ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Bungo Stray Dogs] นางฟ้าแห่งคำสาป

    ลำดับตอนที่ #28 : Episode 19 เจอกันอีกครั้ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 429
      42
      5 มี.ค. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     Tiny Hand 

    [ มุมมองของยูกิ ]

    อึ่ก...

    เวลา...ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ...

    นี่คือสิ่งที่นึกถึงอันดับแรกก่อนที่จะเริ่มรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ทุกส่วนของร่างกายกลับมามีน้ำหนักเท่าเดิมหลังจากติดภายในห้วงความฝัน สายตาเหลือบเห็นเพดาน หน้าต่างและกำแพงห้องอันน่าคุ้นเคยของห้องพักตัวเอง

    เช้าแล้วเหรอเนี่ย...ฉันพูดพึมพำเบาๆ หลังสังเกตเห็นแสงแดดอ่อนสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างพลางยันตัวขึ้นนั่งในสภาพคนเพิ่งตื่นตามปกติ

    อ่ะ...ตื่นแล้วแฮะ...

    เสียงพึมพำจากอีกคนดังขึ้นทางซ้ายมือ ซึ่งเป็นน้ำเสียงของคนที่คุ้นเคยมากๆ พอลองขยี้ตาแล้วหันมองดูจึงพบกับร่างของชายหนุ่มผมสีขาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงเหลือง เขากำลังนั่งมองข้างฟูกนอนและส่งรอยยิ้มอ่อนทักทาย

    อรุณสวัสดิ์ครับ...คุณทาจิบานะ

    อะ...อรุณสวัสดิ์จ้ะ อัตสึชิ...คุงฉันพูดทักทายตอบกลับไปได้สักพักหนึ่งแล้วเพิ่งแสดงท่าทางประหลาดใจอย่างมากเหมือนรู้สึกช้า เอ๊ะ!? ยะ...อย่าบอกนะว่า...

    เอ่อ...พอดีผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าคุณจะฟื้นขึ้นเวลาไหน ก็เลย...นั่งเฝ้ามองตลอดทั้งคืน

    บะ...บ้าไปแล้ว! นี่เขาเล่นงี้เลยจริงดิ!

    คะ...คงไม่ได้เห็นอะไรแปลกๆ ใช่มั้ยอ่ะ...แบบว่าเอ่อ...ตอนนอนอาจจะดูไม่ดี...

    อืมม...จะว่าแปลกรึเปล่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ระหว่างที่คุณนอน...อสรพิษตัวหนึ่งได้เผยตัวขึ้นมาเฝ้าเป็นเพื่อนอัตสึชิยกมือขึ้นจับคางครุ่นคิดก่อนที่จะสังเกตเห็นบางอย่าง และตอนนี้มันก็ยังไม่สลายหายไปไหนเลย

    ฟ่ออ~

    “...?”

    ฉันเอียงคอสงสัยเล็กน้อยแล้วค่อยลองหันหน้ากลับไปมองข้างหลังจนพบควันสีดำบางๆ กับร่างของแคทเชอร์ลอยกลางอากาศ มันคลอเคลียบนแก้มซ้ายทักทายและส่งโทรจิตบอกว่าเหตุผลที่นักสืบหนุ่มนั่งเฝ้าตลอดคือ กลัวว่าจะมีใครแอบลอบโจมตีภายหลัง แถมยังไม่เคยได้กลับห้องพักตัวเองด้วย

    งั้นเหรอเนี่ย...นายเองก็คงเป็นห่วงด้วยเหมือนกันสินะ

    เอ๊ะ? มะ...เมื่อกี้มันพูดกับคุณด้วยเหรอครับหนุ่มผมขาวรู้สึกแปลกประหลาดใจมากแล้วค่อยลองยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ ซึ่งทำเอามันเคลิ้มดั่งเด็กน้อยก็ไม่ปานจนเริ่มสลายหายกับควันสีดำเพื่อพักผ่อนและฟื้นฟูตัวเอง

    อื้ม...แต่ก็ทำได้แค่ส่งโทรจิตให้เท่านั้นเอง ฉันคิดมาโดยตลอดเลยว่ามันจะพูดคุยตามปกติเหมือนริปเปอร์ในช่วงเวลาไหน และเมื่อไหร่ริปเปอร์จะยอมปรากฏในโลกภายนอกอย่างจริงจังสักที

    ฉันพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกจากฟูกนอนเพื่อเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำยามเช้า โชคดีหน่อยที่ชุดฮู้ดหูกระต่ายธีมสีดำมีเยอะพอควรเพราะความบ้าบิ่นของดาไซที่พยายามพาไปซื้อในช่วงเพิ่งเริ่มทำความรู้จักหรือแม้กระทั่งตอนว่างงาน

    ถึงบางครั้งจะต้องได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายเชิงสั่งสอนจากคุนิคิดะตลอด แต่ก็ยังอุตส่าห์ใจอ่อนโดยมีการทิ้งทายว่าอย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยจนเกินกำหนดการที่ตัวเองจดไว้

    ผมคิดว่า...น่าจะต้องชำระล้างคำสาปออกให้สำเร็จก่อนล่ะมั้งครับ ถึงเป็นแค่การคาดเดาแต่นั่นก็คือความเป็นไปได้...คุณดาไซเองก็คงแอบคาดเดาแบบนั้นไว้ในใจเหมือนกัน

    อ่อ...จริงด้วยแฮะ ดูท่าทางอัตสึชิเขาจะนับถือดาไซพอๆ กับอาคุตางาวะเลยสินะ

    แบบนี้คงไม่น่าแปลกใจแล้วล่ะ...ว่าทำไมถึงเชื่อมั่นในหลายๆ อย่างในตัวเขากันมากมาย

    ...อีกนานแค่ไหนถึงจะมีโอกาสนั้นกันนะ แถมองค์กรแบล็คโคลเวอร์ที่เป็นศัตรูกับพวกเราก็ยังเตรียมทุกวิถีทางเพื่อจับตัวฉันไปขายอีก ถ้าเวลานั้นทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามคาดหวังไว้ล่ะก็...ฉัน---

    คุณทาจิบานะ...อัตสึชิลุกขึ้นเดินเข้ามาหาก่อนที่จะเริ่มยื่นมือสองข้างโอบแผ่นหลังไว้เสมือนการโอบกอดหลวมๆ อันแฝงไปด้วยความเคอะเขิน นั่นทำให้ฉันแอบสะดุ้งบวกกับใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวทันที ขะ...ขออนุญาต...แป๊บเดียวนะครับ...

