คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : Episode 19 เจอกันอีกครั้ง
[ มุมมองของยูกิ ]
“อึ่ก...”
เวลา...ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ...
นี่คือสิ่งที่นึกถึงอันดับแรกก่อนที่จะเริ่มรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมค่อยๆ
เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ทุกส่วนของร่างกายกลับมามีน้ำหนักเท่าเดิมหลังจากติดภายในห้วงความฝัน
สายตาเหลือบเห็นเพดาน หน้าต่างและกำแพงห้องอันน่าคุ้นเคยของห้องพักตัวเอง
“เช้าแล้วเหรอเนี่ย...” ฉันพูดพึมพำเบาๆ
หลังสังเกตเห็นแสงแดดอ่อนสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างพลางยันตัวขึ้นนั่งในสภาพคนเพิ่งตื่นตามปกติ
“อ่ะ...ตื่นแล้วแฮะ...”
เสียงพึมพำจากอีกคนดังขึ้นทางซ้ายมือ
ซึ่งเป็นน้ำเสียงของคนที่คุ้นเคยมากๆ พอลองขยี้ตาแล้วหันมองดูจึงพบกับร่างของชายหนุ่มผมสีขาวเจ้าของนัยน์ตาสีม่วงเหลือง
เขากำลังนั่งมองข้างฟูกนอนและส่งรอยยิ้มอ่อนทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ครับ...คุณทาจิบานะ”
“อะ...อรุณสวัสดิ์จ้ะ อัตสึชิ...คุง” ฉันพูดทักทายตอบกลับไปได้สักพักหนึ่งแล้วเพิ่งแสดงท่าทางประหลาดใจอย่างมากเหมือนรู้สึกช้า
“เอ๊ะ!? ยะ...อย่าบอกนะว่า...”
“เอ่อ...พอดีผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าคุณจะฟื้นขึ้นเวลาไหน
ก็เลย...นั่งเฝ้ามองตลอดทั้งคืน”
บะ...บ้าไปแล้ว! นี่เขาเล่นงี้เลยจริงดิ!
“คะ...คงไม่ได้เห็นอะไรแปลกๆ
ใช่มั้ยอ่ะ...แบบว่าเอ่อ...ตอนนอนอาจจะดูไม่ดี...”
“อืมม...จะว่าแปลกรึเปล่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ระหว่างที่คุณนอน...อสรพิษตัวหนึ่งได้เผยตัวขึ้นมาเฝ้าเป็นเพื่อน” อัตสึชิยกมือขึ้นจับคางครุ่นคิดก่อนที่จะสังเกตเห็นบางอย่าง “และตอนนี้มันก็ยังไม่สลายหายไปไหนเลย”
ฟ่ออ~
“...?”
ฉันเอียงคอสงสัยเล็กน้อยแล้วค่อยลองหันหน้ากลับไปมองข้างหลังจนพบควันสีดำบางๆ
กับร่างของแคทเชอร์ลอยกลางอากาศ มันคลอเคลียบนแก้มซ้ายทักทายและส่งโทรจิตบอกว่าเหตุผลที่นักสืบหนุ่มนั่งเฝ้าตลอดคือ
กลัวว่าจะมีใครแอบลอบโจมตีภายหลัง แถมยังไม่เคยได้กลับห้องพักตัวเองด้วย
“งั้นเหรอเนี่ย...นายเองก็คงเป็นห่วงด้วยเหมือนกันสินะ”
“เอ๊ะ? มะ...เมื่อกี้มันพูดกับคุณด้วยเหรอครับ”
หนุ่มผมขาวรู้สึกแปลกประหลาดใจมากแล้วค่อยลองยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ
ซึ่งทำเอามันเคลิ้มดั่งเด็กน้อยก็ไม่ปานจนเริ่มสลายหายกับควันสีดำเพื่อพักผ่อนและฟื้นฟูตัวเอง
“อื้ม...แต่ก็ทำได้แค่ส่งโทรจิตให้เท่านั้นเอง ฉันคิดมาโดยตลอดเลยว่ามันจะพูดคุยตามปกติเหมือนริปเปอร์ในช่วงเวลาไหน
และเมื่อไหร่ริปเปอร์จะยอมปรากฏในโลกภายนอกอย่างจริงจังสักที”
ฉันพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินออกจากฟูกนอนเพื่อเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำยามเช้า
โชคดีหน่อยที่ชุดฮู้ดหูกระต่ายธีมสีดำมีเยอะพอควรเพราะความบ้าบิ่นของดาไซที่พยายามพาไปซื้อในช่วงเพิ่งเริ่มทำความรู้จักหรือแม้กระทั่งตอนว่างงาน
ถึงบางครั้งจะต้องได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายเชิงสั่งสอนจากคุนิคิดะตลอด แต่ก็ยังอุตส่าห์ใจอ่อนโดยมีการทิ้งทายว่าอย่าใช้เงินฟุ่มเฟือยจนเกินกำหนดการที่ตัวเองจดไว้
“ผมคิดว่า...น่าจะต้องชำระล้างคำสาปออกให้สำเร็จก่อนล่ะมั้งครับ
ถึงเป็นแค่การคาดเดาแต่นั่นก็คือความเป็นไปได้...คุณดาไซเองก็คงแอบคาดเดาแบบนั้นไว้ในใจเหมือนกัน”
อ่อ...จริงด้วยแฮะ ดูท่าทางอัตสึชิเขาจะนับถือดาไซพอๆ กับอาคุตางาวะเลยสินะ
แบบนี้คงไม่น่าแปลกใจแล้วล่ะ...ว่าทำไมถึงเชื่อมั่นในหลายๆ
อย่างในตัวเขากันมากมาย
“...อีกนานแค่ไหนถึงจะมีโอกาสนั้นกันนะ แถมองค์กรแบล็คโคลเวอร์ที่เป็นศัตรูกับพวกเราก็ยังเตรียมทุกวิถีทางเพื่อจับตัวฉันไปขายอีก
ถ้าเวลานั้นทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามคาดหวังไว้ล่ะก็...ฉัน---”
“คุณทาจิบานะ...” อัตสึชิลุกขึ้นเดินเข้ามาหาก่อนที่จะเริ่มยื่นมือสองข้างโอบแผ่นหลังไว้เสมือนการโอบกอดหลวมๆ
อันแฝงไปด้วยความเคอะเขิน นั่นทำให้ฉันแอบสะดุ้งบวกกับใบหน้าที่เริ่มร้อนผ่าวทันที
“ขะ...ขออนุญาต...แป๊บเดียวนะครับ...”
