ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Bungo Stray Dogs] นางฟ้าแห่งคำสาป

    ลำดับตอนที่ #2 : Episode 2 เริ่มต้นชีวิตใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ค. 63


    B
    E
    R
    L
    I
    N
     Tiny Hand 

    ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ฉันยังคงนอนโทรมอย่างกับคนใกล้สิ้นลมหายใจเหมือนเดิม เงินทองไม่มีติดตัว เสื้อผ้าโคตรเก่าเหมือนไม่เคยซื้อใหม่ ที่อยู่หลับนอนก็ดันเป็นใต้สะพาน ไม่มีแม้แต่เพื่อนหรือคนรู้จักจากสังคมภายนอกสักคน

    เฮ้อ...พอเห็นสภาพแบบนี้แล้วนี่มันน้องหมาจรจัดชัดๆ จะฝืนลุกขึ้นไปช่วยคุณลุงนายพรานก็ไม่ไหว สังขารบางๆ ยังไม่ทันได้รับการเติมพลังกายด้วยอาหารสักนิด มือไม้ทั้งสองสั่นระริกอย่างหิวโหย ในหัวมีแต่เรื่องนู่นนี่นั่นวนเวียนไปมา

    ถ้ายอมนั่งเป็นขอทานข้างถนนมันคงน่าเกลียดไปนิด

    ถ้าวิ่งขโมยเงินชาวบ้านเท่ากับการก่ออาชญากรรมอีก

    ถ้านั่งถอนหญ้ากินจะกลายเป็นว่าตัวเองวิวัฒนาการสู่วัวน้อยจรจัด

    หรือถ้ายอมเปลี่ยนตัวเองเป็นคนยุคหินเก่าโบราณนี่ก็ไม่ไหวจริงจัง

    “...”

    แอบเชื่อแล้วแหละว่า ความหิวของคนเราทำให้กลายเป็นคนบ้า ทำสิ่งที่บ้าบิ่นเกินกว่าคนปกติจะทำได้ เวลาโมโหถึงได้เรียกกันว่า โมโหหิว คือมันหิวจนวีนใส่คนรอบข้างรัวๆ ไม่เกรงใจบรรยากาศรอบข้างหรืออย่างอื่นใด

    วินาทีที่กำลังนั่งคิดเรื่องเมื่อครู่เรื่อยเปื่อยอยู่นั้น...

    “หือ...?”

    สายตาของฉันบังเอิญเหลือบเห็นบางอย่างในแม่น้ำ พอมองพิจารณาดีๆ แล้วทำให้รู้เลยว่านั่นมันร่างของคนที่กำลังลอยน้ำ ขาทั้งสองยกขึ้นชี้ฟ้า เป็นใครเพศอะไรไม่อาจทราบได้ แต่ถ้าให้เดาจากเรียวขายาวที่ใส่กางเกงสีเบจ รองเท้าสีน้ำตาลเข้มแล้วก็น่าจะเป็นผู้ชาย

    “เอ่อ...ปล่อยเขาไว้แบบนั้นดีกว่ามั้ยนะ...”

    “บุ๋มๆๆๆ วะ...อั่กๆๆๆๆๆ”

    เสียงคนๆ นั้นที่เหมือนจะพูดหรือร้องอะไรบางอย่างใต้น้ำดังมาแต่ไกล ร่างของเขาหมุนเป็นวงกลม ขาขวากระตุกไปมาราวกับว่ากำลังสิ้นใจตายอย่างอเนจอนาจ

    “เอิ่ม...” ฉันส่งสายตามองด้วยสีหน้าตายด้านและเงิบแดกหนักยิ่งกว่าเดิม เมื่อเริ่มมีเหล่านกกาสีดำจำนวนสี่ตัวบินเข้าไปจิกขาข้างละสองตัว

    จะปล่อยไว้ให้ตายแบบนั้นจริงดิ...ยูกิ

    เธอไม่ยื่นมือช่วยเหลือสักหน่อยเหรอ...