    อะ...อัตสึชิคุง...!?”

    ผมเคยบอกแล้วนี่นา...แม้ฝีมือการต่อสู้จะอ่อนด้อยกว่าคนอื่น...แต่ผมจะปกป้องคุณเองอีกฝ่ายพูดในขณะที่มือขวาค่อยๆ ยกขึ้นมาลูบหัวอย่างอ่อนโยน และพวกเราทุกคน...ก็จะหาทางหยุดยั้งทุกอย่างเพื่อช่วยคุณให้ได้

    อ้อมกอดนี่มัน...ช่างอบอุ่นจริงๆ 

    ...เหมือนกำลังเติมเต็มความหวังและมุ่งมั่นให้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างล้นเหลือเลยแฮะ

    อื้ม...ขอบคุณนะ อัตสึชิคุง...ฉันหลับตาลงด้วยความเคลิบเคลิ้มเบาๆ หลังจากนักสืบผมขาวพยายามปลอบโยนให้รู้สึกสบายใจจนกระทั่งต้องแยกตัวห่างออกไป

    งะ...งั้นเดี๋ยวผมจะรอที่หน้าห้องพักละกันนะครับ ในระหว่างนี้คุณก็อาบน้ำแต่งตัวได้เลย

    ว่าจบอัตสึชิก็คลายอ้อมกอดเบาๆ พลางส่งรอยยิ้มด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อเพราะเขินอายก่อนที่จะเดินออกจากห้องพักไปรอตามที่ตัวเองเพิ่งบอกมาเมื่อครู่ ฉันแอบยิ้มเล็กๆ ให้กับเสือสมิงวัยสิบแปดแล้วค่อยเตรียมอาบน้ำแต่งตัวเดินทางเข้าสำนักงานนักสืบบุโซในวันนี้

    ตึก...ตึก...ตึก

    “...”

    จะว่าไป...ทำไมดาไซกับคุนิคิดะไม่ได้มากินอาหารเช้าที่นี่ล่ะเนี่ย

    แปลกจังแฮะ...

    “...?”

    ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถามในใจ ฉันสังเกตเห็นแผ่นกระดาษโน้ตบนโต๊ะอาหาร ซึ่งมีขนาดเท่ากระดาษจากสมุดอุดมคติของนักสืบแว่นเป๊ะ แน่นอนว่าเจ้าของโน้ตนี้ก็ดันเป็นเขาผู้นี้ซะด้วย

     

    เช้านี้ฉันกับเจ้าบ้าดาไซต้องรีบเข้าพบท่านประธานด่วนน่ะ...ยังไงก็เข้าสำนักงานพร้อมกับอัตสึชิละกัน ส่วนเรื่องอาหารเช้า...เธอไม่ต้องเป็นห่วงไป ฉันทำแซนด์วิชปลาทูน่ากับนมจืดไว้ในตู้เรียบร้อย อย่าลืมกินซะล่ะ

     

    อืม...ไม่ว่าจะรีบร้อนมากแค่ไหน เขาก็ยังอุตส่าห์เจียดเวลาทำอาหารเช้ามาเผื่อให้อีก

    ให้ตายเถอะ...สมกับเป็นคุณแม่แห่งสำนักงานนักสืบบุโซจริงๆ เลย


    เวลาผ่านไปไม่นาน

    หลังจากกินอาหารเช้าง่ายๆ ฝีมือคุนิคิดะจนอิ่ม ฉันกับอัตสึชิก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่ทำงานโดยไม่มียานพาหนะใดๆ บรรยากาศภายในตัวเมืองตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างมีธุระหรือภารกิจของตัวเองเช่นเดิม แม้บางส่วนจะดูซึมๆ เหมือนมีบางอย่างขาดหายในชีวิตแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ตลอดทาง

    ตึก...ตึก...ตึก

    พวกเขาดูซึมๆ แปลกๆ นะครับ...คุณทาจิบานะ

    ไม่แปลกนักหรอก...เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในแฟนคลับของฮารุกิได้เพียงแค่วันเดียว...ก่อนที่จะรู้ว่านั่นคงเป็นแค่ความฝันชั่วข้ามคืน

    ใช่...กลุ่มแฟนคลับเหล่านั้นต่างมีสีหน้าอารมณ์ทางลบกันเกือบทั้งหมด ซึ่งฉันเชื่อว่าถ้าเวลาผ่านไปนานๆ อาจจะกลับมาดีขึ้นเหมือนดั่งเดิมก็ได้

    นั่นสิ...แต่พวกเขาอาจจะโชคดีหน่อยที่เกิดเหตุสะเทือนแค่วันเดียว ไม่เหมือนกับผมในฐานะอดีตเด็กกำพร้าพ่อแม่และโดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    ตึก...ตึก...ตึก

    พอนักสืบหนุ่มพูดประโยคเมื่อครู่จบ พวกเราสองคนก็พบว่าตัวเองเดินทางมาถึงหน้าประตูสถานที่ทำงานอย่างสำนักงานนักสืบบุโซเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เข้าสู่ภายในตัวอาคารห้าชั้นและขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสี่ตามปกติ

    “...”

     

    เจ้านั่นอาจดูเซ่อไปนิด ชอบคิดจมปลักกับอดีตไปหน่อย ตัวเธอที่เป็นหนึ่งในพรรคพวกก็ดูแลให้ดีๆ ละกัน กระผมต่อสู้และสั่งสอนมันจนเหน็ดเหนื่อยมากพอแล้ว”

     

    “...อัตสึชิคุงเนี่ย...ไม่ต่างอะไรจากฉันจริงๆ แฮะ

    คุณทาจิบานะ...?”