“อะ...อัตสึชิคุง...!?”
“ผมเคยบอกแล้วนี่นา...แม้ฝีมือการต่อสู้จะอ่อนด้อยกว่าคนอื่น...แต่ผมจะปกป้องคุณเอง”
อีกฝ่ายพูดในขณะที่มือขวาค่อยๆ ยกขึ้นมาลูบหัวอย่างอ่อนโยน “และพวกเราทุกคน...ก็จะหาทางหยุดยั้งทุกอย่างเพื่อช่วยคุณให้ได้”
อ้อมกอดนี่มัน...ช่างอบอุ่นจริงๆ
...เหมือนกำลังเติมเต็มความหวังและมุ่งมั่นให้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างล้นเหลือเลยแฮะ
“อื้ม...ขอบคุณนะ อัตสึชิคุง...” ฉันหลับตาลงด้วยความเคลิบเคลิ้มเบาๆ
หลังจากนักสืบผมขาวพยายามปลอบโยนให้รู้สึกสบายใจจนกระทั่งต้องแยกตัวห่างออกไป
“งะ...งั้นเดี๋ยวผมจะรอที่หน้าห้องพักละกันนะครับ ในระหว่างนี้คุณก็อาบน้ำแต่งตัวได้เลย”
ว่าจบอัตสึชิก็คลายอ้อมกอดเบาๆ พลางส่งรอยยิ้มด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อเพราะเขินอายก่อนที่จะเดินออกจากห้องพักไปรอตามที่ตัวเองเพิ่งบอกมาเมื่อครู่
ฉันแอบยิ้มเล็กๆ ให้กับเสือสมิงวัยสิบแปดแล้วค่อยเตรียมอาบน้ำแต่งตัวเดินทางเข้าสำนักงานนักสืบบุโซในวันนี้
ตึก...ตึก...ตึก
“...”
จะว่าไป...ทำไมดาไซกับคุนิคิดะไม่ได้มากินอาหารเช้าที่นี่ล่ะเนี่ย
แปลกจังแฮะ...
“...?”
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดถามในใจ ฉันสังเกตเห็นแผ่นกระดาษโน้ตบนโต๊ะอาหาร
ซึ่งมีขนาดเท่ากระดาษจากสมุดอุดมคติของนักสืบแว่นเป๊ะ แน่นอนว่าเจ้าของโน้ตนี้ก็ดันเป็นเขาผู้นี้ซะด้วย
“เช้านี้ฉันกับเจ้าบ้าดาไซต้องรีบเข้าพบท่านประธานด่วนน่ะ...ยังไงก็เข้าสำนักงานพร้อมกับอัตสึชิละกัน
ส่วนเรื่องอาหารเช้า...เธอไม่ต้องเป็นห่วงไป ฉันทำแซนด์วิชปลาทูน่ากับนมจืดไว้ในตู้เรียบร้อย
อย่าลืมกินซะล่ะ”
อืม...ไม่ว่าจะรีบร้อนมากแค่ไหน
เขาก็ยังอุตส่าห์เจียดเวลาทำอาหารเช้ามาเผื่อให้อีก
ให้ตายเถอะ...สมกับเป็นคุณแม่แห่งสำนักงานนักสืบบุโซจริงๆ เลย
เวลาผ่านไปไม่นาน
หลังจากกินอาหารเช้าง่ายๆ
ฝีมือคุนิคิดะจนอิ่ม
ฉันกับอัตสึชิก็เริ่มออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานที่ทำงานโดยไม่มียานพาหนะใดๆ
บรรยากาศภายในตัวเมืองตอนนี้ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างมีธุระหรือภารกิจของตัวเองเช่นเดิม
แม้บางส่วนจะดูซึมๆ เหมือนมีบางอย่างขาดหายในชีวิตแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ตลอดทาง
ตึก...ตึก...ตึก
“พวกเขาดูซึมๆ แปลกๆ นะครับ...คุณทาจิบานะ”
“ไม่แปลกนักหรอก...เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในแฟนคลับของฮารุกิได้เพียงแค่วันเดียว...ก่อนที่จะรู้ว่านั่นคงเป็นแค่ความฝันชั่วข้ามคืน”
ใช่...กลุ่มแฟนคลับเหล่านั้นต่างมีสีหน้าอารมณ์ทางลบกันเกือบทั้งหมด
ซึ่งฉันเชื่อว่าถ้าเวลาผ่านไปนานๆ อาจจะกลับมาดีขึ้นเหมือนดั่งเดิมก็ได้
“นั่นสิ...แต่พวกเขาอาจจะโชคดีหน่อยที่เกิดเหตุสะเทือนแค่วันเดียว
ไม่เหมือนกับผมในฐานะอดีตเด็กกำพร้าพ่อแม่และโดนเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ตึก...ตึก...ตึก
พอนักสืบหนุ่มพูดประโยคเมื่อครู่จบ
พวกเราสองคนก็พบว่าตัวเองเดินทางมาถึงหน้าประตูสถานที่ทำงานอย่างสำนักงานนักสืบบุโซเรียบร้อยแล้ว
จากนั้นก็เข้าสู่ภายในตัวอาคารห้าชั้นและขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสี่ตามปกติ
“...”
“เจ้านั่นอาจดูเซ่อไปนิด ชอบคิดจมปลักกับอดีตไปหน่อย ตัวเธอที่เป็นหนึ่งในพรรคพวกก็ดูแลให้ดีๆ
ละกัน กระผมต่อสู้และสั่งสอนมันจนเหน็ดเหนื่อยมากพอแล้ว”
“...อัตสึชิคุงเนี่ย...ไม่ต่างอะไรจากฉันจริงๆ แฮะ”
“คุณทาจิบานะ...?”