    ...เขาอาจจะตายโดยไม่มีใครในครอบครัวรับรู้ก็ได้นะ

    “โธ่เอ๊ย...เอางั้นก็ได้! มุ่งหน้าไปช่วยคนๆ นั้นซะ...แคทเชอร์(ผู้คว้า)”

    หลังจากเถียงกับตัวเองในใจพักหนึ่ง ฉันตัดสินใจดีดนิ้วมือข้างซ้ายเรียกอสรพิษด้านดีออกจากข้างหลัง ควันสีดำค่อยๆ ลอยในอากาศพร้อมร่างของมันปรากฏขึ้น จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางคนลอยน้ำ สั่งให้ช่วยไล่นกกาก่อนที่มันจะอ้าปากคาบขาซ้ายและดึงร่างกลับมานอนหงายบนพื้น

    ตุบ!

    “...”

    อย่างที่เคยเดาไว้เลย ร่างคนๆ นี้เป็นผู้ชาย เรือนผมลอนสั้นสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม มีผมหน้าม้าบางส่วนปัดรวมไว้กลางหน้าผาก รูปลักษณ์ดูสูงและผอมเพรียว ใส่โค้ทสีเหลืองน้ำตาลอ่อนยาวลงถึงขา เสื้อสีดำที่อยู่ด้านในสองชั้นน่าจะเป็นเสื้อกั๊กทับบนเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาวผสมฟ้าอ่อน ผูกริบบิ้นสีน้ำตาลที่มีหินเทอร์คอยส์ให้เป็นเนคไท

    แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ผ้าพันแผลที่พันคอและแขนเต็มไปหมด!

    นะ...นี่มันคนตายกลับชาติเป็นมัมมี่รึเปล่าเนี่ย...

    “เฮือก!”

    ในขณะที่กำลังพิจารณาชุดองค์ทรงเครื่องอย่างจดจ่อ จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ยกตัวขึ้นนั่งหลังตรงเหมือนศพฟื้นคืนชีพ สายตามองตรงออกคนละฝั่งที่ฉันยืนอยู่ หยดน้ำบนหัวย้อยลงพื้นทีละนิด ยังไม่มีการตอบสนองอย่างอื่นใดต่อ

    ฉันดีดนิ้วมือข้างซ้ายอีกหนึ่งครั้งเพื่อให้เจ้าแคทเชอร์กลับสู่ภาวะเดิม ร่างของมันสลายหายไปพร้อมควันสีดำที่ลอยในอากาศไม่กี่วินาที สักพักจึงเดินอ้อมไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าเขาคนนั้นและเริ่มเปิดบทสนทนา

    “เอ่อ...คืองี้นะ ฉันเห็นคุณโดนน้ำพัดมาเหมือนกำลังจะตาย ก็เลยช่วยชีวิตเอาไว้ คิดว่าตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้วล่ะมั้ง”

    “ถูกช่วยไว้อีกเหรอเนี่ย...” เขาถามสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างนิ่งก่อนที่จะขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจกะทันหัน “ชิ...!”

    “ห๊ะ...?”

    เมื่อกี้เขาพูดว่า ‘ชิ’ งั้นเรอะ!

    นี่เขาตั้งใจจะตายตั้งแต่แรกรึไงกัน!

    “คนที่มาขัดขวางการโดดน้ำของฉันต่อจากอัตสึชิคุงคือเธอเอง...เหรอ...” คนตรงหน้ากล่าวถามจบไปเหมือนโดนสตั๊นท้ายประโยคพร้อมค่อยๆ เงยหน้ามามองอยู่นานหลายวินาที จนกระทั่งรีบลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนพื้น กุมมือทั้งสองข้างของฉันอย่างเร็วไว

    หมับ!

    “โอ้ว...นี่มันนางฟ้าผู้บันดาลจากสรวงสวรรค์ชัดๆ”

    “เอ๊ะ!? นะ...นางฟ้า!?” ฉันแอบสะดุ้งเล็กน้อยจนเกือบกระโดดถอยหลังให้ห่างออกไปจากคนแปลกประหลาด

    “พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาให้ได้พบสาวงามในเวลาใกล้สิ้นลมขนาดนี้ ช่างเป็นพระคุณอย่างสูงเสียจริง”

    เดี๋ยวๆๆ ท่านหัดแหกตาดูสภาพสังขารของฉันตอนนี้หน่อยสิเฮ้ย!