    อ่อ...ปะ...เปล่าหรอกจ้ะ เมื่อกี้แค่บ่นถึงตัวเองนิดหน่อยเอง อย่าคิดมากเลยนะ

    ฉันพยายามยิ้มอ่อนกลบเกลื่อนความสมเพชเบาๆ ที่ต้องจมปักกับอดีตโดยตลอด ยิ่งพอนึกถึงคำพูดของอาคุตางาวะเมื่อนานมานี้ ยิ่งรู้สึกถึงความเหมือนแม้จะแตกต่างเพียงนิดเดียว

    “...”

    ถ้าไม่รีบเคลียร์ทุกอย่างให้จบ...มีหวังชีวิตถูกดึงให้ติดอยู่ในโคลนแห่งอดีตกาลพวกนั้นแน่ๆ

    เอ่อคือ...คุณทาจิบานะ...

    หืม...?”

    ...เสือสมิงเงียบปากได้ไม่กี่วินาทีก่อนที่จะเอื้อมมือมาจับฮู้ดหูกระต่ายลงและแตะผ้าปิดตาสีดำอย่างเบามือ อย่าลืมนะครับ...พวกผมทุกคนจะช่วยคุณออกจากคำสาปอย่างสุดความสามารถเอง

    “...? อะ...อื้ม...ฉันพยักหน้าตอบหน้าเล็กน้อยพร้อมยิ้มบางๆ ด้วยสีหน้าอารมณ์ค่อนข้างประหม่าเล็กน้อย

    แย่จริง...ดันทำท่าทีน่ากังวลให้เขาเห็นจนได้แฮะ

    .

    ..

    ...

    ....

    .....

    ปิ๊ง!

    ต่อมา พวกเราทั้งสองคนค่อยๆ เดินมุ่งหน้าไปยังหน้าห้องสำนักงานอันมีป้ายติดชื่อว่า Armed detective agency ซึ่งในจังหวะที่ฉันกำลังจะเอื้อมมือแตะลูกบิดประตู เสียงแห่งความวุ่นวายก็บังเกิด คาดว่านำโดยนักสืบจิตพิลึกผมน้ำตาลแน่นอน

    งั้นมาลุ้นพร้อมๆ กันเลยดีกว่าค่ะ...ท่านผู้อ่าน!!

    หนึ่ง...

    สอง...

    สาม!!

    ฮึ่บ!”

    ฉันเริ่มทำการเปิดประตูห้องอย่างรวดเร็วแล้วหันมองรอบๆ จนกระทั่งพบกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ดาไซ โอซามุ ซึ่งกำลังอยู่ในชุดผ้าจีวรสีน้ำตาลอ่อนห่มรอบตัวดั่งพระสงฆ์องค์หนึ่ง เท่านั้นยังไม่พอ เขากลับเล่นพิเรนทร์เหมือนเด็กอนุบาลโดยการนำผ้าพันแผลหลากเส้นวางกองรวมกับกองเอกสารเก่าๆ ชุ่มน้ำมันตั้งแต่โต๊ะท่านประธานฟุคุซาวะจนถึงประตูบานนี้

    โอ๊ะ...อรุณสวัสดิ์นะ โยมอัตสึชิและโยมยูกิ...จัง~

    “...”

    นี่เอ็งเป็นคนบ้าต้อนรับอรุณรึไงก๊านนนนน!!!

    นี่คุณเมาเห็ดพิษอีกแล้วเหรอครับเนี่ย...อัตสึชิหันมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าค่อนข้างตายด้าน เรียกได้ว่าหายากจริงๆ ที่เขาจะแสดงอาการเช่นนี้

    บ้าบออ~ มิได้เมาสักหน่อยย~ อีกอย่าง...อาตมาเจอวีดีโอตัวหนึ่งที่เขาแสดงอภินิหารกองไฟถ่านแดงๆ ยาวแปดเมตรด้วย ก็เลยอยากจำลองก่อนนำไปใช้จริงอ่ะนาา~

    ห๊ะ...? กองไฟยาวแปดเมตร?

    มันคืออิหยังวะคะ...

    อ้าว...โยมไม่รู้จักงั้นรือ มันคืออภินิหารจากหลวงปู่เค็มแห่งวัดเขาอีโต้ขว้างเป็ดไงเล่า แต่รอบนี้อาตมาจะรับบทเป็นหลวงพี่หวานเจี๊ยบแห่งวัดเขาบุโซขว้างเห็ดแทน อิอิ~

    อืม...สมกับเป็นนักสืบจิตพิลึกประจำสำนักงานนักสืบบุโซจริงๆ เลยค่ะ

    โหววว...เด็กสาวในชุดกิโมโนสีแดงซึ่งยืนมองใกล้ทางเข้าห้องท่านประธานยืนตะลึงแล้วรอดูสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะดำเนินการ

    งั้นคุณช่วยแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ได้เห็นหน่อยสิครับ

    แหมๆ ถ้าโยมอยากเห็นล่ะก็...อาตมาจะจัดให้ต่อหน้าศิษยานุศิษย์ต่อหน้าสามหมื่นกว่าคนเอง~ดาไซส่งสายตาวิ้งให้พวกเราเหมือนตัวเองหลงอาชีพเป็นไอดอลจิตไม่เต็มแล้วค่อยนั่งขัดสมาธิบนโต๊ะไม้พร้อมพนมมือไหว้ระดับกลางอก

    คือเอ็งจะแสดงแบบไหนก็ได้...แต่เอ็งไม่ควรนั่งบนโต๊ะน้านนน!!

    อีกอย่าง...พวกตูที่ยืนชมมีอยู่แค่สามคน ไม่ใช่สามหมื่น!!

    เอาล่ะ...พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง~

    ชิ้ง~

    ในจังหวะนั้นเอง นักสืบห่มผ้าน้ำตาลอ่อนก็เริ่มหยิบไฟแช็กออกจากกระเป๋าย่ามสีเหลืองอ่อนพร้อมโดดลงมาจุดไฟตั้งแต่ปลายผ้าพันแผลจนกระทั่งกองไฟลุกขึ้นลามเข้ามาหาฉันและอัตสึชิอย่างรวดเร็ว

    เดี๋ยวๆๆๆๆ นี่คุณเล่นบ้าอะไรเนี่ยย!! สำนักงานจะโดนเผาแล้วนะเฮ้ยย!!”