“อ่อ...ปะ...เปล่าหรอกจ้ะ เมื่อกี้แค่บ่นถึงตัวเองนิดหน่อยเอง อย่าคิดมากเลยนะ”
ฉันพยายามยิ้มอ่อนกลบเกลื่อนความสมเพชเบาๆ
ที่ต้องจมปักกับอดีตโดยตลอด ยิ่งพอนึกถึงคำพูดของอาคุตางาวะเมื่อนานมานี้
ยิ่งรู้สึกถึงความเหมือนแม้จะแตกต่างเพียงนิดเดียว
“...”
ถ้าไม่รีบเคลียร์ทุกอย่างให้จบ...มีหวังชีวิตถูกดึงให้ติดอยู่ในโคลนแห่งอดีตกาลพวกนั้นแน่ๆ
“เอ่อคือ...คุณทาจิบานะ...”
“หืม...?”
“...” เสือสมิงเงียบปากได้ไม่กี่วินาทีก่อนที่จะเอื้อมมือมาจับฮู้ดหูกระต่ายลงและแตะผ้าปิดตาสีดำอย่างเบามือ
“อย่าลืมนะครับ...พวกผมทุกคนจะช่วยคุณออกจากคำสาปอย่างสุดความสามารถเอง”
“...? อะ...อื้ม...” ฉันพยักหน้าตอบหน้าเล็กน้อยพร้อมยิ้มบางๆ
ด้วยสีหน้าอารมณ์ค่อนข้างประหม่าเล็กน้อย
แย่จริง...ดันทำท่าทีน่ากังวลให้เขาเห็นจนได้แฮะ
.
..
...
....
.....
ปิ๊ง!
ต่อมา พวกเราทั้งสองคนค่อยๆ
เดินมุ่งหน้าไปยังหน้าห้องสำนักงานอันมีป้ายติดชื่อว่า Armed
detective agency ซึ่งในจังหวะที่ฉันกำลังจะเอื้อมมือแตะลูกบิดประตู
เสียงแห่งความวุ่นวายก็บังเกิด คาดว่านำโดยนักสืบจิตพิลึกผมน้ำตาลแน่นอน
งั้นมาลุ้นพร้อมๆ กันเลยดีกว่าค่ะ...ท่านผู้อ่าน!!
หนึ่ง...
สอง...
สาม!!
“ฮึ่บ!”
ฉันเริ่มทำการเปิดประตูห้องอย่างรวดเร็วแล้วหันมองรอบๆ
จนกระทั่งพบกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ดาไซ โอซามุ ซึ่งกำลังอยู่ในชุดผ้าจีวรสีน้ำตาลอ่อนห่มรอบตัวดั่งพระสงฆ์องค์หนึ่ง
เท่านั้นยังไม่พอ เขากลับเล่นพิเรนทร์เหมือนเด็กอนุบาลโดยการนำผ้าพันแผลหลากเส้นวางกองรวมกับกองเอกสารเก่าๆ
ชุ่มน้ำมันตั้งแต่โต๊ะท่านประธานฟุคุซาวะจนถึงประตูบานนี้
“โอ๊ะ...อรุณสวัสดิ์นะ โยมอัตสึชิและโยมยูกิ...จัง~”
“...”
นี่เอ็งเป็นคนบ้าต้อนรับอรุณรึไงก๊านนนนน!!!
“นี่คุณเมาเห็ดพิษอีกแล้วเหรอครับเนี่ย...” อัตสึชิหันมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าค่อนข้างตายด้าน เรียกได้ว่าหายากจริงๆ
ที่เขาจะแสดงอาการเช่นนี้
“บ้าบออ~ มิได้เมาสักหน่อยย~ อีกอย่าง...อาตมาเจอวีดีโอตัวหนึ่งที่เขาแสดงอภินิหารกองไฟถ่านแดงๆ ยาวแปดเมตรด้วย
ก็เลยอยากจำลองก่อนนำไปใช้จริงอ่ะนาา~”
ห๊ะ...? กองไฟยาวแปดเมตร?
“มันคืออิหยังวะคะ...”
“อ้าว...โยมไม่รู้จักงั้นรือ มันคืออภินิหารจากหลวงปู่เค็มแห่งวัดเขาอีโต้ขว้างเป็ดไงเล่า
แต่รอบนี้อาตมาจะรับบทเป็นหลวงพี่หวานเจี๊ยบแห่งวัดเขาบุโซขว้างเห็ดแทน อิอิ~”
อืม...สมกับเป็นนักสืบจิตพิลึกประจำสำนักงานนักสืบบุโซจริงๆ
เลยค่ะ
“โหววว...” เด็กสาวในชุดกิโมโนสีแดงซึ่งยืนมองใกล้ทางเข้าห้องท่านประธานยืนตะลึงแล้วรอดูสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะดำเนินการ
“งั้นคุณช่วยแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ได้เห็นหน่อยสิครับ”
“แหมๆ ถ้าโยมอยากเห็นล่ะก็...อาตมาจะจัดให้ต่อหน้าศิษยานุศิษย์ต่อหน้าสามหมื่นกว่าคนเอง~” ดาไซส่งสายตาวิ้งให้พวกเราเหมือนตัวเองหลงอาชีพเป็นไอดอลจิตไม่เต็มแล้วค่อยนั่งขัดสมาธิบนโต๊ะไม้พร้อมพนมมือไหว้ระดับกลางอก
คือเอ็งจะแสดงแบบไหนก็ได้...แต่เอ็งไม่ควรนั่งบนโต๊ะน้านนน!!
อีกอย่าง...พวกตูที่ยืนชมมีอยู่แค่สามคน
ไม่ใช่สามหมื่น!!
“เอาล่ะ...พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง~”
ชิ้ง~
ในจังหวะนั้นเอง นักสืบห่มผ้าน้ำตาลอ่อนก็เริ่มหยิบไฟแช็กออกจากกระเป๋าย่ามสีเหลืองอ่อนพร้อมโดดลงมาจุดไฟตั้งแต่ปลายผ้าพันแผลจนกระทั่งกองไฟลุกขึ้นลามเข้ามาหาฉันและอัตสึชิอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวๆๆๆๆ นี่คุณเล่นบ้าอะไรเนี่ยย!! สำนักงานจะโดนเผาแล้วนะเฮ้ยย!!”
