คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Episode 9 บาปกรรมเก่า
[ มุมมองของฮิกุจิ ]
จังหวะที่คานาเอะผู้เป็นคนร้ายตัวจริงใช้พลังพิเศษ
โซ่ตรวนคล้องบุปผา เพื่อจองจำทาจิบานะสู่โลกของตน
หนึ่งในสมาชิกนักสืบบุโซอย่างคุนิคิดะได้รีบวิ่งมุ่งหน้าและยื่นมือจับโซ่เหล่านั้นไว้หวังติดตามไปด้วยอีกคน
พวกฉันในฐานะกลุ่มพอร์ตมาเฟียเริ่มไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อจนกระทั่งรุ่นพี่อาคุตางาวะหยิบโทรศัพท์ที่เก็บได้จากสำนักงานนักสืบขึ้นกดเบอร์คนใดคนหนึ่ง
“รุ่นพี่อาคุตางาวะ...ตั้งใจจะทำอะไรเหรอคะ”
“โทรหาคุณคาไซเพื่อบอกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่น่ะ”
แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำระหว่างนี้คือ
ปกป้องให้ถึงที่สุด ทั้งฉัน ทาจิฮาระ ฮิโรสึ และกินต่างพากันยืนล้อมรอบ เตรียมอาวุธในมือให้พร้อมสู้กับศัตรู
รอจนกว่าการติดต่อทางโทรศัพท์ของเขาจะจบลง
“ฮัลโหล...อาคุตางาวะคุงพูดสินะ”
“เอ๊ะ? ทำไมคุณดาไซถึงรู้ล่ะครับ”
“ก็คุณรัมโปกำลังโดนเล่นงานอยู่นี่นา
แถมคนที่ไปสำนักงานนักสืบบุโซต่อจากอัตสึชิคุงคือพวกนายด้วย อ้อ...จะว่าไปมีอะไรอยากรายงานรึเปล่าเอ่ย”
“ขณะนี้สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเดิมเลยครับ พวกกระผมเจอคนร้ายตัวจริงแล้วแต่เธอกลับใช้พลังพิเศษจองจำทาจิบานะกับเพื่อนของคุณอีกคนไว้
อีกทั้ง...”
“ทิ้งใบโคลเวอร์สีดำลงพื้น...สินะ”
“...!! ชะ...ใช่ครับ”
พวกเราทุกคนต่างอึ้งไปพักใหญ่แล้วก้มหน้าลงมองซึ่งมีใบโคลเวอร์สีดำโปรยอยู่จริง
เขาคนนั้นคงรู้ความจริงยิ่งกว่าพวกเราทั้งหมดแน่ๆ
“ตอนนี้ฉันกับชูยะกำลังสืบหาความจริงเพิ่มเติมอยู่น่ะ
คงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่แหละ ระหว่างนั้นพวกนายก็รีบกลับฐานพอร์ตมาเฟียซะ พวกเราไม่อาจรู้ได้หรอกว่าจะมีศัตรูมากน้อยแค่ไหน”
รุ่นพี่อาคุตางาวะรับทราบตามนั้นแล้วกดวางสายพร้อมสั่งให้พวกเราวิ่งกลับโดยเร็วที่สุด แต่ก็กลับถูกกลุ่มคนชุดดำนับสิบดักหน้าไว้ พวกเขาต่างมีอาวุธประเภทปืนกลและปืนลูกซองเกือบทั้งหมด
“เหอะ...ถึงจะมากันนับสิบคน พวกแกก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำเริ่มพูดท้าทายและใช้พลังพิเศษอย่างราโชมอนเพื่อทำการสังหารอีกฝ่ายทิ้ง
พวกฉันอีกสี่คนไม่ยอมอยู่เฉยแล้วช่วยตามซัพพอร์ต กินออกตัววิ่งฝ่ากลุ่มคนตรงหน้าด้วยความรวดเร็วหลังส่งสัญญาณบอกว่าจะขอกลับไปปกป้องบอสที่ฐานพอร์ตมาเฟียก่อน
“ขอให้ปลอดภัยด้วยละกัน...กิน เดี๋ยวกระผมจะจัดการเจ้าพวกนี้ให้สิ้นซากเอง”
[ มุมมองของยูกิ ]
“เฮ้...ทาจิบานะ”
“...”
“ทาจิบานะ! ตื่นเร็วเข้าสิ!”
สติสัมปชัญญะเริ่มถูกปลุกเมื่อมีเสียงเรียกจากใครคนหนึ่งดังขึ้นมา
ฉันค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ แล้วหันมองตามต้นเสียง พบว่ามีนักสืบแว่นผมบลอนด์เข้มกำลังนั่งชันเข่าอยู่ใกล้
มือสองข้างแตะบนไหล่เหมือนพยายามเขย่าตัวให้ตื่น
“คุณคุนิ...คิดะ?”
“เฮ้อ...โล่งอกไปที เห็นนอนหมดสติอยู่นาน
นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว” เขาถอนหายใจเบาๆ
ด้วยความโล่งอกแล้วค่อยลุกขึ้นพร้อมยื่นมือขวามาตรงหน้า “ตอนนี้เธอยังไหวอยู่ใช่มั้ย”
ฉันไม่พูดตอบอะไรนอกจากพยักหน้าลงหนึ่งที
มือซ้ายยื่นไปจับและพยายามลุกขึ้นยืน พอลองหันมองบรรยากาศรอบตัวก็คิดได้ว่าพวกเราสองคนเข้ามายังโลกของน้าคานาเอะเรียบร้อย
ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มซึ่งมีดอกไม้หลากสีถูกปลูกทั่วทั้งพื้นที่ กลิ่นอ่อนๆ ของพวกมันลอยตลบอบอวลตามสายลมที่พัดผ่าน
ท้องฟ้าอันสดใสค่อนข้างโล่ง ถึงมีแสงสาดส่องแต่กลับไม่เห็นดวงอาทิตย์เลย
นี่สินะ...โลกแห่งโซ่ตรวนคล้องบุปผา
มันช่างต่างจากโลกแห่งอสรพิษอัปยศอย่างสิ้นเชิงจริงๆ
“คุณคิดว่าเหยื่อครั้งนี้จะอยู่ที่นี่ด้วยมั้ยคะ...”
“อา...ถึงที่นี่จะดูกว้างขวางแต่ก็ต้องมีเขตจำกัดของมันบ้างแหละ
ถ้ารีบตามหากันตอนนี้ คงมีโอกาสที่จะช่วยพวกเขาได้”
นักสืบแว่นเปิดสมุดอุดมคติและขีดเขียนอะไรบางอย่างเพิ่มเติมเอาไว้แล้วพาฉันวิ่งตามหาเหยื่อภายในโลกแห่งนี้
แต่ก่อนที่จะได้วิ่งก้าวแรก น้าสาวในชุดเดิมก็ปรากฏตัวจากพื้นดินดักตรงหน้าราวกับว่าตัวเองกำลังเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน
“สวัสดีจ้ะ ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน...ที่เปี่ยมไปด้วยความสวยสดงดงาม”
เธอเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกับยื่นมือออกข้างแตะตามดอกไม้ต่างๆ และยิ้มกว้างให้พวกเรา
แต่รอยยิ้มนั่นไม่ได้มีความจริงใจสักนิด “สำหรับบางคนเท่านั้นล่ะนะ”
กะแล้วเชียวว่าต้องพูดแบบนี้...
