไม่ได้ ยิ่งประธานโดนจับเป็นตัวประกันแบบนี้...มันแย่ที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ”
ฉันพักหายใจเป็นจังหวะด้วยความเหนื่อยอ่อนและค่อยๆ
เดินไปเปิดประตูอาคารคนแรก “เอ่อ...ฉันว่าให้อัตสึชิคุงที่เป็นหนึ่งในสมาชิกนำทางก่อนเลยดีกว่า”
ชายหนุ่มผมขาวพยักหน้าตกลงพร้อมเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
ฉันมองซ้ายขวาเพื่อความมั่นใจในความปลอดภัย เดินตามและปิดประตูไว้
เขานำทางจนถึงลิฟต์ตรงหน้าแล้วกดปุ่มพาขึ้นไปยังชั้นสี่ หัวใจของฉันเต้นรัวด้วยความกังวลและหวั่นระแวง มือทั้งสองกุมไว้กลางอก ภาวนาให้เขายังอยู่รอดต่อ
“ไม่ต้องกลัวหรอก
พอถึงเวลาจริงๆ เธอก็คงจะหาทางรับมือมันได้ ฉันเชื่อมั่นแบบนั้นนะ...ยูกิจัง”
ในขณะที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ประโยคเดิมๆ ของดาไซก็ลอยเข้ามาให้กำลังใจ มันทำให้เพิ่งรู้สึกนึกได้ว่าทั้งตัวเขาและคุนิคิดะถูกไล่ให้อยู่ในคาเฟ่
ฉันจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนหาเบอร์ที่โทรครั้งล่าสุดพร้อมกดโทรหาอย่างไม่รีรอ
“...”
เสียงรอสายดังคลอไปหลายวินาที
ไม่มีวี่แววการกดรับ พอลองกดวางสายแล้วกดโทรใหม่อีกรอบสองรอบ ผลตอบกลับก็ยังเหมือนเดิม
ดาไซไม่ยอมรับสายเลย จนกระทั่งลิฟต์ได้เลื่อนขึ้นถึงชั้นสี่เรียบร้อย
ฉันเริ่มไม่ทนกดวางสายและไม่โทรต่ออีก
ปิ๊ง!
จากนั้นอัตสึชิก็ค่อยๆ
พาเดินนำเหมือนย่องเบาไม่ให้คนในห้องได้ยินจนถึงหน้าประตูที่มีป้ายติดชื่อว่า Armed detective agency พวกเรายืนมองสักพักก็เริ่มทำการตกลงว่าใครจะเป็นคนเดินเข้าปะทะกับอีกฝ่าย
หรือใครจะเป็นคนสนับสนุนอยู่ด้านหลัง ผลสรุปคือฉันกลายเป็นแนวหน้าซะนี่
“คุณทาจิบานะเริ่มก่อนเลยครับ...ผมจะคอยซัพพอร์ตอยู่ข้างหลังเอง”
“เอ่อ...อื้ม
จะพยายามนะ”
ว่าจบมือซ้ายของฉันก็จับใส่ฮู้ดหูกระต่ายคลุมหัวไว้
มือขวายื่นตรงหน้าจับลูกบิดประตูแล้วค่อยๆ เปิดเข้าไปข้างใน
สิ่งที่พบมีแต่ความว่างเปล่า บรรยากาศห้องเป็นสไตล์การทำงานเอกสารทั้งนั้น
ทางด้านซ้ายมือมีจุดรับแขกไว้ให้นั่งพักหรือคุยเรื่องธุระต่างๆ แปลกยิ่งกว่าคือ
ไม่มีใครอยู่สักคน ทั้งผู้บุกรุกและประธานคนนั้นเลย แถมโต๊ะทุกตัวยังไม่มีอะไรวางอยู่ด้วย
“เอ๊ะ...? เดี๋ยวนะ...นี่มันกับดักหรืออะไรรึเปล่าเนี่ย...”