    เอาน่าๆ โยมยูกิจัง~ ตอนนี้คุนิคิดะคุงคงกลับมาจากคาเฟ่ไม่ทันหรอก~” เขาพูดด้วยความมั่นใจพร้อมกับหน้าฉาบปูนซีเมนต์หลายชั้นก่อนที่จะย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

    อึ่ก...พวกเราสองคนต่างยืนกลืนน้ำลายหนึ่งทีแล้วยังคงรอดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ก้าวแรกไม่เป็นไร...ก้าวต่อไป---

    ก้าวต่อไปเอ็งเริ่มทำตัวน่าถีบหงายยยย!!!”

    ช่วงวินาทีที่ดาไซกำลังเตรียมเดินต่อ เสียงโหวกเหวกจากด้านหลังฉันก็ดังขึ้นจนแทบสะดุ้งโหยง ชายหนุ่มร่างสูงรีบพุ่งเข้าไปกระโดดถีบสองเท้าโดนกลางอก ส่งผลให้ร่างอีกฝ่ายปลิวกระแทกขอบโต๊ะอย่างจัง

    แอ่ก~

    หน่วยดับเพลิง!! พร้อม!!”

    รับทราบคร้าบ~/โอเคจ้า~

    หลังจากนักสืบแว่นออกคำสั่งเมื่อครู่ เคนจิกับคุณหมอโยซาโนะก็รีบปรากฏตัวจากทางห้องฝั่งขวามือพร้อมกับอุปกรณ์ดับเพลิงครบเซ็ต พวกเขาทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อดับอภินิหารกองไฟเอกสารยาวแปดเมตรสุดเพี้ยนยามเช้า

    ฟู่วววววว!!

    ฮึ้ย...พอห่างจากสายตานิดหน่อยก็เพี้ยนใหญ่เลยนะ ไอ้บ้าดาไซ!!” คุนิคิดะเริ่มรับบทเป็นคุณแม่ประจำสำนักงานนักสืบบุโซจับคอเสื้อลากออกฝั่งซ้ายมือก่อนที่จะบีบคอโยกไปมาเหมือนเดิม เพิ่มเติมอีกคือเหวี่ยงร่างหมุนรอบตัว

    แหง่ก...แหง่ก...

    “เหอๆๆ ใครเห็นก็ว่าตายอ่ะ...

    ฉันยืนมองพลางพูดด้วยสีหน้าตายด้านแล้วค่อยจัดการเก็บกวาด ทำความสะอาดห้องทำงานให้เรียบร้อย ในใจแอบคิดว่าท่านประธานฟุคุซาวะจะรู้เรื่องนี้รึเปล่า เพราะเมื่อเช้านักสืบทั้งสองต่างรีบออกจากห้องพักเพื่อคุยเรื่องอะไรสักอย่าง

    ดีนะที่ยังพอมีคนจิตปกติช่วยหยุดยั้งเรื่องบ้าๆ นี่ได้...

    ตื๊ดดตื๊ดด~

    วินาทีที่เก็บอุปกรณ์ต่างๆ ครบถ้วน เสียงโทรศัพท์สั่นในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นเชิงเตือนว่ามีข้อความเข้า เมื่อหยิบมาดูหน้าจอปุ๊บ จึงพบกับข้อความใหม่จากเจ้าของคาเฟ่ในเครือสำนักงานนักสืบ ทำเอารู้สึกแปลกใจมากมาย จากนั้นจึงเริ่มกดเปิดอ่านเนื้อหาใจความนั้นๆ

     

    จาก : เมดอิสึมากิ

    ถึง : ทาจิบานะ ยูกิ

    สวัสดีค่ะ...คุณทาจิบานะ หากช่วงที่ได้รับข้อความเป็นการรบกวนระหว่างทำงานก็ต้องขออภัยล่วงหน้า แต่ขณะนี้มีลูกค้าท่านหนึ่งอยากพบพูดคุยกับคุณในคาเฟ่ ยังไงก็ขอให้จัดการเรื่องงานแล้วเข้าพบลูกค้า ณ เวลานี้ด้วยนะคะ

     

    ลูกค้า...จากทางคาเฟ่...

    พอได้รับข้อความของเมดสาวเจ้าของคาเฟ่ที่ส่งมาบอกว่า มีใครบางคนกำลังรอพบ ฉันก็แอบคิดหนักอยู่หลายนาทีจนกระทั่งตัดสินใจขอเดินลงจากห้องสำนักงานนักสืบบุโซด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ดันมีอัตสึชิคอยตามติดพร้อมบอกเหตุผลว่าจะปกป้องให้ได้ตามที่เคยสัญญา เขาดูเป็นห่วงมากถึงขนาดที่ว่าต้องฝากนกหวีดใส่กระเป๋าเสื้อฮู้ดสีดำไว้

    นกหวีด...?”

    เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นในคาเฟ่...คุณจะได้เป่าเรียกขอความช่วยเหลือจากผมไงล่ะเจ้าตัวส่งรอยยิ้มเล็กๆ แล้วค่อยจับไหล่ทั้งสองข้างด้วยสีหน้าจริงจัง งั้น...ระวังตัวด้วยนะครับ ผมจะรอหน้าทางเข้าเอง

    อื้ม...ฉันพยักหน้าตอบกลับพลางใส่ฮู้ดหูกระต่ายก่อนที่จะยื่นมือไปเปิดประตูตรงหน้า

    กริ๊ง~

    เสียงกระดิ่งน้อยๆ ดังขึ้นทันทีที่ประตูเปิดอ้าออกให้เห็นบรรยากาศอันน่าคุ้นเคย โทนสีน้ำตาล-เขียวจากโต๊ะ-เก้าอี้สะท้อนเข้ามาพร้อมกับแสงโคมไฟเบื้องบนและแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่าง ความเรียบง่ายอันสวยงามของห้องนี้น่าตราตรึงใจจนกลายเป็นคอมฟอร์ตรูมประจำสำนักงานเลยทีเดียว

    ฉันลองหันมองรอบๆ จนกระทั่งพบกับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหันมาทางนี้พอดี เธอมีสีผิวคล้ำหน่อยๆ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นประมาณไหล่ ตบท้ายด้วยผ้าคาดคาสีเทาที่ปกปิดนัยน์ตาทั้งสองไว้ อีกอย่าง...เธอถอดผ้าคลุมตัวสีดำเผยให้เห็นชุดอันแท้จริงแล้ว

    เรียว...โกะ...?”

