ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Bungo Stray Dogs] นางฟ้าแห่งคำสาป

    ลำดับตอนที่ #20 : Episode 11 ความจริงที่สืบมา (องค์กรลับ)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 675
      68
      7 มิ.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     Tiny Hand 

    [ มุมมองที่ 3 ]

    ห้วงมิติพลังพิเศษ อสรพิษอัปยศ...พื้นที่ป่าทึบซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ปลูกมากมาย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความมืดมิด แสงจันทร์บางๆ สาดส่องลงจากฟากฟ้า สายลมพัดโบกผ่านมาเบาๆ บนพื้นดินถูกปกคลุมด้วยต้นหญ้าเล็ก ซึ่งองค์ประกอบหลายอย่างยังดูเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาครั้งนี้คือ เหล่ากลีบดอกไม้หลากสีโปรยปรายกลางอากาศ

    ยูกิในชุดฮู้ดสีดำ-แดงยืนมองพวกมันแล้วพยายามเอื้อมมือขวาออกไปรับ พอกลีบดอกไม้สีแดงร่วงโรยลงบนมืออย่างช้าๆ สายตาคู่นั้นก็จับจ้องด้วยความเศร้าปนกับรู้สึกผิดในบาปกรรมของตัวเอง จนกระทั่งกลีบอื่นๆ เริ่มลอยตามสายลมเพื่อนำทางไปยังที่ไหนสักแห่ง โดยเท้าทั้งสองข้างไม่มีทางหยุดเดินตามพวกมันได้เลย

    พวกมันต้องการจะบอกอะไรเราด้วยรึเปล่านะ...

    ตึก...ตึก...ตึก

    ยิ่งก้าวเดินไกลมากเท่าไหร่ แสงจันทร์ยิ่งจางลงเรื่อยๆ จากตอนแรกอยู่บนพื้นหญ้ากลายเป็นสวนดอกไม้อาบเลือด รวมถึงกลิ่นคล้ายกับดอกฮิกันบานะในโลกแห่งโซ่ตรวนคล้องบุปผา แต่ยังโชคดีหน่อยที่มันไม่ฉุนมากจนสำลัก

    อึ่ก...

    ตึก...ตึก...ตึก

    เมื่อหญิงสาวผมดำต้องเดินทนกับกลิ่นพิษจนได้เหยียบพื้นที่แห่งใหม่ซึ่งเป็นหลุมฝังศพของผู้คนจากเมืองโยโกฮาม่า เธอหันมองรอบๆ และเห็นป้ายสลักชื่อคนตาย วันที่เกิดกับตาย พวกเขาล้วนสิ้นลมหายใจในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แต่มีเพียงหลุมเดียวที่ถูกสลักคืนวันฮาโลวีน

    คุณน้า...คานาเอะ...

    ฟ่อออ~

    จังหวะที่เหล่ากลีบดอกไม้ร่วงโปรยปรายบนหลุมศพน้าสาวอย่างช้าๆ เสียงของอสรพิษก็ดังขึ้นจากด้านขวามือพร้อมกับการปรากฏตัวของอสรพิษด้านชั่วหนึ่งตัวภายใต้ควันสีดำด้านหลัง มันเริ่มล่องลอยกลางอากาศพลางยื่นหน้าเข้ามาเหนือไหล่แล้วค่อยเปิดบทสนทนา

    ยูกิเอ๋ย...เจ้าคงรู้เหตุผลของการสังหารน้าสาวบ้างแล้วสินะ

    ขอร้องล่ะ...ริปเปอร์ อย่าเพิ่งมาคุยตอนนี้ ถ้าไม่มีธุระเกี่ยวกับการใช้พลังพิเศษล่ะก็...พาออกจากห้วงมิติได้แล้ว

    ฮืม...ยังโกรธข้าเรื่องเมื่อคืนอยู่งั้นรึ แต่ถ้า...เจ้าลองสังเกตเหล่ากลีบดอกไม้ บางทีอาจเจอ---”

    อย่าทำเป็นสั่งนักเลย...วันนี้ทางสำนักงานนักสืบกับพอร์ตมาเฟียจะร่วมประชุมกัน และฉัน...จะไม่ยอมให้พวกเขาตราหน้ากันว่าเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจเพราะมีคำสาปอย่างนาย...!”

