คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : Episode 16 สดับลมขับขาน [Part 1]
[ มุมมองที่สาม ]
ภายใน Haruka
Concert ไร้ซึ่งผู้คนอื่นใดนอกจากผู้มีพลังพิเศษทั้งสาม
สายลมและหมอกขาวอันเบาบาง เหล่าแฟนคลับที่พร้อมใจรับชมฮารุกิในคราบไอดอลหญิงนามว่าฮารุกะถูกกลืนกินต่อหน้าต่อตานักสืบสาวกับมาเฟียหนุ่มโดยมิอาจรู้ได้ว่าพวกเขาอยู่
ณ หนแห่งใด
ยูกิยืนสังเกตรอบซ้ายขวาเพื่อพยายามหาวิธีการเข้าบุกหรือตั้งรับอีกฝ่ายอย่างใจเย็นจนพบว่า
อาคารนี้ไม่มีอะไรพิเศษมากมายเหมือนคอนเสิร์ตทั่วไป
แต่สิ่งที่เธอสังเกตเห็นมากกว่านั้นคือ
โซนยืนรับชมจากชั้นสองยื่นโอบรอบครึ่งวงกลมซึ่งมีประตูกำลังถูกปิดล็อกสนิท
ราวกับเป็นพื้นที่สำหรับเหล่า VIP ก็ไม่ปาน
“...”
ฟิ้วว~
เมื่อได้ยินเสียงสายลมที่ยังคงพัดโบกดังวนทั่วบรรยากาศ
รวมถึงรอยยิ้มกว้างของเด็กหนุ่มแต่งหญิงผู้เป็นสมาชิกองค์กรแบล็คโคลเวอร์
อุณหภูมิรอบตัวก็ค่อยๆ เย็นลงจนเหลือต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเพียงนิดเดียว
“มาจัดการเจ้าบ้านี่ให้จบไวๆ กันเถอะ ยูกิ”
“อื้ม...”
“เอาล่ะนะ...พี่สาว!!”
ว่าจบทางฮารุกิก็เริ่มเปิดศึกคนแรกพร้อมดีดนิ้วสั่งให้เหล่านักดนตรีบรรเลงเพลง End Time ช่วยซัพพอร์ตแล้วพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่าย
ซึ่งวิธีสู้ของเขาเป็นรูปแบบหมัด-ลูกเตะผสานพลังพิเศษคล้ายคลึงกับคานาเอะ
เพียงแต่มีความได้เปรียบสูงกว่าเท่านั้นเอง
“อึ่ก...” ยูกิรีบดีดนิ้วซ้ายสั่งให้เหล่าอสรพิษด้านดีเตรียมพร้อมปัดป้องและช่วยสู้
แต่ในเสี้ยววินาทีที่มันฟาดบนท่อนแขนนั้น จู่ๆ
ร่างกายของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็แตกสลายกลายเป็นสายหมอกสีขาวแทน “...!?”
ผลจากพลังพิเศษงั้นเหรอ...ถ้างั้น...
วิ้งง~
ชูยะที่มองเหตุการณ์เมื่อครู่พยายามใช้พลังแรงโน้มถ่วงของตัวเองตรวจหาศัตรูด้วยออร่าสีแดงพลางยืนอยู่ข้างนักสืบสาวไม่ยอมก้าวเท้าออกห่าง
แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถค้นตัวท่ามกลางหมอกสีขาวเจอเลย
“บ้าจริง...ซ่อนตัวเก่งจังนะแก”
“ว่าไงล่ะครับ พี่ชาย หาตัวผมไม่เจอล่ะสิ~”
เสียงพูดของฮารุกิดังกึกก้องรอบภายในอาคารคอนเสิร์ตจนมิอาจระบุตำแหน่งของเจ้าตัวได้ง่าย
บทเพลงอันเต็มไปด้วยเสียงเปียโน ไวโอลินยังคงบรรเลงร่วมกับเครื่องลั้นช์แพ็ด (Launchpad)
ที่มีเสียงประกอบไม่มีขาดสาย
จากนั้น...
“...!? ยูกิ! ด้านหลัง!!”
