คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : Ending Bonus 3 [บทป่วนๆ ช่วงสงกรานต์]
ฮัลโหลว~ เจแปนเองค่าา~ หลังจากเผยโบนัสเกี่ยวกับประวัติโดยรวมของอิชิมารุ ยูมิ เหล่าสเตตัสสกิล โฮกุ และความสัมพันธ์ต่างๆ จากเซอแวนท์คนอื่นหากได้รับเป็นเซอแวนท์คนใหม่ ทีนี้ก็เป็นโบนัสพิเศษฉบับกาว มึน อึนจากไรท์จอมป่วนเอง
โดยโบนัสในครั้งนี้ก็คือ...บทป่วนๆ ช่วงสงกรานต์ นั่นเองค่าา~
[ อันนี้จะถือว่าเป็นช่วงที่ยูมิกับเซอแวนท์อีกห้าคนยังอยู่เมืองฟุยุกิครบถ้วนละกันเนาะ ]
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
วันที่ 13 เมษายน
ฉัน...อิชิมารุ ยูมิ
อดีตมาสเตอร์แห่งคาลเดียซึ่งปัจจุบันกลายเป็นจอมเวทธรรมดา แต่ไม่ได้ออกมามือเปล่านะ
เพราะเซอแวนท์ทั้งห้าก็ได้รับกายหยาบแล้วกลับมาหาอย่างปาฏิหาริย์โคตรๆ
ต้องขอขอบคุณไอริสฟีลด้วยที่อุตส่าห์พยายามดลบันดาลความปรารถนาเพื่อฉันขนาดนี้
ทำซะรู้สึกซึ้งน้ำตาตกในเลยล่ะ (คนอ่านส่วนหนึ่งเองก็น้ำตาซึมเช่นกัน)
และขณะนี้...พวกเราทั้งหกได้กลับมายืนบนผืนแผ่นดินประเทศไทยอีกครั้งด้วยฝีมือคนเขียนที่ชอบดองๆ
อู้ๆ แถมมีอะไรใหม่ๆ ลองทำบ่อยเกิน แม่นางเกิดเมากาวหรือมีอาการคึกจากไหนไม่ทราบถึงพาย้อนกลับมาเช่นนี้โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นโบนัสฉลองวันสงกรานต์
“เอิ่มคือ...ฉันดีใจอยู่หรอกที่ได้มาเมืองระยองอีกครั้งอ่ะ
แต่ว่า...”
“แต่อะไรเอ่ย~ คุณนางเอก~”
“พวกเรายังไม่มีชุดเล่นน้ำสงกรานต์เลยนะเฮ้ยยย!!”
ใช่แล้ว...สภาพเดิมทุกประการเลยด้วย ทั้งชุดจากร่างใหม่ของฉันและชุดเข้างานเทศกาลหน้าร้อนของเหล่าเซอแวนท์
คือตอนที่เดินสังเกตการณ์ในเมืองฟุยุกิเสร็จพร้อมกลับเข้าบ้าน จู่ๆ ทุกอย่างรอบตัวก็กลายเป็นบรรยากาศชายทะเลเฉย
บอกได้คำเดียวว่า...เงิบแดก
“อะไรเล่าา พวกเธอไม่ยอมเตรียมตัวให้ดีเองนี่นาา”
ยัยคนเขียนบ้านี่ชื่อ เจแปน มีเรือนผมสีดำสนิท
ปล่อยลงระดับไหล่ นัยน์ตาสีเหลืองทองที่ส่องสว่างกว่า ความสูงก็เทียบเท่ากับฉันมาก
เจ้าตัวกำลังใส่เสื้อแขนยาวสีดำอ่อนๆ กางเกงขาสั้นเอวสูงสีน้ำตาล รองเท้าแตะฟิตฟล็อปสีดำ
แต่คำถามคือ เอ็งจะใส่หมวกเบเร่ต์สีดำกับผ้าพันคอลายสก๊อตสีเข้มเพื่ออิหยังวะคะ!!
“อย่าว่าแต่พวกตูเลย...เอ็งก็เหมือนกันน่ะแหละ ยัยเพี้ยน!!”
“เอาน่าๆ ถึงจะแปลกใจไปหน่อย
แต่อย่างน้อยก็ได้กลับมาย้อนรอยใหม่ไม่ใช่เหรอ ยูมิ” เอมิยะแอบหัวเราะเบาๆ
แล้วยิ้มอ่อนให้ฉันพลางยกมือขึ้นลูบหัวอย่างเบามือ
“ที่นี่คือ...ที่ไหนเหรอ โคทาโร่”
ส่วนซิกกับโคทาโร่ที่เพิ่งจะมาประเทศไทยครั้งแรกต่างหันมองรอบตัวด้วยความสงสัยก่อนที่นินจาผมแดงจะนึกขึ้นได้
“อืมม...เห็นครั้งก่อนมินิคูบอกว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
ชื่อ หาดสวนสน ขอรับ...”
