คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Episode 3 เตรียมปฏิบัติภารกิจ
“คุณลุง!!”
“โหๆ ดูเหมือนว่าจะมีผู้หญิงบ้านๆ มาช่วยตาลุงนี่แฮะ”
“ปล่อยคุณลุงเดี๋ยวนี้นะ...ไม่งั้นจะฆ่าพวกแกทั้งหมดแน่”
“เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ แบบนี้คิดว่าจะทำอะไรได้งั้นเรอะ”
“ใจไม่กล้าพอนี่หว่า...”
“ยูกิ! วิ่งหนีไปซะ...อย่ารอช่วยลุงเลย เดี๋ยวเจ็บตัวเปล่าๆ ถึงจะใช้พลังพิเศษจากตาข้างขวาก็คงอาละวาดจนฆ่าลุงด้วยแน่ๆ”
ขอร้องล่ะ...อย่าเพิ่งตายเลยนะคะ...
.
.
.
.
.
“อืมม...”
ฉันเริ่มรู้สึกตัวหลังได้ฝันถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ซึ่งแปลกตรงที่คำพูดเหมือนกันทั้งหมด ดวงตาทั้งสองค่อยๆ เปิดแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง เมื่อหันมองไปรอบๆ พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องที่น่าจะเป็นห้องพักของคุนิคิดะ มีโต๊ะทำงาน ชั้นหนังสือ ตู้ใส่แฟ้มงานเอกสาร ทุกอย่างในห้องนี้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกว่าเขาเป็นคนเรียบร้อย ประณีต และเอางานเอาการสุดๆ
สิ่งต่อมาคือ เหล่าอุปกรณ์อาบน้ำพร้อมชุดใหม่ที่วางอยู่เหนือหัวฟูกนอน พอลองหยิบพิจารณาดู ชุดองค์ทรงเครื่องประกอบด้วยเสื้อแขนสั้นสีแดง เสื้อแขนยาวมีฮู้ดหูกระต่ายสีดำ ทั้งซิป แถบข้อมือ และแถบเสื้อข้างล่างเป็นสีขาว กางเกงขาสั้นสีดำขอบล่างขาว ถุงน่องยาวเหนือเข่าสีดำ รองเท้าหนังกลับสีดำ สุดท้ายคือชุดชั้นในแบบธรรมดาสีขาว
ว่าแต่ทำไมมันมีแต่เสื้อแขนยาวที่ดูน่ารักต่างจากอย่างอื่นฟะ...
“...”
ฉันนั่งเหม่อลอยสักพักแล้วหยิบเสื้อผ้ากับเหล่าอุปกรณ์อาบน้ำก่อนที่จะลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ซึ่งเชื่อมต่อกับห้องครัวพอดี แน่นอนว่าห้องนี้ก็เรียบร้อยมากเช่นกัน ไม่ว่าจะอุปกรณ์ทำครัว วัตถุดิบต่างๆ และถ้วยจานถูกจัดวางอย่างดี มีระเบียบ
ตอนนี้คุนิคิดะเป็นคนเฝ้าครัว ส่วนดาไซกำลังนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้ด้วยความสบายใจ ฉันขออนุญาตใช้ห้องอาบน้ำจนหนุ่มแว่นพยักหน้าอนุญาตพร้อมเริ่มทำอาหารเย็นให้กิน
ตึก...ตึก...ตึก
จากนั้นจึงเดินไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดสดชื่น ซึ่งภายในหัวยังคงนึกถึงเรื่องเหตุการณ์เมื่อเช้าเหมือนเดิม
“...”
ถ้าตอนนั้นฉันยอมฝืนใจใช้พลังพิเศษจากดวงตาสีแดงกำจัดพวกอาชญากรและช่วยคุณลุงนายพรานมาได้ คงไม่ต้องดึงคนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้ แถมพวกเขาต้องเสียเงินซื้อเสื้อผ้า เสียเวลาพาฉันมาพักและทำอาหารเย็นให้อีก
ในใจยังคงหวังอยู่ลึกๆ ว่าคุณลุงจะยังมีชีวิตอยู่ในสภาพนักโทษที่ถูกกักขังไว้ แต่ถ้าเขาตายแล้วจริงๆ ฉันต้องยอมใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังคนเดียว เผลอๆ อาจตกเป็นเหยื่อรายต่อไปของคนพวกนั้นในภายหลังด้วย
“...”
