คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Episode 2 เริ่มต้นชีวิตใหม่
ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ฉันยังคงนอนโทรมอย่างกับคนใกล้สิ้นลมหายใจเหมือนเดิม เงินทองไม่มีติดตัว เสื้อผ้าโคตรเก่าเหมือนไม่เคยซื้อใหม่ ที่อยู่หลับนอนก็ดันเป็นใต้สะพาน ไม่มีแม้แต่เพื่อนหรือคนรู้จักจากสังคมภายนอกสักคน
เฮ้อ...พอเห็นสภาพแบบนี้แล้วนี่มันน้องหมาจรจัดชัดๆ จะฝืนลุกขึ้นไปช่วยคุณลุงนายพรานก็ไม่ไหว สังขารบางๆ ยังไม่ทันได้รับการเติมพลังกายด้วยอาหารสักนิด มือไม้ทั้งสองสั่นระริกอย่างหิวโหย ในหัวมีแต่เรื่องนู่นนี่นั่นวนเวียนไปมา
ถ้ายอมนั่งเป็นขอทานข้างถนนมันคงน่าเกลียดไปนิด
ถ้าวิ่งขโมยเงินชาวบ้านเท่ากับการก่ออาชญากรรมอีก
ถ้านั่งถอนหญ้ากินจะกลายเป็นว่าตัวเองวิวัฒนาการสู่วัวน้อยจรจัด
หรือถ้ายอมเปลี่ยนตัวเองเป็นคนยุคหินเก่าโบราณนี่ก็ไม่ไหวจริงจัง
“...”
แอบเชื่อแล้วแหละว่า ความหิวของคนเราทำให้กลายเป็นคนบ้า ทำสิ่งที่บ้าบิ่นเกินกว่าคนปกติจะทำได้ เวลาโมโหถึงได้เรียกกันว่า โมโหหิว คือมันหิวจนวีนใส่คนรอบข้างรัวๆ ไม่เกรงใจบรรยากาศรอบข้างหรืออย่างอื่นใด
วินาทีที่กำลังนั่งคิดเรื่องเมื่อครู่เรื่อยเปื่อยอยู่นั้น...
“หือ...?”
สายตาของฉันบังเอิญเหลือบเห็นบางอย่างในแม่น้ำ พอมองพิจารณาดีๆ แล้วทำให้รู้เลยว่านั่นมันร่างของคนที่กำลังลอยน้ำ ขาทั้งสองยกขึ้นชี้ฟ้า เป็นใครเพศอะไรไม่อาจทราบได้ แต่ถ้าให้เดาจากเรียวขายาวที่ใส่กางเกงสีเบจ รองเท้าสีน้ำตาลเข้มแล้วก็น่าจะเป็นผู้ชาย
“เอ่อ...ปล่อยเขาไว้แบบนั้นดีกว่ามั้ยนะ...”
“บุ๋มๆๆๆ วะ...อั่กๆๆๆๆๆ”
เสียงคนๆ นั้นที่เหมือนจะพูดหรือร้องอะไรบางอย่างใต้น้ำดังมาแต่ไกล ร่างของเขาหมุนเป็นวงกลม ขาขวากระตุกไปมาราวกับว่ากำลังสิ้นใจตายอย่างอเนจอนาจ
“เอิ่ม...” ฉันส่งสายตามองด้วยสีหน้าตายด้านและเงิบแดกหนักยิ่งกว่าเดิม เมื่อเริ่มมีเหล่านกกาสีดำจำนวนสี่ตัวบินเข้าไปจิกขาข้างละสองตัว
จะปล่อยไว้ให้ตายแบบนั้นจริงดิ...ยูกิ
เธอไม่ยื่นมือช่วยเหลือสักหน่อยเหรอ...