“...!!” ยูกิหันหลังตามเสียงเรียกเตือนของชูยะจนกระทั่งร่างกายเธอปลิวออกตามแรงผลักบนไหล่ประมาณไม่ถึงสามเมตร
เธอล้มกลิ้งไม่กี่ตลบแล้วค่อยรีบยืนตั้งหลักขึ้นใหม่พร้อมหันไปเจอมาเฟียร่างนักเรียนสาวที่ช่วยรับหมัดเด็กชายเอาไว้
“พี่ชายเนี่ยชอบขัดขวางผมจริงๆ เลยนะ
อุตส่าห์จะเล่นกับพี่สาวทั้งที”
“แล้วไงล่ะ...เจ้าตัวเปี๊ยก
เป็นเด็กเป็นเล็กนิดเดียวหัดเล่นกับเพื่อนรุ่นเดียวกันซะบ้าง”
“รุ่นเดียวกัน...? ของแบบนั้นมันจะไปมีได้ยังไงล่ะ!
ในเมื่อผมไม่เคยมีเพื่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว!!”
สิ้นเสียงจากสมาชิกแบล็คโคลเวอร์ตัวน้อย
สายลมยิ่งพัดโบกแรงยิ่งกว่าเดิมโดยส่งผลให้พลังกายเพิ่มขึ้นอีก
เขาดีดตัวออกห่างไม่ถึงสองเมตรแล้วกำหมัดเข้าเตรียมสู้อย่างจริงจัง
มาเฟียผมส้มเห็นท่าไม่ดีนักจึงเริ่มใช้หมัดแรงโน้มถ่วงเข้าต่อต้าน
ฟิ้วว~
แต่พอทั้งสองอย่างกระทบกัน สายลมรอบข้างถูกรวมกลุ่มกันเป็นพายุหมุนตรงหน้าฮารุกิ
เขาดีดนิ้วสั่งให้นักเปียโนดีดเครื่องเล่นรัวขึ้นช่วยซัพพอร์ตพลังพิเศษของตน ยูกิและชูยะต่างกลิ้งตัวหลบหลีกพายุที่พัดเข้าในแนวเส้นตรงจนทำลายทางเข้าตัวอาคารแห่งนี้
ปึง!!
“ชิ...แย่ยิ่งกว่าเดิมอีกเหรอเนี่ย ระวังด้วยล่ะ ยูกิ”
“อึ่ก...”
ทั้งสองคนออกตัววิ่งแยกคนละทางเพื่อเข้าประชิดอีกฝ่าย
มาเฟียหนุ่มใช้พลังแรงโน้มถ่วงกระโดดขึ้นไปยังโซนรับชมชั้นสองฟากซ้ายในขณะที่นักสืบสาวขอให้แคทเชอร์พุ่งไปงับราวจับดีดตัวขึ้นอีกโซนหนึ่ง
“เอาล่ะ...ลองเดาดูซะสิว่าตัวผมจริงๆ กำลังสู้กับใคร!!”
ต่อมาพวกเขาจึงต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มหมอกสีขาวในรูปลักษณ์ฮารุกิที่เพิ่มขึ้นจากการสีไวโอลิน
เสียงพูดท้าทายจากอีกฝ่ายยังคงดังกึกก้องรอบตัวอาคารเพื่อพรางตัวท่ามกลางกลุ่มหมอกนี้
หมับ!
“...!!”
ในจังหวะนั้น ยูกิสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบอัดแน่นบริเวณแขนข้างขวาคล้ายถูกจับบีบก่อนที่จะถูกเหวี่ยงตัวออกจากโซนรับชม
เธอพยายามหมุนตัวแลนดิ้งลงบนพื้นให้ปลอดภัยแล้วค่อยเริ่มสู้ในระยะประชิด
“ฮึ่ด...!”
หญิงสาวออกตัววิ่งมุ่งหน้าเข้าหาคู่ต่อสู้โดยยังมีการออมมืออยู่ในช่วงแรกเพื่อลองเชิง
พวกเขาต่างดวลหมัดสลับกับบล็อกหรือเบี่ยงตัวหลบจากการโจมตีจนต่อมาเธอเริ่มยกแข้งขึ้นฟาดลงเหนือหัวก่อนที่จะถูกจับขาเหวี่ยงออกไปอีกครั้ง
“ฮ่ะๆๆ เริ่มสนุกซะแล้วสิเนี่ย”
“...!”