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันเริ่มเช็ดเนื้อเช็ดตัว ทาแป้งให้เรียบร้อยและค่อยๆ ใส่ชุดที่ทั้งสองซื้อมาโดยยังไม่ลองใส่ฮู้ดเพราะมันไม่น่ามีความจำเป็น พอใส่ครบทุกอย่าง ในหัวเพิ่งนึกได้ว่าคุนิคิดะต้องแอบหนักใจบ้างแน่ๆ จึงขอราดน้ำทำความสะอาดพื้นให้เกลี้ยงไว้ก่อน
ตึก...ตึก...ตึก
ระหว่างที่กำลังหยิบเหล่าเสื้อผ้าตัวเก่าใส่ถุง ถือผ้าขนหนูไว้กับมือพลางเดินออกจากห้องน้ำ เสียงเรียกของดาไซได้ดังขึ้นพอดี
“อาหารเย็นของคุนิคิดะคุงเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ ยูกิจัง~”
เมื่อเดินถึงจุดหมาย พบว่ามีจานสลัดผักปลาทูน่ากับแก้วนมถั่วเหลืองคนละชุดกำลังถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ แต่พอนั่งลงเก้าอี้ได้แป๊บๆ ชายหนุ่มจิตพิลึกดันทะลึ่งลุกขึ้นเดินอ้อมมาจับฮู้ดหูกระต่ายขึ้นใส่ ย่อตัวลงคุกเข่าบนพื้นแล้วจับมือข้างซ้ายของฉันประหนึ่งกำลังเตรียมขอแต่งงาน
“อ่าา~ ยูกิจังผู้เป็นกระต่ายน้อยไร้เดียงสาเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าทรงมีจิตงดงามสร้างชีวิตเธอคนนี้ได้อย่างน่ารักน่าค้นหาเหลือเกิน ไม่แน่คู่รักที่แท้จริงของฉันอาจจะเป็นเธอก็ได้น้า~”
“เอ่อ...”
ตึก...ตึก...ตึก
“ดา...ไซ...”
ในขณะที่กำลังนั่งเงิบอยู่ ชายหนุ่มเจ้าระเบียบค่อยๆ เดินเข้ามายืนอยู่ข้างหลังอีกคนพร้อมแสดงสีหน้าโมโห แว่นตาเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน มือขวากำเอาไว้และมือซ้ายกดนิ้วลงจนมีเสียงกระดูกดังออกมา บ่งบอกให้รู้ชัดเจนว่าต้องมีการโวยวายในไม่ช้านี้
“โอ๊ะโอ...ดูท่าทางคุณแม่จะเริ่มโมโหซะแล้วสิ ยูกิจัง รบกวนช่วยใช้มือบางๆ อันน่าทะนุถนอมนี้บีบคอฆ่าปิดปากฉันที--- แอ่ก!”
วินาทีที่ดาไซพูดจบประโยค เขาถูกเพื่อนหนุ่มแว่นโบกกะโหลกหนึ่งทีจนล้มนอนลงพื้นและซ้ำเติมด้วยการบีบคอโยกไปมา(เหมือนเดิม)
“ใครคือแม่ของแกกันฟะ! ไอ้ตัวสิ้นเปลืองผ้าพันแผลนี่! บอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าอย่าทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานนักสืบเสื่อมเสีย!! กับผู้หญิงก็ด้วย! หยุดหลีพวกนางแล้วตั้งใจทำงานจะดีกว่ามั้ย!! ห๊ะ!!?” คุนิคิดะโวยวายอย่างที่คิดเอาไว้พร้อมเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้และพยายามสงบสติอารมณ์
“ดะ...ดาไซ เป็นอะไรมากรึเปล่าเนี่ย” ฉันนั่งมองสภาพของคนข้างล่างที่นอนยิ้มกริ่มเหมือนคนบ้า เอาซะจนนึกว่าเขาชอบถูกใช้ความรุนแรงหรือเป็นหนุ่มสาย M เลยทีเดียว
“เอ่อ...ต้องขอโทษทีนะ ทาจิบานะ เจ้าบ้าดาไซชอบก่อปัญหากวนใจแบบนั้นอยู่แล้ว อย่าไปใส่ใจอะไรมากนักเลย” เขาขยับแว่นพูดแล้วบอกให้พวกเรารีบกินอาหารเย็น ปล่อยชายหนุ่มจิตพิลึกน็อกเอ้าท์ต่อไป
“จะทานแล้วนะครับ/คะ~!!”