มินิคูจัง...? แสดงว่าหลังจากดา วินชี่อนุญาตให้ฉันมาเที่ยวพักร้อนสามวันรวดปุ๊บ
เขาคงได้ตอบคำถามให้กับเซอแวนท์คนอื่นแทนสินะ ช่างเป็นนุยที่น่ารักจริงๆ
“วะ...หวังว่าจะไม่เจอเหตุการณ์เดิมละกัน...ระแวงพวกกลุ่มนั้นชิบหาย...”
คูแลนเซอร์พูดด้วยท่าทีแอบขนลุกขนพองแล้วเดินไปหลบหลังเอมิยะอย่างหวาดกลัว
“ฮึๆๆ ขี้ขลาดจังนะ...แลนเซอร์ แค่เจอกลุ่มกระเทยถึงกับต้องกลัวจนหัวหดเลยงั้นรึ...”
คูจังยิ้มมุมปาก หัวเราะในลำคอพร้อมยืนกอดอกมองเชิงเยาะเย้ยตัวเขาอีกคน
ฉึ่ก!!
รู้สึกว่าจะได้ยินเสียงแทงใจดำจากอีกฝ่ายเต็มๆ
หูเลยนะเนี่ย...
“ห๊าา? พูดงี้สิหมี่เหลืองกับข้อยบ่...อัลเตอร์”
“หมี่เหลืองไม่มี...มีแต่เส้นหมี่ เอามั้ยล่ะ...”
“นะ...หน่านี๊!!?”
ทั้งฉัน เจแปนและเซอแวนท์อีกสามคนต่างตกอกตกใจที่พลหอกน้ำเงินพูดสำเนียงบ้านนอกส่วนหนึ่งใส่อย่างลื่นปรื๋อ
ส่วนเบอเซิกเกอร์หนุ่มก็ฉีกยิ้มกว้างพร้อมยกมือขึ้นจับเส้นผมตัวเองประกอบคำว่า
เส้นหมี่ ด้วยความเกรียนและกวนบาทา
“หนอยยย...ไอ้บ้านี่~!!”
“ฮ่ะๆๆ ท่านอัลเตอร์เนี่ย...พูดติดตลกดีเหมือนกันนะขอรับ”
“แน่นอน โคทาโร่คุง~ คุณแฟนยูมิต้องหล่อ ขรึม มึน เกรียนอยู่แล้ว ถ้านางเอกม่องเท่งเมื่อไหร่ ฉันจะรีบขอเป็นแฟนแทนซะเล---
เจี๊ยกกก!!!”
วินาทีนั้นเอง ฉันแอบรู้สึกหมั่นไส้คนเขียนในใจแปลกๆ แล้วรีบมุ่งหน้าไปซื้อกระป๋องหูหิ้วขนาดเล็กก่อนที่จะตักน้ำทะเลสาดใส่จากด้านหลัง
คือแบบขอสักหน่อยเถอะ...บังอาจทำให้พวกฉันหวั่นใจเล่นตั้งแต่ตอนอยู่จุดพลิกผันสีแดงนั่นแล้วจะพากลับบัลลังค์วีรชนตลอดกาลเนี่ย
“เหอะๆๆ ดูท่าทางเอ็งก็อยากหมี่เหลืองเหมือนกันใช่มั้ย...ยัยเจแปน!!”
“เอาเซ่...คุณนางเอก!!” เจแปนทำท่ารับคำท้าพร้อมเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ
อย่างพวกน้ำแข็ง แป้งเย็น ถังน้ำ ปืนฉีดน้ำ กระป๋องหูหิ้ว และลำโพงสีดำบนรถกระบะสีเงิน “อ้อ...อีกอย่าง ครั้งนี้ตูมีผู้ช่วยดีเจคนใหม่ที่โคตรคุ้นเคยด้วยนะเฮ้ยย”
“...!!? เดี๋ยวนะ จะ...เจ้าคือ...”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ...แลนเซอร์
เป็นเซอแวนท์ของแม่หนูยูมิแล้วอยู่ดีกินดีมั้ยล่ะ”
“คะ...โคโตมิเนะ คิเรย์!!?”
ใช่ค่ะ...คุณผู้อ่านไม่ได้ตาฝาด ยัยคนเขียนเกิดพิเรนทร์หรือเมากาวยี่ห้อไหนไม่ทราบถึงได้พาผู้ชายวัยเลขสี่แทนดีเจหนุ่มคนเดิมเมื่อคราวนู้น เขากำลังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนโชว์ให้เห็นซิกแพ็ค บวกกับสร้อยกางเขนสีทอง กางเกงขายาวสีดำจากชุดบาทหลวง แถมยังค่อนข้างยิ้มแย้มแจ่มใส เตรียมพร้อมเปิดเพลงแด๊นซ์สุดๆ ด้วย
“เอ่อ...ว่าแต่ทำไมคุณถึงยอมออกมาตามคำเรียกของยัยเพี้ยนนั่นล่ะคะ”
“แหมๆ จะเป็นไรไปล่ะ ฉันอยู่โบสถ์คนเดียวแล้วมันรู้สึกเหงานี่นา...”