“...” ฉันตัดสินใจไม่พูดอะไรทั้งสิ้นและส่งสายตามองนิ่งๆ
มือซ้ายเตรียมท่าดีดนิ้วไว้ข้างหลัง
“รู้มั้ยว่าก่อนที่ฉันจะได้พาพวกเธอสองคนเข้ามาน่ะ มันมีพื้นที่แคบกว่านี้มากๆ
เหล่าดอกไม้ทั้งหมดคงอยากเซอไพร์สแขกคนใหม่ใจจะขาดเลยสินะเนี่ย”
“ถ้าคุณอยากจะมีชีวิตดีๆ ต่อไปล่ะก็...ช่วยบอกจุดที่เหยื่อทั้งหมดกำลังถูกจองจำซะ”
คุนิคิดะพูดพร้อมหยิบปืนพกออกมาเล็งเชิงข่มขู่
“แหมๆ พ่อหนุ่มนักสืบนี่ดูท่าทางใจเด็ดจังน้า แบบนี้ค่อยน่าสนใจขึ้นเท่ากับคุณรัมโปหน่อย”
อีกฝ่ายเริ่มเดินเข้ายิ่งขึ้นและเรียกเถาวัลย์สีเขียวอ่อนขึ้นพันแข้งพันขาของนักสืบหนุ่มพลางส่งสายตาจิกมอง ตัวฉันที่ไม่ยอมให้เธอทำอะไรมากกว่านี้จึงดีดนิ้วเรียกแคทเชอร์ออกไปกัดเถาวัลย์ทิ้งพร้อมยืนกรานปกป้องเขา
“...”
“ทำไมกันล่ะ...ยูกิ ทำไมกาลกิณีอย่างเธอถึงได้ทำตัวเกะกะ
น่ารำคาญแบบนี้เนี่ย!”
น้าคานาเอะเริ่มแสดงท่าทีโมโหจนต้องดึงดอกไม้ออกมาโยนตรงหน้าเพื่อแปรสภาพเป็นโซ่ตรวนเส้นใหญ่กว่าเก่า ฉันสั่งอสรพิษของตนให้ช่วยรวบตัวหนุ่มแว่นไว้แล้วค่อยกระโดดหลบข้างหลังออกห่างประมาณห้าเมตรเตรียมตั้งหลัก
ถ้าอยู่นิ่งหรือคล้อยตามคำพูดของน้าต่อไปมีหวังพ่ายแพ้อย่างแน่นอน...ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดศึกครั้งนี้ให้ได้
แม้ต้องใช้กำลังกับเครือญาติก็ตาม!
“อสรพิษอัปยศ!!”
ทันทีที่เรียกชื่อพลังพิเศษ เหล่าแถบออร่าสีดำม่วงเริ่มหมุนเวียนรอบตัว กลุ่มควันสีดำปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างของอสรพิษด้านดีนับสิบ
ซึ่งพยายามไม่ถอดผ้าปิดตาให้ริปเปอร์ออกสู้เด็ดขาด อีกฝ่ายหัวเราะใส่อยู่รอบหนึ่งและเรียกโซ่ตรวนเส้นเดิมเตรียมพุ่งมาโจมตี
“ยอดกวีร่ายคำ : ระเบิดแฟลช!!”
ในจังหวะนั้นเอง
คุนิคิดะก็เริ่มใช้พลังพิเศษเช่นกันโดยฉีกกระดาษออกจากสมุดอุดมคติหนึ่งแผ่นเรียกสิ่งที่ตนได้เขียนลงไป
เหล่าแถบตัวอักษรต่างๆ
เริ่มหมุนเวียนรอบมือ แสงสว่างสีเขียวเปล่งประกายจนมันเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นระเบิดแฟลช
เขาดึงสลักนิรภัยแล้วค่อยโยนออกหวังบดบังวิสัยทัศน์ด้วยแสงชั่วคราว
บึ้ม!! วิ้งง~
ฉันหลับตาลงแน่น ยกมือปิดหูทั้งสองข้างไว้สักพักหนึ่งไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของระเบิดอีกคนก่อนที่จะรีบวิ่งบุกไปตรงหน้าแล้วกระโดดถีบขาคู่
ส่วนอสรพิษนับสิบก็คอยปกป้องโดยการช่วยกัดโซ่เล็กๆ ที่โผล่ตามพื้น
“ให้ตายเถอะ...ช่างกล้าทำแบบนี้กับน้องแฝดของแม่ตัวเองได้ลงนะ!!”
น้าคานาเอะค่อยๆ ลุกขึ้นวิ่งตรงมาบุกคืนโดยใช้ขาขวาฟาดท่าจระเข้ฟาดหางในระดับคออย่างรวดเร็ว
ฉันรีบยกแขนตั้งรับและจับข้อเท้าเอาไว้ แต่ด้วยการที่ขาอีกข้างของเธอยังว่างจึงยกขาข้างนั้นอ้อมข้ามหัวพร้อมหนีบคอ ต่อจากนั้นจึงโน้มตัวลงแล้วออกแรงเหวี่ยงให้ไกล
“อั่ก...!”
พอร่างของฉันปลิวจนกลิ้งลงพื้นปุ๊บ
ก็รีบดีดตัวขึ้นตีลังกากลับหลังสามตลบพร้อมกระโดดขึ้นฟ้า แต่จังหวะนั้นโซ่ตรวนขนาดใหญ่ได้พุ่งขึ้นตามมาเตรียมมัดรวบไม่ให้หนีไปไหน
ยังพอโชคดีหน่อยที่เอียงตัวหลบทัน แคทเชอร์ช่วยคาบมันไว้และพาวิ่งลงตามเส้นเหล็กนี้
“ฮ้าาาาาาาา!!!”
“ชิ...!!”
น้าสาวยื่นมือขวาสั่งรวบจากด้านหลังโดยเร็วที่สุด
ดังนั้นทางเลือกการบุกโจมตีต่อมาคือ กระโดดลงแล้วใช้อสรพิษตัวเดิมเป็นตะขอ
มือสองข้างจับเอาไว้พร้อมโหนตัวลงเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็เรียกคุนิคิดะให้รีบเข้ามาหาเพื่อช่วยซัพพอร์ตด้วย
“ฉันไม่ยอมให้เธอเรียกร้องขอความช่วยเหลือง่ายๆ หรอกน่า!!”
เธอคนนั้นดีดนิ้วซ้ายเรียกดอกไม้ปีศาจขนาดใหญ่ดักเอาไว้ มันเริ่มอ้าปากออกกว้างหวังกลืนกินทั้งเป็น อสรพิษที่เหลืองับแขนและจับเหวี่ยงร่างฉันข้ามหัวศัตรูในช่วงที่แคทเชอร์ปล่อยโซ่ออกจากปากจนอยู่ห่างประมาณสิบเมตร
“ทางนี้ค่ะ คุณคุนิคิดะ!!”
“เข้าใจแล้วล่ะ!! พลังพิเศษ :
ยอดกวีร่ายคำ!!”