    “...? มาแล้วสินะ ยูกิ งั้นขอรบกวนหน่อยละกัน... เรียวโกะพูดในขณะที่ตัวเองกำลังจิบเครื่องดื่มจากแก้วใบขนาดกลาง

    จะว่าไป...ผู้ชายที่ชื่อคูแลนน์ไม่ได้มาด้วยหรอกเหรอ

    อ่อ...พอดีเขากำลังเฝ้าดูจากบนดาดฟ้าของอาคารนี้อยู่น่ะ เพราะแอบกังวลด้วยว่าจะมีกลุ่มของผู้หญิงคนนั้นมาบุกรุกพวกเธอรึเปล่า

    อย่างนี้นี่เอง...

    ว่าจบฉันก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ริมในสุดของร้านแล้วค่อยหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้าม ช่วงจังหวะนั้นจึงได้เห็นรูปลักษณ์เต็มตัวภายใต้ผ้าคลุม

    องค์ประกอบคือ ผ้าคลุมไหล่สีเทา-ขาวยาวประมาณครึ่งต้นแขน เสื้อแขนกุดเอวลอยนิดๆ ที่ส่วนอกเป็นสีขาว ส่วนลำตัวข้างล่างเป็นสีกรมท่าอ่อนๆ มีลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีเหลืองทองสามจุดไล่ลงกลางหน้าท้อง ปลอกแขนสีดำยาวที่มีหูสวมคล้องนิ้วกลาง ท่อนล่างทั้งหมดล้วนเป็นสีดำ โดยมีกางเกงขาสั้น เลคกิ้ง และรองเท้าหนังกลับคล้ายกับของฉัน

    ทุกอย่างดูเท่ไม่เบานะเนี่ย...แทบไม่เชื่อเลยว่านี่คือนักเดินทางธรรมดา

    ฮืม...นมสดอุ่นของที่นี่อร่อยดีแฮะ

    นั่นสิ...ฉันเองก็ชอบดื่มเหมือนกัน

    บังเอิญดีนะ...งั้นไว้คราวหน้าจะลองเอาน้ำผึ้งมาผสมนมสดอุ่นสักหน่อยละกันเรียวโกะพูดหลังจากดื่มจนหมดและวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือจนกระทั่งค่อยๆ เงยหน้ามองผ่านผ้าคาดตา “แล้ว...”

    “...?”

    เธอเคยสงสัยเกี่ยวกับสีตาของฉันบ้างรึเปล่าล่ะ...ยูกิ

    “...? กะ...ก็...แอบสงสัยนิดหน่อยอ่ะ...”

    จะว่าไปจู่ๆ ทำไมเรียวโกะถึงถามอะไรแบบนี้กันหว่า...

    "ถือว่าเธอโชคดีนะที่เริ่มสงสัยได้ถูกเวลา...เพราะหลังจากวันนี้อาจจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เปิดมันอย่างจริงจังสักเท่าไหร่นัก" อีกฝ่ายพูดพร้อมยกมือสองข้างขึ้นแตะบนสายสีเทาคล้ายเข็มขัดด้านหน้า

    "ฟังดูเหมือนมีข้อยกเว้นบางอย่างยึดเหนี่ยวเลยนะเนี่ย..." ฉันนั่งจับคางตัวเองเชิงครุ่นคิดแล้วรอมองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้น

    "อืม..."

    สิ้นเสียงเมื่อครู่ปุ๊บ เรียวโกะก็ค่อยๆ จับปลดสายเข็มขัดเพื่อถอดเอาผ้าคาดตาสีเทาออกทันที ในเสี้ยววินาทีนั้นเธอลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสีนัยน์ตาที่แท้จริง ซึ่งมีสีเหลืองทองสว่างกว่าหญิงสาวสมาชิกแบล็คโคลเวอร์ชุดออฟฟิศเสียอีก

    แต่มันก็สวยดีจริงๆ แหละ...ช่างน่าดึงดูดอะไรขนาดนี้กันนะ

    "...!?"

    แต่ในจังหวะที่กำลังเพลิดเพลินกับการมองดู อีกฝ่ายกลับแสดงสีหน้าเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า ทำให้ยิ่งจ้องนานอีกประมาณสิบวินาที

    "เรียวโกะ...?" ฉันมองกลับไปพร้อมเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยหลังจากรู้ว่าเธอเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป

    "ยูกิ..." หญิงสาวผมน้ำตาลเข้มยื่นมือซ้ายเข้ามาปัดหน้าม้าทางขวาแล้วใช้นิ้วชี้แตะผ้าปิดตาสีดำเบาๆ "ดวงตาข้างขวานี่...ช่วยเปิดให้ฉันดูหน่อยได้มั้ย"

    "...! มะ...ไม่ได้นะ ถ้ามองเข้ามาล่ะก็...เธอ---"

    "ไม่เป็นไรหรอก...ขอแค่หนึ่งนาทีก็พอ..."

    ทุกคนที่เคยเจอมาทั้งชีวิตมีคนขอให้เปิดดูแค่ไม่กี่คนเอง คุณลุงนายพรานที่เลี้ยงดูมาตลอด 18 ปี ล่าสุดก็ดาไซ โอซามุที่ได้มองเห็นชัดๆ ครั้งแรกในห้องพักยามเย็นก่อนลุยคดีคนหาย นอกนั้นทำได้เพียงสงสัยอย่างเดียว แต่เอาจริงๆ สมาชิกนักสืบกับพอร์ตมาเฟียคงมองเห็นบ้างแล้ว 

    พอต่อจากนั้นมา เรียวโกะก็เป็นอีกหนึ่งคนที่อยากมองเห็นมัน เธอดูมั่นใจแปลกๆ ว่าจะไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นแน่นอน

    "อึ่ก..." ฉันไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากลองเสี่ยงปัดหน้าม้าซีกขวา เปิดผ้าปิดตาสีดำออกแล้วค่อยๆ หันมองด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าริปเปอร์จะปรากฏตัวเพื่อสังหารเพื่อนใหม่ตรงหน้าทิ้งกลางคาเฟ่แห่งนี้


    "..."