    จะอดตายเพราะไม่ได้กินข้าวสามมื้อแล้วเนี่ยย!!

    “ว่าแต่เธอสนใจที่จะฆ่าตัวตายคู่กับฉันมั้ยเอ่ย” เขาถามพร้อมลูบไล้หลังมือไปมาด้วยความเพลิดเพลิน สีหน้าตอนนี้ดูท่าทางจะฟินแปลกๆ ยังไงไม่รู้

    ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!!

    “มะ...ไม่เอาอ่ะ ใครมันจะยอมตายง่ายๆ แบบนั้นกันเล่า!”

    “ฮืม...ดูท่าทางฉันจะทำให้เธอเดือดร้อนแล้วสิเนี่ย ทั้งที่การฆ่าตัวตายอย่างใสสะอาดและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนคือปณิธานของฉันแท้ๆ รู้สึกเสียดายจัง”

    ท่านจะเสียดายเพื่ออะไรกันนิ!!?

    “เอางี้...เธอพอจะมีวิธีฆ่าตัวตายง่ายๆ ไม่ทรมาน---”

    จ๊อกกก~

    ก่อนที่ผู้ชายจิตพิลึกจะซักถามเกินเลยกว่านั้น เสียงท้องร้องของฉันก็ดังมาขัดจังหวะได้อย่างเหมาะเจาะ ถ้าเป็นไปได้นี่อยากจะถอดกระเพาะออกแล้วพนมมือกราบขอบคุณสักสองสามรอบซะเหลือเกิน

    “หิวอยู่งั้นรึ แม่โฉมงาม” เขาเปิดปากถามสิ่งที่น่าจะรู้คำตอบดีแก่ใจ ซึ่งยังคงกุมมือทั้งสองไว้เหมือนเดิมไม่มีวี่แววจะปล่อย

    “แหงอยู่แล้วสิ...ล่ออดข้าวอดปลาตั้งแต่เช้ายันเย็นขนาดนี้อ่ะ...” ฉันตอบไปด้วยสีหน้าอิดโรยแล้วค่อยๆ ดึงมือซ้ายออกมาลูบท้องตัวเองเบาๆ

    จ๊อกกก~

    หืมม...? แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เสียงท้องร้องของฉันแล้วแฮะ

    “บังเอิญจัง ความจริงฉันเองก็หิวเหมือนกัน แต่ดูท่าทางกระเป๋าเงินจะหายไปกับแม่น้ำเรียบร้อยแล้วด้วยสิ” เขาล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทออกทั้งสองข้างเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตา สิ่งที่เจอแทนกระเป๋าเงินคือ เหล่ากบน้อยสองตัวกระโดดดึ๋งลงแม่น้ำ

    จุ๋ม!

    โธ่...ไอ้เราหวังอยู่ลึกๆ ว่าเขาจะพาเลี้ยงข้าวกินด้วยกัน เล่นซะรู้สึกเจ็บจี๊ดใจไปเลย

    “เฮ้อ...”

    ฉันถอนหายใจหนักหน่วงด้วยความสิ้นหวังจนร่างกายเริ่มไม่มีเรี่ยวแรง แทบทรุดลงบนพื้น ในใจแอบคิดว่า คงต้องยอมตายพร้อมผู้ชายตรงหน้าจริงๆ แต่อีกใจหนึ่งคัดค้านและตะโกนดังกึกก้องว่า ควรมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อไปช่วยคุณลุงนายพรานก่อน

    “ทีนี้เอายังไงดีน้า...แม่โฉมงาม ต่างคนต่างหิวข้าวเหมือนกันแบบนี้ มานั่งรอให้เวลาผ่านไปนานๆ จนกว่าเราจะตายด้วยกันดีกว่ามั้ย” ชายหนุ่มจิตพิลึกลุกขึ้นยืนและยังคงยืนยันอยากฆ่าตัวตายด้วยกันต่อโดยไม่คิดซักถามความสมัครใจอะไรใดๆ เลย

    “บอกแล้วไงว่าไม่เอาอ่ะ! ก่อนอื่นเลยช่วยฟังฉัน---”

    “ไอ้บ้าดาซายยยยย!!!”