“เอาน่าๆ โยมยูกิจัง~ ตอนนี้คุนิคิดะคุงคงกลับมาจากคาเฟ่ไม่ทันหรอก~”
เขาพูดด้วยความมั่นใจพร้อมกับหน้าฉาบปูนซีเมนต์หลายชั้นก่อนที่จะย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“อึ่ก...” พวกเราสองคนต่างยืนกลืนน้ำลายหนึ่งทีแล้วยังคงรอดูเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
“ก้าวแรกไม่เป็นไร...ก้าวต่อไป---”
“ก้าวต่อไปเอ็งเริ่มทำตัวน่าถีบหงายยยย!!!”
ช่วงวินาทีที่ดาไซกำลังเตรียมเดินต่อ
เสียงโหวกเหวกจากด้านหลังฉันก็ดังขึ้นจนแทบสะดุ้งโหยง ชายหนุ่มร่างสูงรีบพุ่งเข้าไปกระโดดถีบสองเท้าโดนกลางอก
ส่งผลให้ร่างอีกฝ่ายปลิวกระแทกขอบโต๊ะอย่างจัง
“แอ่ก~”
“หน่วยดับเพลิง!! พร้อม!!”
“รับทราบคร้าบ~/โอเคจ้า~”
หลังจากนักสืบแว่นออกคำสั่งเมื่อครู่
เคนจิกับคุณหมอโยซาโนะก็รีบปรากฏตัวจากทางห้องฝั่งขวามือพร้อมกับอุปกรณ์ดับเพลิงครบเซ็ต
พวกเขาทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อดับอภินิหารกองไฟเอกสารยาวแปดเมตรสุดเพี้ยนยามเช้า
ฟู่วววววว!!
“ฮึ้ย...พอห่างจากสายตานิดหน่อยก็เพี้ยนใหญ่เลยนะ
ไอ้บ้าดาไซ!!” คุนิคิดะเริ่มรับบทเป็นคุณแม่ประจำสำนักงานนักสืบบุโซจับคอเสื้อลากออกฝั่งซ้ายมือก่อนที่จะบีบคอโยกไปมาเหมือนเดิม
เพิ่มเติมอีกคือเหวี่ยงร่างหมุนรอบตัว
“แหง่ก...แหง่ก...”
“เหอๆๆ ใครเห็นก็ว่าตายอ่ะ...”
ฉันยืนมองพลางพูดด้วยสีหน้าตายด้านแล้วค่อยจัดการเก็บกวาด
ทำความสะอาดห้องทำงานให้เรียบร้อย ในใจแอบคิดว่าท่านประธานฟุคุซาวะจะรู้เรื่องนี้รึเปล่า
เพราะเมื่อเช้านักสืบทั้งสองต่างรีบออกจากห้องพักเพื่อคุยเรื่องอะไรสักอย่าง
ดีนะที่ยังพอมีคนจิตปกติช่วยหยุดยั้งเรื่องบ้าๆ
นี่ได้...
ตื๊ดด~ ตื๊ดด~
วินาทีที่เก็บอุปกรณ์ต่างๆ
ครบถ้วน เสียงโทรศัพท์สั่นในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นเชิงเตือนว่ามีข้อความเข้า
เมื่อหยิบมาดูหน้าจอปุ๊บ จึงพบกับข้อความใหม่จากเจ้าของคาเฟ่ในเครือสำนักงานนักสืบ
ทำเอารู้สึกแปลกใจมากมาย จากนั้นจึงเริ่มกดเปิดอ่านเนื้อหาใจความนั้นๆ
จาก : เมดอิสึมากิ
ถึง : ทาจิบานะ ยูกิ
สวัสดีค่ะ...คุณทาจิบานะ หากช่วงที่ได้รับข้อความเป็นการรบกวนระหว่างทำงานก็ต้องขออภัยล่วงหน้า
แต่ขณะนี้มีลูกค้าท่านหนึ่งอยากพบพูดคุยกับคุณในคาเฟ่ ยังไงก็ขอให้จัดการเรื่องงานแล้วเข้าพบลูกค้า ณ เวลานี้ด้วยนะคะ
“ลูกค้า...จากทางคาเฟ่...”
พอได้รับข้อความของเมดสาวเจ้าของคาเฟ่ที่ส่งมาบอกว่า
มีใครบางคนกำลังรอพบ ฉันก็แอบคิดหนักอยู่หลายนาทีจนกระทั่งตัดสินใจขอเดินลงจากห้องสำนักงานนักสืบบุโซด้วยตัวคนเดียว
แต่ก็ดันมีอัตสึชิคอยตามติดพร้อมบอกเหตุผลว่าจะปกป้องให้ได้ตามที่เคยสัญญา
เขาดูเป็นห่วงมากถึงขนาดที่ว่าต้องฝากนกหวีดใส่กระเป๋าเสื้อฮู้ดสีดำไว้
“นกหวีด...?”
“เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นในคาเฟ่...คุณจะได้เป่าเรียกขอความช่วยเหลือจากผมไงล่ะ”
เจ้าตัวส่งรอยยิ้มเล็กๆ
แล้วค่อยจับไหล่ทั้งสองข้างด้วยสีหน้าจริงจัง “งั้น...ระวังตัวด้วยนะครับ ผมจะรอหน้าทางเข้าเอง”
“อื้ม...” ฉันพยักหน้าตอบกลับพลางใส่ฮู้ดหูกระต่ายก่อนที่จะยื่นมือไปเปิดประตูตรงหน้า
กริ๊ง~
เสียงกระดิ่งน้อยๆ
ดังขึ้นทันทีที่ประตูเปิดอ้าออกให้เห็นบรรยากาศอันน่าคุ้นเคย
โทนสีน้ำตาล-เขียวจากโต๊ะ-เก้าอี้สะท้อนเข้ามาพร้อมกับแสงโคมไฟเบื้องบนและแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่าง
ความเรียบง่ายอันสวยงามของห้องนี้น่าตราตรึงใจจนกลายเป็นคอมฟอร์ตรูมประจำสำนักงานเลยทีเดียว
ฉันลองหันมองรอบๆ
จนกระทั่งพบกับร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหันมาทางนี้พอดี เธอมีสีผิวคล้ำหน่อยๆ
เรือนผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้นประมาณไหล่ ตบท้ายด้วยผ้าคาดคาสีเทาที่ปกปิดนัยน์ตาทั้งสองไว้
อีกอย่าง...เธอถอดผ้าคลุมตัวสีดำเผยให้เห็นชุดอันแท้จริงแล้ว
“เรียว...โกะ...?”