    ยูกิกำหมัดตัวเองไว้แน่นด้วยรู้สึกหงุดหงิดเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ริปเปอร์พุ่งเข้าทะลวงกลางอกน้าคานาเอะโดยไม่มีการรับคำสั่งใดๆ และทำตามอำเภอใจ ไม่ยอมบอกเหตุผลอย่างชัดเจน ปล่อยให้ตัวเองถูกพวกเขาเหล่านั้นมองด้วยสายตาแปลกไป

    ต้องขออภัยด้วย...คราวหลังหากเจ้าถอดผ้าปิดตาแล้วยังไม่ออกคำสั่ง...ข้าจักไม่ทำเช่นนั้นอีก

    อืม...แต่ถ้ายังเอาแต่ใจฆ่าคนโดยไม่ทันได้สั่งและไร้เหตุผล ฉันจะไม่เรียกให้นายร่วมสู้อีกแล้ว

    รับทราบ...งั้นจงหลับตาลงเสียเถิด...ข้าจักนำพาออกจากห้วงมิติ ณ บัดนี้แล้ว

    ว่าจบอสรพิษด้านชั่วก็เริ่มสลายหายตัวไปกับควันสีดำที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าแต่ยังคงสัมผัสได้ถึงมันอยู่เช่นเดิม ต่อมาหญิงสาวค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งชันเข่า มือขวายื่นลงวางกลีบดอกไม้บนหลุมฝังศพน้าสาว แสงสีแดงดำปรากฏขึ้นชั่วขณะก่อนที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นใบโคลเวอร์สีดำแทน

    ...

    เธอนั่งจ้องมองไปสักพักแล้วค่อยเก็บมันเอาไว้ใส่กระเป๋าเสื้อฮู้ดเพื่อยึดเป็นเป้าหมายในการช่วยทำตามความปรารถนาครั้งสุดท้ายจากน้าคานาเอะก่อนสิ้นลมหายใจ จากนั้นจึงยกมือทั้งสองขึ้นกุมในระดับกลางอกพร้อมหลับตาลงเบาๆ

    โดยระหว่างนั้นก็มีเสียงพูดดังกึกก้องภายในหัวก่อนออกจากห้วงมิติอสรพิษอัปยศว่า...


    ยูกิ...ไม่ต้องเป็นห่วงฉันแล้วนะ ทำหน้าที่นักสืบร่วมกับพอร์ตมาเฟียเพื่อเมืองโยโกฮาม่าต่อไปเถอะ และก็อย่าลืม...สัญญาที่เคยบอกไว้ ฉันคาดหวังในตัวเธอมากจริงๆ


    หนูจะทำตามสัญญาแน่นอนค่ะ...คุณน้าคานาเอะ


    สักวัน...เธอจะต้องเจอวิธีการชำระล้างคำสาปแน่นอน เพราะงั้น...


    มีชีวิตต่อไปจนถึงเวลานั้นให้ได้นะ...


    [ มุมมองของยูกิ ]

    ช่วงเวลาเช้า

    อืมม...เอ๊ะ? นี่ฉัน...มาอยู่คาเฟ่หรอกเหรอเนี่ย...

    หลังจากผ่านพ้นห้วงมิติอสรพิษอัปยศไป ฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นแล้วเพิ่งรู้สึกทีหลังว่าตัวเองนอนหลับฟุ่บบนโต๊ะภายในคาเฟ่ประจำสำนักงานนักสืบบุโซเพื่อรอสมาชิกคนอื่นเข้าสำนักงาน มือขวายกขึ้นเปิดผ้าปิดตานิดหน่อยเพื่อขยี้ตาสองข้างปลุกตัวเองจากความงัวเงียและใส่กลับคืน

    พอลืมตามองใหม่อีกรอบปุ๊บ สิ่งที่พบตรงหน้าคือชายหนุ่มสองคนในชุดธีมสีดำสมาชิกพอร์ตมาเฟียทั้งผมส้มกับผมดำปลายขาวอันน่าคุ้นเคย

    ชูยะ...อาคุตางาวะคุง...

    เป็นไง...ยูกิ งีบหลับเพลินเชียวนะชูยะนั่งเท้าคางมองหน้าฉันพร้อมกับมือที่ยื่นมาถอดฮู้ดคลุมหัวลงแล้วถือวิสาสะบีบจมูกเบาๆ

    กระผมเห็นเธอกำลังหลับอยู่ ก็เลยมาช่วยนั่งเป็นเพื่อนอาคุตางาวะพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบในขณะที่ตัวเองเรียกราโชมอนออกไปทางเคาน์เตอร์คาเฟ่แล้วสะกิดเมดสาว น้ำชาสองแก้ว...แม่หนูเมด

    รับทราบค่า~

    เธอคนนั้นส่งรอยยิ้มสดใสแล้วค่อยเข้าไปเตรียมชงน้ำชาตามออเดอร์ ทางชายหนุ่มชุดคลุมดำนั่งกอดอก ขาทั้งสองไขว่ห้างพร้อมหันมองหน้าฉันอย่างช้าๆ นิ่งขรึมก่อนที่จะเริ่มพูดคุยฆ่าเวลา แถมยังเปิดประเด็นด้วยเรื่องพลังพิเศษอีก

    ทาจิบานะ เรื่องพลังพิเศษเมื่อคืนน่ะ...

    เออใช่...เธอเคยบอกฉันเมื่อครั้งก่อนนู้นด้วยนี่ อย่าบอกนะว่า...