...เขาอาจจะตายโดยไม่มีใครในครอบครัวรับรู้ก็ได้นะ
“โธ่เอ๊ย...เอางั้นก็ได้! มุ่งหน้าไปช่วยคนๆ นั้นซะ...แคทเชอร์(ผู้คว้า)”
หลังจากเถียงกับตัวเองในใจพักหนึ่ง ฉันตัดสินใจดีดนิ้วมือข้างซ้ายเรียกอสรพิษด้านดีออกจากข้างหลัง ควันสีดำค่อยๆ ลอยในอากาศพร้อมร่างของมันปรากฏขึ้น จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางคนลอยน้ำ สั่งให้ช่วยไล่นกกาก่อนที่มันจะอ้าปากคาบขาซ้ายและดึงร่างกลับมานอนหงายบนพื้น
ตุบ!
“...”
อย่างที่เคยเดาไว้เลย ร่างคนๆ นี้เป็นผู้ชาย เรือนผมลอนสั้นสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม มีผมหน้าม้าบางส่วนปัดรวมไว้กลางหน้าผาก รูปลักษณ์ดูสูงและผอมเพรียว ใส่โค้ทสีเหลืองน้ำตาลอ่อนยาวลงถึงขา เสื้อสีดำที่อยู่ด้านในสองชั้นน่าจะเป็นเสื้อกั๊กทับบนเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาวผสมฟ้าอ่อน ผูกริบบิ้นสีน้ำตาลที่มีหินเทอร์คอยส์ให้เป็นเนคไท
แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ผ้าพันแผลที่พันคอและแขนเต็มไปหมด!
นะ...นี่มันคนตายกลับชาติเป็นมัมมี่รึเปล่าเนี่ย...
“เฮือก!”
ในขณะที่กำลังพิจารณาชุดองค์ทรงเครื่องอย่างจดจ่อ จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ยกตัวขึ้นนั่งหลังตรงเหมือนศพฟื้นคืนชีพ สายตามองตรงออกคนละฝั่งที่ฉันยืนอยู่ หยดน้ำบนหัวย้อยลงพื้นทีละนิด ยังไม่มีการตอบสนองอย่างอื่นใดต่อ
ฉันดีดนิ้วมือข้างซ้ายอีกหนึ่งครั้งเพื่อให้เจ้าแคทเชอร์กลับสู่ภาวะเดิม ร่างของมันสลายหายไปพร้อมควันสีดำที่ลอยในอากาศไม่กี่วินาที สักพักจึงเดินอ้อมไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าเขาคนนั้นและเริ่มเปิดบทสนทนา
“เอ่อ...คืองี้นะ ฉันเห็นคุณโดนน้ำพัดมาเหมือนกำลังจะตาย ก็เลยช่วยชีวิตเอาไว้ คิดว่าตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้วล่ะมั้ง”
“ถูกช่วยไว้อีกเหรอเนี่ย...” เขาถามสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงค่อนข้างนิ่งก่อนที่จะขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจกะทันหัน “ชิ...!”
“ห๊ะ...?”
เมื่อกี้เขาพูดว่า ‘ชิ’ งั้นเรอะ!
นี่เขาตั้งใจจะตายตั้งแต่แรกรึไงกัน!
“คนที่มาขัดขวางการโดดน้ำของฉันต่อจากอัตสึชิคุงคือเธอเอง...เหรอ...” คนตรงหน้ากล่าวถามจบไปเหมือนโดนสตั๊นท้ายประโยคพร้อมค่อยๆ เงยหน้ามามองอยู่นานหลายวินาที จนกระทั่งรีบลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนพื้น กุมมือทั้งสองข้างของฉันอย่างเร็วไว
หมับ!
“โอ้ว...นี่มันนางฟ้าผู้บันดาลจากสรวงสวรรค์ชัดๆ”
“เอ๊ะ!? นะ...นางฟ้า!?” ฉันแอบสะดุ้งเล็กน้อยจนเกือบกระโดดถอยหลังให้ห่างออกไปจากคนแปลกประหลาด
“พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาให้ได้พบสาวงามในเวลาใกล้สิ้นลมขนาดนี้ ช่างเป็นพระคุณอย่างสูงเสียจริง”
เดี๋ยวๆๆ ท่านหัดแหกตาดูสภาพสังขารของฉันตอนนี้หน่อยสิเฮ้ย!