ผ่านไปห้านาที
หลังจากดาไซฟื้นตัวจากการโบกกะโหลกแล้วนั่งกินสลัดผักปลาทูน่า กระดกนมถั่วเหลืองด้วยกันจนอิ่มท้อง ฉันไม่ลืมที่จะบอกกล่าวขอบคุณให้กับหนุ่มแว่นพร้อมส่งรอยยิ้มเล็กน้อย ครั้งนี้ถือว่าเขาเป็นพระคุณมากจริงๆ
“ขอบคุณสำหรับอาหารเย็นและที่พักในครั้งนี้นะคะ...คุณคุนิคิดะ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วย ฉันคงนอนตายอนาจใต้สะพานก่อนแน่ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก เพราะงานของนักสืบอย่างพวกเราเป็นการช่วยเหลือประชาชนอยู่แล้ว” เขาพูดพร้อมขยับแว่นเหมือนที่เคยทำแล้วเก็บจาน-แก้วไปล้าง “อ้อ...และก็เรื่องอาชญากรอะไรนั่น เธอช่วยเล่าให้พวกฉันฟังที”
“เอ่อ...ได้ค่ะ...” ฉันหายใจเข้าลึกๆ ทำใจให้สงบและเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องทันที
“...”
“เมื่อเช้าลุงของฉันไปเก็บผลไม้ในป่าแต่ยังไม่กลับมาสักที พอลองออกไปดูก็โดนกลุ่มอาชญากรชุดดำประมาณห้าคนจับเป็นตัวประกัน เหตุผลของพวกนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด คิดว่าน่าจะเพื่อความสนุกที่ได้ก่อเหตุ ฉันพยายามเข้าช่วยแต่ก็โดนขัดขวางก่อน แถมพวกนั้นขู่ว่า ถ้าไม่ยอมถอยแต่โดยดีจะฆ่าทิ้งซะ”
“อาชญากรชุดดำงั้นเหรอ...ถ้ากลุ่มนั้นเป็นพอร์ตมาเฟียก็เกือบจะเป็นไปได้อยู่หรอก แต่พวกเขาให้คำตกลงกับสำนักงานนักสืบบุโซแล้วว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายในเมืองโยโกฮาม่าอีก” ดาไซนั่งเท้าคางพูดในขณะที่สายตายังจดจ่ออ่านหนังสือเล่มแดง
“แต่ปล่อยนานจนถึงค่ำป่านนี้ เขายังมีชีวิตอยู่รึเปล่าล่ะนั่น พวกอาชญากรสมัยนี้หลอกคนบริสุทธิ์เก่งจนมีคนตายนับร้อยแล้ว” คุนิคิดะล้างเสร็จพร้อมเดินกลับมานั่งคุยกับฉันต่อ
“ถ้าคุณลุงยังมีชีวิตอยู่...ฉันจะเป็นคนไปช่วยเอง รอบนี้คิดว่าต้องไม่พลาดและช่วยเขาได้แน่ๆ”
“ไม่หรอก เรื่องนี้ปล่อยให้พวกฉันจัดการเถอะ ส่วนเธอช่วยนำทางไปก็น่าจะเพียงพอสำหรับประชาชนธรรมดาแล้วล่ะ” หนุ่มผมบลอนด์เข้มหยิบสมุดอุดมคติมาจดอะไรบางอย่าง ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้
คำว่า ประชาชนธรรมดา มันทำให้รู้สึกแย่แปลกๆ ยังไงไม่รู้ อยากจะยอมรับแบบนั้นอยู่หรอก แต่พลังพิเศษกลับเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต คำสาปยังคงวนเวียนในเรื่อยๆ ราวกับว่าตัวเองกำลังกลายเป็นสัตว์ร้ายในคราบหญิงสาวที่สามารถล่อเหยื่อมาสังหารทิ้ง
แต่ฉันไม่ได้อยากฆ่าใครเลย...มีความปรารถนาอยู่แค่ว่า อยากใช้พลังให้เป็นประโยชน์ในการช่วยเหลือคนบริสุทธิ์เท่านั้น
“...”