    อึ่ก...ฉันค่อยๆ ก้มหน้าลง กำหมัดขวาไว้เล็กน้อยและกลืนน้ำลายตัวเองหนึ่งทีหลังจากทั้งสองคนถามถึงเรื่องเมื่อครู่ ซึ่งน่าจะหมายถึงอสรพิษด้านชั่วหรือริปเปอร์แน่ๆ

    ฮิกุจิมองว่าพลังพิเศษของเธอดูคล้ายกระผมมาก พอลองคิดแล้ว...ราโชมอนกับอสรพิษก็อาจจะมีหน้าที่คล้ายกันสินะ...มีทั้งด้านโจมตีและป้องกัน...

    อะ...อื้ม แต่เรื่องสังหารผู้คน...ฉันต้องพยายามควบคุมและฉุกคิดไว้ให้ดี ไม่งั้น...ฉัน...

    มือขวาบางค่อยๆ ยกขึ้นแตะผ้าปิดตาสีดำแล้วแนบปิดไว้ซีกหนึ่งของใบหน้าด้วยความรู้สึกผิดและหวาดระแวงว่าตัวเองจะถูกมองว่าเป็นฆาตกรในคราบนักสืบต่อหน้าพวกเขา

    ยูกิ...ไม่เป็นไรหรอกน่า ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกเสมอ ถึงครั้งนี้จะผิดพลาด แต่วันต่อไปต้องดีขึ้น โอเคเนาะ...มาเฟียผมส้มสร้างความหวังดีบวกกับปลอบโยนด้วยการยีหัวเล่นเบาๆ พร้อมส่งยิ้มบาง

    อ้อ...ไหนๆ ก็เห็นกันแล้ว วันนี้ขอพวกกระผมดูอสรพิษของเธอชัดๆ หน่อย...

    เอ่อ...ถะ...ถ้าฉันเรียกออกมา...ทุกคนจะไม่ฆ่าทิ้งใช่มั้ย...อาคุตางาวะคุง

    ตึก...ตึก...ตึก

    จังหวะที่ฉันกำลังถามจบประโยค เสียงรองเท้ากระทบบนพื้นเดินภายในคาเฟ่ประจำสำนักงานทางด้านหลังอย่างช้าๆ พอลองหันไปมองตามต้นเสียงจึงพบกับร่างสูงของชายวัยสี่สิบผมดำในชุดอื่นที่ต่างจากตอนอยู่ฐานพอร์ตมาเฟีย รอบนี้เขาใส่เสื้อสูทสีน้ำเงินอ่อนภายใต้เสื้อคลุมหมอสีขาว กางเกงขายาวสีเขียวโอลีฟ รองเท้าคัทชูสีน้ำตาล ประดับเสริมด้วยเข็มขัดและเนคไทสีดำ

    นอกจากนี้ยังมีเด็กสาวผมทองในชุดกระโปรงสุดแสนน่ารักเช่นเดิม เธอเดินอยู่เคียงข้างพร้อมจับแขนอีกคนจนเกือบเหมือนควงแขนเอาไว้

    ไม่ต้องกังวลไปหรอก...ยูกิคุง พวกเราพอร์ตมาเฟียเป็นพันธมิตรกันแล้วนี่นา

    ใช่ๆ ทุกอย่างจะไม่เป็นไรแน่นอนค่ะ...พี่ยูกิ ขอแค่พี่ยอมเปิดใจกับพวกเราก็พอ

    คุณโมริ...เอลิสจัง...

    ฉันนั่งมองทั้งสองคนไปสักพักหนึ่งแล้วเหลือบไปเห็นสมาชิกอีกสี่คนอย่างฮิกุจิ กิน ทาจิฮาระ และฮิโรสึ พวกเขากำลังยืนอยู่ทางประตูเข้าห้องคาเฟ่เตรียมพร้อมรับฟังทุกสิ่ง

    พอร์ตมาเฟีย...ถึงจะคิดว่านั่นเป็นกลุ่มที่ร้ายกาจแต่ดูท่าทางแล้วกลับไม่มีพิษภัยต่อฉันเลย

    เข้าใจแล้วล่ะ...แต่ว่า...อสรพิษที่สามารถเรียกได้คือตัวนี้เท่านั้น...

    ว่าจบก็เริ่มดีดนิ้วซ้ายทำการเรียกแคทเชอร์ท่ามกลางกลุ่มควันสีดำที่ปรากฏขึ้นด้านหลังและเหล่าแถบออร่าตัวอักษรสีดำม่วงบางๆ อสรพิษด้านดีลอยมาคลอเคลียแก้มฉันแล้วของับมือเล่นอีกครั้งจนทำให้กลุ่มคนรอบๆ รู้สึกประหลาดใจ

    แคทเชอร์...ลองเข้าไปทักทายทุกคนดูสิ

    ฟ่ออ~

    มันหันมองรอบตัวเองที่เต็มไปด้วยกลุ่มพอร์ตมาเฟียทั้งแปดคนก่อนที่จะค่อยๆ ลอยตรงไปยังหนุ่มมาเฟียผมส้มพร้อมคลอเคลียมือหนาสองข้างนั้น

    ...? เห...ก็ดูเป็นมิตรดีไม่ใช่เหรอ แถมขี้อ้อนซะด้วย

    ชูยะลองลูบหัวและส่งรอยยิ้มบางๆ ให้ก่อนที่จะยอมเล่นด้วยหลายวินาที อาจมีบ้างที่เลื้อยบนไหล่อ้อมหลังคอ แต่ต่อมามันได้ลอยเข้าหาเมดสาวเพื่อขอจับหูแก้วน้ำชามาเสิร์ฟบนโต๊ะตรงหน้า รวมถึงราโชมอนของอาคุตางาวะด้วย

    แหะๆ ขอบใจที่เอาน้ำชามาให้นะ...

    ฉันยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ เชิงมอบรางวัลแล้วปล่อยให้ทักทายมาเฟียคนอื่น เรียงจากอาคุตางาวะ โมริ เอลิส รวมถึงฮิโรสึ กิน ฮิกุจิ และทาจิฮาระที่มันขอให้เดินเข้ามาใกล้พร้อมคลอเคลียมือสลับกับไหล่ข้างขวา

    พี่ยูกิ~ งูตัวนี้น่ารักจริงๆ ด้วย มันออดอ้อนหนูใหญ่เลยค่ะ

    เด็กสาวผมทองยิ้มกว้างด้วยความสดใสในขณะที่ตัวเองกำลังลูบหัวลูบคางอย่างเพลิดเพลินจนทำให้แคทเชอร์แสดงท่าทีเคลิบเคลิ้มเบาๆ เหล่าสมาชิกมาเฟียเองก็แอบยิ้มให้ โดยเฉพาะโมริ ซึ่งเป็นมุมมองที่ฉันเพิ่งเคยเห็นชัดเจนครั้งแรก

    เอลิสเนี่ย...ช่างน่ารักมากจริงๆ

    ตึก...ตึก...ตึก

    ระหว่างนั้นเอง เสียงฝีเท้าอื่นได้ดังขึ้นจากทางด้านหลัง รอบนี้เป็นเสียงรองเท้าแตะของชายวัยสี่สิบห้าผมสีเงินในชุดยูตากะสีเขียว เขาค่อยๆ เดินมาหาพวกเรา กวาดสายตามองรอบห้องแล้วยืนเปิดปากทักถาม

    พอร์ตมาเฟียเริ่มมากันครบแล้วสินะ...คุณหมอโมริ

    อย่างที่เห็นตรงหน้าเลยแหละ...ท่านฟุคุซาวะ

    ฮืม...งั้นตามขึ้นห้องประชุมได้เลยประธานฟุคุซาวะพูดพร้อมหันตัวกลับไปทางประตูคาเฟ่เตรียมเดินนำทางให้กับกลุ่มพอร์ตมาเฟียก่อนที่จะชะงักชั่วคราวและหันมามองฉัน ส่วนเธอก็นั่งจิบชาไปก่อนละกัน...ทาจิบานะ

    เอ่อ...ค่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบตามไปนะคะ

    สิ้นเสียงพูดนี้แล้ว พวกเขาเริ่มทยอยกันเดินออกจากคาเฟ่ประจำสำนักงานนักสืบบุโซหมดทุกคน ทิ้งให้ฉันนั่งแหมะริมหน้าต่างเพียงคนเดียวบวกกับแก้วน้ำชาอุ่นๆ บนโต๊ะที่อาคุตางาวะอุตส่าห์สั่งมาเผื่อ

    จะว่าไป...ตอนที่มีโอกาสเจอกันหลังทำความรู้จักแล้ว เขามักจะสั่งน้ำชาอยู่บ่อยๆ เลยนี่นา

    อาจเป็นไปได้ว่านั่นคือสิ่งที่ชอบอย่างหนึ่ง...

    ...

    ดีล่ะ...ถ้าสมมุติเจอกันอีกในวันสงบๆ ฉันจะเลี้ยงน้ำชาเซ็ตพิเศษตอบแทนเอง

    ตึก...ตึก...ตึก

    ช่วงที่กำลังจิบชาอย่างเงียบๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเป็นรอบที่สาม แน่นอนว่าไม่ใช่คนเดิม โดยรอบนี้เป็นของหนุ่มแว่นในชุดธีมสีเบจผู้ครอบครองสมุดอุดมคติเล่มเล็ก ซึ่งจะมีใครได้นอกจากนักสืบคลั่งอุดมคติอย่าง...

    คุณคุนิ...คิดะ...?”