“...? มาแล้วสินะ ยูกิ งั้นขอรบกวนหน่อยละกัน...” เรียวโกะพูดในขณะที่ตัวเองกำลังจิบเครื่องดื่มจากแก้วใบขนาดกลาง
“จะว่าไป...ผู้ชายที่ชื่อคูแลนน์ไม่ได้มาด้วยหรอกเหรอ”
“อ่อ...พอดีเขากำลังเฝ้าดูจากบนดาดฟ้าของอาคารนี้อยู่น่ะ
เพราะแอบกังวลด้วยว่าจะมีกลุ่มของผู้หญิงคนนั้นมาบุกรุกพวกเธอรึเปล่า”
“อย่างนี้นี่เอง...”
ว่าจบฉันก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ริมในสุดของร้านแล้วค่อยหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ตรงข้าม
ช่วงจังหวะนั้นจึงได้เห็นรูปลักษณ์เต็มตัวภายใต้ผ้าคลุม
องค์ประกอบคือ ผ้าคลุมไหล่สีเทา-ขาวยาวประมาณครึ่งต้นแขน
เสื้อแขนกุดเอวลอยนิดๆ ที่ส่วนอกเป็นสีขาว ส่วนลำตัวข้างล่างเป็นสีกรมท่าอ่อนๆ
มีลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีเหลืองทองสามจุดไล่ลงกลางหน้าท้อง ปลอกแขนสีดำยาวที่มีหูสวมคล้องนิ้วกลาง
ท่อนล่างทั้งหมดล้วนเป็นสีดำ โดยมีกางเกงขาสั้น เลคกิ้ง และรองเท้าหนังกลับคล้ายกับของฉัน
ทุกอย่างดูเท่ไม่เบานะเนี่ย...แทบไม่เชื่อเลยว่านี่คือนักเดินทางธรรมดา
“ฮืม...นมสดอุ่นของที่นี่อร่อยดีแฮะ”
“นั่นสิ...ฉันเองก็ชอบดื่มเหมือนกัน”
“บังเอิญดีนะ...งั้นไว้คราวหน้าจะลองเอาน้ำผึ้งมาผสมนมสดอุ่นสักหน่อยละกัน” เรียวโกะพูดหลังจากดื่มจนหมดและวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือจนกระทั่งค่อยๆ เงยหน้ามองผ่านผ้าคาดตา “แล้ว...”
“...?”
“เธอเคยสงสัยเกี่ยวกับสีตาของฉันบ้างรึเปล่าล่ะ...ยูกิ”
“...? กะ...ก็...แอบสงสัยนิดหน่อยอ่ะ...”
จะว่าไปจู่ๆ ทำไมเรียวโกะถึงถามอะไรแบบนี้กันหว่า...
"ถือว่าเธอโชคดีนะที่เริ่มสงสัยได้ถูกเวลา...เพราะหลังจากวันนี้อาจจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เปิดมันอย่างจริงจังสักเท่าไหร่นัก" อีกฝ่ายพูดพร้อมยกมือสองข้างขึ้นแตะบนสายสีเทาคล้ายเข็มขัดด้านหน้า
"ฟังดูเหมือนมีข้อยกเว้นบางอย่างยึดเหนี่ยวเลยนะเนี่ย..." ฉันนั่งจับคางตัวเองเชิงครุ่นคิดแล้วรอมองดูสิ่งที่จะเกิดขึ้น
"อืม..."
สิ้นเสียงเมื่อครู่ปุ๊บ เรียวโกะก็ค่อยๆ
จับปลดสายเข็มขัดเพื่อถอดเอาผ้าคาดตาสีเทาออกทันที
ในเสี้ยววินาทีนั้นเธอลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสีนัยน์ตาที่แท้จริง
ซึ่งมีสีเหลืองทองสว่างกว่าหญิงสาวสมาชิกแบล็คโคลเวอร์ชุดออฟฟิศเสียอีก
แต่มันก็สวยดีจริงๆ แหละ...ช่างน่าดึงดูดอะไรขนาดนี้กันนะ
"...!?"
แต่ในจังหวะที่กำลังเพลิดเพลินกับการมองดู
อีกฝ่ายกลับแสดงสีหน้าเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้า ทำให้ยิ่งจ้องนานอีกประมาณสิบวินาที
"เรียวโกะ...?" ฉันมองกลับไปพร้อมเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัยหลังจากรู้ว่าเธอเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป
"ยูกิ..." หญิงสาวผมน้ำตาลเข้มยื่นมือซ้ายเข้ามาปัดหน้าม้าทางขวาแล้วใช้นิ้วชี้แตะผ้าปิดตาสีดำเบาๆ "ดวงตาข้างขวานี่...ช่วยเปิดให้ฉันดูหน่อยได้มั้ย"
"...! มะ...ไม่ได้นะ ถ้ามองเข้ามาล่ะก็...เธอ---"
"ไม่เป็นไรหรอก...ขอแค่หนึ่งนาทีก็พอ..."
ทุกคนที่เคยเจอมาทั้งชีวิตมีคนขอให้เปิดดูแค่ไม่กี่คนเอง คุณลุงนายพรานที่เลี้ยงดูมาตลอด 18 ปี ล่าสุดก็ดาไซ โอซามุที่ได้มองเห็นชัดๆ ครั้งแรกในห้องพักยามเย็นก่อนลุยคดีคนหาย นอกนั้นทำได้เพียงสงสัยอย่างเดียว แต่เอาจริงๆ สมาชิกนักสืบกับพอร์ตมาเฟียคงมองเห็นบ้างแล้ว
พอต่อจากนั้นมา เรียวโกะก็เป็นอีกหนึ่งคนที่อยากมองเห็นมัน เธอดูมั่นใจแปลกๆ ว่าจะไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นแน่นอน
"อึ่ก..." ฉันไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากลองเสี่ยงปัดหน้าม้าซีกขวา เปิดผ้าปิดตาสีดำออกแล้วค่อยๆ หันมองด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าริปเปอร์จะปรากฏตัวเพื่อสังหารเพื่อนใหม่ตรงหน้าทิ้งกลางคาเฟ่แห่งนี้
"..."