เออเนาะ...จริงด้วย ทุกครั้งที่พวกเราทั้งหกเยี่ยมเยือนโบสถ์แห่งฟุยุกิ
ไม่มีทางเจอบาทหลวงคนอื่นนอกจากคิเรย์ ราวกับว่าสถานที่แห่งนั้นคือบ้านหลังหนึ่งของเขาเองเลย
“อย่างที่ได้ยินแหละ พอดีลุงแกเกิดอาการเหงาหงอย ก็เลยอยากออกมาเจอเธอข้างนอกอ่ะ”
เจแปนพูดในขณะที่กำลังเติมน้ำใส่กระบอกของปืนฉีดน้ำรูปแบบทั่วไปแล้วค่อยโยนให้เหล่าเซอแวนท์ทั้งห้าอย่างแม่นยำ
จากนั้นจึงเริ่มเลือกเพลงจากสมาร์ทโฟนของตัวเอง
“เอ่อ...งั้นฉันขอเดินสำรวจพื้นที่แห่งนี้กับโคทาโร่ก่อนนะ
ยูมิ”
“เดี๋ยวพวกกระผมจะกลับมาพร้อมของกินด้วยแน่นอนขอรับ นายท่าน”
ว่าจบสองหนุ่มเสียงเดียวกันก็พากันออกตัวเดินสำรวจบนชายหาดและมองบรรยากาศรอบๆ
ทำเอาฉันเริ่มรู้สึกเป็นห่วงแปลกๆ แอบกลัวว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง
“หวังว่าครั้งนี้พวกข้าจะไม่ต้องย่อละกัน...” คูจังแอบถอนหายใจพร้อมยืนถือปืนฉีดน้ำอยู่ข้างฉันและลองฉีดลงบนขาเชิงหยอกเล่นเบาๆ
แต่หารู้ไม่ว่าจังหวะแห่งความปวดเมื่อยเหนื่อยแรงกำลังจะบังเกิด!!
“ฮึๆๆ ไม่เหลือหรอกค่ะ พี่อัลเตอร์~”
ติ๊ด!
“เอ้า! งัดถั่งงัดถั่งงัดถั่งงัด
งัดถั่งงัดถั่งงัดถั่งง๊าดด~”
“หน่านี๊!!? เอ็งเล่นเพลงนี้ก่อนเลยบ่
ยัยเพี้ยน!!”
ทันทีที่ได้ยินเนื้อเพลงเมื่อครู่ ฉันก็แอบสะดุ้งในใจพร้อมใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ
เพราะท่าเต้นเพลงนี้แม่มไม่ใช่แค่ย่ออย่างเดียวเนี่ยสิ!
“โอเค จัดเบสหนักๆ ไปเลยค่าา ลุงคิเรย์~” เจแปนถอดหมวกกับผ้าพันคอออก ดีดนิ้วหนึ่งครั้งให้บาทหลวงผมน้ำตาลจัดเบสให้กับเพลงแด๊นซ์ก่อนที่จะเตรียมเข้าตำแหน่งดีเจ
“คนโสดอยู่ไหน ขอเสียงหน่อยเร็ววว!!”
“ฮิ้ววววววว!!!”
“ชัดเจนมากค่าา~!! งั้นย่อให้เต็มที่
สุดเหวี่ยงไปเลยนะค้าา~!!”
สิ้นเสียงของยัยคนเขียนจอมเพี้ยน เพลงแด๊นซ์เริ่มดังออกจากลำโพงกระหึ่มทั่วพื้นที่นี้ในจังหวะสามช่าชวนย่อชวนตื๊ด เหล่าชาวบ้านพากันสาดน้ำ ยิงปืนฉีดน้ำข้างทางหรือเต้นอย่างเมามันส์ ซึ่งทางคิเรย์เองก็สนุกสนานไปกับคนอื่นๆ สไตล์คนวัยเลขสี่
ส่วนเซอแวนท์ส่วนหนึ่งของฉัน...