    ทาจิบานะ? ยังไม่ขึ้นห้องประชุมอีกเหรอเนี่ย...ทุกคนนั่งรอกันหมดแล้วนะ...เขาเดินเข้ามาหาแล้วค่อยหยุดยืนอยู่ข้างๆ จนทำให้แอบรู้สึกหวาดระแวงและกลัวเล็กน้อย

    ขะ...ขอโทษค่ะ อีกสักพักก็จะตามไปแล้---

    แต่เอาเถอะ...ฉันขอถือโอกาสนี้คุยกับเธอสักนิดหน่อยละกัน

    ว่าจบอีกฝ่ายก็ก้าวเท้าเดินต่ออีกนิดเพื่อหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับฉันและเปิดสมุดออกมาเช็คอะไรบางอย่างบนแผ่นกระดาษเหล่านั้นที่น่าจะเป็นพวกตารางกำหนดการต่างๆ ของเขาเอง พอมองได้ไม่กี่วินาที ความรู้สึกสำนึกผิดก็เริ่มเด้งขึ้นภายในใจโดยอัตโนมัติ

    เอ่อคือ...เมื่อคืนต้องขอโทษจริงๆ นะคะ...คุณคุนิคิดะ

    เรื่องเมื่อคืน...? หมายถึงตัวคำสาปที่เล่นงานคานาเอะน่ะเหรอ

    ค่ะ...ถ้าเกิดฉัน...รีบใส่ผ้าปิดตาก่อนพูดคุยกับคุณน้า...ป่านนี้พวกเราคงจะ---

    ไม่หรอก...ฉันคิดว่าคานาเอะน่าจะหมดห่วงเกี่ยวกับเธอแล้วล่ะ อย่างน้อยเจ้าตัวก็ได้เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่

    “...” ฉันไม่เปิดปากพูดตอบใดๆ อีกนอกจากพยักหน้าลงอย่างเข้าใจพร้อมยกแก้วจิบน้ำชาทีละนิดละน้อยเรื่อยๆ ให้หมด

    ใช่...คุนิคิดะพูดถูก เพราะในห้วงมิติอสรพิษอัปยศ น้าคานาเอะบอกไว้ว่าไม่ต้องห่วงอีกแล้ว ท้ายสุดก็ขอให้ทำตามสัญญานั่นและต้องมีชีวิตต่อไปจนกว่าบ้านเมืองจะสงบสุข

    สำหรับคดีเมื่อคืน...ฉันจะถือว่ามันคือความผิดพลาดครั้งแรกละกันนักสืบแว่นพูดในขณะที่กำลังเก็บสมุดเข้าเสื้อกั๊กสีเบจหลังจากนั่งอ่านเขียนอยู่เนิ่นนานจนถึงวินาทีสุดท้ายที่น้ำชาหมดแก้วพอดี แต่ก็นะ...

    ...?”

    ทุกอย่างย่อมมีผิดพลาดและเริ่มใหม่ ถ้าอุดมคติของเธอกำลังสั่นคลอน...อย่าไปกลัวแล้วมุ่งหน้าต่อซะ ฉันเชื่อว่าเธอต้องทำได้แน่...

    ...ค่ะ ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ คุณคุนิคิดะ

    ฉันแอบยิ้มเล็กน้อยปลอบใจตัวเองพร้อมลุกขึ้นเก็บแก้วชาให้กับเมดสาวหลังเคาน์เตอร์ ในจังหวะนั้นเขาจับหนังสือเล่มโปรดตีกลางหัวเบาๆ ประมาณสองสามทีแล้วเริ่มเดินมุ่งหน้าทางประตูคาเฟ่ประจำสำนักงาน แถมยังพูดทิ้งท้ายอีกว่า...

    งั้นก็รีบๆ เข้าประชุมซะล่ะ...ทุกคนกำลังรอเธอยู่...

    .

    ..

    ...

    ....

    .....

    ณ ห้องประชุม

    เวลาผ่านไปหลายนาที หลังจากนั่งดื่มน้ำชา คุยกับคุนิคิดะจนเสร็จ พวกเรากลุ่มนักสืบและพอร์ตมาเฟียต่างเข้าประจำที่เตรียมหารือเรื่ององค์กรลับ 

    ตรงหัวโต๊ะมีท่านประธานฟุคุซาวะกับโมรินั่งอยู่ซึ่งมีฮารุโนะยืนเคียงข้าง เอลิสนั่งตักบอสอย่างสบายใจจนสามารถมองเห็นบอร์ดสีขาวได้ชัดเจน 

    โต๊ะยาวทางซ้ายมือมีฮิกุจิ ฉัน นาโอมิ ทานิซากิ คุณหมอโยซาโนะ ทางขวามือมีอาคุตางาวะ เคียวกะ อัตสึชิ เคนจิ รัมโป 

    ส่วนสมาชิกที่เหลืออย่างกิน ฮิโรสึ และทาจิฮาระจำเป็นต้องยืนชิดกำแพงเนื่องจากไม่มีพื้นที่นั่งร่วมโต๊ะแล้ว

    ครั้งนี้ตัวแทนการประชุมมีทั้งหมดสามคน นั่นคือดาไซ ชูยะ และคุนิคิดะ เพราะพวกเขาคอยกุมหลักฐานเอาไว้ไม่มากก็น้อย แน่นอนว่าสองอดีตคู่หูเก็บข้อมูลมาได้ด้วยตัวเองเต็มๆ