    พวกเราสองคนต่างนั่งจ้องหน้าด้วยกันหลายวินาทีจนกระทั่งเรียวโกะเริ่มยกมือซ้ายขึ้นแตะแก้มขวาอย่างเบามือพร้อมโน้มตัวเข้าหาใกล้จนหน้าท้องแนบชิดบนโต๊ะและขาสองข้างที่เหยียดตรงยืนเขย่งบนพื้น

    "ดะ...เดี๋ยวสิ ระ...เรียวโกะ..."

    กะ...ใกล้เกินไปแล้ว ใกล้กว่าตอนดาไซมองคราวก่อนหลายเท่าเลย

    "ฮืม..."

    เธอใช้ดวงตาสีเหลืองทองนั่นจ้องลึกเข้าภายในดวงตาสีแดงแห่งคำสาปอย่างไม่เกรงกลัว นิ้วโป้งลูบไล้ตามหนังใต้เบาๆ สีหน้าไม่มีการแสดงออกถึงอารมณ์อื่นนอกจากเรียบนิ่งและตั้งใจมองปานจะกลืนกิน ทำเอาร่างกายฉันแข็งทื่อไปหมด จนไม่นานเธอได้ปล่อยมือออกจากแก้มแล้วหย่อนตัวนั่งลงจุดเดิม

    "อย่างนี้นี่เอง...ฉันพอจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างในตัวเธอบ้างแล้วล่ะ"

    "เอ๊ะ...?"

    "เธอคงเคยพลาดพลั้งก่อบาปกรรมลงไปเมื่ออดีตกาล...ใช่มั้ย"

    "...!?"

    เพียงแค่จ้องมองตาก็เจาะลึกได้ถึงขนาดนี้...เหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกอ่านใจเลย

    ระหว่างที่กำลังตะลึงกับเรื่องเมื่อครู่ เรียวโกะก็ขอสั่งนมสดอุ่นเพิ่มสองแก้ว ซึ่งอีกหนึ่งแก้วเป็นการเลี้ยงฉันในฐานะเพื่อนใหม่ ทางเมดสาวรับออเดอร์ด้วยรอยยิ้มแจ่มใสก่อนที่จะเดินไปชงเครื่องดื่มให้ทันที

    “เมื่อกี้ต้องขอโทษด้วยละกัน...ยูกิ เธอคงลำบากใจเรื่องดวงตาข้างขวาจริงๆ สินะ

    เอ่อก็...นิดหน่อย...

    เอาเถอะ...มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์บนโลกอยู่แล้วเธอเริ่มหยิบผ้าคาดตาใส่กลับไปที่เดิมอย่างบรรจงก่อนที่จะพูดถึงเรื่องต่อจากนี้ "บาปกรรม...สิ่งที่มนุษย์หลายคนต่างหลีกหนีกันไม่พ้น แม้เป็นเพียงเล็กน้อยก็อาจเกิดเรื่องใหญ่ภายหลัง เพราะบาปนั่นมันตราตรึงในใจตลอดเวลา"

    "บาป...ที่ตราตรึง..."

    "ยิ่งมีพยานพบเห็นเหตุการณ์มากเท่าไหร่...ยิ่งก่อบาปกรรมเลวร้ายเพียงใด...ความรู้สึกผิดยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น และมันก็จะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่เรียกว่า คำสาป"

    "อึ่ก..."

    ทำไมกันนะ...พอฟังคำอธิบายพวกนั้น...

    มันเหมือนกำลังจะสื่อถึงชีวิตของฉันแทบทุกอย่างจริงๆ

    แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย...ริปเปอร์ต่างหากที่ทำให้สูญเสียครอบครัวแท้ๆ โดยยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกัน...แล้วหางานทำเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้มีพระคุณสูงสุดจนแก่เฒ่า...เหมือนครอบครัวอื่นที่ต่างใช้ชีวิตกันอย่างอบอุ่น

    “...”

    ตึก...ตึก...ตึก

    ช่วงเวลานั้น เสียงฝีเท้าจากทางขวามือได้ดังขึ้นเป็นจังหวะเดินช้าๆ ซึ่งจะเป็นใครที่ไหนได้นอกจากเมดสาวอิสึมากิ เธอกำลังถือแก้วขนาดกลางลายดอกไม้และผีเสื้อตัวน้อยที่มีนมสดอุ่นๆ บรรจุอยู่เกินครึ่งแล้วค่อยวางลงบนโต๊ะตรงหน้าพวกเรา

    "แต่ใช่ว่าคำสาปนั่นจะไม่มีทางชำระล้างออก" เรียวโกะหยิบแก้วลายผีเสื้อขึ้นมาเป่าระบายความร้อนออกพลางจิบนมสดเข้าไปทีละนิดละหน่อยก่อนที่จะพูดต่ออีกหนึ่งประโยค เพียงแค่ยังไม่พบเห็นวิธีที่แท้จริงเท่านั้นเอง

    ดูท่าทางเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจเรื่องนี้ดีไม่น้อยเลยแฮะ...แบบนี้ฉันก็คงสามารถเปิดใจคุยได้อย่างสบายใจสินะ แม้ทางคุนิคิดะจะเป็นห่วงและกังวลมากๆ แต่นั่นกลับดูเหมือนกำลังขีดเส้นกั้นไม่ให้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ยังไงไม่รู้

    "...อย่างที่เธอบอกจริงๆ น่ะแหละ เรียวโกะ

    “...?”