“ยูกิจัง? ท่าทางไม่ค่อยดีเลย มีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้เล่าอยู่ด้วยรึเปล่า” หนุ่มผมน้ำตาลปิดหนังสือแล้ววางไว้บนโต๊ะพร้อมหันมาคุยอย่างจริงจัง
ฉันเม้มกัดริมฝีปากล่างของตัวเองด้วยความเจ็บปวดในใจ ถ้าเรื่องที่เคยฆ่าคนในโรงเรียนโดยไม่ได้ตั้งใจถึงหูนักสืบอย่างพวกเขาแล้ว คงต้องมีการจับส่งไปทางสถานีตำรวจแน่ๆ ดังนั้นจึงถามเพื่อความมั่นใจก่อน
“เอ่อ...เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องที่โหดร้ายไปหน่อย คุณจะยอมเปิดใจรับฟังใช่มั้ย...ดาไซ”
“เล่ามาได้เลย...พวกฉันพร้อมรับฟังอยู่แล้ว”
“อื้ม...” ฉันหยุดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้งก่อนที่จะเล่าความจริงให้พวกเขารับรู้
“...”
“ฉันมีพลังพิเศษตั้งแต่เกิด ตอนอายุสองขวบ พ่อแม่โดนฆ่าตาย ทางญาติเริ่มมองว่าพลังนั่นเป็นคำสาป ตอนนั้นพวกเขาอุ้มร่างฉันไปทิ้งกลางป่าจนภายหลังได้คุณลุงนายพรานมารับเลี้ยง ช่วงสมัยเรียนก็มีคนตายเพราะคำสาปของตัวเอง คุณลุงแนะนำให้ใส่ผ้าปิดตาอันนี้ผนึกมันเอาไว้จนถึงวันนี้”
ฉันเล่าจบแล้วเปิดผมหน้าม้าข้างขวาออกให้นักสืบทั้งสองเห็นผ้าปิดตาสีดำ แน่นอนว่าไม่เคยถอดออกตั้งแต่กลุ่มหัวโจกถูกคำสาปเล่นงานในสมัยเรียนอีกเลย แต่ตอนอาบน้ำหรือล้างหน้าก็เปิดออกนิดเดียว และถ้าจำเป็นต้องตากให้แห้ง สิ่งที่ทดแทนได้คือ ผมหน้าม้า
“เอาจริงๆ ฉันไม่ได้อยากฆ่าใครเลยด้วยซ้ำ ขืนมีพลังพิเศษแบบนี้ต่อไปล่ะก็...”
“คงจะเป็นคนดีไม่ได้? คืองี้นะ...ยูกิจัง ตราบใดที่ยังมีผ้าปิดตาผนึกคำสาปไว้ ถือว่าเรื่องนั้นเป็นแค่อดีตที่โหดร้ายในวัยเด็ก ฉะนั้นสิ่งที่ควรทำคือ ลืมๆ มันไปและใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ”
ตึก...ตึก...ตึก
สิ้นเสียงเมื่อครู่ของดาไซปุ๊บ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวเองแล้วเดินอ้อมเข้ามาใกล้ มือข้างขวาค่อยๆ เอื้อมออกหวังพยายามจะดึงผ้าปิดตาออก
“เอ๊ะ...?”
“เริ่มรู้สึกอยากเห็นสีของดวงตาข้างนี้ซะแล้วสิ...ยอมเปิดให้ดูสักครั้งได้มั้ยเอ่ย”
“เอ่อ...ยะ...อย่าเลย เดี๋ยวคำสาปจะเล่นงานเอา...”