“ให้ตายเถอะ...สุดท้ายข้าก็ต้องลองเต้นใหม่อีกรอบงั้นเหรอ”
“แหม่~ ไม่ได้เต้นแบบนี้มานานเลยแฮะ~”
“ฮ่ะๆๆ นั่นสินะ เรื่องราวตึงเครียดที่ผ่านมาพวกนั้นหายไปจากหัวหมดเลยล่ะ”
...ดันทะลึ่งบ้าจี้เต้นตามจนได้
“วันสงกรานต์ทั้งที ลุยให้เต็มที่ซะสิ...แม่หนูยูมิ”
บาทหลวงเดินเข้ามาหาฉันแล้วยกมือขึ้นแตะไหล่เบาๆ พร้อมเนียนยื่นหน้าใกล้ในจังหวะที่พ้นจากสายตาคูจังพอดี
“ไม่สิ...วันนี้ฉันขอเรียกว่า ยูมิคุง หน่อยละกัน ฮึๆๆ”
“อึ่ก...”
อะ...เอาวะ!! ถ้าพวกเขาบ้าจี้ได้...
...ฉันก็ต้องบ้าจี้ได้เหมือนกันแหละน่า!!
.
.
.
.
.
ผ่านไปหลายนาที
“แฮ่ก...แฮ่ก...นะ...เหนื่อยชิบหาย แขนขาเริ่มไปแล้ว...”
หลังจากเต้นย่อตามจังหวะเพลงของเจแปนจนรู้สึกเหมือนไขมันถูกรีดหายโดยไม่รู้ตัว
ฉันเริ่มเข้าสู่สถานะพักเครื่อง เอนตัวลงนอนบนเปลพับแล้วมองทะเลที่มีคลื่นไม่ค่อยแรงเท่าไหร่
สักพักสายตาก็เหลือบไปเห็นเซอแวนท์สองคนที่กำลังเดินมาพลางถือไอติมแท่งรสนมทั้งหมดแปดแท่ง
“นายท่าน กระผมซื้อไอติมมาด้วยนะขอรับ” โคทาโร่นั่งลงบนเปลพับข้างๆ พร้อมยื่นซองบรรจุของเย็นๆ และส่งรอยยิ้มอ่อนอันแฝงไปด้วยความน่ารักเกินบรรยาย
“แหะๆ ขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อมานะ โคทาโร่คุ---”
“เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ คุณนางเอก~”
ยังไม่ทันที่จะได้ยื่นมือไปแตะแม้แต่ปลายเล็บ
ยัยคนเขียนจอมเพี้ยนก็รีบพุ่งตรงเข้ามาคว้าไอติมทุกแท่งมาเก็บใส่กระติกเก็บความเย็นไว้มิดชิดสนิทยิ่งกว่าการรูดซิป
“หืมม...เล่นงี้ร่างกายอยากปะทะใช่มั้ย...ยัยเพี้ยน”
ฉันค่อยๆ ลุกออกจากเปล มุมปากกระตุกไปมาด้วยความโมโหเล็กน้อย
รวมถึงหมัดสองข้างที่ยกขึ้นหักนิ้วเตรียมลงไม้ลงมือตลอดเวลา
“ปะ...เปล่านาา~ ฉันแค่อยากให้พวกเธอร่วมนั่งกินข้าวกลางวันด้วยกันก่อน
ส่วนพวกไอติมหรือของหวานค่อยตบท้ายทีหลัง...เนาะ”
เจ้าตัวรีบลดมือของฉันอย่างไวและหัวเราะให้เบาๆ
ก่อนที่จะจูงมือพาเดินไปยังโซนกินข้าว สิ่งแรกคือ ชื่อป้ายอาหาร ซึ่งมีรูปอาหารไทยทั่วไป
ใครๆ ก็รู้จักกัน แต่กลับมีเมนูหนึ่งที่น่าคุ้นเคยยิ่งกว่า แถมยังเป็นสิ่งที่คอยหลอกหลอนตั้งแต่ช่วงสมัยมาสเตอร์มือใหม่
นั่นคือ...
“Ma...Mapo Tofu!!?”
“ฮึๆๆ เมนูเด็ดของวันนี้เลยนะ...ยูมิคุง” คิเรย์ยืนจัดวางจานอาหารเต้าหู้ผัดเผ็ดสุดแสนจะนรกแล้วหันมาชูนิ้วโป้งให้ชนิดที่ว่ามีออร่าของหยาดเหงื่อแห่งความพยายามเปล่งประกายจนแสบตา
“เมนูเด็ดเผ็ดยันไส้ติ่งสินะคะ...”
ฉันค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้
กวาดสายตามองโต๊ะอาหารกลางวันด้วยความรู้สึกเสียวทั่วท้องไส้
เหงื่อหยดลงอาบแก้มทั้งที่ยังไม่ได้ตักเข้าปาก มือไม้สั่นแบบกล้าๆ กลัวๆ
กลืนน้ำลายเข้าหนึ่งอึก ไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะเผ็ดเบอร์ไหน
“เอาน่า คุณหนู อาหารของเจ้าคิเรย์น่ะ...กระจอกอยู่แล้ว”
คูแลนเซอร์ยิ้มแฉ่งเผยให้เห็นเขี้ยวอันมีเสน่ห์ก่อนที่จะเริ่มตักเต้าหู้เข้าปากอย่างมั่นใจ
ทว่า... “อึ่ก...!!”