    ตึกๆๆๆๆ

    ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค เสียงผู้ชายอีกคนได้ดังขึ้นมาจากสะพาน เขากระโดดลงพื้นแล้วรีบวิ่งมาทางพวกเราสองคนอย่างเร็วไว เหมือนกำลังเข้าร่วมแข่งขันวิ่งมาราธอน จากนั้นก็กระโดดถีบท้องของอีกคนด้วยสองขาจนปลิวไปหลายเมตร

    “เอื้อออ~ คุนิคิดะคุงมาถึงไวจังเลยน้าา~ แอ่ก...”

    “แกนี่มันตัวปัญหาจริงๆ เลย ดาไซ!! แล้วแบบนี้ฉันจะทำงานตามกำหนดการได้จริงจังมั้ยเนี่ย!!” ชายหนุ่มชื่อคุนิคิดะโวยวายใส่คนชื่อดาไซก่อนที่จะสงบจิตสงบใจเดินเข้ามายื่นมือซ้ายตรงหน้าฉัน “เธอไม่เป็นไรนะ...ไอ้บ้านั่นได้ทำอะไรล่วงเกินรึเปล่า”

    เขามีรูปร่างที่ผอมสูง ผมทรงหนามปัดสองข้างสีบลอนด์เข้มหม่น ดวงตาสีเขียวเทา หน้าม้าส่วนมากปัดไปทางซ้ายและโพนี่เทลยาวลงประมาณสะบักหลัง ชุดที่ใส่เป็นเสื้อกั๊กสีเบจทับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ ริบบิ้นยาวสีแดงผูกเป็นโบว์แทนเนคไท กางเกงขายาวสีเบจและรองเท้าสีน้ำตาล จุดเด่นคือแว่นใสกรอบสี่เหลี่ยมมนอันมีเสน่ห์

    ขอยอมรับจากใจเลยว่าดูดีสำหรับฉันจริงๆ การที่มีเขาคนนี้ยืนตรงหน้ามันทำให้ใจเต้นตึกตักแปลกๆ เพราะเบื้องลึกแอบมีภูมิแพ้หนุ่มแว่นอยู่

    “อะ...เอ่อ...ค่ะ เขาไม่ได้ทำอะไรมากมายหรอก” ฉันค่อยๆ ยื่นมือขวาไปจับแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมยิ้มให้เล็กๆ “แต่ก็ขอบคุณนะคะ...ถ้าคุณมาช่วยไม่ทัน...เขาคงจะลากไปฆ่าตัวตายคู่ก่อนแน่ๆ เลย”

    “ว่าไงนะ! งั้นรอเดี๋ยวแป๊บนะ” คุนิคิดะรีบวิ่งไปหาดาไซที่กำลังลุกขึ้นยืนพร้อมจับบีบคอโยกด้วยความโมโหทันที

    หมับ!

    “แกนะแก!! โดดลงแม่น้ำเพราะแค่พูดว่า ‘แม่น้ำนี่ดีจังน้า’ ไม่พอ ยังพาผู้หญิงฆ่าตัวตายคู่ด้วยอีก ถ้าอยากตายนักล่ะก็...ให้ฉันคนนี้ช่วยสนองความต้องการจะไม่ดีกว่ารึไง!!!”

    อืมม...ดูท่าทางว่าคู่นี้จะกัดกันค่อนข้างบ่อยเลยแฮะ

    “แหะๆๆ คุนิ...คิดะ...คุงเนี่ย...ขี้โมโห...เหมือนเดิมเลยน้าา” ชายหนุ่มจิตพิลึกพูดเว้นช่วงจังหวะตอนโยกไปมาได้อย่างเป๊ะเวอร์อย่างกับจังหวะเพลง

     “เฮอะ...!” หนุ่มแว่นผมบลอนด์เข้มทำสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วยอมปล่อยมือลง 

    “อ้อ...จะว่าไปยังไม่ทันได้แนะนำตัวเลยเนาะ ฉันชื่อ ดาไซ โอซามุ ส่วนเพื่อนร่วมงานใส่แว่นคนนี้ชื่อ คุนิคิดะ ดปโป แล้วเธอล่ะ...แม่โฉมงาม”

    “เอ่อ...ทาจิบานะ ยูกิ...”