“ไม่ต้องกลัวหรอก...ถ้านั่นเป็นพลังพิเศษของเธอจริงๆ เดี๋ยวฉันจะหยุดยั้งมันไว้เอง”
“...?” ฉันเอียงคอมองด้วยความงุนงงไปสักพักหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าเล็กน้อยและยอมให้อีกฝ่ายเปิดมันออก
“พลังพิเศษ : สิ้นสูญมนุษย์สมบัติ”
วิ้งง~
เหล่าแถบออร่าสีขาวที่เต็มไปด้วยอักษรต่างๆ กำลังวนรอบตัวทำให้คำสาปไร้ผล บ่งบอกให้รู้ว่า พลังพิเศษของเขาคือการลบล้างพลังของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นเขาก็มองดูสักพักแล้วลูบหางตาอย่างเบามือแทนที่จะใส่ผ้าปิดตากลับเหมือนเดิม
“ดะ...ดาไซ?”
“ฮืม...เป็นดวงตาที่สวยดีแฮะ สีแดงราวกับเลือด มีเสน่ห์ยิ่งกว่าสีอื่นซะอีก นางฟ้าผู้เปี่ยมไปด้วยคำสาปถือว่าหาได้ไม่ง่ายเลย...แบบนี้เพียงแค่มองก็สามารถฆ่าคนได้โดยที่มือยังคงสะอาดอยู่สินะ”
“อึ่ก...”
เมื่อดาไซพูดประโยคเมื่อครู่ บรรยากาศเริ่มเงียบแปลกๆ เขาจับแก้มขวาของฉัน ใช้นิ้วโป้งลูบตามหนังใต้ตาขวาเบาๆ รอยยิ้มถูกเผยออกพร้อมนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จ้องมองดวงตาสีแดงลึกเข้ามา ร่างกายฉันแข็งทื่อไปหมดด้วยความกลัว จนไม่นานเขายอมปล่อยมือออกจากแก้ม ใส่ผ้าปิดตาให้แล้วเดินกลับไปนั่งจุดเดิม
“ขอโทษที่ทำให้กลัวนะ ยูกิจัง ฉันขอยอมรับเลยว่าตาสีแดงนั่นสวยมากจริงๆ ถ้าไม่มีคำสาปอยู่ด้วยคงจะมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่า--- อ่อก!!”
อืม...สุดท้ายก็ต้องรับชะตากรรมจากฝ่ามืออรหันต์ของคุนิคิดะ จนใบหน้าโขกลงบนโต๊ะอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดีสินะเนี่ย...
“ดูให้เสร็จสรรพแล้วกลับมานั่งที่ไม่เป็นเรอะ ดาไซ!”
“โธ่...ทำไมวันนี้คุนิคิดะคุงชอบใช้ความรุนแรงจัง ถ้ามัวแต่โมโหใส่ใครบ่อยๆ แบบนี้ เดี๋ยวตอนโตไปสุขภาพจิตจะไม่ดีเอานะ” หนุ่มผมน้ำตาลเงยหน้ามองพร้อมให้คำแนะนำแก่เพื่อนร่วมงานตัวเองอย่างจริงจัง (รึเปล่า)
“ห๊ะ? ที่พูดมานี่คือเรื่องจริงเรอะ”
“เอ้าๆ อย่ารอช้าสิ จดเลย”
ความเงิบแดกเริ่มบังเกิดเพราะหนุ่มแว่นดันใสซื่อหยิบสมุดและปากกาขึ้นมาจดจริงๆ
ให้ตายเถอะ...นี่เขาไม่รู้เรื่องนี้เลยใช่มั้ยนิ
“ถ้าโมโห...ใส่ใครบ่อยๆ ตอนโตไป...สุขภาพจิต...จะไม่ดี...”
“ตอแหลหรอกจ้ะ”
แปร๊ก!!