“คูฮูลินน์...?” เอมิยะเอียงคอมองพลหอกน้ำเงินด้วยความสงสัยแล้วลองชิมเครื่องพริกในจานอาหารใบนั้นเพื่อความแน่ใจ
“...!?”
“ท่านคูฮูลินน์...? ท่านเอมิยะ...?”
โคทาโร่นั่งงุนงงกับท่าทีของหนุ่มคู่จิ้นแดง-น้ำเงินที่หยุดชะงักชั่วคราวพร้อมลองชิมด้วยอีกคน
“อึ่ก...!?”
“...?” ซิกผู้เป็นโฮมุนครุสหนุ่มเองก็งงกับท่าทีของเซอแวนท์สามคนตรงหน้าที่พากันนั่งค้างท่าจับช้อนตักอาหารเข้าปาก
จากนั้นจึงลองกินเต้าหู้หนึ่งก้อนบนจานเครื่องพริก “อ่ะ...”
“อืม...ตูเริ่มเห็นอนาคตละ...”
“นั่นสินะ...ข้าเองก็สัมผัสได้เหมือนกัน...”
“แหมๆ จะเป็นไรไปเล่า...คุณคู่รัก ของแค่นี้ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก!!”
เจแปนชูนิ้วโป้งให้เหมือนกำลังเรียกกำลังใจใส่ตัวเองพร้อมตักเต้าหู้ชุ่มเครื่องพริกแดงแปร๊ดเข้าปาก
“เดอะฟัค...!!”
“เป็นไงบ้างล่ะ...ทุกคน อร่อยถูกปากถูกคอมั้ยเอ่ย”
“...”
“แน่นิ่งประดุจสายน้ำยามฤดูหนาวเลยค่ะ...คุณบาทหลวง”
ใบหน้าของพวกเขาเริ่มแดงตามสีเครื่องพริกของเต้าหู้ผัดเผ็ด
หยาดเหงื่อไหลลงท่วมหน้า มือที่จับช้อนค่อยๆ ลดลงต่ำก่อนที่จะพุ่งออกไปดับเผ็ดทางใครทางมัน
แถมยังถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแค่ท่อนล่างอย่างเดียว(เฉพาะพวกผู้ชาย)
คูแลนเซอร์ซื้อน้ำเปล่าขวดลิตรกว่าๆ เอมิยะรวบรวมถุงเกลือและมะนาว โคทาโร่กับซิกซื้อขนมช็อกโกแลตคิทแคทหลากสี ส่วนยัยคนเขียนจอมเพี้ยนก็ผลาญเงินในกระเป๋าซื้อขวดนมไซส์ใหญ่ครบทั้งแปดคน ทำให้คิเรย์มองกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ตั้งใจกินอาหารฝีมือของตัวเองแล้วคุกเข่าทรุดตัวลงพื้น
“ฮึก...อาหารที่พยายามทำสุดฝีมือของฉัน...ต้องมาล้มเหลวเพราะเจ้าพวกนี้งั้นเหรอเนี่ย...”
“เอ่อ...สะ...สงสัยพวกเราคงต้องลองชิมบ้างซะแล้วสิ...”
ว่าจบฉันก็ค่อยๆ ทำใจหยิบช้อนสีขาวตักเต้าหู้ชุ่มเครื่องพริกขึ้นมามองสักสามวินาทีแล้วลองชิมคำแรก
ความรู้สึกแรกที่เด้งออกจากหัวจะไม่ใช่อย่างอื่นใดนอกจากความเผ็ดแทบจะเทียบกับมาม่าเกาหลีสองห่อ
(เว่อร์เกิ๊นน)
บอกได้เลยว่า คำเดียวรู้เรื่องถึงทรวงในค่ะ...
“...”
แต่ถ้าจะยอมแพ้แบบคนอื่นๆ มีหวังบั่นทอนจิตใจบาทหลวงแน่นอน...
เพราะงั้น...ศัตรูเช่นนี้คงต้องสู้หน่อยแหละโว้ยยย!!!
.
..
...
....
.....
สะ...สุดท้าย...
“ฮึก...ฮึก...นะ...หนู...ไม่ไหวแล้วค่ะ...คุณบาทหลวง...”
