คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : การเติมพลังเวทที่รุกหนักยิ่งกว่า
การเติมพลังเวทที่รุกหนักยิ่งกว่า
----------------------------------------------------
สองวันต่อมา
“เฮ้อ...”
เช้านี้ตื่นมาก็รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรทำเหมือนเดิม อีเว้นท์จบลง กลับอยู่ในช่วงเวลาปกติ เซอแวนท์ทุกคนก็เดินไปมาอย่างกับผีไม่มีศาล วนมาหาฉันแล้วหาเรื่องคุยสารพัดอย่างเป็นระยะๆ ทั้งเรื่องชีวิตประจำวันธรรมดา เรื่องฝึกซ้อมในคาลเดีย เกท เผลอๆ อาจมีแอบเล่นซนตั้งแต่ระดับเบาสุดจนหนักสุด ทุกอย่างวนเวียนเป็นวัฎจักรไปเรื่อยแบบนี้ยามเมื่อไม่มีอีเว้นท์ให้เข้าร่วม
และในขณะนี้...ฉันกำลังนั่งโง่ๆ คนเดียวอยู่บนเตียงยามเช้า จ้องมองแต่ต้นไม้เล็กๆ ในกระถางที่วางอยู่ชิดมุมห้อง หากตั้งคำถามว่า เมื่อคืนมีใครอยู่นอนด้วยกับฉันมั้ย...
บอกได้เลยว่ามีแน่นอน!! แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เซอแวนท์ผู้ชาย คนที่มานอนด้วยคือ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ [แอสซาซิน] เนเซอรี่ ไรม์ และอบิเกล วิลเลี่ยมส์
พวกเธอสามคนได้บอกว่า เมื่อคืน เมเดีย [แคสเตอร์] ไม่ว่าง อาจจะกลับช้า แต่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม ฉันก็ไม่ถือสาอะไรจึงบอกว่าเดี๋ยวค่อยถามอีกที ตั้งแต่นั้นทั้งสามก็ขอนอนด้วยทันที ซึ่งพอตื่นมาก็พบว่าเด็กๆ ได้ตื่นกันอย่างเช้าแล้วขอตัวไปล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำล่วงหน้า จะได้ไปหา มินิคูจัง กับ โฟว์คุง ในตอนเช้า
“...เอาเป็นว่าไปล้างหน้าแปรงฟันเลยละกัน”
ตึก...ตึก...ตึก
ว่าจบฉันค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเตรียมผ้าขนหนูไว้อาบน้ำ จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าห้องอาบน้ำอย่างเชื่องช้าและไม่กระปรี้กระเปร่าเสียเท่าไหร่นัก เพราะรู้ตัวดีด้วยว่าคงจะไม่น่ามีเรื่องอะไรให้ทำเร่งด่วนแน่นอน
.
.
.
“ฮ้าา...ค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นหน่อย”
พอเข้าอาบน้ำยามเช้า(ที่ไม่ได้หนาวอะไรมากมาย) รู้สึกได้เลยว่าร่างกายถูกเติมเต็มไปด้วยแรงกายแรงใจ พลังเวทกำลังหล่อเลี้ยงทั่วร่าง ค่อยเริ่มมีแรงทำกิจกรรมหรือพาเซอแวนท์บางส่วนไปฝึกซ้อมในคาลเดีย เกทบ้างแล้ว
ฉันเดินออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูสีขาวพันรอบตัวแล้วเตรียมแต่งตัว แต่ก่อนที่จะเดินถึงหน้าตู้เสื้อผ้า สายตาเหลือบไปเห็นเซอแวนท์คนหนึ่งที่กำลังนั่งเฝ้าอยู่บนเตียง ซึ่งเป็นนักฆ่าแห่งตระกูลฟูมะอย่าง ฟูมะ โคทาโร่ [แอสซาซิน] เขามาในรูปลักษณ์ที่ผมบังหน้าและใส่ผ้าพันคอสีแดงตามเคย
“คะ...โคทาโร่คุง!?”