เสียงปากกาหักดังลั่นสนั่นห้องครัว ดาไซนั่งพูดอย่างหน้าด้านแล้วหันไปหัวเราะคิกคัก รอยยิ้มฉีกออกกว้างด้วยความสนุกสนานที่ได้แกล้งคน ทั้งที่เรื่องนี้มันก็เป็นความจริงแท้ๆ คุนิคิดะเริ่มโมโหขั้นสุด เขากระแทกสมุดบนโต๊ะก่อนที่จะบีบคออีกคนโยกไปมา(อีกแล้ว)
“โธ่เอ๊ย! นี่ฉันต้องบีบคอสักกี่รอบต่อวันถึงจะพอใจฟะ!! รู้มั้ยว่าการรับมือกับความบ้าบอและหน้าด้านของแกมันเหนื่อยมากแค่ไหนเนี่ย!!”
“แอแฮ่~! ขอโต๊ดนะคร้าบบ~ ขุ่นแม่คุนิคิดะ~”
“ฉันไปเป็นแม่ของแกตั้งแต่เมื่อไหร่เล่า!! แล้วคำขอโทษแค่นี้คิดว่าจะช่วยล้างวีรกรรมที่เคยทำไว้ได้งั้นเรอะ!!”
เดี๋ยวนะ...ท่านเพิ่งบอกไปหมาดๆ ไม่ใช่เหรอว่า ‘อย่าทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานนักสืบเสื่อมเสีย’ แต่ฉันคิดว่าพวกท่านนี่แหละที่กำลังทำเสียซะเอง
“อะ...เอ่อ คุณคุนิคิดะ ใจเย็น...”
ฉันถึงกับต้องกลับมานั่งเงิบแดกหนักกว่าเก่าและมองนักสืบทั้งสองที่มีเรื่องกันไม่หยุดไม่ยั้ง บางทีก็อยากถามออกไปตรงๆ ว่า พวกเขาคิดพิลึกอะไรอยู่ถึงจับคู่มาทำงานด้วยกันแบบนี้ แต่ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ขอไม่ถามดีกว่า
ตื๊ดด~ ตื๊ดด~ ตื๊ดด~
ระหว่างนั้นเอง เสียงโทรศัพท์สั่นจากถุงพลาสติกที่ใส่เสื้อผ้าชุดเก่าได้ดังขึ้น เมื่อหยิบมาดูหน้าจอพบกับเบอร์โทรแปลกๆ ขณะที่ดาไซกับคุนิคิดะกำลังวุ่นวายกันอยู่ ฉันลุกขึ้นเดินออกห่างไปประมาณสามก้าวพร้อมกดรับสายโดยยังไม่พูดอะไรจนกว่าปลายสายจะยืนยันตัวตน
“...”
“โห...กดรับสายแต่ไม่พูดอะไรเลยงั้นเหรอ ช่างกล้าเหลือเกินนะ แม่หนู”
“...!!?” ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจปนกับความโมโห เสียงนั่นเป็นเสียงของผู้ชายที่คุ้นหูอย่างดี เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้มราวกับตัวโกง
แน่นอน...ตัวตนนั่นคือหนึ่งในอาชญากรที่ขู่ฉันด้วยปืนและพยายามกระหน่ำยิงเมื่อเช้า
“นี่แก...รู้จักเบอร์ฉันได้ไงกัน!”
“อย่าทำเป็นโง่หน่อยเลย คิดว่าพวกฉันจะจับลุงเป็นตัวประกันไว้เฉยๆ งั้นเหรอ แน่นอนว่ามันต้องมีการค้นตัวเอาโทรศัพท์ของอีกฝ่ายอยู่แล้ว โชคดีจังนะที่เจอเบอร์นี้พอดี”
“อึ่ก...”