น็อกเอ้าท์เยี่ยงผู้แพ้...สู้บ่ไหวแล้วค่ะ
พอฉันกินเต้าหู้ผัดเผ็ดไปได้ประมาณครึ่งจาน
ความเผ็ดนรกก็แตกซ่านทั่วทั้งปากและลิ้นจนเริ่มกินต่อไม่ไหว
น้ำมูกน้ำตาไหลเป็นว่าเล่น หยาดเหงื่อท่วมหน้าหยดลงทั่วคอ รู้สึกร้อนผ่าวทั่วใบหน้าและแสบท้องไส้จริงจัง
พอบวกกับอากาศที่ร้อนเกินรับไหวปุ๊บ นรกเดินดินชัดๆ
“ฮ่ะๆๆ ไม่เป็นไรหรอกเนาะ...ยูมิคุง
อย่างน้อยก็กินได้เยอะกว่าคนที่เหลือหลายเท่าเลย”
คิเรย์ยิ้มอ่อนให้พร้อมหยิบขวดนมรสมอลต์จากเจแปนมาตั้งตรงหน้า
ส่วนคูจังก็ช่วยหยิบขนมช็อกโกแลตคิทแคทสีแดงจากโคทาโร่อย่างเงียบๆ เรียกว่าการบริการนี่เต็มที่มากมาย
“อ้อ...ลืมไปว่ากระติกของฉันยังแช่ไอติมครบทุกแท่งเด้อ
เพราะงั้นเชิญคุณนางเอกหยิบได้เล---”
“ชิ้ง~!! งั้นไอติมทั้งหมด...ต้องเป็นของฉัน...!!”
ว่าจบฉันก็รีบพุ่งไปเปิดกระติก จับขวดนมแช่ไว้
หยิบไอติมขึ้นครบทั้งแปดแท่ง จับฉีกซองอย่างรวดเร็วแล้วกินดับร้อนด้วยความเอร็ดอร่อยและบ้าคลั่ง
ฮึๆๆ
แม้เป็นอัลเตอร์ไม่สมบูรณ์แบบ...แต่ความหิวโหยเยี่ยงสัตว์ร้าย ณ บัดนี้...
...ได้ถูกปลุกทันทีที่เห็นของหวานเรียบร้อยแล้ว!!
“คะ...คุณพระ...นางเอกตูหิวโหยมาตั้งแต่ล้านปีเลยรึไงนิ”
ยัยคนเขียนหันมองแบบเงิบๆ ในขณะที่สองมือกำลังเลื่อนสมาร์ทโฟนดูอะไรสักอย่างพร้อมกับกระดกขวดนมรสกล้วยดับเผ็ด
“งืออ...แต่เต้าหู้รอบนี้เผ็ดเกินสิบริกเตอร์จริงๆ เลยอ่า
ลุงคิเรย์~”
“นั่นมันแผ่นดินไหวป่ะ...ยัยหนูเพี้ยน”
“แง่ะ...!!”
“อุ๊ย! พูดได้ดีมากค่ะ!!” ฉันโยนไม้ไอติมแท่งสุดท้ายลงถังขยะ ยกนิ้วโป้งให้บาทหลวงผมน้ำตาลและแอบหัวเราะด้วยความสะใจเบาๆ
ที่คิเรย์ตบมุกพร้อมกับคำว่า เพี้ยน อย่างเจ็บแสบลึกถึงรูขุมขน
“อะ...เอาเถอะ! เดี๋ยวฉันขอซื้อเพิ่มสักหน่อยดีกว่า
อย่ามาแย่งกินซะล่ะ”
เจแปนเก็บสมาร์ทโฟนเข้าถุงกันน้ำประจำเทศกาลสงกรานต์ ลุกออกจากเก้าอี้ไปจ่ายเงินซื้อไอติมแบบเดิม เพิ่มเติมคือเยลลี่แท่งสีชมพูข้างใน จากนั้นก็ไม่รอช้าฉีกซองออก จับยัดเข้าปากด้วยความฟิน
“เหอะๆๆ ยัดขนาดนั้นแล้ว...จะแย่งกินเพื่อรับเชื้อเพี้ยนรึไงกัน”
“แหม่ๆ ไม่พูดงี้สิจ๊ะ...แต่ให้ตายเถอะ เห็นไอติมแบบนี้ทีไร
มันอดใจไม่ไหวทุกทีเลยนา...”
อีกฝ่ายส่งสายตามองอย่างมีเลศนัยก่อนที่จะเริ่มกินไอติมรสนมชวนเสียวสวาท
เธอค่อยๆ เล็มด้วยปลายลิ้นแล้วก้มหน้าเลียขึ้นจากด้านล่างขึ้นบนพร้อมส่งเสียงชวนคิดลึก
พออยู่ท่ามกลางอากาศร้อนนี้ เนื้อไอติมสีขาวบางส่วนก็ละลายหยดลงมือขวาข้างนั้น
“อื้มม~ อ่าา~”
“ฮะ...เฮ้ย...ยัยเพี้ยน...อย่าร้องอะไรแปลกๆ ชวนคิดลึกสิฟะ...”
“หืมม...หรือว่าเธอจะลืมน้ำเสียงครวญครางของตัวเองตอนอยู่กับคูอัลเตอร์ไปแล้ว...?”