    ฉัน...เคยช่วงชิงชีวิตของผู้มีพระคุณสองคนโดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อน และนั่นกลับทำให้ญาติๆ ต่างประณามฉันในฐานะ กาลกิณี เพราะเหตุผลเดียวคือ...คำสาป พวกเขามองว่าฉันเป็นเหมือนปีศาจ อยู่กับใครแล้วจะต้องพบเจอกับความตาย...และต้องโดดเดี่ยวท่ามกลางความมืดมิด"

    ตั้งแต่วินาทีนั้นมา ฉันก็ตัดสินใจลองเปิดใจเผยอดีตของตัวเองให้เรียวโกะได้รับฟัง ทั้งตอนเกิดเหตุครั้งแรกในวัยสองขวบ ตอนคำสาปทำงานต่ออีกในโรงเรียนสองแห่ง ตอนที่คุณลุงนายพรานถูกจับตัวในข้อหาลักพาตัวผู้คนไว้ในห้องใต้ดิน หรือแม้กระทั่งเรื่องพลังพิเศษด้วย

    ฮืม...อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้น...ขอฉันถามอะไรอย่างนะ

    “...?”

    ตัวเธอที่เคยฆ่าคนจนมีคำสาปถึงวันนี้...กำลังปรารถนาอะไรจากเบื้องลึกของหัวใจอยู่รึเปล่า

    ปรารถนา...จากเบื้องลึกของหัวใจ

    “...”

    บ้าจริง...ทำไมมันตอบยากจังนะ เหมือนกับว่ามีหลายๆ อย่างที่กำลังอยากให้ใครสักคนดลบันดาลเลย ทั้งเรื่องลบล้างคำสาป ช่วยเหลือผู้คน พยายามทำให้ศัตรูยอมจำนน หรือแม้แต่ตัวริปเปอร์...ที่ครั้งล่าสุดฉันกลับยอมให้มันตามช่วยชูยะโดยที่ยังคงก่อบาปหนาต่อไป

    แต่ว่า...

    “ตอนนี้ฉัน...แค่อยากทำในสิ่งที่ถูกต้องและเปลี่ยนตัวเองให้ได้เท่านั้นเอง ฉันพยายามไม่ทำอะไรให้ซ้ำรอยเดิมเหมือนในอดีต แต่บางครั้งก็...หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย...

    ไม่เป็นไรหรอก...ฉันเข้าใจเธอดี เพราะอย่างน้อยก็ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนคำสาปเหมือนกัน แน่นอน...เธอคนนั้นเคยก่อบาปกรรมมาตั้งแต่สมัยเรียน เพียงแต่ไม่ได้ฆ่าครอบครัวทั้งหมด

    อึ่ก...ตะ...แต่ถ้าไม่ได้ฆ่ายกบ้าน แล้วผู้หญิงคนนั้น...ฆ่าใครลงไปล่ะ

    ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากมายขนาดนั้นหรอก เพราะมันเป็นแค่ข่าวลือเมื่อนานมาแล้วน่ะ อาจจะ...เป็นที่พูดคุยกันในสมัยเรียนของเธอล่ะมั้ง

    งั้นข่าวลือนั่นคงจะดังในช่วงที่กำลังหวาดระแวงว่าทุกคนในโรงเรียนจะเปิดผ้าปิดตาพอดิบพอดีเลยสิ อีกอย่างฉันเคยเป็นคนป่า ไม่รู้เลยว่าคนๆ นั้นใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน

    แต่ก็หวังว่าจะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นอีกละกัน...

    ฟ่ออ~

    “...?”

    จังหวะที่พวกเรากำลังพูดคุย เสียงของอสรพิษตัวหนึ่งได้ดังขึ้นจากด้านหลังทางซ้ายมือ กลุ่มควันสีดำล่องลอยท่ามกลางอากาศพร้อมกับการปรากฏตัวของแคทเชอร์หนึ่งตัว มันลอยเข้ามาคลอเคลียแก้มทักทายตามเคยแล้วค่อยหันมองหญิงสาวผมน้ำตาลเข้มหลายวินาที

    เจ้านั่นคือ...

    อ่อ...แคทเชอร์เป็นหนึ่งในพลังพิเศษของฉันเองแหละ ถึงจะบอกว่ามีคำสาปในตัว แต่เจ้าอสรพิษตัวนี้เป็นตัวเดียวที่ไม่มีพิษภัยต่อมนุษย์เลย

    หลังอธิบายจบ ฉันยกแก้วนมสดอุ่นขึ้นดื่มรับความหวานหอมกับอบอุ่นในร่างกาย ส่วนอสรพิษด้านดีก็ค่อยๆ ลอยเข้าไปหาเรียวโกะแล้วคลอเคลียแก้มเพื่อทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ความขี้อ้อนของมันทำให้อีกฝ่ายต้องยอมลูบหัวเล่นด้วยความเอ็นดู

    “เห...น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย

    แหะๆๆ

    และนั่นคือครั้งแรก...ที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ จากเธอ

    ...รอยยิ้มแรกจากเพื่อนสาวคนแรกมันดูทรงพลังมากเลยล่ะ

    ตื๊ดด~ ตื๊ดด~ ตื๊ดด~

    “...?”

    แต่ในระหว่างนั้น เสียงโทรศัพท์สั่นจากกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น เมื่อหยิบมาดูหน้าจอพบกับเบอร์โทรนักสืบแว่นเจ้าของสมุดอุดมคติอย่างคุนิคิดะ ดปโป ฉันค่อยๆ วางแก้วลายดอกไม้ที่เพิ่งดื่มนมหมดลงบนโต๊ะ ขอตัวลุกออกห่างจากเรียวโกะประมาณสามเมตรแต่ยังคงให้แคทเชอร์อยู่ต่อแล้วค่อยกดรับสายภายในทันที

    ฮัลโหลค่ะ...คุณคุนิคิดะ

    ทาจิบานะ ตอนนี้ช่วยกลับขึ้นมาคุยกับพวกเราที่สำนักงานก่อนได้รึเปล่า เพราะงานไหว้วานจากลูกค้าคนใหม่เพิ่งถูกส่งมาทางพวกเราเมื่อกี้เลย

    เอ๊ะ...? เพิ่งมาเมื่อกี้? ดูท่าทางจะไม่ได้พักได้ผ่อนจริงๆ สินะคะเนี่ย

    อา...แต่ยังไงก็เถอะ วันนี้ฉันขอให้เธอเป็นคนรับฟังร่วมกับอัตสึชิละกัน ส่วนพวกฉันที่เหลือจะตามรวบรวมข้อมูลอีกทีหลังจากเคลียร์เอกสารเก่าเสร็จแล้ว

    แค่ฉันกับอัตสึชิสองคน...? งั้นแปลว่าเป็นการฝึกเด็กใหม่ร่วมกับนักสืบคนล่าสุดสินะ

    แบบนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วงล่ะมั้ง...