“อ้อ...และก็มีอีกอย่างที่น่าสนใจด้วย อยากจะฟังสักหน่อยมั้ย”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! ไม่ฟังเรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ ต่อจากนี้ฉันจะเป็นคนจัดการพวกแกเอง ยืนรออยู่ตรงนั้นอย่าไปไหนซะล่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงขู่เข้มและดุดัน มืออีกข้างที่ยังว่างกำหมัดไว้แน่น จิตใจที่ไม่อยากฆ่าใครถูกเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
ในระหว่างนั้นก็แอบสังเกตเห็นว่า นักสืบทั้งสองหยุดหาเรื่องมานั่งฟังพร้อมหน้าพร้อมตากัน ดาไซส่งสัญญาณมือบอกให้เปิดโหมดลำโพง ตอนแรกแอบคิดหนักอยู่นาน แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง ยอมกดเปิดลำโพงแล้ววางโทรศัพท์บนโต๊ะแต่โดยดี
“จัดการพวกฉันเหรอ...ยังไม่รู้สถานที่แท้ๆ พูดอย่างหน้าด้านเชียว ถ้าเมื่อเช้าเธอใช้ดวงตาข้างขวาอะไรนั่นแต่แรก คงไม่ต้องลำบากมาจัดการทีหลังแบบนี้หรอก ส่วนเรื่องที่อยากให้ฟังคือเจ้านี่แหละ”
อาชญากรคนนั้นหยุดพูดไปก่อนที่จะมีเสียงใครบางคนดังออกมาจากลำโพง เมื่อฟังแล้วพวกเราทั้งสามต่างเบิกตากว้าง เพราะเสียงนั่นไม่ใช่แค่ของคุณลุงนายพราน แต่ยังมีคนอื่นๆ ปนอยู่ ล้วนแล้วเป็นเหล่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้น
“ยูกิ! ยังอยู่ในสายใช่มั้ย!! ตอบลุงที!!”
“ขอล่ะ...ปล่อยผมเถอะ...ผมยังมีลูกเมียที่ต้องดูแลอยู่นะ...”
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยพวกเราที...”
“เธอคนนั้นน่ะ...! ช่วยปลดปล่อยพวกเราให้เป็นอิสระที...!”
“คุณแม่...ช่วยหนูด้วย...หนูยังไม่อยากตาย...”
พวกเขาต่างพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด สิ่งนั้นทำให้ฉันรู้สึกโมโห โกรธแค้นที่อาชญากรบังอาจทำได้ลงคอ เมืองโยโกฮาม่าอันสงบสุขกลับต้องมาวุ่นวายอีกครั้งเพราะแค่กลุ่มเล็กๆ อย่างพวกนั้น
ถึงจะเคยถูกหลายคนกล่าวหาว่าเป็นกาลกิณีหรือคำสาปมาก่อน...
แต่ในใจลึกๆ ยังมีความถูกต้องและความยุติธรรมฝังอยู่นะ!
“ฟังแล้วรู้สึกยังไงบ้าง...แม่หนู เจ็บปวดใช่มั้ยล่ะ...โกรธแค้นใช่มั้ยล่ะ...ลำพังแค่เธอคนเดียวคิดว่าจะช่วยพวกเขาได้หมดเหรอ เลิกหวังซะเถอะ เพราะถึงยังไงสถานที่ของพวกเราก็ไม่ใช่ในป่านั่นอีกแล้ว”
“ไม่!! ฉันไม่ยอมให้พวกเขาตายเด็ดขาด!! ถึงแม้ต้องวิ่งตามหาจุดที่พวกแกยืนอยู่ตอนนี้ทั่วทั้งเมือง...หรือแม้แต่สละชีวิต ฉันก็จะไปช่วยแน่นอน!!”
“หืมม...เป็นผู้หญิงที่ใจกล้าดีจัง งั้นก็ได้...ฉันยังไม่ฆ่าพวกนั้นทิ้งหรอก จะให้เวลาเธอเดินตามหาจนเจอก่อน พอถึงตอนนั้น...ค่อยหาอะไรสนุกๆ ให้ได้เล่นทีหลังละกัน”
ติ๊ด!
ปลายสายรีบตัดสายทิ้งทันทีโดยไม่เว้นจังหวะให้พูดอะไรต่อ ฉันกัดฟันด้วยความโมโหพร้อมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วนั่งเอนพิงหลังเก้าอี้เล็กน้อย คุนิคิดะเปิดสมุดอุดมคติมาไล่ดูตามกระดาษจนเจออะไรบางอย่างและขยับแว่นหนึ่งที
“อย่างนี้นี่เอง...ถ้าเป็นแบบนี้ก็ตรงกับคดีที่พวกเรากำลังสืบอยู่พอดีเลย”
“เอ๊ะ...? จริงเหรอคะ...”