พวกเราสองคนต่างนั่งจ้องหน้าด้วยกันหลายวินาทีจนกระทั่งเรียวโกะเริ่มยกมือซ้ายขึ้นแตะแก้มขวาอย่างเบามือพร้อมโน้มตัวเข้าหาใกล้จนหน้าท้องแนบชิดบนโต๊ะและขาสองข้างที่เหยียดตรงยืนเขย่งบนพื้น
"ดะ...เดี๋ยวสิ ระ...เรียวโกะ..."
กะ...ใกล้เกินไปแล้ว ใกล้กว่าตอนดาไซมองคราวก่อนหลายเท่าเลย
"ฮืม..."
เธอใช้ดวงตาสีเหลืองทองนั่นจ้องลึกเข้าภายในดวงตาสีแดงแห่งคำสาปอย่างไม่เกรงกลัว
นิ้วโป้งลูบไล้ตามหนังใต้เบาๆ สีหน้าไม่มีการแสดงออกถึงอารมณ์อื่นนอกจากเรียบนิ่งและตั้งใจมองปานจะกลืนกิน
ทำเอาร่างกายฉันแข็งทื่อไปหมด จนไม่นานเธอได้ปล่อยมือออกจากแก้มแล้วหย่อนตัวนั่งลงจุดเดิม
"อย่างนี้นี่เอง...ฉันพอจะสัมผัสได้ถึงบางอย่างในตัวเธอบ้างแล้วล่ะ"
"เอ๊ะ...?"
"เธอคงเคยพลาดพลั้งก่อบาปกรรมลงไปเมื่ออดีตกาล...ใช่มั้ย"
"...!?"
เพียงแค่จ้องมองตาก็เจาะลึกได้ถึงขนาดนี้...เหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกอ่านใจเลย
ระหว่างที่กำลังตะลึงกับเรื่องเมื่อครู่
เรียวโกะก็ขอสั่งนมสดอุ่นเพิ่มสองแก้ว ซึ่งอีกหนึ่งแก้วเป็นการเลี้ยงฉันในฐานะเพื่อนใหม่
ทางเมดสาวรับออเดอร์ด้วยรอยยิ้มแจ่มใสก่อนที่จะเดินไปชงเครื่องดื่มให้ทันที
“เมื่อกี้ต้องขอโทษด้วยละกัน...ยูกิ เธอคงลำบากใจเรื่องดวงตาข้างขวาจริงๆ
สินะ”
“เอ่อก็...นิดหน่อย...”
“เอาเถอะ...มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์บนโลกอยู่แล้ว”
เธอเริ่มหยิบผ้าคาดตาใส่กลับไปที่เดิมอย่างบรรจงก่อนที่จะพูดถึงเรื่องต่อจากนี้
"บาปกรรม...สิ่งที่มนุษย์หลายคนต่างหลีกหนีกันไม่พ้น
แม้เป็นเพียงเล็กน้อยก็อาจเกิดเรื่องใหญ่ภายหลัง เพราะบาปนั่นมันตราตรึงในใจตลอดเวลา"
"บาป...ที่ตราตรึง..."
"ยิ่งมีพยานพบเห็นเหตุการณ์มากเท่าไหร่...ยิ่งก่อบาปกรรมเลวร้ายเพียงใด...ความรู้สึกผิดยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น
และมันก็จะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่เรียกว่า คำสาป"
"อึ่ก..."
ทำไมกันนะ...พอฟังคำอธิบายพวกนั้น...
มันเหมือนกำลังจะสื่อถึงชีวิตของฉันแทบทุกอย่างจริงๆ
แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย...ริปเปอร์ต่างหากที่ทำให้สูญเสียครอบครัวแท้ๆ
โดยยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกัน...แล้วหางานทำเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้มีพระคุณสูงสุดจนแก่เฒ่า...เหมือนครอบครัวอื่นที่ต่างใช้ชีวิตกันอย่างอบอุ่น
“...”
ตึก...ตึก...ตึก
ช่วงเวลานั้น
เสียงฝีเท้าจากทางขวามือได้ดังขึ้นเป็นจังหวะเดินช้าๆ ซึ่งจะเป็นใครที่ไหนได้นอกจากเมดสาวอิสึมากิ
เธอกำลังถือแก้วขนาดกลางลายดอกไม้และผีเสื้อตัวน้อยที่มีนมสดอุ่นๆ บรรจุอยู่เกินครึ่งแล้วค่อยวางลงบนโต๊ะตรงหน้าพวกเรา
"แต่ใช่ว่าคำสาปนั่นจะไม่มีทางชำระล้างออก" เรียวโกะหยิบแก้วลายผีเสื้อขึ้นมาเป่าระบายความร้อนออกพลางจิบนมสดเข้าไปทีละนิดละหน่อยก่อนที่จะพูดต่ออีกหนึ่งประโยค
“เพียงแค่ยังไม่พบเห็นวิธีที่แท้จริงเท่านั้นเอง”
ดูท่าทางเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจเรื่องนี้ดีไม่น้อยเลยแฮะ...แบบนี้ฉันก็คงสามารถเปิดใจคุยได้อย่างสบายใจสินะ
แม้ทางคุนิคิดะจะเป็นห่วงและกังวลมากๆ แต่นั่นกลับดูเหมือนกำลังขีดเส้นกั้นไม่ให้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ยังไงไม่รู้
"...อย่างที่เธอบอกจริงๆ น่ะแหละ เรียวโกะ”
“...?”