นักสืบแว่นวิ่งตรงมาพร้อมดึงกระดาษแผ่นหนึ่งจากสมุดเล่มโปรด
เหล่าแถบตัวอักษรต่างๆ
เริ่มหมุนเวียนรอบมือ แสงสว่างสีเขียวเปล่งประกายและเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นปืนยิงลวดหนึ่งกระบอก เขาเหนี่ยวไกยิงใส่ดอกไม้ปีศาจก่อนที่จะถูกดึงเข้ามาอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว
พอถึงช่วงพักศึกสักพัก ฉันดีดนิ้วซ้ายให้เหล่าอสรพิษทั้งหลายสลายพร้อมกับควันสีดำและเริ่มเปิดประเด็นโดยการถามสิ่งที่ยังค้างคาใจตลอดการต่อสู้อันสั้น
“คุณน้า...ทำไมตอนนั้นต้องพูดถึงคุณรัมโปล่ะคะ”
“กาลกิณีอย่างเธอสมควรรู้เรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอ” น้าคานาเอะพูดพร้อมหันมองฉันด้วยสีหน้าเกลียดชังนักหนา ทำเอารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขยะข้างทางยังไงไม่รู้
“...”
“เอาเถอะ จะยอมบอกเอาบุญสักหน่อยละกัน เหตุผลที่ฉันพูดถึงก็เพราะ...”
เธอเริ่มตอบคำถามแล้วลูบดอกไม้ปีศาจเพื่อสั่งให้ซ่อนตัวในทุ่งหญ้าก่อนที่จะเด็ดกุหลาบสีขาวออกมาถือ
“ผลงานการสืบสวนภายในเมืองที่ไร้ซึ่งความผิดพลาดแม้แต่นิด
ช่างเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ ใช่มั้ยล่ะ ขนาดคดีคนหายครั้งนี้ยังสืบความจริงถูกต้องเป๊ะเลย”
“งั้นแปลว่าเมื่อคืนคุณน้าแอบสลับโทรศัพท์ของหนู...เอ๊ะ?
เดี๋ยวสิ...ทั้งที่หน้าต่างก็ปิดแน่นแล้ว การกระทำครั้งนั้นมันเป็นไปได้ยากไม่ใช่เหรอ!”
“ช่างโง่เขลาเสียจริง คิดว่ามีฉันคนเดียวที่ก่อคดีรึไง แต่ถ้าให้บอกชื่อผู้สมรู้ร่วมคิดซะตอนนี้ พวกเธอคงคาดเดาคนร้ายคนอื่นง่ายเกิน
ขอปล่อยให้รอติดตามเรื่อยๆ ดีกว่า คุณรัมโปจะได้มีงานทำทุกวันสมกับยอดนักสืบหน่อย”
ให้ตายเถอะ...จะว่าหวังดีก็ไม่ใช่ การช่วยหางานให้ทำของเธอโดยวิธีนี้มันย่ำแย่จริงๆ
จังหวะที่คุนิคิดะกำลังจะเล็งปืนยิงลวดตรงกุหลาบดอกนั้น น้าสาวขัดจังหวะโดยการเรียกโซ่ตรวนเส้นใหญ่มาเพิ่มเติมแล้วสั่งฟาดพวกเราสองคนให้ปลิวออกไกลหลายเมตร
ซึ่งสิ่งที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที เพราะทุ่งหญ้าโซนหลังเป็นแค่ภาพลวงตา
ส่งผลให้ต้องร่วงลงราวกับกำลังดิ่งตามตึกสูง แต่เมื่อพบละอองหิมะสีขาวกำลังโปรยลงกลางอากาศปุ๊บก็เริ่มรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง
มีละอองหิมะทั้งที่ไม่ใช่หน้าหนาวแบบนี้นี่มัน...
ในขณะที่กำลังคิดเรื่องเมื่อครู่ ฉันได้สังเกตเห็นร่างของนักสืบแว่นผมบลอนด์เข้มที่อยู่ห่างประมาณห้าเมตรและจุดแลนดิ้งแนวตั้งเหมือนตึก จากนั้นก็ดีดนิ้วซ้ายเรียกแคทเชอร์ให้คว้าตัวเขามา
“เอ่อ...คุณคุนิคิดะ ต่อจากนี้พวกเราต้องวิ่งลงตามพื้นแล้วนะคะ
ยังไงก็ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจล่วงหน้าไว้ได้เลยค่ะ”
“เฮ้! เดี๋ยวสิ ทาจิบานะ! ฉัน...”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค
ฉันไม่รีรออะไรทั้งสิ้นแล้วเริ่มทิ้งตัวบนพื้นหญ้าเล็กๆ พร้อมออกตัววิ่งลงให้เร็วที่สุด
เขายังคงทำตัวไม่ถูกจนกระทั่งค่อยๆ ตั้งสติ ขอให้อสรพิษด้านดีนำพาสไลด์ตาม พอเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งจึงขอให้ปล่อยออกจากร่างและวิ่งอยู่เคียงข้าง
ส่วนจุดแลนดิ้งข้างล่างอยู่ห่างไกลมากเพราะยังไม่เห็นอะไรชัดเจนเท่าไหร่
แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้สึกปลอดภัยบ้างแล้วล่ะ
กริ๊งง~ กริ๊งง~ กริ๊งง~
ระหว่างนั้นเอง เสียงริงโทนจากโทรศัพท์ของคุนิคิดะก็ได้ดังขึ้น
พวกเราต่างเปลี่ยนจากวิ่งเป็นยืนสไลด์ลง เขารีบหยิบออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดโหมดลำโพงพร้อมกดรับสายทันที
“ฮัลโหล ทานิซากิ!!”
“คุณคุนิคิดะ!! นึกแล้วเชียวว่าต้องอยู่ในโลกแห่งโซ่ตรวนคล้องบุปผาอีกคน...ตอนนี้คุณดิ่งลงข้างล่างแล้วสินะครับ!!”
“อา!! ทาจิบานะเองก็อยู่ด้วยเหมือนกัน!!”
“ยูกิจัง!!? เอ่อ...ผมขอคุยกับเธอคนนั้นด้วยหน่อยได้มั้ยครับ!!”
“รอเดี๋ยวแป๊บนะ!!” นักสืบแว่นพยักหน้าลงหนึ่งทีและยื่นโทรศัพท์ของตัวเองมาตรงหน้า
“พวกเธอสองคนคุยกันไปก่อนละกัน เดี๋ยวฉันต้องเขียนอะไรบางอย่างใส่สมุดสักพักน่ะ”
ฉันรับทราบตามนั้นพร้อมกับรับมันไว้แน่นไม่ให้หลุดมือแล้วค่อยเริ่มคุยกับสมาชิกนักสืบบุโซในสายนี้
“ฮัลโหล จุนอิจิโร่คุง!! สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง!!”
“ทั้งอัตสึชิคุง คุณรัมโป และคนอื่นๆ น่าจะถูกโซ่ตรวนมัดตัวไว้อยู่ที่ไหนสักแห่ง!! ต้องขอบคุณพลังพิเศษของผม...ละอองหิมะโปรยที่คอยช่วยเปลี่ยนบริเวณทั้งหมดที่มีหิมะตกให้เป็นจอภาพจนหลุดพ้นออกมาได้!!”
อย่างนี้นี่เอง...เขาคงรู้ดีว่าพวกเราสองคนต้องถูกจองจำที่นี่
ก็เลยใช้พลังพิเศษไว้ลวงตาด้วยทุ่งหญ้ากว้างขวางสินะ
แต่แปลกดีแฮะ อยู่ในโลกจำลองที่ไม่น่าจะมีสัญญาณขนาดนี้แท้ๆ
ยังโทรหากันได้อีก
“งั้นตอนนี้นายช่วยตามหาหน่อยได้มั้ย!! ถ้าเจอแล้วให้รีบโทรหาทันที พอถึงคราวนั้นปุ๊บพวกฉันจะรีบตามให้เร็วที่สุด!!”