    “ยินดีที่ได้รู้จัก ทาจิบานะ ว่าแต่เย็นป่านนี้แล้วเธอมาทำอะไรในที่แบบนี้ล่ะ รีบๆ กลับบ้านเถอะ” คุนิคิดะเริ่มถามสถานการณ์ของฉันในปัจจุบันพร้อมขยับแว่นตัวเองหนึ่งที

    “...ขืนกลับบ้านด้วยสภาพนี้ไม่น่าจะไหวหรอกค่ะ เพราะหนีอาชญากรกลุ่มหนึ่งมาตั้งแต่เช้าและยังไม่ได้กินอะไรเลยสักอย่าง แถมเงินก็ไม่มีติดตัวซะด้วย...”

    จ๊อกกก~!

    เสียงท้องร้องของฉันและดาไซต่างดังพร้อมกันเหมือนนัดหมายกันมา ทำให้หนุ่มแว่นถึงกับถอนหายใจแรง เกาหัวด้วยความหนักอกหนักใจแล้วเปิดดูหนังสือพกพาเล่มหนึ่งที่มีหน้าปกเขียนว่า ‘อุดมคติ’

    “ให้ตายเถอะ...กำหนดการเริ่มล่าช้าจนได้ แต่ในเมื่อกำลังจะอดตายกันแบบนี้แล้ว ฉันจะยอมทำข้าวเย็นให้กินที่บ้านพักหนึ่งวันละกัน ข้อแม้คือเธอต้องเล่าเรื่องเกี่ยวกับการหนีอาชญากรอะไรนั่นให้พวกฉันฟังด้วยนะ ทาจิบานะ ยูกิ”

    “ว้าวๆๆ วันนี้คุนิคิดะคุงใจดีผิดปกติแฮะ ฤดูร้อนนี้หิมะตกแน่นอนเลย!” ดาไซเดินไปโอบไหล่เพื่อนร่วมงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อนที่จะมองมายังตัวฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่ก่อนอื่นคงต้องซื้อเสื้อผ้าให้ยูกิจังใส่ใหม่แล้วล่ะนะ เดินไปมาด้วยชุดโทรมๆ แบบนี้คงไม่ดีแน่”

    “เฮ้ย...ดาไซ อย่าให้ฉันใช้เงินมากกว่านี้เลยเหอะ มันไม่ได้หามาง่ายๆ นะเฟ้ย อีกอย่างทาจิบานะก็ต้องกลับบ้านหลังกินข้าวเสร็จด้วย ไม่มีเหตุผลที่จะซื้อเสื้อผ้า---”

    “มีสิคะ...คุณคุนิคิดะ มันต้องมีเหตุผลต้องซื้อมันใหม่อยู่ ไว้อธิบายอีกที...ตอนกินข้าวละกันนะคะ...”

    สิ้นเสียงพูดขัดจังหวะแล้ว ฉันเริ่มเดินนำล่วงหน้าพวกเขาสองคน แต่เหตุเพราะไม่ได้กินอะไรทั้งสามมื้อ ร่างกายจึงค่อยๆ อ่อนเพลีย เรี่ยวแรงลดฮวบลง จนกระทั่งรู้สึกวูบๆ และล้มนอนลงพื้น

    ฟุ่บ!

    “ฮะ...เฮ้! ทาจิบานะ...ทาจิบานะ!”

    ในช่วงเสี้ยววินาที ฉันได้ยินเสียงคุนิคิดะเรียกชื่อเพื่อปลุกสติ หลังจากนั้นสติสัมปชัญญะก็ค่อยๆ หายทีละนิด ผลสุดท้ายคือสลบลงไปอย่างจริงจัง...

    [ To be continued ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×