จะอดตายเพราะไม่ได้กินข้าวสามมื้อแล้วเนี่ยย!!
“ว่าแต่เธอสนใจที่จะฆ่าตัวตายคู่กับฉันมั้ยเอ่ย” เขาถามพร้อมลูบไล้หลังมือไปมาด้วยความเพลิดเพลิน สีหน้าตอนนี้ดูท่าทางจะฟินแปลกๆ ยังไงไม่รู้
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!!
“มะ...ไม่เอาอ่ะ ใครมันจะยอมตายง่ายๆ แบบนั้นกันเล่า!”
“ฮืม...ดูท่าทางฉันจะทำให้เธอเดือดร้อนแล้วสิเนี่ย ทั้งที่การฆ่าตัวตายอย่างใสสะอาดและไม่ทำให้ใครเดือดร้อนคือปณิธานของฉันแท้ๆ รู้สึกเสียดายจัง”
ท่านจะเสียดายเพื่ออะไรกันนิ!!?
“เอางี้...เธอพอจะมีวิธีฆ่าตัวตายง่ายๆ ไม่ทรมาน---”
จ๊อกกก~
ก่อนที่ผู้ชายจิตพิลึกจะซักถามเกินเลยกว่านั้น เสียงท้องร้องของฉันก็ดังมาขัดจังหวะได้อย่างเหมาะเจาะ ถ้าเป็นไปได้นี่อยากจะถอดกระเพาะออกแล้วพนมมือกราบขอบคุณสักสองสามรอบซะเหลือเกิน
“หิวอยู่งั้นรึ แม่โฉมงาม” เขาเปิดปากถามสิ่งที่น่าจะรู้คำตอบดีแก่ใจ ซึ่งยังคงกุมมือทั้งสองไว้เหมือนเดิมไม่มีวี่แววจะปล่อย
“แหงอยู่แล้วสิ...ล่ออดข้าวอดปลาตั้งแต่เช้ายันเย็นขนาดนี้อ่ะ...” ฉันตอบไปด้วยสีหน้าอิดโรยแล้วค่อยๆ ดึงมือซ้ายออกมาลูบท้องตัวเองเบาๆ
จ๊อกกก~
หืมม...? แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เสียงท้องร้องของฉันแล้วแฮะ
“บังเอิญจัง ความจริงฉันเองก็หิวเหมือนกัน แต่ดูท่าทางกระเป๋าเงินจะหายไปกับแม่น้ำเรียบร้อยแล้วด้วยสิ” เขาล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทออกทั้งสองข้างเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตา สิ่งที่เจอแทนกระเป๋าเงินคือ เหล่ากบน้อยสองตัวกระโดดดึ๋งลงแม่น้ำ
จุ๋ม!
โธ่...ไอ้เราหวังอยู่ลึกๆ ว่าเขาจะพาเลี้ยงข้าวกินด้วยกัน เล่นซะรู้สึกเจ็บจี๊ดใจไปเลย
“เฮ้อ...”
ฉันถอนหายใจหนักหน่วงด้วยความสิ้นหวังจนร่างกายเริ่มไม่มีเรี่ยวแรง แทบทรุดลงบนพื้น ในใจแอบคิดว่า คงต้องยอมตายพร้อมผู้ชายตรงหน้าจริงๆ แต่อีกใจหนึ่งคัดค้านและตะโกนดังกึกก้องว่า ควรมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อไปช่วยคุณลุงนายพรานก่อน
“ทีนี้เอายังไงดีน้า...แม่โฉมงาม ต่างคนต่างหิวข้าวเหมือนกันแบบนี้ มานั่งรอให้เวลาผ่านไปนานๆ จนกว่าเราจะตายด้วยกันดีกว่ามั้ย” ชายหนุ่มจิตพิลึกลุกขึ้นยืนและยังคงยืนยันอยากฆ่าตัวตายด้วยกันต่อโดยไม่คิดซักถามความสมัครใจอะไรใดๆ เลย
“บอกแล้วไงว่าไม่เอาอ่ะ! ก่อนอื่นเลยช่วยฟังฉัน---”
“ไอ้บ้าดาซายยยยย!!!”