“ก็...ตามนั้นแหละครับ คุณได้ติดกับดักเป็นที่เรียบร้อย”
สิ้นเสียงของอัตสึชิจากด้านหลังแล้ว
ฉันรีบหันกลับไปดูก่อนที่จะพบว่า เขากำลังถือปืนจ่อมาทางนี้อยู่
และยังมีคนอื่นเคลื่อนตัวออกจากจุดซ่อนต่างๆ พร้อมจ่อปืนคนละรูปแบบกันอีกด้วย แต่มีเพียงคนเดียวที่เดินออกมาปกติ
เขาคนนั้นเป็นผู้ชายวัยเลขสี่ผู้มาพร้อมผมสีเงินยาวระต้นคอจนถึงบนไหล่
ดวงตาสีโลหะออกน้ำเงินนิดๆ ชุดที่ใส่เป็นยูกาตะสีเขียวภายใต้ผ้าคลุมสีดำขอบทอง
จนถึงถุงเท้าสีขาวและรองเท้าแตะ
“เธอคือทาจิบานะ ยูกิ
ผู้หญิงที่มีพลังพิเศษเป็นอสรพิษสินะ” คนตรงหน้าที่คิดว่าน่าจะเป็นประธานประจำสำนักงานนักสืบเปิดปากถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่งปนกับความน่าเกรงขาม
“เอ่อ...คุณรู้เรื่องนี้มาจากไหนเหรอคะ...”
ฉันยกมือขึ้นระดับหัวทั้งสองข้างเพื่อยอมจำนนป้องกันตัวเองไม่ให้ทุกคนในบริเวณนี้เหนี่ยวไกปืน
“มีคนมาเล่าข่าวลือให้ฟังไม่นานนี้เอง...และก็ขอถามอะไรอย่างนะ” เขาเริ่มเดินเข้ามาใกล้แล้วจ้องมองที่ดวงตาและผ้าปิดตาของฉัน “ตัวเธอที่เคยสังหารผู้คนด้วยคำสาปของตนมาก่อน...สามารถกลับตัวเป็นคนดีได้หรือไม่”
“เอาจริงๆ
ฉันไม่ได้อยากฆ่าใครเลยด้วยซ้ำ ขืนมีพลังพิเศษแบบนี้ต่อไปล่ะก็...”
“คงจะเป็นคนดีไม่ได้? คืองี้นะ...ยูกิจัง ตราบใดที่ยังมีผ้าปิดตาผนึกคำสาปไว้
ถือว่าเรื่องนั้นเป็นแค่อดีตที่โหดร้ายในวัยเด็ก ฉะนั้นสิ่งที่ควรทำคือ ลืมๆ
มันไปและใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ”
หลังจากเขาถามจบ จู่ๆ
คำพูดตอนที่ฉันเล่าเรื่องพลังพิเศษให้ดาไซและคุนิคิดะจบแล้วคิดว่ามันยากที่จะกลับเป็นคนดีก็ลอยเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
เหมือนกำลังตอกย้ำความคิดภายในใจ แต่ว่า...สุดท้ายคำสาปก็ค่อยๆ
ถูกชำระล้างหลังจากช่วยเหลือคนบริสุทธิ์กลุ่มนั้นเรียบร้อยแล้ว
ฉันถอดฮู้ดหูกระต่ายออก ตอบคำถามจากใจด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น จริงจัง ไม่มีการเสแสร้งใดๆ ทั้งสิ้น
“ได้แน่นอนค่ะ...ล่าสุดฉันเคยช่วยเหลือเหยื่อในคดีคนหายต่อเนื่องเพื่อการค้าอวัยวะมาแล้ว คำสาปถูกชำระล้างตั้งแต่ตอนนั้นจนยืนหยัดมีชีวิตต่อถึงตอนนี้ได้ ฉัน...ใฝ่ฝันอยากจะช่วยเหลือผู้คนมานาน และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง ความมุ่งมั่นที่จะช่วยพวกเขายังคงฝังอยู่ไม่เลือนราง เพราะงั้น...ขอแค่มีชีวิตพร้อมทำตามความฝันนั้นจนวันตายก็พอใจแล้วค่ะ”
เมื่อฉันพูดจบ เขาก็จ้องเข้ามาลึกในดวงตาสักพักแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะกวักมือหนึ่งทีลงเชิงส่งสัญญาณให้ทุกคนวางปืนลง
“เป็นแววตาที่ดีเลย...ทาจิบานะ ฉันเชื่อว่าเธอต้องมีโอกาสใช้พลังพิเศษให้เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน ที่พูดแบบนี้ได้ก็เพราะ...การพิสูจน์ความบริสุทธิ์จากตัวเธอถูกประเมินผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“เอ๊ะ...? หมายความว่ายังไงเหรอคะ...”