“ฉัน...เคยช่วงชิงชีวิตของผู้มีพระคุณสองคนโดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อน และนั่นกลับทำให้ญาติๆ
ต่างประณามฉันในฐานะ กาลกิณี เพราะเหตุผลเดียวคือ...คำสาป พวกเขามองว่าฉันเป็นเหมือนปีศาจ
อยู่กับใครแล้วจะต้องพบเจอกับความตาย...และต้องโดดเดี่ยวท่ามกลางความมืดมิด"
ตั้งแต่วินาทีนั้นมา
ฉันก็ตัดสินใจลองเปิดใจเผยอดีตของตัวเองให้เรียวโกะได้รับฟัง ทั้งตอนเกิดเหตุครั้งแรกในวัยสองขวบ ตอนคำสาปทำงานต่ออีกในโรงเรียนสองแห่ง
ตอนที่คุณลุงนายพรานถูกจับตัวในข้อหาลักพาตัวผู้คนไว้ในห้องใต้ดิน หรือแม้กระทั่งเรื่องพลังพิเศษด้วย
“ฮืม...อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้น...ขอฉันถามอะไรอย่างนะ”
“...?”
“ตัวเธอที่เคยฆ่าคนจนมีคำสาปถึงวันนี้...กำลังปรารถนาอะไรจากเบื้องลึกของหัวใจอยู่รึเปล่า”
ปรารถนา...จากเบื้องลึกของหัวใจ
“...”
บ้าจริง...ทำไมมันตอบยากจังนะ เหมือนกับว่ามีหลายๆ อย่างที่กำลังอยากให้ใครสักคนดลบันดาลเลย ทั้งเรื่องลบล้างคำสาป ช่วยเหลือผู้คน พยายามทำให้ศัตรูยอมจำนน หรือแม้แต่ตัวริปเปอร์...ที่ครั้งล่าสุดฉันกลับยอมให้มันตามช่วยชูยะโดยที่ยังคงก่อบาปหนาต่อไป
แต่ว่า...
“ตอนนี้ฉัน...แค่อยากทำในสิ่งที่ถูกต้องและเปลี่ยนตัวเองให้ได้เท่านั้นเอง
ฉันพยายามไม่ทำอะไรให้ซ้ำรอยเดิมเหมือนในอดีต แต่บางครั้งก็...หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย...”
“ไม่เป็นไรหรอก...ฉันเข้าใจเธอดี เพราะอย่างน้อยก็ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่โดนคำสาปเหมือนกัน
แน่นอน...เธอคนนั้นเคยก่อบาปกรรมมาตั้งแต่สมัยเรียน เพียงแต่ไม่ได้ฆ่าครอบครัวทั้งหมด”
“อึ่ก...ตะ...แต่ถ้าไม่ได้ฆ่ายกบ้าน แล้วผู้หญิงคนนั้น...ฆ่าใครลงไปล่ะ”
“ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากมายขนาดนั้นหรอก เพราะมันเป็นแค่ข่าวลือเมื่อนานมาแล้วน่ะ
อาจจะ...เป็นที่พูดคุยกันในสมัยเรียนของเธอล่ะมั้ง”
งั้นข่าวลือนั่นคงจะดังในช่วงที่กำลังหวาดระแวงว่าทุกคนในโรงเรียนจะเปิดผ้าปิดตาพอดิบพอดีเลยสิ อีกอย่างฉันเคยเป็นคนป่า ไม่รู้เลยว่าคนๆ นั้นใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน
แต่ก็หวังว่าจะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นอีกละกัน...
ฟ่ออ~
“...?”
จังหวะที่พวกเรากำลังพูดคุย
เสียงของอสรพิษตัวหนึ่งได้ดังขึ้นจากด้านหลังทางซ้ายมือ กลุ่มควันสีดำล่องลอยท่ามกลางอากาศพร้อมกับการปรากฏตัวของแคทเชอร์หนึ่งตัว
มันลอยเข้ามาคลอเคลียแก้มทักทายตามเคยแล้วค่อยหันมองหญิงสาวผมน้ำตาลเข้มหลายวินาที
“เจ้านั่นคือ...”
“อ่อ...แคทเชอร์เป็นหนึ่งในพลังพิเศษของฉันเองแหละ
ถึงจะบอกว่ามีคำสาปในตัว แต่เจ้าอสรพิษตัวนี้เป็นตัวเดียวที่ไม่มีพิษภัยต่อมนุษย์เลย”
หลังอธิบายจบ ฉันยกแก้วนมสดอุ่นขึ้นดื่มรับความหวานหอมกับอบอุ่นในร่างกาย
ส่วนอสรพิษด้านดีก็ค่อยๆ ลอยเข้าไปหาเรียวโกะแล้วคลอเคลียแก้มเพื่อทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่
ความขี้อ้อนของมันทำให้อีกฝ่ายต้องยอมลูบหัวเล่นด้วยความเอ็นดู
“เห...น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย”
“แหะๆๆ”
และนั่นคือครั้งแรก...ที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆ
จากเธอ
...รอยยิ้มแรกจากเพื่อนสาวคนแรกมันดูทรงพลังมากเลยล่ะ
ตื๊ดด~ ตื๊ดด~ ตื๊ดด~
“...?”
แต่ในระหว่างนั้น
เสียงโทรศัพท์สั่นจากกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น เมื่อหยิบมาดูหน้าจอพบกับเบอร์โทรนักสืบแว่นเจ้าของสมุดอุดมคติอย่างคุนิคิดะ
ดปโป ฉันค่อยๆ วางแก้วลายดอกไม้ที่เพิ่งดื่มนมหมดลงบนโต๊ะ ขอตัวลุกออกห่างจากเรียวโกะประมาณสามเมตรแต่ยังคงให้แคทเชอร์อยู่ต่อแล้วค่อยกดรับสายภายในทันที
“ฮัลโหลค่ะ...คุณคุนิคิดะ”
“ทาจิบานะ ตอนนี้ช่วยกลับขึ้นมาคุยกับพวกเราที่สำนักงานก่อนได้รึเปล่า
เพราะงานไหว้วานจากลูกค้าคนใหม่เพิ่งถูกส่งมาทางพวกเราเมื่อกี้เลย”
“เอ๊ะ...? เพิ่งมาเมื่อกี้? ดูท่าทางจะไม่ได้พักได้ผ่อนจริงๆ สินะคะเนี่ย”
“อา...แต่ยังไงก็เถอะ วันนี้ฉันขอให้เธอเป็นคนรับฟังร่วมกับอัตสึชิละกัน
ส่วนพวกฉันที่เหลือจะตามรวบรวมข้อมูลอีกทีหลังจากเคลียร์เอกสารเก่าเสร็จแล้ว”
แค่ฉันกับอัตสึชิสองคน...? งั้นแปลว่าเป็นการฝึกเด็กใหม่ร่วมกับนักสืบคนล่าสุดสินะ
แบบนี้ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วงล่ะมั้ง...