“รับทราบ!! ขอให้ทั้งสองคนปลอดภัยละกันนะ!!”
ติ๊ด!
ว่าจบฉันรีบกดวางสายและคืนโทรศัพท์ให้คุนิคิดะทันที
เขารับไปเก็บใส่กระเป๋ากางเกงหลังจากขีดเขียนบางอย่างบนสมุดอุดมคติเรียบร้อย แต่ทันใดนั้นเอง
การไล่ล่าได้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อน้าคานาเอะปรากฏตัวจากกลุ่มดอกไม้บนพื้นหญ้านี้
“อย่ามาหลงคิดว่าภาพลวงตาพรรคนั้นจะทำอะไรฉันได้นักเลย!!”
“...ไม่รู้จักจบสิ้นจริงๆ เหรอคะ คุณน้า! รู้ตัวมั้ยว่าการที่ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย มันเป็นเพราะคุณคนเดียวเลย!!”
“ถ้ากาลกิณีอย่างเธอหายไปจากโลกซะตอนแรก ฉันคงไม่ต้องทำแบบนี้หรอก!!”
คำก็กาลกิณี สองคำก็กาลกิณี ไม่มีคำอื่นจะเรียกแทนแล้วรึไงกัน!!
ฉันรีบหันตัวกลับข้างหลังแล้วดีดตัวออกจากพื้น มือซ้ายดีดนิ้วเรียกอสรพิษเพิ่มนับสิบหลังได้เรียกชื่อพลังพิเศษในใจ
“เอาล่ะ...มาสานต่อจากศึกครั้งก่อนกันเลยดีกว่า ยูกิ!!”
ในช่วงเวลานั้น การต่อสู้ระหว่างฉัน
คุนิคิดะกับน้าคานาเอะบนพื้นหญ้าแนวตั้งยังคงดำเนินต่อ พวกเราต่างยืนสไลด์ลงพร้อมใช้พลังพิเศษของตัวเองซึ่งกันและกัน
กลีบดอกไม้ถูกสลัดออกมาเตรียมแปรสภาพเป็นโซ่ตรวนขนาดต่างๆ นักสืบแว่นฉีกกระดาษจากสมุดอุดมคติเรียกปืนพกกระบอกหนึ่งมายิงทิ้ง
ส่วนฉันพยายามปกป้องเขาและวิ่งขึ้นตามโจมตีน้าสาวระยะใกล้
จนผ่านไปประมาณห้านาที
ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยกันหมดแล้วขอพักศึกชั่วคราว
“แหมๆ ดูเหมือนเธอจะชอบการต่อสู้เหลือเกินนะ กาลกิณีแห่งตระกูลทาจิบานะ”
“คุณน้า...เลิกเรียกหนูด้วยชื่อแบบนั้นสักทีเถอะค่ะ มันเป็นแค่อดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เฮอะ! ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สุดท้ายเธอก็ยังจมปลักกับบาปกรรมของตัวเองอยู่ดีนี่นา”
ทันใดนั้นเอง เธอได้ยิ้มกว้างแล้วเรียกโซ่ขนาดใหญ่จากพื้นใกล้ๆ
โดยอาศัยจังหวะทีเผลอตอนยืนแลนดิ้งพอดี มันพุ่งเข้ากระแทกกลางอกจนตัวปลิวออกกลางอากาศ
ความรู้สึกจุกอกแผ่ซ่านทั่วร่าง ทำให้การใช้พลังพิเศษชะงักลง
“อ๊ะ...!!”
“ทาจิบานะ!!”
หนุ่มผมบลอนด์เข้มรีบเก็บปืนทันทีที่หันมาพบและใช้แรงทั้งหมดเพื่อกระโดดหาฉันแทน
มือขวายื่นมาใกล้หวังช่วยดึงร่าง แต่ระยะห่างระหว่างพวกเรามันค่อนข้างไกลจึงจับมือได้ยาก
พอลองมองลงข้างล่างปุ๊บก็เริ่มสังเกตเห็นทุ่งดอกไม้หลากสีเหมือนกับชั้นบนสุด เขาทำสีหน้าเคร่งเครียดอยู่นานก่อนที่จะขอร้องให้ทำสิ่งต่อไปนี้แทน
“ทาจิบานะ!! ใช้อสรพิษกัดแขนฉันไว้ซะ!!”
“เอ๊ะ!!? ตะ...แต่ว่านั่นจะไม่ทำให้คุณเจ็บแขนเอาเหรอคะ!!
ฉันทำไม่ได้...”
“เอาน่า เร็วเข้าสิ!! ถ้าต้องเจ็บเพื่อช่วยเธอล่ะก็...มันไม่มีอะไรต้องเสียหายหรอก!!”
ฉันมองอีกฝ่ายอย่างกังวลใจสักพักแล้วค่อยตัดสินใจสั่งแคทเชอร์พุ่งกัดแขนขวาไว้แน่น
เขาแสดงท่าทีเจ็บปวดได้ไม่นานและเริ่มจับดึง ส่งผลให้ร่างของฉันปลิวไปหาจนถึงตัว
จากนั้นจึงอุ้มเอาไว้ในท่าอุ้มเจ้าหญิง เมื่อใกล้ถึงพื้นเต็มทน สิ่งที่ทำได้ภายในเสี้ยววินาทีคือ...
“พลังพิเศษ : อสรพิษอัปยศ!!”
เหล่าแถบออร่าสีดำม่วงหมุนเวียนรอบตัว
ควันสีดำลอยในอากาศพร้อมกับการปรากฏตัวของอสรพิษทั้งสองด้านนับสิบ
โดยครั้งนี้ยอมลงทุนถอดผ้าปิดตาสีดำออกและเปิดหน้าม้าข้างขวาเพราะไม่มีทางเลือกอื่นต่อไปแล้ว
ต่อมาก็สั่งให้ทุกตัวล้อมรอบเพื่อคอยเป็นเกราะป้องกัน
ในจังหวะนั้น นักสืบแว่นได้เปลี่ยนจากอุ้มเป็นโอบกอดธรรมดาแทน ทำเอาฉันสะดุ้งและรู้สึกใจเต้นรัวอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งความรู้สึกเหล่านั้นหายไปพร้อมหลับตาไว้แน่นเมื่อเริ่มกลิ้งบนพื้นหญ้าข้างล่างหลายตลบ แต่นั่นก็เป็นการบอกเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนท่าได้ดีไม่น้อยเพราะมันง่ายต่อการแลนดิ้งยิ่งกว่าอุ้มซะอีก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
พอผ่านไปหลายวินาที ฉันเริ่มลืมตาขึ้นช้าๆ
แล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนทับร่างของคุนิคิดะอยู่ภายในอ้อมกอดที่เขาพยายามปกป้องจากการกลิ้งบนพื้น
ส่วนเหล่าอสรพิษก็คลายตัวออกจากกันและสลายหายไปกับควันสีดำในจังหวะที่ชายหนุ่มตรงหน้าได้ทักถามพอดี
“อึ่ก...”
“ไม่เป็นไรแล้วนะ...”
“มะ...ไม่เป็นไร...ค่ะ”
“อ่ะ...!!?”