“อึ่ก...!!? นะ...นี่เอ็งหมายความว่าไง...”
“ก็แหม~ เสียงน่ารักๆ แบบนั้น...ใครมันจะไปลืมได้ลงล่ะ”
ยัยคนเขียนขยับเข้ามาใกล้พลางจับเชยคางให้หันมองด้วยความยั่วยวน
ฉันแอบรู้สึกเสียวๆ ในใจพร้อมกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นแปลกๆ ทำเอานึกถึงตอนมอเดรดแลกพลังเวทกลางเวทีอีเว้นท์
Battle in New York เลยทีเดียว
“นี่...เดี๋ยวครั้งนี้ฉันจะขอป้อนไอติมเธอเองนะ ยูมิ”
“มะ...ไม่ต้องก็ได้เฮ้--- อะ...อื้มม~”
ยังไม่ทันได้ปฏิเสธ เจ้าตัวเริ่มกัดไอติมครึ่งแท่ง
ฝากไว้กับคิเรย์พร้อมยื่นหน้ามาประทับจูบบนริมฝีปากอย่างแนบแน่นแล้วเตรียมใช้ลิ้นเปิดช่องทางอย่างช่ำชอง
พอฉันพยายามขัดขืนก็ถูกกำราบด้วยการถอดเสื้อคลุมแขนยาวออก จับรวบข้อมือก่อนที่จะงัดไม้ตายลูบไล้สะบักหลังเบาๆ
“อึ่ก...!! อ่ะ~”
เนื้อไอติมเย็นค่อยๆ ไหลลงเข้าปากตามทางลิ้นเจแปน
เสียงครวญครางในลำคอระหว่างการจูบดูดดื่มของพวกเราดังประสานกัน ทั้งการแลกลิ้น
ดูดลิ้น ดูดริมฝีปากบน-ล่าง
“อืมม~ ฮ้าา~”
การบุกรุกครั้งนี้ทำให้สติสตางค์ของฉันเลือนรางทีละนิดละหน่อย
เวลาผ่านไปประมาณสองนาที อีกฝ่ายยอมถอนจูบออกอย่างช้าๆ พร้อมกับน้ำลายที่เยิ้มออกปลายลิ้น
เธอจ้องหน้ามองตาแล้วเลื่อนมือมาลูบไล้แก้มขึ้นลงเบาๆ
“ฮึๆๆ ยูมิ...ท่าทางเธอจะจูบเก่งดีนะเนี่ย...”
“แฮ่ก...แฮ่ก...ยะ...อย่าทำเป็นพูดหน่อยเลย...ยัยเพี้ยน...”
“ทีนี้ก็นั่งกินขนมนมเนยได้ตามสบายเนอะ
เดี๋ยวฉันต้องจัดการเรื่องข้าวของบนโต๊ะนี้ก่อน”
ว่าจบยัยคนเขียนจอมเพี้ยนก็ขอไอติมคืนจากบาทหลวง
คาบเอาไว้ในปากแล้วช่วยเดินเก็บจานเต้าหู้ผัดเผ็ดนรกบนโต๊ะให้หมด
ทุกคนล้วนกินเหลือเกินครึ่งจานยกเว้นฉันที่กินได้ครึ่งกับคูจังที่กินหมดเกลี้ยงจนจานสะอาดประหนึ่งเพิ่งซื้อใหม่
“อะ...เอาล่ะ...กินคิทแคทกับนมขวดต่อเลยละกัน...”
ฉันรีบดึงสติให้กลับมาเป็นปกติ
แอบตบหน้าเบาๆ รัวๆ เพื่อปลุกตัวเองให้หลุดจากห้วงแห่งความเร่าร้อนเมื่อครู่
แกะซองขนมช็อกโกแลตที่เสี่ยงละลายกลางแดดซึ่งมันก็เริ่มละลายไปบางส่วนแล้ว
เรียกได้ว่าเลอะติดมือเลยทีเดียว
“ยูมิ...เมื่อปีที่แล้วก่อนพักแรม เจ้าเคยบอกว่าชอบกินแตงโมสินะ”
“อะ...อื้ม ใช่แล้วล่ะ”
“งั้นเดี๋ยววันนี้ข้าซื้อมาให้เอง...และสัญญาว่าจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นนอกจากเจ้าเพียงผู้เดียว”
เบอเซิกเกอร์หนุ่มยืนมองนิ่งสักพักพลางยกมือขึ้นลูบหัวเล่นเหมือนเคยทำประจำ
ยื่นหน้าประทับจูบบนหน้าผากหนึ่งทีแล้วค่อยเดินออกไปซื้อแตงโมในโซนขายของ
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน อยู่ผืนแผ่นดินใด...เขาก็อ่อนโยนต่อฉันตลอดจริงๆ
“หืม? ยูมิคุงไม่ลงไปเล่นน้ำกับพวกนั้นหน่อยเหรอ...” คิเรย์เดินตรงเข้าหาและนั่งเก้าอี้ข้างๆ พร้อมกับขวดนมสตรอเบอรี่ในมือ
ซึ่งมันทำให้ฉันแปลกใจมากเกินจะบรรยาย
“อืมม...”