“พวกเราได้รับแจ้งจากประชาชนบางส่วนว่า คนในครอบครัว เพื่อน หรือญาติมิตรของพวกเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ แถมยังเว้นวันกันหายด้วย ทางตำรวจยังสืบค้นแหล่งกบดานของผู้ร้ายไม่เจอจนต้องแจ้งให้ช่วยอีกที ไม่แน่ว่าคุณลุงของยูกิจังอาจเป็นหนึ่งในกลุ่มเหยื่อด้วยก็ได้”
“แต่พวกเขาดันมาแจ้งพวกเราสองคนที่กำลังออกไปซื้อของซะนี่ ถ้าเป็นคุณรัมโป คงจะจบคดีได้เร็วกว่านี้แท้ๆ ติดตรงที่เขายังยุ่งกับคดีในเมืองอื่นอยู่นี่แหละ”
คุนิคิดะจดอะไรบางอย่างเพิ่มเติมในสมุดเล่มเล็กจนกระทั่งเขาได้บอกให้แยกย้ายกันไปพัก ทางดาไซเตรียมลุกออกจากเก้าอี้ ส่วนฉันยังคงนั่งกลุ้มนึกถึงเรื่องเมื่อครู่
“...”
ความรู้สึกที่มีอยู่ในตอนนี้คือ อยากจะช่วยคนบริสุทธิ์กลุ่มนั้น ทำให้ทุกอย่างจบๆ ไปอย่างไร้กังวล ขืนกลับบ้านนอนคนเดียวคงเป็นเหยื่อด้วยแน่ๆ พอถึงตอนนั้นฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ ยิ่งถ้าถูกบังคับใช้พลังพิเศษจากดวงตาสีแดงจัดการทุกคน คำสาปจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป
“...”
ในขณะที่กำลังนั่งเหม่อและคิดเรื่องพวกนี้ ดาไซได้หันกลับมาพูดคุยหลังเดินออกห่างจากโต๊ะเพียงไม่กี่ก้าว
“ฉันคิดว่า...ออกไปช่วยพวกเขาตอนนี้น่าจะดีกว่า ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวายตอนเช้าคงไม่ดีนัก อีกอย่างเราสามคนล้วนเป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกัน และฉันก็อยากให้ยูกิจังลองใช้พลังเพื่อช่วยเหลือพวกเขาดู แบบนี้ได้ประโยชน์คูณสองเลยไม่ใช่เหรอ”
“...” หนุ่มแว่นผมบลอนด์เข้มจับคางครุ่นคิดไปไม่กี่วินาทีแล้วเปิดสมุดเล่มเดิมมาตรวจสอบ “...นั่นสิ กำหนดการของฉันคืนนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำนอกจากนอนอย่างเดียวด้วย ว่าแต่นายรู้แหล่งกบดานของพวกนั้นแล้วเหรอ ดาไซ พวกเรายังไม่ทันได้เริ่มสืบอะไรเลยนี่”
“เอาน่าๆ พอถึงคราวนั้นคงมีอะไรบางอย่างบอกใบ้เพิ่มเติมได้แหละ เพราะงั้น...พวกเราควรรีบออกตามหาและจบเรื่องนี้ไปด้วยกันเถอะ เพื่อให้ผู้คนในเมืองโยโกฮาม่าแห่งนี้ได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้ง”
“ดาไซ...”
รอยยิ้มกว้างของดาไซตอนนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน มุ่งมั่นพร้อมช่วยเหลือผู้คน ฉันมองเขาแล้วแอบอึ้งในใจแต่ก็ยิ้มกลับไปให้บางๆ โดยไม่มีการฝืนใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นพวกเราสามคนในฐานะผู้มีพลังพิเศษจึงได้เตรียมตัวไปปฏิบัติภารกิจด้วยกัน
ตึก...ตึก...ตึก
แม้ว่าต้องเดิมพันด้วยชีวิตหรือเลือดเนื้อของตัวเอง...
แต่ฉัน...จะไม่ยอมให้พวกเขาตายง่ายๆ แบบนั้นอย่างเด็ดขาด!!
[To be continued]
ความคิดเห็น