ภูมิแพ้หนุ่มแว่นกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อใบหน้าของพวกเราทั้งสองขยับเข้าใกล้ทุกที
ต่างคนต่างมีรีแอคติ้งและสีหน้าคล้ายคลึงกัน แม้ว่านักสืบผมบลอนด์เข้มตอนนี้จะไม่ได้ใส่แว่นแต่มันกลับทำให้รู้สึกหัวใจเต้นระรัว
แก้มสองข้างร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ ต่อจากนั้นจึงรีบปล่อยฉันให้ลุกออกอย่างไว
“ทะ...โทษทีที่เผลอกะ...กอดนานไปหน่อยนะ...” อีกฝ่ายเริ่มยันตัวขึ้นยืนพร้อมยกมือขวาปิดปากตัวเองแก้เขินไว้
สีหน้าของเขาแดงชัดเจนมากจนทำให้ต้องเขินแรงตาม ต่อมาเขาเดินไปหยิบแว่นที่ปลิวออกขึ้นมาใส่กลับเหมือนเดิม
“อะแฮ่ม! แต่ถ้าเธอปลอดภัยดีก็ไม่น่ากังวลอะไรแล้วล่ะ”
“ขะ...ขอบคุณค่ะ งั้นเอาเป็นว่าตอนนี้...พวกเรารีบตามหาพวกจุนอิจิโร่คุงดีกว่านะคะ” ฉันยืนจัดชุดองค์ทรงเครื่องของตัวเอง จับเปิดหน้าม้าข้างขวาให้เรียบร้อย ส่วนผ้าปิดตายังคงถอดออกเตรียมตัดโซ่ช่วยปลดปล่อยเหยื่อทั้งหมด
กริ๊งง~ กริ๊งง~ กริ๊งง~
ระหว่างนั้นเอง เสียงริงโทนของโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ได้ดังขึ้นสลัดความรู้สึกเคอะเขินจนหมดเกลี้ยง
เมื่อหยิบออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมองหน้าจอ ปรากฏว่าเป็นเบอร์ทานิซากิ
จุนอิจิโร่จริงๆ เขากดรับสายโดยไม่ลืมที่จะเปิดโหมดลำโพงด้วย
“ฮัลโหล ทานิซากิ นายหาพวกเขาเจอบ้างรึยัง”
“เจอแล้วครับ คุณคุนิคิดะ ตอนนี้กำลังหมดสติอยู่ทุกคนเลย
ถ้าหันมองทางตึกสูงที่พวกคุณเพิ่งร่วงลงมาล่ะก็...ให้วิ่งทางขวามือประมาณหนึ่งกิโลเมตร
บริเวณนั้นจะมีทุ่งฮิกันบานะสีแดงและเสากางเขนที่จับตรึงพวกเขาไว้”
“อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณที่ช่วยตามหานะ จุนอิจิโร่คุง
เดี๋ยวพวกเราจะรีบไปที่นั่นให้ไวเลย”
“อื้ม ระวังตัวด้วยล่ะ...ยูกิจัง ผู้หญิงคนนั้นอาจไล่ตามอยู่ข้างหลังก็ได้ แต่ถ้าเกิดวิกฤตจริงๆ
ผมจะช่วยซัพพอร์ตเอง”
ติ๊ด!
ทางปลายสายกดวางสายทันทีที่พูดจบประโยค
คุนิคิดะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วค่อยพาฉันหันมองทางตึกสูงพร้อมเริ่มวิ่งมุ่งหน้าออกทางขวามือตามคำบอกเมื่อครู่
แน่นอนว่าระหว่างนั้นเหล่าดอกไม้ปีศาจบนพื้นก็ต่างคอยเป็นอุปสรรคขัดขวางทุกเส้นทาง
อสรพิษด้านดีจึงพากันปรากฏตัวช่วยปกป้องพวกเรา
เมื่อวิ่งไปได้ครึ่งกิโลเมตร
สายตาของฉันได้สังเกตเห็นทุ่งฮิกันบานะสีแดงที่กำลังโบกตามสายลมเบาๆ
อีกทั้งยังมีเสากางเขนแบบหินตั้งอยู่ทั่ว เหยื่อในสภาพไร้สติทุกคนต่างถูกมัดด้วยโซ่ตรวนขนาดเล็ก
ที่สำคัญคือมีเสากางเขนปักตรงหน้าสุดของทางเข้าทุ่งดอกไม้ สมาชิกนักสืบบุโซอย่างรัมโปกับอัตสึชิกำลังถูกตรึงอยู่ใกล้กัน
“ให้ตายเถอะ...จุนอิจิโร่คุงอยู่จุดไหนกันแน่นะ...”
“แหมๆ ตามหาจนเจอคุณรัมโปซะแล้วเหรอจ๊ะ...คุณนักสืบทั้งสอง”
“...!!?”
จังหวะนั้นเอง
เสียงพูดของผู้หญิงอันคุ้นเคยดังจากข้างหลัง ซึ่งจะเป็นใครได้นอกจากคนที่คอยเล่นงานฉันอย่างน้าคานาเอะ
เธอเรียกโซ่สองเส้นบนพื้นและสั่งให้พุ่งเข้ามา แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้ เพราะทางนักสืบแว่นกระโดดเข้ามาขวางจนถูกโซ่พวกนั้นมัดรวบแน่นพร้อมกับลอยตามแรงดึงของเธอ
“คุณคุนิคิดะ!!” ฉันรีบหันกลับหวังจะวิ่งไปช่วยแต่เขาดันห้ามปรามไม่ให้เข้าใกล้มากกว่านี้
“รีบไปช่วยพวกอัตสึชิเถอะ ทาจิบานะ!! อย่าเพิ่งเป็นห่วงฉัน...อั่ก...!!”
พอเห็นเขาถูกมัดแน่นกว่าเดิมและเคลื่อนเข้าใกล้ตัวน้าสาว
จู่ๆ ภายในใจของฉันก็เริ่มสั่นคลอน ถูกเติมเต็มไปด้วยความสับสนจนทำให้ความมุ่งมั่นค่อยๆ
แตกแยกเป็นสองซีก มือทั้งสองกำหมัดแน่น สายตาจับจ้องมองอีกฝ่าย สมองพยายามคิดหนทางที่จะมุ่งหน้าต่อ
ทำไงดี...จะช่วยคนเดียวหรือเหยื่อทั้งหมดให้รอดก่อนดีนะ
“...”
“มัวแต่ชักช้าอะไรอยู่เล่า!! รีบไป...ช่วยเจ้าพวกนั้นซะสิ...!!”
สีหน้าของคุนิคิดะตอนนี้แสดงออกมาสองอารมณ์
ทั้งเคร่งเครียดกับทรมาน ฉันกำหมัดแน่นยิ่งกว่าและขบริมฝีปากล่างด้วยความรู้สึกย่ำแย่ หวาดกลัว ระแวงว่าถ้าช่วยพวกเหยื่อทุกคนสำเร็จแล้วจะช่วยอีกคนทันรึเปล่า
สุดท้ายจึงตัดสินใจยอมหันหลังกลับไปอย่างเจ็บใจ
ออกวิ่งมุ่งหน้าทางทุ่งฮิกันบานะแทน
ขอร้องล่ะ...คุณคุนิคิดะ อย่าเพิ่งตายเลยนะคะ
พอวิ่งมาถึงจุดมุ่งหมาย ฉันเริ่มสำรวจจำนวนเหยื่อทั้งหมดภายในทุ่งดอกไม้สีแดงแห่งนี้
นอกจากสมาชิกนักสืบบุโซสามคนแล้วยังมีประชาชนทั่วไปเกือบ 20 คน แต่ยิ่งสำรวจนานเท่าไหร่
กลิ่นฉุนแปลกๆ ของฮิกันบานะยิ่งโชยออกมา
จากนั้นก็รีบใช้พลังพิเศษเรียกอสรพิษสองด้านนับสิบเพื่อช่วยกันตัดโซ่ปลดปล่อยพวกเขาทั้งหมดโดยมีมือขวาคอยปิดจมูกไว้
พยายามหายใจเข้าสั้นๆ เพราะกลิ่นนี้คล้ายกับช่อดอกไม้ที่ดาไซซื้อเป๊ะมาก
“อึ่ก...”