    เอาล่ะ...ทีนี้ก็เริ่มประชุมเลยละกัน ดาไซ

    ครับ...ท่านประธานนักสืบผมน้ำตาลเริ่มแจกเอกสารส่วนหนึ่งให้กับสมาชิกคนอื่นๆ ที่นั่งเรียงกันเต็มโต๊ะไม้ หัวข้อการประชุมจะเป็นเรื่องไหนได้นอกจากองค์กรลับอ่ะนะ

    จากนั้นคุนิคิดะก็อธิบายเกริ่นว่า คดีเมื่อคืนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมดที่สามารถโยงไปถึงสมาชิกองค์กรลับตัวจริงได้ ซึ่งน้าคานาเอะพูดเองกับปากว่าไม่มีเจตนาการเข้าร่วมหนึ่งในสมาชิกเพื่อก่อเหตุ แต่นั่นเพราะเชื่อว่าสามารถช่วยเป็นตัวนำทางตามหาตัวฉันจนสุดท้ายก็เจอหน้ากัน

    ตามหายูกิจัง...? จริงด้วยสิ...ตอนนั้นคุณคานาเอะไม่รีบลงมือฆ่าพวกเราเลยนี่นา หนำซ้ำยังสารภาพความจริงตรงหน้าหลานสาวและสารภาพหลายๆ อย่าง แต่...

    ช่วงเสี้ยววินาทีนั้น พลังพิเศษของคุณทาจิบานะ...ก็ปรากฏออกมา...สังหารทิ้ง...”

    “...!!?”

    พอทานิซากิกับอัตสึชิพูดจบ เหล่าสมาชิกที่เหลือต่างแสดงสีหน้าความรู้สึกตกใจพร้อมหันมองหน้าฉันหมดทุกคนยกเว้นนักสืบแว่นกับนักสืบเจ้าของผ้าพันแผลซึ่งรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ทั้งสองจึงพยายามอธิบายให้ได้รับรู้ทั่วกัน

    ฮืม...อย่างนี้นี่เอง ยูกิคุง...เธอมีคำสาปในพลังพิเศษจริงๆ สินะ...

    “...” ฉันไม่รู้จะพูดตอบยังไงต่อนอกจากพยักหน้าลงเบาๆ มือขวายกขึ้นทาบผ้าปิดตาสีดำแนบแน่น ตอนนั้น...ฉันไม่ได้ตั้งใจ...ฉันแค่อยากคุยกับคุณน้าอีกจนกว่าจะรู้ความจริง...แต่ว่า...แต่ว่า...

    “ยูกิจังทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้วน่า...อย่าโทษตัวเองเลย” ทานิซากิหันหน้ามองทางนี้และพยายามปลอบใจโดยมีนาโอมิกอดแขนพี่ชายไว้พร้อมส่งรอยยิ้มกว้างเชิงปลอบใจ

    อะ...อืม ขอบคุณนะ จุนอิจิโร่คุง...นาโอมิจัง

    แน่นอน...คำสาปนั่นไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นบ้าคลั่งสังหารทุกคนในเมืองหรอก...คุณโมริ เพราะยูกิจังเองก็กำลังพยายามหาทางชำระล้างอยู่

    ก่อนที่ทาจิบานะจะเริ่มเป็นหนึ่งในสมาชิกนักสืบ ดาไซเคยพูดไว้ตอนคดีคนหายว่าคำสาปถูกชำระล้างแล้ว พอได้เห็นอสรพิษอีกด้านหนึ่งเผยตัว พวกเราก็เลยยืนยันใหม่ว่าวิธีก่อนชำระไม่ได้ผล

    ดาไซกับคุนิคิดะผู้ซึ่งเคยพาฉันคอยเป็นพยานคดีคนหายที่ห้องใต้ดินอธิบายเหตุการณ์ให้ทุกคนฟังเพิ่มเติม นับจากตอนฉันนั่งโทรมใต้สะพานเพราะหลบหนีอาชญากรไปจนถึงทดสอบใช้พลังพิเศษอสรพิษอัปยศโดยไม่ฆ่าใครสักคน แน่นอนว่าฉันสอบผ่าน

    “...”

    ตัวริปเปอร์เองคงรู้ตัวดีแหละ...วิธีแค่นั้นไม่มีทางช่วยให้คำสาปหายไปจากร่างกายได้เลย

    งั้นตอนที่เธอบอกพวกกระผมว่าเรียกได้แค่อสรพิษตัวเดียว...หมายความว่าอีกหนึ่งตัวคือคำสาปจากเมื่อคืนสินะ...ทาจิบานะ

    อืม...อย่างที่เห็น แคทเชอร์ชอบเข้าสังคมมนุษย์ ไม่มีจิตสังหาร สามารถปรากฏตัวออกมาเล่นหรืออยู่เป็นเพื่อนได้ แต่เรื่องการพูดคุย...มันชอบส่งโทรจิตแทนการเปล่งเสียงให้ได้ยินอ่ะนะ

    “อย่างนี้นี่เอง เอาเป็นว่าพวกเราพอเข้าใจเรื่องพลังพิเศษบ้างแล้วล่ะ...ยูกิ ตอนนี้ต้องประชุมในประเด็นหลักก่อน เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลังเนาะ”  ชูยะที่เดินตรงหน้าบอร์ดสีขาวหันมาพูดกับฉันแล้วค่อยพาสมาชิกทุกคนเข้าประเด็นหลักทันที

    “...”