“เอ่อ...อรุณสวัสดิ์ขอรับ นายท่าน...เช้านี้ท่านตื่นช้ากว่าปกติเลย...เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าขอรับ” โคทาโร่ทักทายพร้อมซักถามด้วยความสงสัย
แต่ประเด็นแรกที่ผิดปกติสุดๆ เลยคือ เขาไม่ได้ตกใจเขินเรื่องที่ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แถมยังอยู่ในสภาพพันผ้าขนหนูอีก
“ปะ...เปล่าหรอกจ้ะ ก็แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
ฉันรีบตอบแก้เขินแล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าเตรียมแต่งตัว ในขณะนั้นเอง นินจาหนุ่มผมแดงได้ลุกขึ้นเดินเข้ามา เขาเอื้อมมือทั้งสองมายันไว้ในลักษณะของคาเบะด้ง (การที่ใครสักคนขังคนๆ หนึ่งอยู่ชิดกำแพงด้วยแขนสองข้างที่ยันไว้)
“...” โคทาโร่จ้องมองด้วยนัยน์ตาสีแดงที่อยู่ภายใต้ผมหน้าม้าข้างซ้ายอย่างไม่ละสายตา เขาค่อยๆ ก้มใบหน้าลงฝังบนไหล่ขวาอันเปลือยเปล่า เล่นเอาแอบสะดุ้งไม่น้อย “นายท่านขอรับ...กระผมรู้สึกเพลียเหลือเกิน เหมือนพลังเวทกำลังลดลงเรื่อยๆ เลย...”
“อะ...เอ๊ะ...?”
“ลูบหัวกระผมหน่อยขอรับ...” เขาเริ่มกล่าวคำออดอ้อนแล้วจับมือขวายกขึ้นมาวางบนหัวเขาเอง
“อึ่ก...” ฉันเริ่มประหม่าเล็กน้อยหลังได้จับหัวเซอแวนท์ผู้ชายอย่างเขาครั้งแรก แต่ในฐานะที่ตนเป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียแล้ว จึงต้องทำตามคำขอโดยการลูบหัวเบาๆ
เส้นผมสีแดงของเขานุ่มกว่าที่คิดซะอีกแฮะ...มันนุ่มคล้ายๆ ขนปุยอย่างน่าประหลาด
“นายท่าน...” เขาหลับตาเคลิบเคลิ้มไปกับการลูบหัวของฉันแล้วเปลี่ยนจากฝังหน้าบนไหล่เป็นซบแทน ฉันค่อยๆ โอบหลังไว้ด้วยมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่
พอมองดูแล้วเหมือนกับว่าเขาเป็นน้องชายที่น่าเป็นห่วงคนหนึ่งของทุกคนเลย
“โคทาโร่คุง...คงจะเหนื่อยมาตลอดแน่ๆ เลย ขอโทษที่ต้องให้เฝ้าหน้ามายรูมเกือบทุกครั้งนะ...”
“ไม่เป็นไรขอรับ...ถ้าเพื่อนายท่านแล้ว กระผมน้อมรับทำตามคำบัญชาเสมอขอรับ...”
โคทาโร่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาในขณะที่ยังเคลิบเคลิ้มอยู่ ลมหายใจอุ่นๆ รดมายังลำคอในทุกคำที่พูดออกมา มันทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูก มือขวายังคงลูบหัวเขาต่อไปอย่างเบาๆ จนกระทั่งมันถูกหยุดไว้โดยมือของเขาที่จับรั้งเอาไว้
หมับ!
“นายท่าน...กระผมขอพลังเวทหน่อยขอรับ...ไม่ใช่จากเรย์จู แต่จากตัวท่านเอง...ได้มั้ยขอรับ”
ยังไม่ทันที่จะได้พูดตอบอะไรทั้งสิ้น เขาค่อยๆ ยกมือขวาของฉันขึ้นไปแตะที่ริมฝีปากตัวเอง จับนิ้วชี้เคลื่อนเข้าไปในปากพร้อมดูดมันเบาๆ
“คะ...โคทาโร่...คุง...” ฉันเริ่มตกใจเขินเป็นอย่างมากแล้วเกิดความคิดว่าต้องใช้เรย์จูหยุดการกระทำนี้ แต่ด้วยเพราะมือขวาถูกรั้งไว้พร้อมดูดเอาพลังเวทไปช้าๆ แบบนั้น จึงทำอะไรต่อไม่ถูกอีกต่อไป
“...” โคทาโร่แอบส่งสายตามองสักพักแล้วดูดนิ้วต่อ ครั้งนี้เริ่มมีการเพิ่มจำนวนสามนิ้ว ซึ่งรวมเป็นนิ้วชี้-กลาง-นางเรียงกัน เขาดูดสลับกับเลียไปมาอย่างเบาๆ
บ้าจริง...เป็นแค่การดูดพลังเวทวิธีธรรมดาแท้ๆ
แต่ทำไมฉัน...รู้สึกเสียวสะท้านแปลกๆ ไปทั่วร่างแบบนี้นะ...