ยูกิได้ยินเสียงฮารุกิดังรอบๆ
แล้วม้วนตัวแลนดิ้งลงพื้นได้อย่างสวยงามพลางสั่งให้แคทเชอร์ช่วยซัพพอร์ตด้วยการเหวี่ยงตัวเองขึ้นลงซ้ายขวาดั่งอาวุธแส้
ฮืม...ใช้อสรพิษเป็นอาวุธแล้วสินะ ยูกิ
ชายหนุ่มพอร์ตมาเฟียที่สังเกตเห็นพอดีเกิดไอเดียต่อสู้อีกแบบหนึ่งพร้อมกระโดดขึ้นกำหมัดขวาต่อยลงพื้นที่ยืนรับชมคอนเสิร์ตชั้นสอง ออร่าสีแดงปรากฏรอบตัวและควบคุมให้เหล่าเศษปูนรวมกันเป็นกระบองยาวเตรียมใช้ปะทะกลุ่มหมอกสีขาวของฮารุกิ
“ไม่เลวดีนี่นา...พวกพี่ทั้งสองคน
งั้นผมเองก็ขอร่วมด้วยไม่ให้เสียเปรียบละกัน”
วินาทีที่เสียงของเด็กชายร่างไอดอลสิ้นสุด
ตัวเขาตรงหน้ายูกิเริ่มดีดตัวออกห่างไปยืนชิดเวที เหล่ากลุ่มหมอกรอบกายถูกแปรสภาพรวมกันเป็นรูปร่างหน้าตาของตัวเองนับสิบ
“บ้าเอ๊ย...ทำตัวน่าหงุดหงิดจริงๆ เลย...” ชูยะจับกระบองยาวไว้แน่นแล้วจ้องมองด้วยความหงุดหงิดไม่น้อยที่อีกฝ่ายเล่นได้ไม่แฟร์เท่าไหร่นัก
“ฮืม...ขืนสู้ต่อแบบนี้คงจะเหนื่อยแย่เลย มาพักฟังเพลงใหม่ๆ จากพวกผมสักหน่อยดีมั้ยครับ” ฮารุกิและร่างแยกอื่นๆ ยืนเผชิญหน้าเรียงแถวพลางหัวเราะด้วยความรู้สึกสนุกที่ได้เล่นกับรุ่นพี่สองคน
“ฮารุกิ...” ยูกิไม่รับฟังคำพูดเมื่อครู่ของเด็กน้อยร่างไอดอลพร้อมเปิดปากถามสิ่งที่ต้องการรู้คำตอบให้ได้
“ทำไมนายถึงต้องก่อเหตุแบบนี้กันล่ะ...เป็นแค่เด็กเล็กเหมือนอยู่ประถมด้วยซ้ำ”
“...”
ฟิ้วว~
“พี่สาว...ก็ผมรู้สึกเหงานี่นา” ฮารุกิตอบกลับไปหลังจากสายลมบางเบาพัดโบกตรงหน้าเขาเอง
“เหงา...? เหงางั้นเหรอ...อย่ามาล้อเล่นกันสิเฟ้ย!
ใครเขาจะตามก่อคดีให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเรื่องแค่นี้ล่ะ!! ไร้สาระ!! ไร้เหตุผลสิ้นดี!!” มาเฟียผมส้มแสดงท่าทางโมโหใส่เด็กตรงหน้าอย่างชัดเจนจนทำให้ยูกิแอบรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“ชูยะ...”
แน่นอน...เขารู้ดีอยู่แล้วว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างซุกซ่อนไว้นอกจากเรื่องค่าหัวของเพื่อนสาวผมดำหรือการเล่นสนุกกับความทุกข์ทรมานของคนอื่น
และเขาจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนทำลายเมืองโยโกฮาม่าแห่งนี้เด็ดขาด
“โธ่...แย่จัง พี่ชายไม่ยอมรับฟังเหตุผลของผมเลยจริงๆ”
ฮารุกิพูดด้วยความรู้สึกตัดพ้อพร้อมถอนหายใจเบาๆ แล้วค่อยเริ่มพูดต่อ
“งั้นก็ช่วยไม่ได้...จะยอมบอกความจริงสักหน่อยละกัน”
“...”
“เคยได้ยินเรื่องหมอกฆ่าตัวตายมาก่อนได้ล่ะครับ...พี่สาว”
“หมอก...ฆ่าตัวตาย...?” ยูกิรู้สึกงุนงงและไม่คุ้นหูเพราะไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนในชีวิต
จนต่อมาชูยะก็เริ่มอธิบายเกี่ยวกับชื่อเรียกหมอกเมื่อครู่
“หมอกฆ่าตัวตาย...เป็นหมอกที่ดึงเอาพลังพิเศษออกจากเหล่าผู้คนมีพลังนั้นๆ
แล้วใช้มันสังหารพวกเขาเองราวกับฆ่าตัวตาย
คนธรรมดาอาจจะได้รับผลเพียงแค่หายตัวไปบ้าง
แต่นั่นเป็นอันตรายมากสำหรับคนมีพลังพิเศษอย่างพวกเรา”
“บ้าน่า...ชูยะ...อย่าบอกนะว่านาย...”