    เท่าที่ฉันเค้นข้อมูลจากพวกลูกน้อง...สิ่งที่ทางหัวหน้าต้องการมากที่สุดคือตัวยูกิ เหตุผลหลักๆ เลยก็...ตั้งค่าหัวขายต่อให้องค์กรอื่น

    ค่าหัว...? โห...กรณีคล้ายกับเสือสมิงเลยนี่...

    ใช่แล้ว...อาคุตางาวะ กรณีของเจ้าเสือสมิงคือราคาเจ็ดพันล้าน ส่วนรอบนี้น่ะ...พวกมันตั้งสูงขึ้นยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก

    เอ๊ะ...? สูงกว่าอัตสึชิคุง...?”

    ขนาดฉันเองก็ยังไม่คาดคิดนะว่าราคาจะสูงขึ้นมาก แต่เพราะพลังพิเศษที่ยูกิมีอยู่...” มาเฟียผมส้มเว้นช่วงประโยคก่อนที่จะแปะแผ่นกระดาษไว้บนบอร์ดสีขาวอันมีตัวเลขพิมพ์สองเส้น กลุ่มองค์กรลับเลยขอตั้งค่าหัวไว้ประมาณ...หนึ่งหมื่นล้านเยน

    “...!!!?”

    สูงเกินไปแล้ว...สูงยิ่งกว่าอัตสึชิจริงๆ ด้วย...

    ทุกคนในห้องประชุมต่างตะลึกให้กับราคาค่าหัวของฉันและหันหน้ามามองอีกครั้งจนทำให้เหงื่อไหลลงบนแก้ม กลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกเสียวสันหลังวูบคล้ายว่าตัวเองกำลังจะถูกเล็งเป้าหมายไว้ขายหวังเอาเงิน โดยเฉพาะกลุ่มพอร์ตมาเฟียอันเป็นองค์กรมืดที่ฉันระแวงมากที่สุด

    อึ่ก...

    การทรยศ...ต้องไม่เกิดขึ้นสิ...ใช่มั้ย!

    พี่ยูกิ...พวกเราพอร์ตมาเฟียไม่มีทางทรยศหรอก รินทาโร่เคยบอกแล้วนี่นาว่าเป็นพันธมิตรกัน เพราะงั้นไม่ต้องกลัวนะเอลิสขยับตัวกระโดดลงจากตักโมริพร้อมยื่นมือสองข้างจับมือขวาของฉันเบาๆ แล้วส่งรอยยิ้มสดใสให้หนึ่งที

    ก็นะ...ถึงตอนแรกพอร์ตมาเฟียอย่างเราจะเคยเล็งตัวเสือสมิงไว้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ควรทำยิ่งกว่าคือปกป้องโยโกฮาม่า...องค์กรทั้งสอง...รวมถึงตัวเธอด้วย...ยูกิคุง

    โมริหันมาคุยและส่งรอยยิ้มบางต่อจากเด็กสาวสักพักหนึ่งก่อนที่จะบอกให้ตัวแทนทั้งสามดำเนินการประชุมโดยดาไซกับชูยะจะเริ่มประเด็นต่อเอง

    เรื่องต่อไปที่ได้สืบมาคือ...องค์กรลับ คุนิคิดะคุงบอกฉันเอาไว้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่จะไม่ได้ใช้ชื่อเต็มๆ ในการบอกตัวตน พวกเขาต่างมีโค้ดเนมเป็นตัวอักษรแรกของชื่อตัวเอง เพราะงั้น...ถึงพวกเราเปิดเผยออกไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีสามารถเข้าถึงได้นอกจากจะเจอต่อหน้าต่อตา

    ส่วนโค้ดเนม...ฉันเค้นข้อมูลจากพวกลูกน้องได้ประมาณนี้แหละ จะดูจากเอกสารที่ไอ้เบื๊อกดาไซแจกให้ก็ได้นะ ชูยะเริ่มหยิบกระดาษประมาณห้าแผ่นแปะบนพื้นที่ว่างของบอร์ดสีขาวเรียงกัน ซึ่งมีอักษรย่อภาษาอังกฤษตัวโตหนาทั้งหมดห้าตัว นั่นคือ K H E MR และ R

    แน่นอน...ตัว K ย่อจากชื่อของน้าคานาเอะที่ยอมตายเพื่อหลบหนีความผิดโทษฐานทรยศต่อองค์กรเรียบร้อย

    ตัว MR นี่มันหมายความว่าไงเหรอครับ...คุณชูยะเคนจิมองดูข้อมูลอันสั้นนิดเดียวอย่างสงสัยแล้วค่อยยกมือขึ้นถามทันที

    สองตัวติดกัน...เจ้าพวกลูกน้องเองก็ไม่ยอมบอกฉันซะด้วยสิ...