และเมื่อเวลาผ่านไปหลายวินาที
ความรู้สึกเวียนหัวได้กลับมาอีกครั้ง แต่หนักกว่านั้นอีกคือชวนสำลักราวกับอยู่ท่ามกลางควันเพลิงที่ลอยตลบอบอวล
ทำให้ต้องวิ่งออกจากทุ่งฮิกันบานะสีแดงให้เร็วที่สุดซะก่อน ฉันทรุดลงไอสองสามรอบแล้วค่อยปล่อยมือขวาลงสูดเอาออกซิเจนเข้าปอดตัวเอง
“แฮ่ก...แฮ่ก...มะ...ไม่แปลกใจเลยว่าพวกเขาพากันหมดสติเพราะอะไร...”
ต่อมาแคทเชอร์เริ่มลอยมาส่งโทรจิตบอกว่าพวกมันทั้งหมดจะพยายามพุ่งไปรวบเหยื่อทุกคนให้รอดพ้นจากนรกแห่งนี้โดยที่ไม่ต้องลุกขึ้นตาม
ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจในพลังของตัวเองสักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าลองดูคงไม่เสียหายอะไรมากมาย
“อื้ม...ฝากด้วยนะ แคทเชอร์”
ฉันนั่งคุกเข่าหันหลังให้กับทุ่งดอกไม้แล้วยกมือทั้งสองกุมเข้าหากันระดับอกพร้อมหลับตาลงช้าๆ
ส่งเหล่าอสรพิษทุกตัวฝ่าเข้าไป ในจังหวะนั้นเสียงเรียกของทานิซากิได้ดังขึ้นจากด้านข้าง
แถมดูเหมือนเขาจะรู้ด้วยว่าสถานการณ์เป็นยังไง จึงขอร่วมด้วยอีกคน
“พลังพิเศษ : ละอองหิมะโปรย!”
ถึงจะยังหลับตาอยู่แต่ก็รู้สึกได้ถึงแสงออร่าจากการใช้พลังพิเศษของเขา
ความเย็นเฉียบเล็กๆ ของหิมะถูกโปรยลงกระทบบนมือ คาดว่าคงแฝงตัวในภาพฉายเพื่อช่วยแบกร่างเหยื่อให้แล้วแหละ
“ยูกิจัง เธอรีบลุกขึ้นไปช่วยคุณคุนิคิดะก่อนเถอะนะ
เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”
“ตะ...แต่แถวนั้นมีพิษของฮิกันบานะอยู่นี่นา
ขืนนายอยู่คนเดียวนานๆ ล่ะก็...” ฉันพยายามพูดคุยกับชายหนุ่มผมส้มในขณะที่มือสองข้างยังกุมไว้กลางอก
“ไม่เป็นไร...ผมสัญญาเลยว่าจะออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด สำคัญยิ่งกว่าคืออย่าให้เขาต้องเป็นเหยื่อรายต่อไปเด็ดขาด”
“...”
เอาอีกแล้ว...ความสับสนภายในใจนี่มันกลับมาหลอกหลอนต่อเนื่องจากเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
ตอนแรกกะว่าจะช่วยคุนิคิดะก่อน พอถึงตอนนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องช่วยทานิซากิจากขุมนรกข้างหลัง
แถมระยะห่างระหว่างนักสืบสองคนยังไกลเกินความสามารถของพลังพิเศษของตัวเองด้วย
“หืมม? เมื่อกี้เหมือนมีใครถามหาเลยน้า~”
“...!!?”
ฉันรีบเบิกตาออกกว้างทันทีเมื่อได้ยินเสียงน้าคานาเอะกำลังพูดตรงหน้าซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ
100 เมตรพร้อมกับโซ่ตรวนที่มัดรวบร่างนักสืบแว่นไว้ จากนั้นจึงยอมสั่งให้มันปล่อยเหยื่อของตัวเองโดยการโยนกลับมาอยู่ข้างกัน
“นี่...ยูกิ”
ต่อมาเธอค่อยๆ เดินเข้าหาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ไร้ซึ่งอารมณ์เคียดแค้น ตัวฉันที่ยังส่งอสรพิษฝ่าดงฮิกันบานะไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้แม้แต่นิด
ทำได้แค่เพียงกุมมือแน่นและจ้องมองแบบกล้าๆ กลัวๆ อีกฝ่ายเริ่มนั่งชันเข่า ยื่นมือขวาจับเชยคางก่อนที่จะแสดงท่าทีเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อ
“ขอโทษที่ทำตัวร้ายกาจมาตลอดนะ...ยูกิ”
“เอ๊ะ...?”
ใช่แล้ว...เมื่อกี้จู่ๆ น้าสาวก็กล่าวคำขอโทษพร้อมแสดงสีหน้าไม่สบายอกสบายใจ
ราวกับว่าตัวเองกำลังทำบางอย่างผิดพลาดหนักหนาสาหัส เธอค่อยๆ เลื่อนมือลงแตะไหล่ เปิดใจพูดคุยตรงไปตรงมาถึงความรู้สึกที่ปิดบังมาโดยตลอด
18 ปี
“ถ้าตอนนั้นฉันรีบออกไปรับเธอในป่าและแอบเลี้ยงแทน...คงไม่ต้องเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้เลย
ฉันรู้ว่าตัวเธอวัยสองขวบไม่มีทางฆ่าพ่อแม่ได้ลงหรอก
แต่เพราะญาติมิตรที่ต่างประณามเยี่ยงกาลกิณีกันหมดทุกคน ก็เลยหมดทางเลือกแล้วค่อยตามน้ำเรื่อยมา”
อะไรกัน...งงไปหมดเลย...ไม่เห็นเข้าใจสักนิด
ทำไมเพิ่งจะสำนึกผิดเอาป่านนี้ล่ะ...
“ละ...แล้วคดีครั้งนี้ที่เหมือนจะหมายหัวของหนูล่ะคะ...”
“ฉันแค่...อยากเจอเธอเท่านั้นเอง อยากเห็นการเติบโตทั้งที่มีคำสาปติดอยู่
พยายามวิ่งตามหาทั่วแล้วแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่หัวเงา คิดว่าน่าจะนอนตรอมใจตายตามคำสบประมาทของตัวเอง
จนกระทั่งได้ยินข่าวลือมาว่าเธอเป็นหนึ่งในสมาชิกนักสืบบุโซ
สถานที่ทำงานเดียวกันกับคุณรัมโป”
ระหว่างบทสนทนานี้ อีกฝ่ายได้ดีดนิ้วเพื่อสั่งให้ทุ่งฮิกันบานะเลิกส่งกลิ่นพิษ
ทำลายเสากางเขนพร้อมเปลี่ยนเป็นดอกไม้หลากสีเหมือนเดิมแทน
“งั้นเหตุผลที่พูดถึงคุณรัมโปตอนนั้น...”
“จริงอยู่ที่ปลาบปลื้มผลงานสืบสวนในชั่วพริบตาทุกคดี
แต่เขาก็ถือเป็นกุญแจสำคัญในการตามหาเธอไม่ใช่เหรอ...”
“...”