“ท่านยูมิ...” นินจาหนุ่มผมแดงเรียกชื่อแทนตำแหน่งด้วยน้ำเสียงอ่อนทุ้มพร้อมเปลี่ยนจากดูดนิ้วเป็นการยื่นหน้าเข้ามาใกล้ มือทั้งสองจับประคองใบหน้าไว้ สิ่งที่ตามมาคือ เขาเริ่มรุกหนักโดยการประทับจูบบนริมฝีปากแทน
“...!?”
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ใบแก้มเริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ ยามเมื่อเขาค่อยๆ สอดลิ้นอุ่นเข้ามาในโพรงปากแล้วโลมเลียลิ้นไปทั่วอย่างช้าๆ จังหวะการเต้นของหัวใจก็รัวไม่เป็นจังหวะ มือไม้อยู่นิ่ง ทำอะไรต่อไม่ถูกก่อนที่จะเริ่มโอบกอดอีกฝ่ายไว้โดยไม่รู้ตัว
“อึ่ก...อืมมม...”
บรรยากาศตอนนี้เรียกว่าแทบไม่มีอะไรมารบกวนทั้งสิ้น มันเงียบมากจนได้ยินเสียงหายใจระหว่างเราสองคนอย่างชัดเจน ยิ่งตอนเช้าเซอแวนท์บางส่วนก็พากันไปห้องครัวเตรียมกินอาหารเช้า แต่มีหลงอยู่คนเดียวที่ดันมาขอพลังเวทฉันแทนการกินข้าวพร้อมคนอื่นๆ ซึ่งจะเป็นใครได้นอกจากคนตรงหน้าที่กำลังจับจูบดูดดื่มและแลกลิ้นไปมาไม่หยุด
“ฮ้าา...พลังเวทที่หล่อเลี้ยงในร่างกระผมตอนนี้...เริ่มเพิ่มพูนมาเรื่อยๆ แล้วขอรับ...” โคทาโร่ผละใบหน้าออกเล็กน้อยพลางพูดกล่าวเบาๆ เขาเขยิบร่างเข้าแนบชิดตัวยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็ยื่นกลับมาดูดริมฝีปากบน-ล่างสลับกันไป
“อืออ...อื้มมม...” ฝ่ามือบางของฉันบีบกำหลังเสื้อไว้แน่นเพราะเริ่มจะต้านทานไว้ไม่ไหวจนใกล้หมดแรง เขาแลกจูบอย่างดูดดื่มผิดปกติ เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน จากที่ขี้อาย พูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่กลับรุกหนักเกินกว่าจะคาดถึง
แย่ล่ะสิ...ฉันว่าฉันต้องได้นอนพักฟื้นพลังเวทยาวๆ อีกแน่เลย...
และกว่าจะได้แต่งตัวอย่างจริงจังนี่...คงได้พาเซอแวนท์ไปฝึกซ้อมด้วยชุดมาสเตอร์แบบใหม่อย่างผ้าขนหนูผืนเดียว...ซึ่งโคตรอายที่สุดในชีวิตละ
ผ่านไปห้านาที (จูบนานมาก!!)
“เอ่อ...ขะ...ขออภัยด้วยขอรับ นายท่าน...ที่กระผมล่วงล้ำมากเกินไป...”
หลังจากพวกเราแลกพลังเวทกันอย่างดูดดื่ม โคทาโร่พูดอย่างเขินๆ พร้อมรีบอุ้มร่างฉันไปนั่งบนเตียงเพื่อให้ได้พักผ่อน เล่นเอาซะหมดแรงจนออกไปทำกิจวัตรต่อไม่ไหวสักพักใหญ่ พวกเราแต่ละคนต่างนั่งหันหลังให้ด้วยความเขินอาย
“อะ...อื้ม ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”
“...”
ต่างคนต่างเงียบไป ฉันนั่งจับมือขวาของตัวเองแล้วลูบนิ้วชี้-กลาง-นางเบาๆ ไล่ลงมาที่ฝ่ามือ ขนาดลูบเองยังรู้สึกสยิวเอง เมื่อลองหันไปมองอีกฝ่าย พบว่าเขากำลังเอาผ้าพันคอปิดปากพร้อมแสดงสีหน้าที่แดงก่ำ
อุหวา...นะ...น่ารักชิบ...