    รับทราบค่ะ เดี๋ยวฉันจะตามไปหาเลยนะคะ

    โอเค...ตอนนี้ลูกค้ากำลังนั่งรอในโซนรับแขกอยู่ อย่าทำให้เสียเวลาซะล่ะ

    ติ๊ด!

    ว่าจบทางคุนิคิดะก็กดวางสายทันทีดั่งสายฟ้าแลบ ฉันแอบตกใจเล็กน้อยต่อการกระทำเมื่อครู่พลางเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปคุยกับเพื่อนสาวผมน้ำตาลเข้มเกี่ยวกับเรื่องงานไหว้วานใหม่

    เอ่อ...เรียวโกะ ต้องขอโทษที่มีเวลาคุยน้อยหน่อยนะ แต่ว่าฉันมีงานใหม่ต้องทำแล้วล่ะ

    ไม่เป็นไรหรอก...โอกาสหน้าพวกเราค่อยหาเวลาคุยต่อก็ได้นี่นา อีกฝ่ายลูบหัวแคทเชอร์เล่นๆ ไปได้ไม่กี่รอบก่อนที่จะเก็บแก้วสองใบให้กับเมดสาวอิสึมากิตรงหน้าเคาน์เตอร์ นมสดอุ่นอร่อยมากเลย...ไว้คราวหน้าจะเตรียมน้ำผึ้งให้ละกัน

    แหะๆ ขอขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ คุณอิชิคาวะ ส่วนเรื่องน้ำผึ้งไม่ต้องกังวลค่ะ ทางดิฉันมีเตรียมพร้อมหมดแล้ว เพราะงั้นสบายใจได้ค่ะ เธอส่งรอยยิ้มสดใสตรงหน้าเพื่อนสาวผมน้ำตาลเข้มพร้อมรับแก้วไปล้างให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ

    จะว่าไปพวกเธอสองคนทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้วสินะเนี่ย...

    อื้ม...พอฉันแวะเวียนเข้ามาเป็นลูกค้าคนแรก เมดคนนั้นให้การต้อนรับดีมาก ก็เลยได้มีโอกาสนั่งพูดคุยรอเธอลงมานี่แหละเรียวโกะเดินมุ่งหน้าหยิบผ้าคลุมตัวสีดำบนเก้าอี้พร้อมจับใส่เหมือนครั้งก่อนนู้น

    แล้วต่อจากนี้...เธอจะไปไหนต่องั้นเหรอ

    นั่นสินะ...บางทีอาจจะเดินทัวร์ภายในเมืองนี้ด้วยกันกับคูแลนน์ก็ได้ เพราะยังไงซะ...พวกฉันก็เป็นเพียงแค่นักเดินทางจากเมืองอื่นเท่านั้นเอง

    “...”

    รู้สึกแย่แปลกๆ ยังไงไม่รู้แฮะ...เหมือนกับว่าพวกเรามีโอกาสได้พูดคุยกันตรงๆ น้อยมากเลย

    ฉันยืนมองหญิงสาวผมน้ำตาลเข้มด้วยความรู้สึกแย่ปนกับเสียดายหลังคิดเช่นนั้นไปไม่กี่วินาที จนกระทั่งเธอหยิบบางอย่างภายในผ้าคลุมแล้วยื่นให้ สิ่งๆ นั้นคือผ้าปิดตาสีดำอันใหม่ซึ่งดูดีกว่าเดิม เพราะอันที่ฉันใส่อยู่มันช่างธรรมดาเหลือเกิน

    รับไว้ด้วยล่ะ...ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกสำหรับเพื่อนใหม่

    อะ...อื้ม ขอบคุณนะ เรียวโกะ

    พอลองเปลี่ยนใหม่แล้วปุ๊บ รู้สึกได้เลยว่าใส่สบายมากๆ แถมเนื้อผ้ายังนุ่มกว่าด้วย

    เอาเป็นว่าสู้ๆ กับงานใหม่ครั้งนี้ละกัน...เรียวโกะมอบกำลังใจตบท้ายก่อนที่จะก้าวเท้าเดินไปยังทางออกคาเฟ่ แต่ต่อมาเธอได้หยุดอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมหันหน้ามองกลับมา อ่อ...เกือบลืมไปเลย

    “...?”

    ถึงคำสาปจะเป็นเรื่องไม่น่าให้อภัย แต่สักวันหนึ่ง...เธออาจจะพบความจริงบางอย่างที่มันพยายามสื่อให้รับรู้...เหมือนกับเรื่องผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งเล่าให้ฟังก็ได้

    เอ๊ะ...? งะ...งั้นแปลว่า...

    ก็นะ...หลายๆ อย่างที่ฉันบอกคงจะฟังดูยากหน่อย แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่รับรู้และยืนยันได้หลังจากจ้องมองดวงตาสีแดงนั่น...เพื่อนสาวจับฮู้ดของผ้าคลุมตัวขึ้นใส่และเปิดปากพูดเชิงทิ้งทวนในสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้ เธอยังพอมีวิธีลบล้างคำสาปในพลังพิเศษอยู่...แต่ต้องหาคำตอบด้วยตัวเองเท่านั้น

    หาคำตอบ...

    เหมือนกำลังพยายามทบทวนเกี่ยวกับความปรารถนาจากการอ่านใจเลยแฮะ...หรือบางทีเธอจะเริ่มรู้วิธีลบล้างคำสาปบ้างแล้วส่วนหนึ่งแต่ปล่อยให้ตามหาเอาเอง

    มันเป็นสิ่งเดียวที่แฝงไปด้วยความจริงเกี่ยวกับตัวเธอและคำสาปทั้งหมดทั้งปวง ฉะนั้น...

    “...”

    อย่าลืมที่จะพูดคุยกันเพื่อร่วมหาคำตอบให้เจอซะล่ะ ยูกิ

    [ To be continued ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×