“ดังนั้นการก่อเหตุครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อดึงดูดให้พวกนักสืบกับมาเฟียเริ่มปฏิบัติงานอย่างเดียว...”
อีกฝ่ายหยุดพูดชั่วขณะและเริ่มโอบแขนทั้งสองเข้ากอดฉันเบาๆ
ความอบอุ่นจากญาติมิตรที่ไม่เคยสัมผัสได้โถมมาทั่วร่าง “แต่เพื่อเรียกเธอให้มาพบเจอ...ช่วยพิสูจน์ความมุ่งมั่นของการช่วยเหลือผู้อื่นในสังคม”
“คุณน้า...”
พอลองคิดดูแล้ว รู้สึกว่ามันไม่ใช่การหลอกลวงหรือใช้แผนให้ตายใจเลยแฮะ คือไม่รู้สิ...ก็น้าคานาเอะเป็นคนเดียวที่ตามหาฉันหลังจากคุณลุงได้รับเลี้ยงแทนตลอดนี่นา ตอนเด็กไม่มีโทรศัพท์ติดตัวสักเครื่อง ถึงมีแต่คงไม่มีเบอร์โทรให้ติดต่อกัน พอคิดว่านอนตรอมใจตายในป่าแล้ว กำลังใจของเธอน่าจะลดฮวบจนหมดในท้ายที่สุด
พอเวลาผ่านไปหลายวินาที น้าสาวค่อยๆ
ปล่อยตัวฉันออกจากอ้อมแขนและลุกขึ้นยืน เธอเดินถอยหลังออกประมาณห้าเมตร โน้มตัวลงพร้อมกล่าวคำขอโทษอีกรอบ
อีกทั้งยังฝากฝังงานครั้งหน้าให้กับพวกเราด้วย
“ถึงจะเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ยากสักหน่อยแต่ขอฝากจัดการเหล่าคนสมรู้ร่วมคิดทั้งหมดหลังจากกลับเข้าสู่โลกเดิมด้วยล่ะ...ทุกอย่างที่ฉันทำเป็นเพียงแผนการพบเจอเธอเท่านั้น
ไม่ได้ตั้งใจก่อเหตุในฐานะสมาชิกกลุ่มองค์กรนั่นเลย”
กลุ่มองค์กร...? หมายความว่าไงกันนะ
ทางคุนิคิดะเริ่มเปิดปากถามรายละเอียดเกี่ยวกับองค์กรที่ว่านั่น
มือสองข้างหยิบสมุดอุดมคติกับปากกาเตรียมจดอย่างดี ส่วนทานิซากิก็ช่วยพาเหยื่อทุกคนวางลงนอนบนพื้นหญ้าใกล้ๆ
ซึ่งมีเพียงรัมโปและอัตสึชิเท่านั้นที่ได้สติกลับมาเรียบร้อย
เธอบอกว่าเมื่อไม่นานนี้มีองค์กรลับแห่งหนึ่งภายในเมืองโยโกฮาม่าที่เปิดกิจการโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากทางรัฐบาล
แม้แต่เบื้องบนเองก็ไม่เคยรับรู้สักนิด สมาชิกทุกคนต่างปกปิดตัวเองและใช้โค้ดเนมเป็นตัวอักษรแรกของชื่อตัวเอง
เพราะงั้นถึงเปิดเผยโค้ดเนมแต่ก็ไม่มีใครสามารถสืบหาตัวจริงได้
“เธอพอจะบอกชื่อได้รึเปล่า คานาเอะ” นักสืบแว่นขอถามคำถามสุดท้ายหลังได้ฟังเรื่องเล่าเมื่อครู่จบเพื่อเก็บข้อมูลให้สมบูรณ์ที่สุด
“อื้ม ชื่อขององค์กรลับแห่งนั้นคือ...”
ฟ่อออ~
“เอ๊ะ...?”
ทันใดนั้นเอง
เสียงของอสรพิษตัวหนึ่งได้ร้องออกมาพร้อมกับปรากฏตัวในควันสีดำด้านหลัง ซึ่งตัวนั้นดันกลายเป็นริปเปอร์แทนแคทเชอร์
มันเริ่มเผยคมดาบบนหัวและอ้าปากแยกเขี้ยวแหลมๆ
นัยน์ตาสีเลือดจับจ้องมองไปที่น้าคานาเอะก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหา จึงทำให้รู้สึกตัวว่าลืมใส่ผ้าปิดตาสีดำเพื่อผนึกคำสาปเหมือนเดิม
“...!? เดี๋ยวก่อนสิ!! ตอนนี้พวกเราคุยกันได้แล้วไม่ใช่เหรอ!!”
ฉันพยายามเรียกให้กลับมาในขณะที่มือขวายกขึ้นปิดไว้แทน
แม้จะจับรั้งได้แล้วแต่มันกลับสะบัดร่างตัวเองจนหลุดมือ คุนิคิดะกับทานิซากิรีบตามช่วยอีกฝ่ายด้วยสีหน้าซีดๆ
แน่นอนว่าพวกเขาถูกขัดขวางด้วยโซ่ตรวนบนพื้นที่คอยรั้งตัวไว้
น้าสาวไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้นและค่อยๆ
ฉีกยิ้มเล็กน้อย หลับตาลงยอมรับความตายตรงหน้า ถ้าเธอตายตอนนี้
โลกแห่งโซ่ตรวนคล้องบุปผาคงจะสลายหายไปแล้วกลับสู่โลกเดิม
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยกำลังเกิดขึ้นในไม่ช้า
“ขอร้องล่ะ...หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!!!”
.
.
.
.
.
โผล๊ะ!!
“...!!!”
เหตุการณ์เก่าๆ สุดเลวร้ายได้กลับมาวนเวียนอีกครั้ง หยาดเลือดกระเซ็นลงบนอสรพิษด้านชั่วพร้อมร่างของคนในครอบครัวที่ถูกมันพุ่งทะลวงกลางอก เสื้อเปิดไหล่สีแดงถูกชโลมจนเป็นโทนสีเข้ม
เธอยืนกระอักเลือดหนึ่งรอบแล้วค่อยเอนตัวล้มหงายบนพื้น ส่วนริปเปอร์ก็ดึงตัวเองกลับมาลอยอยู่ข้างหลังเหมือนเดิม
ทำไมกันล่ะ...อุตส่าห์ได้เริ่มคุยกันตามปกติแล้วแท้ๆ
เลย!!
“คุณน้า...!!!” ฉันรีบลุกขึ้นวิ่งไปหาและคุกเข่าจับยกร่างน้าคานาเอะด้วยความรู้สึกผิด
ภายในจิตใจมีแต่ความกลัว สับสน ไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อดี “คุณน้า...หนูขอโทษ เมื่อกี้หนูควบคุมริปเปอร์ไม่ได้จริงๆ”
“ยูกิ...นั่นไม่ใช่...ความผิดของเธอ...อั่ก...!!”
เธอพยายามพูดคุยทั้งที่ยังทรมานกับบาดแผลลึกกลางอก มือขวาค่อยๆ ยกขึ้นแตะบนแก้มของฉันแต่ก็ไม่อาจเอื้อมถึง
ขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป มีหวังตายก่อนแน่ๆ
ต้องหาทำอะไรสักอย่างซะแล้ว...
จริงด้วยสิ! มีอยู่วีธีหนึ่งที่พอช่วยได้นี่นา!