“อ่า...พอร์ตมาเฟียกับกลุ่มนักสืบบุโซเคยเผชิญหน้ามาก่อน
แต่ก็นะ...ถ้าไม่ได้ไอ้เบื๊อกดาไซนั่น...ป่านนี้พวกเราคงโดนพลังพิเศษของตัวเองฆ่าตายแล้วล่ะ”
“ฮ่ะๆๆ ว่าแล้วเชียว...คดีของพวกพี่ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกีเนี่ย...ช่างน่าตราตรึงใจจริงๆ
แน่นอนว่าผมชอบมาก...ชอบจนอยากลองสานต่อเลยล่ะ” ฮารุกิหัวเราะร่าเบาๆ
เพราะมีคนเคยประสบพบเจอเหตุการณ์เลวร้ายที่แสนประทับใจสำหรับตัวเขาเอง
“เฮอะ...! เด็กไก่อ่อนอย่างแกเนี่ยนะที่จะชื่นชมสิ่งที่หมอนั่นเคยก่อไว้...ช่างน่าเกลียดจริงๆ”
“แต่ผมคิดว่าผู้หญิงส่วนใหญ่บนโลกน่าเกลียดยิ่งกว่าอีกนะ...ผ่านมาตลอด 18 ปี ไม่เคยมีใครทำให้ผมประทับใจเลย”
“18 ปี!!?”
ยูกิและชูยะฟังจบแล้วเริ่มตกตะลึงพลางไม่เชื่อใจเท่าไหร่นัก
ทั้งสองต่างคิดว่า ร่างเล็กๆ ที่มีความสูงประมาณ 136 เซนติเมตรเช่นนั้นควรเป็นเด็กวัยประถมด้วยซ้ำ
“พวกพี่อาจจะไม่เชื่อ แต่ร่างกายของผมหยุดเจริญเติบโตด้วยพลังพิเศษเองแหละ
เพราะงั้น...พอพวกผู้หญิงที่เคยเข้าใกล้รู้ความจริงเข้า ถึงได้พยายามตีตัวออกห่างไงล่ะครับ
ขนาดคนร่วมชั้นยังเหยียดหยามจนไม่เคยเห็นหัวเลย”
“อึ่ก...ไม่จริง...หยุดเจริญเติบโตเนี่ยนะ...”
“พี่สาวไม่เคยได้ยินเหรอครับ...เรื่องราวที่ผู้หญิงชาวรัสเซียหยุดการเจริญเติบโตเพราะเป็นโรคฮอร์โมนผิดปกติ...เธอหลบหนีจากคดีฆาตกรรมแล้วทำตัวประหนึ่งเด็กกำพร้าเก้าขวบ...ทั้งที่ตัวเองอายุ
33 ปีแล้ว”
ฮารุกิถามเชิงเปรียบเทียบด้วยตัวอย่างเรื่องราวที่เคยได้ยินมานาน
โดยมันสะท้อนถึงสิ่งหนึ่งที่เคยทำให้กวนใจและน่าโมโหคือ
เขาถูกผู้หญิงวัยเลขสามในรูปลักษณ์เด็กสาวมัธยมต้นหลอกลวงหวังฟันแล้วทิ้ง...ทั้งที่ตัวเองยังไม่ทันได้เริ่มดูดเลือดเอาเนื้อเตรียมฉกเงินเธอเป็นรายต่อไปเลย
ใช่...เขาเคยผ่านผู้หญิงมามากมาย ตั้งแต่วัยเด็กเล็กยันวัยเลขสาม
ส่วนใหญ่พวกเธอมีหน้าตาที่ดูดี ร่ำรวยเงินทอง หรือแม้กระทั่งคนที่มีข้อบกพร่องด้านต่างๆ
ซึ่งมักถูกหลอกและยอมให้เสียตัวง่าย จนวันหนึ่งเขาได้ตะหนักคิดว่ามันช่างน่าเบื่อที่พวกเธอเหล่านั้นถูกหลอกง่าย...น่าเกลียดเหลือเกิน
แต่ครั้งนี้...เขาได้เจอผู้หญิงคนใหม่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าหน้าไหนๆ
และเธอ...ก็กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งมันจะเป็นใครได้นอกจากนักสืบสาวเจ้าของพลังพิเศษ
อสรพิษอัปยศ อย่างทาจิบานะ ยูกิ
“โอ้...แต่รู้อะไรมั้ย ผมน่ะ...” ฮารุกิค่อยๆ
ก้าวเท้าเดินมาตรงหน้านักสืบผมดำพลางส่งสายตากับรอยยิ้มเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ
จนกระทั่งยกมือขวาขึ้นรูดซิปเสื้อฮู้ดหูกระต่ายลงสุดและลูบไล้หน้าท้องภายใต้เสื้อด้านในสีแดงอย่างเพลิดเพลิน
“ชักจะสนใจในตัวพี่สาวขึ้นมาซะแล้วล่ะ”
“...!!?”