ก่อนที่เวลาจะผ่านนานเกินกว่านี้ ฉันรีบลุกขึ้นหยิบชุดจากตู้เสื้อผ้าแล้วมุ่งหน้าไปแต่งตัวที่ห้องอาบน้ำแทน ขืนอยู่ในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวแบบนี้ คงจะไม่ดีแน่ๆ
.
.
.
“คุณแม่...?”
วินาทีที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เสียงของเด็กน้อยก็ดังขึ้น และคาดว่ามีคนอื่นอีก เพราะได้ยินเสียงฝีเท้าดังในจังหวะวิ่งอย่างกับว่าไม่ได้มาแค่คนเดียว พอก้าวเท้าเดินออกจากห้องอาบน้ำ พบว่ามีแจ๊ค ไรม์ อบิเกล รวมถึงเมเดียที่อุ้มโฟว์คุงด้วย
“นั่นไง! คุณแม่ๆ คือหนูหามินิคูจังไม่เจอเลย เดินหาทั่วแล้วด้วย ไม่รู้ว่าหายไปไหนตั้งแต่เช้า...” แจ๊ครีบวิ่งเข้ากอดฉันไว้แน่น
“มาสเตอร์คะ หนูเองก็หาทั่วแล้วเหมือนกัน ไม่เจอเลยค่ะ” ไรม์เอามือสองข้างกุมอกตัวเองแล้วพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“หนูกะว่าจะพามินิคูจังไปกินแพนเค้กด้วยกันสักหน่อย แต่เขาไปไหนไม่รู้” อบิเกลพูดในขณะที่กำลังถือกล่องแพนเค้กสีขาวกล่องหนึ่งไว้กับตัว
“ให้ตายเถอะ...ทำให้เด็กๆ เป็นห่วงแต่เช้าเลยเนี่ย ถ้าเจ้านั่นมาหาล่ะก็...แม่จะซัดไม่เลี้ยงด้วยรูล เบรกเกอร์นี่ซะเลย!” เมเดียดูท่าทางหงุดหงิดยิ่งกว่าคนอื่นๆ แล้วเรียกรูล เบรกเกอร์ถือไว้กับมือแนบแน่น
“จะ...ใจเย็นๆ นะเมเดีย เก็บมันไปก่อน...อย่าใช้สุ่มสี่สุ่มห้าเลย” ฉันรีบห้ามปรามไว้แล้วให้แคสเตอร์สาวตรงหน้าเก็บอาวุธตัวเองกลับที่เดิม “จะว่าไป...เมื่อคืนเมเดียไปไหนมาเหรอ เห็นเด็กๆ บอกว่าทำธุระน่ะ”
“อ้อ...เรื่องนั้นน่ะรึ ข้าแค่ขออนุญาตดา วินชี่เพื่อเรย์ชิพไปหาท่านโซอิจิโร่เท่านั้นแหละ ตั้งแต่สงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งก่อนนู้น พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันเลย แต่พอเห็นว่าท่านยังสบายดีอยู่ ข้าก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย”
อ่อ...อย่างนี้นี่เอง คงจะไปหามาสเตอร์คนก่อนเพื่อพูดคุยสารพัดเรื่องดีๆ ที่ได้พบและอยากแชร์ประสบการณ์ให้ฟังอย่างแน่แท้
“อื้ม...ถ้าเป็นแบบนั้นจริงฉันเองก็สบายใจแล้วล่ะ...” ฉันแอบส่งรอยยิ้มเล็กน้อยแล้วเริ่มเข้าประเด็นหลักทันที “งั้นเอาเป็นว่าพวกเราตามหามินิคูจังกันก่อนดีกว่า โคทาโร่คุงเองก็จะช่วยฉันด้วยใช่มั้ย”
“นะ...แน่นอนขอรับ นายท่าน!”
ว่าจบพวกเราทั้งหกคนก็เดินออกจากมายรูมเพื่อเริ่มปฏิบัติการตามหามินิคูจังที่หายไป ตกลงกันว่าจะแยกหาตั้งแต่ห้องวิจัย ห้องครัว ห้องเรย์ชิพ ห้องนอนเซอแวนท์คนอื่นๆ และคาลเดีย เกท ซึ่งได้มีการแยกทีมกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกมีแจ๊ค ไรม์ อบิเกล เมเดีย อีกหนึ่งกลุ่ม(หรือเรียกเป็นคู่ดี)เป็นแค่ฉันกับโคทาโร่ แถมโฟว์คุงที่เกาะไหล่ฉัน
ตึก...ตึก...ตึก
“หืม...?”