“งะ...งั้นถ้ารีบพาพวกเรากลับโลกเดิม อาจมีความหวังเหลืออยู่ก็ได้
หนูจะพาไปหาคุณหมอโยซาโนะแล้ว...”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยค อีกฝ่ายก็จับแขนเสื้อไว้และขัดจังหวะไม่ให้พูดอะไรมากกว่านี้
“ไม่เป็นไรหรอก...เดิมทีฉันสมควรตายตั้งแต่เริ่มสู้แล้วล่ะ
อ้อ...งั้นขออะไรบางอย่างเป็นครั้งสุดท้ายหน่อยจะได้รึเปล่า...”
“...!? ว่ามาได้เลยค่ะ! ถ้าเพื่อคุณน้าล่ะก็...หนูจะยอมทำค่ะ!”
“ฮ่ะๆๆ เธอเนี่ย...เป็นคนจิตใจดีกว่าที่คิดไว้จริงๆ” เธอยิ้มบางๆ ให้แล้วเริ่มเปิดปากขอร้องเรื่องต่อจากนี้ “แม้ว่าคำสาปจะยังไม่หายไป แต่ขอให้ปกป้องเมืองนี้...ในฐานะนักสืบบุโซ อยู่กับเพื่อนร่วมงานทุกคนอย่างมีความสุข
และก็...ฝากปกป้อง...คุณรัมโป...ด้วยนะ...”
เมื่อสิ้นเสียงของน้าสาวแล้ว ลมหายใจก็ดับสิ้นตาม
มือที่จับแขนเสื้อไว้ค่อยๆ คลายออกจนห้อยลงข้างล่าง
ใบหน้าหวานนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มบางและน้ำตาที่เอ่อไหลลงเล็กน้อย
หัวใจของฉันเริ่มสั่นคลอน มือไม้สองข้างสั่นระริก แถมยังสำนึกได้ทันทีว่าไม่มีทางหนีพ้นบาปกรรมเก่าเลย
บาปกรรมที่เคยฆ่าผู้คนในอดีต...ทั้งคนในครอบครัวและโรงเรียน...
หลังจากฉันวางร่างของอีกฝ่ายลงอย่างเบามือ
ลมพายุได้พัดโบกส่งกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ภายในโลกแห่งโซ่ตรวนคล้องบุปผา แสงสว่างสาดส่องมาทั่วพื้นหญ้าก่อนที่มันจะสลายหายไปพร้อมดึงทุกคนกลับสู่เมืองโยโกฮาม่า
ณ ตำแหน่งเดิม
เมื่อลองหันมองรอบๆ ไม่พบร่างของรัมโป
อัตสึชิกับทานิซากิเลย อาจเป็นเพราะกลับไปอยู่จุดเกิดเหตุของพวกเขา สรุปคือบริเวณที่มีใบโคลเวอร์สีดำโปรยไว้บนพื้นนั่นเอง
“...”
ส่วนอาคุตางาวะที่ดูเหมือนจะจัดการศัตรูของตัวเองเรียบร้อยแล้วนั้นเริ่มหันกลับมาทางพวกเรา เขาเหลือบตามองร่างน้าคานาเอะสลับกับฉันด้วยความสงสัย ซึ่งทำให้เพิ่งรู้สึกตัวอีกครั้งว่าต้องรีบใส่ผ้าปิดตาข้างขวาให้เร็วที่สุด
“ยูกิ...น้าสาวของเจ้าหมดประโยชน์ที่ต้องไว้ชีวิตแล้วล่ะ
เพราะงั้นข้าจึงขอสังหารทิ้งแบบนั้น...”
“หุบปากซะ ริปเปอร์! เพราะคำสาปจากตัวนายแท้ๆ
พวกเราทั้งหมดถึงอดได้ข้อมูลสำคัญเลย!! นายหัดควบคุมตัวเองบ้างไม่ได้รึไง!!”
ฉันเริ่มตวาดใส่อสรพิษด้านชั่วของตัวเองหลังจากใส่ผ้าปิดตากลับเหมือนเดิมและสั่งให้มันหายไปกับควันสีดำ
“ทาจิบานะ...”
“ขอโทษด้วยค่ะ...คุณคุนิคิดะ มันเป็นความผิดของฉันเองที่ถอดผ้าปิดตาเพื่อเรียกริปเปอร์ออกมา ฉันทำลายอุดมคติของคุณจนเกิดรอยแตกแยก นำพาความตายเข้ามาหลอกหลอนอีกครั้งสินะคะเนี่ย...”
ทั้งอาคุตางาวะ คุนิคิดะ ฮิกุจิ ทาจิฮาระ
และฮิโรสึต่างเงียบปากกันทุกคน บรรยากาศอันมาคุโถมเข้ามาล้อมรอบพร้อมสายลมหนาวเหน็บโชยผ่านไป
ความลับที่อุตส่าห์ปิดบังไว้กับกลุ่มพอร์ตมาเฟียถูกเผยออกให้รับรู้จนได้ หนำซ้ำคือดาไซกับชูยะดันวิ่งกลับมาเห็นพอดีด้วย
ความรู้สึกย่ำแย่ที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ พวกนี้นี่มันอะไรกันนะ...
มันเริ่มเติมเต็มทั้งใจจนคิดว่าตัวเองไม่สมควรเป็นนักสืบเลยสักนิด
“งะ...งั้นขอตัวไปฝังศพคุณน้าก่อนละกันนะคะ...” ฉันรีบจับยกร่างของน้าสาวขึ้นแล้วค่อยพูดประโยคเมื่อครู่ให้กับทุกคน แต่นักสืบแว่นดันเดินมาตรงหน้าพร้อมรับตัวไว้แทน
สีหน้าของเขาล้วนมีแต่ความนิ่งเรียบปนเหนื่อยใจเล็กๆ
“ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวพวกฉันจะพาไปเอง ส่วนเธอก็พักผ่อนเถอะ
คืนนี้เหนื่อยมามากพอแล้วล่ะ...”
“...รับทราบค่ะ”
ว่าจบฉันก็หันหลังให้และก้าวขาเดินออกไปอย่างช้าๆ ซึ่งขอนั่งสงบจิตสงบใจที่ไหนสักแห่งแทนการกลับหอพัก ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ยังคงตามหลอกหลอนจนรู้สึกไม่อยากหลับนอน ถ้าสามารถขจัดพวกมันให้หายไปก่อนน่าจะดีกว่าหลายเท่า
คำสาป ณ คืนนี้ถือเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับน้าคานาเอะ ความไว้เนื้อเชื่อใจ รวมถึงข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับองค์กรลับพังทลาย ถ้าริปเปอร์มีเหตุผลมากพอในการสังหาร มันควรอธิบายให้ชัดเจนตั้งแต่แรกสิ ไม่ใช่บอกแค่ว่าหมดประโยชน์ที่ต้องไว้ชีวิตแบบนั้น!
“...”
พอเดินไปเรื่อยๆ จนพบเห็นกลีบดอกไม้เพียงกลีบเดียวถูกสลัดออกมาโปรยตรงหน้าแล้ว
ฉันก็ชะงักตัวลงเพื่อยืนมองสักพักก่อนที่จะไว้อาลัยน้าสาวโดยการยกมือสองข้างขึ้นกุมเข้าหากันในระดับอกพร้อมหลับตาลงช้าๆ
“คุณน้า...บาปกรรมเก่าครั้งนี้หนูจะรับไว้เป็นบทเรียนเอง
เพราะงั้น...ขอให้ไปสู่สุขคตินะคะ”
[ To be continued ]
ความคิดเห็น