ฟิ้วว~
สายลมรอบๆ บรรยากาศภายในอาคารคอนเสิร์ตเริ่มพัดโบกวนไปมากีดกั้นระหว่างยูกิกับชูยะรวมทั้งเหล่าร่างแยกของไอดอลตัวน้อยที่คอยขัดขวางมาเฟียผมส้มไม่ให้เข้าใกล้
“ชูยะ...!!”
“พี่สาว...ช่วยหลับใหลสักแป๊บนะครับ”
เจ้าของพลังพิเศษสดับลมขับขานยิ้มมุมปากพร้อมดีดนิ้วสั่งให้กลุ่มหมอกรวบข้อมือทั้งสองขึ้นเหนือหัวก่อนที่จะใช้ฝ่ามือกระแทกบริเวณลิ้นปี่อย่างแรงจนร่างบางปลิวออกไปไกล
“อั่ก...!!”
ปึง!!
แผ่นหลังของนักสืบสาวกระทบกับผนังอาคารและจุกทั่วร่างโดยเน้นเฉพาะตรงกลางใต้ทรวงอก
เธอเริ่มรู้สึกหายใจติดขัดจนล้มลงนอนคว่ำบนพื้น
มือข้างซ้ายพยายามออกแรงดีดเพื่อเรียกอสรพิษด้านดีเข้าช่วยแต่ก็ทำไม่สำเร็จ
เรี่ยวแรงและสติสัมปชัญญะค่อยๆ ลดร่วงทีละนิด
“อึ่ก...ชูยะ...ชู...ยะ...”
เสียงเรียกอันติดขัดยังคงเปล่งออกจากปากเธอไม่ขาดสายเพราะเริ่มหมดทางสู้ แคทเชอร์สลายหายกับควันสีดำ ริปเปอร์ที่ถูกผนึกก็ไม่สามารถเรียกให้ปรากฏตัวขึ้นได้ ตาทั้งสองค่อยๆ หลับลงสนิทดั่งเจ้าหญิงนิทรา
โดยมีสิ่งสุดท้ายที่นึกถึงก่อนสลบลงคือ...
...ขอให้เพื่อนหนุ่มผมส้มช่วยปกป้องเธอ
...และพากลับสำนักงานนักสืบบุโซอย่างปลอดภัยดี
“...!? ยูกิ!!” ชูยะหันตามเสียงกระแทกจากอีกฟากหนึ่งจนพบว่าร่างของเพื่อนสาวล้มนอนแน่นิ่งกับพื้นโดยไม่มีอสรพิษตัวไหนปรากฏตัวเลย
บ้าเอ๊ย...พลาดท่าให้กับมันจนได้
ยูกิ...เธอจะต้องรอด...ต้องรอดจนกว่าจะล้างคำสาปให้ได้สิ!!
เขาเริ่มกำหมัดแน่นแล้วพยายามทุกวิถีทางเพื่อฝ่ากลุ่มหมอกตรงหน้า
ทั้งใช้พลังแรงโน้มถ่วงควบคุมให้กระเด็นออกห่าง
หาจังหวะฟาดแข้งในช่วงที่มีร่างกายหยาบจนปลิว ท้ายสุดคือใช้กระบองยาวฟาดตรงหน้าในวงกว้างแม้ภายหลังมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ก็ตาม
ตึก...ตึก...ตึก
ส่วนทางเด็กหนุ่มตัวเล็กในคราบไอดอลสาวก็เดินเข้าหานักสืบสาวอย่างช้าๆ
ในขณะที่มือขวาดีดนิ้วเรียกกลุ่มหมอกก่อรวมกันเป็นร่างแยกอีกคนหนึ่งพร้อมสั่งให้จับพลิกร่างอีกฝ่ายนอนหงาย
นัยน์ตาสีเขียวจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความหิวโหย
“พี่สาวชุดกระต่าย...ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีค่าหัวสูงเหลือเกิน
พี่น่ะ...ดูน่าค้นหามากๆ โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ภายใต้หน้าม้าซีกขวานั่น...ผมชักจะอยากรู้แล้วล่ะ...ว่ามีอะไรให้ได้ชมบ้าง”
เขาค่อยๆ
ย่อตัวลงตรงหน้าหญิงสาวแล้วยื่นมือข้างซ้ายอันเรียบเนียนดั่งเด็กน้อยออกไปเตรียมจับเปิดผมหน้าม้าสีดำที่คอยปกปิดผ้าปิดตาผนึกคำสาป
ทว่า...