“...” เขาไม่ตอบแต่กลับดีดนิ้วเรียกอะไรสักอย่างแล้วเดินเข้าห้องทางขวามือ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เซอไพรส์!!!”
คนที่เหลือรอบตัวฉันต่างร่วมกันโยนปืนลงและดึงพลุฉลองให้ซะจนหัวใจแทบร่วงลงตาตุ่ม
“ทาจิบานะ ยูกิ!! ยินดีด้วยนะที่ผ่านบททดสอบอย่างแท้จริงแล้ว!!”
“เอ๊ะ? เอ๋!?”
เงิบสิคะรออะไร
อยู่ๆ ฉันก็ผ่านบททดสอบกับอีแค่ตอบคำถามเมื่อกี้เองเรอะ!
“ดีจัง...เป็นอย่างที่ฉันคาดไว้เลยแฮะ
แถมยังวิ่งกลับมาเร็วด้วย นั่นคงเพราะสัญชาตญาณของผู้ใช้พลังพิเศษที่พร้อมช่วยเหลือทุกคนสินะ”
ดาไซที่เดิมทีควรอยู่ในคาเฟ่ได้เดินเข้ามาจากข้างหลังแล้วยืนตบบ่าขวาฉันข้างๆ
พร้อมแสดงสีหน้ายิ้มแย้มให้
“ให้ตายเถอะ...ไม่คิดเลยว่าความฝันของเธอจะดูยิ่งใหญ่ขนาดนี้
แต่อย่างน้อยมันก็เป็นไปตามกำหนดการของฉันแล้วล่ะนะ” คุนิคิดะที่ติดตามหลังอีกคนมานั้นหยิบสมุดอุดมคติขึ้นมาขีดเขียนอะไรบางอย่างเพิ่มเติม
คิดว่าจะน่าตรวจเช็ครายการที่ทำไปแล้วมากกว่า
“ความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือผู้คนของคุณวิเศษมากจริงๆ
นะครับ คุณทาจิบานะ” อัตสึชิเดินอ้อมมาพูดพร้อมแสดงรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนให้
“และก็ต้องขอโทษที่แอบโกหกเรื่องเหตุด่วนเมื่อกี้นะ
เจ้าสิ่งนี้ฉันคิดมาเพื่อทดสอบความจริงใจของเธออีกขั้นหนึ่งต่อจากการช่วยคลี่คลายคดีเมื่อคืนโดยเฉพาะ
จะได้ยืนยันและพิจารณาชัดเจนยิ่งขึ้น”
นักสืบจิตพิลึกอธิบายนู่นนี่นั่นให้แจ่มแจ้งยิ่งกว่าบางอ้อ
อย่างแรกคือตอนร่วมกันทำภารกิจช่วยเหลือคนบริสุทธิ์ผู้เป็นเหยื่อในคดีคนหายต่อเนื่องเมื่อคืน
สาเหตุที่ฉันรู้สึกหวั่นระแวงว่ากำลังมีใครบางคนแอบมองข้างหลัง นั่นไม่ใช่หนึ่งในอาชญากรชุดดำ
แต่เป็นประธานประจำสำนักงานนักสืบแทน แถมไม่ได้มาคนเดียวด้วย
สมาชิกคนอื่นต่างแอบเดินตามดูสถานการณ์ในแต่ละช่วง
และตอนที่ฉันต้องรับมือกับกลุ่มคุณลุงนายพรานคนเดียว
เขากับคุนิคิดะได้แอบวางแผนโดยให้เพื่อนร่วมงานทำเป็นโวยวายไม่อยากอยู่สำรวจที่บ้านฉันต่อ
พอทุกอย่างเริ่มลงตัว ทางหนุ่มแว่นติดต่อสมาชิกแต่ละคนให้ลองสังเกตการณ์การกระทำของฉันพร้อมประเมินผลทดสอบก่อนที่จะรายงานไปทางประธาน