“รับทราบค่ะ เดี๋ยวฉันจะตามไปหาเลยนะคะ”
“โอเค...ตอนนี้ลูกค้ากำลังนั่งรอในโซนรับแขกอยู่ อย่าทำให้เสียเวลาซะล่ะ”
ติ๊ด!
ว่าจบทางคุนิคิดะก็กดวางสายทันทีดั่งสายฟ้าแลบ ฉันแอบตกใจเล็กน้อยต่อการกระทำเมื่อครู่พลางเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปคุยกับเพื่อนสาวผมน้ำตาลเข้มเกี่ยวกับเรื่องงานไหว้วานใหม่
“เอ่อ...เรียวโกะ ต้องขอโทษที่มีเวลาคุยน้อยหน่อยนะ
แต่ว่าฉันมีงานใหม่ต้องทำแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก...โอกาสหน้าพวกเราค่อยหาเวลาคุยต่อก็ได้นี่นา” อีกฝ่ายลูบหัวแคทเชอร์เล่นๆ ไปได้ไม่กี่รอบก่อนที่จะเก็บแก้วสองใบให้กับเมดสาวอิสึมากิตรงหน้าเคาน์เตอร์
“นมสดอุ่นอร่อยมากเลย...ไว้คราวหน้าจะเตรียมน้ำผึ้งให้ละกัน”
“แหะๆ ขอขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ คุณอิชิคาวะ
ส่วนเรื่องน้ำผึ้งไม่ต้องกังวลค่ะ ทางดิฉันมีเตรียมพร้อมหมดแล้ว
เพราะงั้นสบายใจได้ค่ะ” เธอส่งรอยยิ้มสดใสตรงหน้าเพื่อนสาวผมน้ำตาลเข้มพร้อมรับแก้วไปล้างให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ
“จะว่าไปพวกเธอสองคนทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้วสินะเนี่ย...”
“อื้ม...พอฉันแวะเวียนเข้ามาเป็นลูกค้าคนแรก เมดคนนั้นให้การต้อนรับดีมาก
ก็เลยได้มีโอกาสนั่งพูดคุยรอเธอลงมานี่แหละ” เรียวโกะเดินมุ่งหน้าหยิบผ้าคลุมตัวสีดำบนเก้าอี้พร้อมจับใส่เหมือนครั้งก่อนนู้น
“แล้วต่อจากนี้...เธอจะไปไหนต่องั้นเหรอ”
“นั่นสินะ...บางทีอาจจะเดินทัวร์ภายในเมืองนี้ด้วยกันกับคูแลนน์ก็ได้
เพราะยังไงซะ...พวกฉันก็เป็นเพียงแค่นักเดินทางจากเมืองอื่นเท่านั้นเอง”
“...”
รู้สึกแย่แปลกๆ
ยังไงไม่รู้แฮะ...เหมือนกับว่าพวกเรามีโอกาสได้พูดคุยกันตรงๆ น้อยมากเลย
ฉันยืนมองหญิงสาวผมน้ำตาลเข้มด้วยความรู้สึกแย่ปนกับเสียดายหลังคิดเช่นนั้นไปไม่กี่วินาที
จนกระทั่งเธอหยิบบางอย่างภายในผ้าคลุมแล้วยื่นให้ สิ่งๆ นั้นคือผ้าปิดตาสีดำอันใหม่ซึ่งดูดีกว่าเดิม
เพราะอันที่ฉันใส่อยู่มันช่างธรรมดาเหลือเกิน
“รับไว้ด้วยล่ะ...ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกสำหรับเพื่อนใหม่”
“อะ...อื้ม ขอบคุณนะ เรียวโกะ”
พอลองเปลี่ยนใหม่แล้วปุ๊บ
รู้สึกได้เลยว่าใส่สบายมากๆ แถมเนื้อผ้ายังนุ่มกว่าด้วย
“เอาเป็นว่าสู้ๆ กับงานใหม่ครั้งนี้ละกัน...” เรียวโกะมอบกำลังใจตบท้ายก่อนที่จะก้าวเท้าเดินไปยังทางออกคาเฟ่ แต่ต่อมาเธอได้หยุดอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมหันหน้ามองกลับมา
“อ่อ...เกือบลืมไปเลย”
“...?”
“ถึงคำสาปจะเป็นเรื่องไม่น่าให้อภัย แต่สักวันหนึ่ง...เธออาจจะพบความจริงบางอย่างที่มันพยายามสื่อให้รับรู้...เหมือนกับเรื่องผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งเล่าให้ฟังก็ได้”
“เอ๊ะ...? งะ...งั้นแปลว่า...”
“ก็นะ...หลายๆ อย่างที่ฉันบอกคงจะฟังดูยากหน่อย
แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่รับรู้และยืนยันได้หลังจากจ้องมองดวงตาสีแดงนั่น...” เพื่อนสาวจับฮู้ดของผ้าคลุมตัวขึ้นใส่และเปิดปากพูดเชิงทิ้งทวนในสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้
“เธอยังพอมีวิธีลบล้างคำสาปในพลังพิเศษอยู่...แต่ต้องหาคำตอบด้วยตัวเองเท่านั้น”
“หาคำตอบ...”
เหมือนกำลังพยายามทบทวนเกี่ยวกับความปรารถนาจากการอ่านใจเลยแฮะ...หรือบางทีเธอจะเริ่มรู้วิธีลบล้างคำสาปบ้างแล้วส่วนหนึ่งแต่ปล่อยให้ตามหาเอาเอง
“มันเป็นสิ่งเดียวที่แฝงไปด้วยความจริงเกี่ยวกับตัวเธอและคำสาปทั้งหมดทั้งปวง
ฉะนั้น...”
“...”
“อย่าลืมที่จะพูดคุยกันเพื่อร่วมหาคำตอบให้เจอซะล่ะ
ยูกิ”
[ To be continued ]
ความคิดเห็น