    ชูยะ...มันจะเป็นไปได้มั้ยว่า...MR คือคู่รัก?”

    ฮืม...ยูกิจังอาจพูดถูก แต่พวกเราคงยืนยันทันทีไม่ได้หรอก ความเป็นไปได้เพิ่มเติมคือ พี่น้องฝาแฝด...คนสองเพศ...หรือเป็นแค่คนสองคนที่บังเอิญมีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกี่ยวข้องกันมากจนจับคู่ได้ อย่างเช่น...

    ธุรกิจเดียวกัน...?”

    ประมาณนั้นแหละ...คุนิคิดะคุงดาไซยิ้มบางให้คู่หูสำนักงานผมบลอนด์เข้มแล้วเริ่มหารือประเด็นสุดท้าย ทีนี้หลายคนคงจะจำกันได้สินะ...คดีของคุณคานาเอะที่ทิ้งใบโคลเวอร์สีดำเอาไว้

    กระผมจำได้แน่นอน...คุณดาไซ ช่วงที่คานาเอะใช้พลังพิเศษดึงทาจิบานะกับ...คุนิคิดะเพื่อนของคุณเข้าสู่โลกโซ่ตรวนคล้องบุปผา เธอได้ทิ้งใบโคลเวอร์ต่อหน้าต่อตา

    จริงด้วยสิ...ตอนนั้นพวกเราได้รับรายงานข่าวว่าผู้คนหายตัวไปพร้อมดอกไม้เพิ่งซื้อมาใหม่ จุดน่าสนใจที่เหมือนกันหมดคือ ใบโคลเวอร์สีดำโปรยบนพื้น เหมือนกับในบ้านหลังหนึ่งที่ฉันกับคุนิคิดะสืบค้นเจอไม่มีผิด

    ใบโคลเวอร์พวกนั้นจะสื่อถึงอะไรกันแน่นะ...

    ต่อมาทางท่านประธานฟุคุซาวะและโมริก็เริ่มเปิดปากอธิบายเกี่ยวกับใบโคลเวอร์ให้ฟังอย่างกับเป็นอาจารย์ในห้องเรียน

    เขาว่ากันว่าใบโคลเวอร์สื่อถึงความโชคดี...ยิ่งเป็นสี่แฉกยิ่งหายาก เพราะมันมีสี่ความหมายคือ ความหวัง...ความเชื่อมั่น...ความรัก...และความโชคดี โอกาสพบเห็นใบพวกนี้มีเพียงหนึ่งในพันต้นเท่านั้น

    ปกติจะเป็นสีเขียวหรือไม่ก็สีขาว...แต่สิ่งที่พวกเธอเห็นกลับเป็นใบสี่แฉกสีดำ ถ้าลองสลับความหมายดู...จะได้เป็นความโชคร้าย...ความเกลียดชัง...ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ...และความสิ้นหวัง

    อืมม...”

    สมาชิกที่เหลือต่างนั่งครุ่นคิดด้วยกันสักพักใหญ่ ฉันลองล้วงกระเป๋าเสื้อแขนยาวควานหาทั่วจนเจอกับใบไม้ดังกล่าวที่ได้จากห้วงมิติอสรพิษอัปยศ พอลองพิจารณาดูพบว่ามันมีสีดำบวกกับสี่แฉก จึงทำให้รัมโปทำท่าทีบางอ้อก่อนคนแรกทันที

    อย่างนี้นี่เอง...ใบไม้พวกนั้นไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของพลังพิเศษ โซ่ตรวนคล้องบุปผา...แต่มันเปรียบเหมือนตัวตนอันแท้จริงของเหล่าสมาชิกสินะ

    สมกับเป็นคุณรัมโปเลยครับ...ดาไซยิ้มกว้างให้กับคำตอบเมื่อครู่จากปากยอดนักสืบคนเก่งที่นั่งเงียบอยู่นาน ใบโคลเวอร์สีดำถือเป็นสัญลักษณ์ประจำองค์กรลับซึ่งคุณคานาเอะเคยแสร้งเข้าไปอยู่ร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ

    ฉะนั้น...พวกเราถึงได้ชื่อองค์กรตรงตามที่เค้นจากพวกลูกน้องพอดี

    ชูยะหยิบกระดาษแผ่นสุดท้ายแปะบนบอร์ดสีขาวจนบดบังกระดาษบางส่วน มันมีตัวหนังสือวางเรียงเป็นกลุ่มคำเดียว พวกเราทุกคนต่างอ่านออกเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

    ใช่แล้ว...

    ชื่อองค์กรลับนั่นคือ...

    แบล็คโคลเวอร์...!!”

    To be continued ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×