ตึกๆๆๆๆ
“ฮ้ากกกก!!”
เสียงฝีเท้าจากทางฝั่งขวามือได้ดังรัวขึ้น
ในช่วงจังหวะที่ยังไม่ทันหันมอง มือข้างที่กำลังแตะเส้นผมนักสืบผมดำด้วยปลายนิ้วถูกปัดออกข้างด้วยพลังแรงโน้มถ่วงจนเกือบเหวี่ยงทั้งท่อนแขน
ต่อมาร่างของเขาก็ปลิวด้วยฝีมือการกระโดดถีบสองเท้าจนล้มกลิ้งกระแทกบนผนังอาคารอีกฟาก
ปึง!!
“อึ่ก...!!”
“ถอยออกไปเลย! ไอ้เด็กเวร!!” เจ้าของเสียงและลูกถีบเมื่อครู่ลุกขึ้นยืนจ้องมองฮารุกิด้วยสีหน้าจริงจังบวกโมโหที่บังอาจทำให้ยูกินอนสลบบนพื้นได้ลงคอ
“พะ...พี่ชาย...?”
“...”
ชูยะรูปลักษณ์นักเรียนสาวค่อยๆ เดินเข้าไปย่อตัวนั่งชันเข่าแทนอีกฝ่าย
มือทั้งสองเอื้อมลงช้อนร่างบางและอุ้มขึ้นในท่าอุ้มเจ้าหญิงพร้อมออกตัววิ่งมุ่งหน้าเข้าห้องเก็บตัวอย่างเร็วไว
.
..
...
....
.....
“...” มาเฟียผมส้มหันหน้าสังเกตมองรอบทั้งห้องจนพบกับโซฟายาวสีดำวางชิดผนังห้อง
เขาตัดสินใจวางร่างนักสืบที่กำลังหมดสติให้นอนพักผ่อนก่อนที่จะถอดเสื้อสูทสีแดงออกมาห่มเอาไว้
“...”
“ยูกิ...รออยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะจัดการไอ้เด็กเวรนั่นเอง”
ตึก...ตึก...ตึก
เขาเดินรวบผมที่ยาวกลางหลังพลางใช้กรรไกรตัดให้สั้นประบ่า ถอดเนคไทสีม่วงออกไม่ให้ชุดองค์ทรงเครื่องรกเกินไปและต่อสู้ง่ายขึ้น กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกปลดสองเม็ดตั้งแต่ด้านบนระบายอากาศ ตบท้ายด้วยการพับแขนเสื้อขึ้นสองสามทบ
วิ้งง~
ปึง! ปึง! ปึง!
ออร่าสีแดงปรากฏขึ้นรอบตัวหนุ่มพอร์ตมาเฟียพร้อมกับหมัดขวาที่ต่อยลงพื้นอาคาร
ส่งผลให้เกิดการแตกกระจายจนเป็นแผ่นปูนหลากแผ่นอัน เขาควบคุมพวกมันเพื่อเป็นโล่ป้องกันฐานพักฟื้นของยูกิให้ปลอดภัย
“เอ๋...เซ็งเลยอ่ะ พี่ชายดันมาแทนเฉยเลย”
“พูดมากน่า...ทำตัวเป็นเด็กน่ารำคาญอยู่ได้ อ้อ...อีกอย่าง...” เขาเว้นช่วงประโยคพร้อมหยุดยืนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวน้อยและจับถุงมือสีดำข้างขวาดึงให้ตึง
“...?”
“ถ้าแกยังกล้าทำอะไรยูกิเพื่อนฉันล่ะก็...จะไม่ยอมให้อภัยแน่!!!”
[ To be continued in next part ]
ความคิดเห็น