คือแบบ...อะไรมันจะแผนซ้อนแผนขนาดนั้นคะ
ฉันฟังจบถึงกับเอ๋อและเงิบแดกนานเลย
“ทีนี้ก็รู้ถึงวิธีการทดสอบเข้าเป็นพนักงานสำนักงานนักสืบบุโซของพวกเราแล้วสินะ
ยูกิจัง”
“อะ...อื้ม ไม่คิดเลยว่าจะมีการแอบทดสอบแบบนี้อยู่จริง ตอนที่คุณบอกมาแว่วๆ ว่า ให้ฉันลองใช้พลังพิเศษในการช่วยคนดู
นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งด้วยสินะ”
ทุกคนยกเว้นคุนิคิดะต่างยิ้มกว้างให้แทนคำตอบของพวกเขา ฉันเบิกตาด้วยความตกตะลึงและแอบดีใจที่ความฝันได้ไต่ขึ้นไปหนึ่งขั้นแล้ว ต่อมาเหล่าสมาชิกเก่าในสำนักงานนักสืบก็พากันเตรียมข้าวของมาเฉลิมฉลองเต็มโต๊ะ
แม้ว่าห้องจะไม่ได้ถูกตกแต่งหรูหรามากมายนัก แต่มันดูยิ่งใหญ่พอสำหรับตัวฉันในฐานะสมาชิกคนใหม่ที่เคยเป็นคนป่าแล้วล่ะ
“อย่าลืมรักษากฎระเบียบของพวกเราที่จะได้ฟังต่อจากนี้ด้วย
ทาจิบานะ” คุนิคิดะขยับแว่นตัวเองหนึ่งทีและบอกหลักการพื้นฐานของสำนักงานนักสืบแห่งนี้
“พวกเราเป็นองค์กรที่ทำงานเป็นกลุ่ม จะลุยเดี่ยวมันเป็นแค่กรณียกเว้นเท่านั้น
พึงระลึกด้วยว่าเธอเป็นพนักงานนักสืบแล้ว อย่าให้การกระทำแย่ๆ มาส่งผลเสียในภายหลังเป็นอันขาด...เข้าใจนะ”
“รับทราบค่ะ...คุณคุนิคิดะ”
ฉันไม่มีคำพูดอื่นใดจะพูดต่อเลยนอกจากพยักหน้าตกลงพร้อมรอยยิ้มกว้างที่สดใสยิ่งกว่าครั้งก่อน
“ดีแล้วล่ะ...ทีนี้พวกเราไปร่วมฉลองกันเถอะ
เรื่องค่าใช้จ่ายในบัญชีของฉันก็ไม่ได้มากมาย เพราะงั้นไม่ต้องกังวลหรอก”
ว่าจบเขาก็แอบยิ้มให้บางๆ แล้วเดินรวมกลุ่มกับสมาชิกคนที่เหลือ นั่นทำให้รู้สึกได้ถึงความหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร รอยยิ้มจากคนบ้าคลั่งในอุดมคติและกำหนดการเหมือนเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ตอบแทนเรื่องที่เคยถูกช่วยคลี่คลายคดีให้เลย ฉันแอบหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้าร่วมฉลองเนื่องในโอกาสได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานนักสืบบุโซครั้งนี้
ขอบคุณมากจริงๆ
นะ ดาไซ...คุนิคิดะ...และก็ทุกคนๆ ที่ทำให้ฝันของฉันได้กลายเป็นจริงสักที...
[ To be continued ]
ความคิดเห็น