ตึกๆๆๆๆ
ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค เสียงผู้ชายอีกคนได้ดังขึ้นมาจากสะพาน เขากระโดดลงพื้นแล้วรีบวิ่งมาทางพวกเราสองคนอย่างเร็วไว เหมือนกำลังเข้าร่วมแข่งขันวิ่งมาราธอน จากนั้นก็กระโดดถีบท้องของอีกคนด้วยสองขาจนปลิวไปหลายเมตร
“เอื้อออ~ คุนิคิดะคุงมาถึงไวจังเลยน้าา~ แอ่ก...”
“แกนี่มันตัวปัญหาจริงๆ เลย ดาไซ!! แล้วแบบนี้ฉันจะทำงานตามกำหนดการได้จริงจังมั้ยเนี่ย!!” ชายหนุ่มชื่อคุนิคิดะโวยวายใส่คนชื่อดาไซก่อนที่จะสงบจิตสงบใจเดินเข้ามายื่นมือซ้ายตรงหน้าฉัน “เธอไม่เป็นไรนะ...ไอ้บ้านั่นได้ทำอะไรล่วงเกินรึเปล่า”
เขามีรูปร่างที่ผอมสูง ผมทรงหนามปัดสองข้างสีบลอนด์เข้มหม่น ดวงตาสีเขียวเทา หน้าม้าส่วนมากปัดไปทางซ้ายและโพนี่เทลยาวลงประมาณสะบักหลัง ชุดที่ใส่เป็นเสื้อกั๊กสีเบจทับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ ริบบิ้นยาวสีแดงผูกเป็นโบว์แทนเนคไท กางเกงขายาวสีเบจและรองเท้าสีน้ำตาล จุดเด่นคือแว่นใสกรอบสี่เหลี่ยมมนอันมีเสน่ห์
ขอยอมรับจากใจเลยว่าดูดีสำหรับฉันจริงๆ การที่มีเขาคนนี้ยืนตรงหน้ามันทำให้ใจเต้นตึกตักแปลกๆ เพราะเบื้องลึกแอบมีภูมิแพ้หนุ่มแว่นอยู่
“อะ...เอ่อ...ค่ะ เขาไม่ได้ทำอะไรมากมายหรอก” ฉันค่อยๆ ยื่นมือขวาไปจับแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมยิ้มให้เล็กๆ “แต่ก็ขอบคุณนะคะ...ถ้าคุณมาช่วยไม่ทัน...เขาคงจะลากไปฆ่าตัวตายคู่ก่อนแน่ๆ เลย”
“ว่าไงนะ! งั้นรอเดี๋ยวแป๊บนะ” คุนิคิดะรีบวิ่งไปหาดาไซที่กำลังลุกขึ้นยืนพร้อมจับบีบคอโยกด้วยความโมโหทันที
หมับ!
“แกนะแก!! โดดลงแม่น้ำเพราะแค่พูดว่า ‘แม่น้ำนี่ดีจังน้า’ ไม่พอ ยังพาผู้หญิงฆ่าตัวตายคู่ด้วยอีก ถ้าอยากตายนักล่ะก็...ให้ฉันคนนี้ช่วยสนองความต้องการจะไม่ดีกว่ารึไง!!!”
อืมม...ดูท่าทางว่าคู่นี้จะกัดกันค่อนข้างบ่อยเลยแฮะ
“แหะๆๆ คุนิ...คิดะ...คุงเนี่ย...ขี้โมโห...เหมือนเดิมเลยน้าา” ชายหนุ่มจิตพิลึกพูดเว้นช่วงจังหวะตอนโยกไปมาได้อย่างเป๊ะเวอร์อย่างกับจังหวะเพลง
“เฮอะ...!” หนุ่มแว่นผมบลอนด์เข้มทำสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยแล้วยอมปล่อยมือลง
“อ้อ...จะว่าไปยังไม่ทันได้แนะนำตัวเลยเนาะ ฉันชื่อ ดาไซ โอซามุ ส่วนเพื่อนร่วมงานใส่แว่นคนนี้ชื่อ คุนิคิดะ ดปโป แล้วเธอล่ะ...แม่โฉมงาม”
“เอ่อ...ทาจิบานะ ยูกิ...”