ในขณะที่พวกฉันสองคนกำลังเดินตามทางมุ่งสู่ห้องครัว พบว่ามีเซอแวนท์สองคนกำลัง...เอ่อ...คุยกัน? ชิดกับกำแพง ซึ่งนั่นคือเอมิยะและคูแลนเซอร์ ทางชุดแดงยืนหลังแนบติดกำแพง ส่วนอีกคนทำท่าคล้ายกับคาเบะด้ง
“เฮ้...เจ้าพลธนูแดง ทำไมเมื่อเช้าเจ้าถึงไม่ยอมทำอาหารเช้าให้ข้ากินล่ะ”
“พูดเรื่องอะไรน่ะ แลนเซอร์...เจ้าตื่นช้าเองไม่ใช่รึไงกัน ข้าก็เลยรอไม่ได้เพราะมีเซอแวนท์คนอื่นนั่งเรียงเต็มโต๊ะแล้ว”
“อย่ามานึกแก้ตัว...เจ้ากำลังคิดจะนอกใจจนลืมข้าไปสินะ!”
“ไร้สาระน่า...ข้าไม่ได้รักเจ้าในฐานะคนรักสักหน่อย เป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้นเอง”
“หนวกหูเฟ้ย! ตลอดที่ผ่านมา...ตั้งแต่ที่เจอกันในสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งนู้น เจ้าไม่เคยคิดอะไรกับข้ามากกว่านี้เลยเรอะ! ทั้งที่ข้ายอมยื้อ...ยอมเล่นด้วยแท้ๆ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็...ข้าคงซัดให้ตายก่อนที่จะได้สู้ไปแล้ว!”
“แลนเซอร์...”
อะไรกันวะเนี่ย...ฉากที่มีเต็มไปด้วยความวายเช่นนี้ พวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันขนาดนั้นเลย!?
แล้วตอนนี้พวกเราต้องรีบตามหามินิคูจังไม่ใช่เหรอ ทำไมขาฉันไม่ยอมขยับออกไปเนี่ยย~
เหมือนมันกำลังจะบอกว่าต้องรอดูให้จบก่อนแล้วค่อยไปทีหลังก็ได้
“อาเชอร์...ไม่สิ...เอมิยะ ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำตัวแย่ในเช้าวันนี้” พลหอกน้ำเงินค่อยๆ จับมือซ้ายของพลธนูแดงเบาๆ แล้วตีเนียนขยับไปซุกไหล่อย่างหน้าตาเฉย
“เฮ้อ...เอาเถอะ...เป็นแค่วันเดียวเองนี่นะ วันหลังก็ปรับตัวใหม่ด้วยละกัน...คูฮูลินน์” เขาเริ่มบ้าจี้ใช้มือที่ว่างอยู่ไปลูบหัวอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เรียกได้เลยว่าความเป็นแม่แห่งคาลเดียมาเต็ม
“งั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน...เจ้าต้องชดใช้ด้วยการเติมพลังเวทให้ข้าซะ...แล้วไม่ต้องเรียกหามาสเตอร์ด้วย เพราะข้าจะขอรับเอาจากเจ้าแทน...”
คูแลนเซอร์เริ่มบุกโดยการจับคางของเอมิยะให้หันมองสบตา เขายิ้มกว้างแล้วแอบซนลูบใบหน้าอย่างเพลิดเพลิน รวมถึงจับมือคนตรงหน้าให้โอบเอวตัวเองอีกด้วย
ในใจคงจะคิดว่าต้องมีการแพ้ทางอย่างแน่นอน เพราะหอกชนะธนูนี่เนอะ
“มะ...ไม่ต้องเลย...เดี๋ยวข้าไปทำอาหารเช้าให้แทนเอง เจ้าก็ไปนั่งรอเอาละกัน”
อาเชอร์ผมขาวออกแรงขัดขืนอย่างสุดกำลังจนหลุดพ้นไปได้ เขารีบสอยเท้าสองข้างเดินมุ่งไปยังห้องครัว จนทำให้พลหอกชุดน้ำเงินถึงกับแอบยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย
“...”
ชิบล่ะ...เริ่มขนลุกแปลกๆ ยังไงไม่รู้แฮะ...กลิ่นอายความวายเริ่มลอยมาแต่ไกลเลย
แบบนี้เอมิยะจะรอดมั้ยล่ะเนี่ย...
เป็นกังวลแทนค่ะ...
[ To be continued ]
ความคิดเห็น