“ยินดีที่ได้รู้จัก ทาจิบานะ ว่าแต่เย็นป่านนี้แล้วเธอมาทำอะไรในที่แบบนี้ล่ะ รีบๆ กลับบ้านเถอะ” คุนิคิดะเริ่มถามสถานการณ์ของฉันในปัจจุบันพร้อมขยับแว่นตัวเองหนึ่งที
“...ขืนกลับบ้านด้วยสภาพนี้ไม่น่าจะไหวหรอกค่ะ เพราะหนีอาชญากรกลุ่มหนึ่งมาตั้งแต่เช้าและยังไม่ได้กินอะไรเลยสักอย่าง แถมเงินก็ไม่มีติดตัวซะด้วย...”
จ๊อกกก~!
เสียงท้องร้องของฉันและดาไซต่างดังพร้อมกันเหมือนนัดหมายกันมา ทำให้หนุ่มแว่นถึงกับถอนหายใจแรง เกาหัวด้วยความหนักอกหนักใจแล้วเปิดดูหนังสือพกพาเล่มหนึ่งที่มีหน้าปกเขียนว่า ‘อุดมคติ’
“ให้ตายเถอะ...กำหนดการเริ่มล่าช้าจนได้ แต่ในเมื่อกำลังจะอดตายกันแบบนี้แล้ว ฉันจะยอมทำข้าวเย็นให้กินที่บ้านพักหนึ่งวันละกัน ข้อแม้คือเธอต้องเล่าเรื่องเกี่ยวกับการหนีอาชญากรอะไรนั่นให้พวกฉันฟังด้วยนะ ทาจิบานะ ยูกิ”
“ว้าวๆๆ วันนี้คุนิคิดะคุงใจดีผิดปกติแฮะ ฤดูร้อนนี้หิมะตกแน่นอนเลย!” ดาไซเดินไปโอบไหล่เพื่อนร่วมงานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อนที่จะมองมายังตัวฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่ก่อนอื่นคงต้องซื้อเสื้อผ้าให้ยูกิจังใส่ใหม่แล้วล่ะนะ เดินไปมาด้วยชุดโทรมๆ แบบนี้คงไม่ดีแน่”
“เฮ้ย...ดาไซ อย่าให้ฉันใช้เงินมากกว่านี้เลยเหอะ มันไม่ได้หามาง่ายๆ นะเฟ้ย อีกอย่างทาจิบานะก็ต้องกลับบ้านหลังกินข้าวเสร็จด้วย ไม่มีเหตุผลที่จะซื้อเสื้อผ้า---”
“มีสิคะ...คุณคุนิคิดะ มันต้องมีเหตุผลต้องซื้อมันใหม่อยู่ ไว้อธิบายอีกที...ตอนกินข้าวละกันนะคะ...”
สิ้นเสียงพูดขัดจังหวะแล้ว ฉันเริ่มเดินนำล่วงหน้าพวกเขาสองคน แต่เหตุเพราะไม่ได้กินอะไรทั้งสามมื้อ ร่างกายจึงค่อยๆ อ่อนเพลีย เรี่ยวแรงลดฮวบลง จนกระทั่งรู้สึกวูบๆ และล้มนอนลงพื้น
ฟุ่บ!
“ฮะ...เฮ้! ทาจิบานะ...ทาจิบานะ!”
ในช่วงเสี้ยววินาที ฉันได้ยินเสียงคุนิคิดะเรียกชื่อเพื่อปลุกสติ หลังจากนั้นสติสัมปชัญญะก็ค่อยๆ หายทีละนิด ผลสุดท้ายคือสลบลงไปอย่างจริงจัง...
[ To be continued ]
ความคิดเห็น