ฉันหันมองเหล่าเซอแวนท์อีกสี่คนอย่างคูแลนเซอร์
เอมิยะ โคทาโร่ และซิกที่ต่างพากันเปลี่ยนเป็นชุดเล่นน้ำเพื่อโดดลงว่ายน้ำทะเล เล่นเจ็ตสกีสลับกับบานาน่าโบ้ทอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะพลหอกน้ำเงินที่นั่งหน้าสุด ร่าเริงกว่าชาวบ้านจนออร่าความหล่อเปล่งประกายทั่วท้องทะเล
“วู้ฮู้ววว~!!”
แม้กระทั่งเสียงของเจ้าตัวเองก็ดังลั่นมาถึงริมทะเลด้วยเช่นกัน...
“ไม่เป็นไรค่ะ...แค่ได้เห็นพวกเขามีความสุขก็รู้สึกดีใจแล้ว”
“ฮืม...เธอคงเป็นมาสเตอร์ที่ทุ่มเทเพื่อคนอื่นมาโดยตลอดเลยสิเนี่ย...”
“แหะๆ ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละค่ะ...”
มือทั้งสองของฉันจับเปิดขวดนมรสมอลต์ในระหว่างพูดคุยกันและยกขึ้นกระดกทีละนิดทีหน่อย
บาทหลวงผมน้ำตาลยิ้มบางๆ เปิดฝาขวดนมของตัวเองพร้อมหย่อนหลอดสีขาวลงไป
“สักวัน...เธออาจถูกเลือกให้เข้าสู่เส้นทางวีรชนแหละนะ
อ้อ...แต่ถ้าเป็นเคาน์เตอร์การ์เดี้ยนคงดีกว่าแน่ๆ เพราะเธอจะได้ตามช่วยเหลือคนอื่นบนโลกใบนี้ตามที่เคยมุ่งมั่นไว้...”
“คุณบาทหลวง...”
“เรียกว่า คิเรย์ ก็ได้ ฉันไม่ถือสาหรอก...โอเคเนาะ” อีกฝ่ายนั่งดูดนมรสสตรอเบอรี่สักพักแล้วค่อยยกมือขึ้นลูบหัวต่อจากคูจังอย่างเบามือ
แม้นัยน์ตาคู่นั้นจะดูว่างเปล่าแต่จิตใจกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย...แปลกดีจัง
และทันใดนั้นเอง...
“สวัสดีค่า! ขณะนี้พวกคุณกำลังอยู่ในรายการ
ดีวีดีอินไดเร็กต์ นะคะ! วันนี้วันสงกรานต์ขอให้ชาวไทยและเทศทุกคนมีความสุข
ชุ่มฉ่ำกับชีวิตเย็นๆ ท่ามกลางอากาศร้อนระอุทะลุปรอทเด้อค่า~”
ยัยคนเขียนจอมเพี้ยนถือไมค์ในชุดว่ายน้ำผูกคอสีดำแล้วเริ่มเมากาวด้วยการเปิดรายการอะไรสักอย่าง
พร้อมกับผู้หญิงมีหู-หางแมวอีกคนจากส่วนไหนของโลกใบนี้ก็ไม่รู้ถือกล้องในชุดทูพีชสีฟ้า
แต่ที่แน่ๆ คือ...มันเล่นมุกอัดหน้าตูค่ะ!
“ย๊ากกก!!”
ฉันรีบวางขวดบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้
กำหมัดข้างขวาแน่นเสยคางอีกฝ่ายด้วยความโมโหปนหมั่นไส้อย่างจังจนเท้าลอยพ้นพื้นประมาณห้าเซนติเมตรแล้วค่อยกลิ้งตลบออกด้านหลัง
“อะเฮื้อออ~ ฟันตูเกือบจะหลุดออกแล้วว~”
“เอาให้มันฟันหลอไปด้วยดีกว่ามั้ยล่ะ!! เขามีแต่ ทีวีไดเร็กต์ ไม่มี ดีวีดีอินไดเร็กต์ โว้ยย!!”
“บ้าบออ~ จะไปโฆษณาให้คุณผู้อ่านเขาทำไมกันเล่าา~”
เจแปนพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างกระแดะเอาเรื่องในขณะที่กำลังยันตัวลุกขึ้นในสภาพทรายเปื้อนตัว
“แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มาจากไหน เกิดวันที่เท่าไหร่
สูติบัตรและมรณบัตรอยู่จังหวั---”
“เอิ่ม...เอ็งจะถามรัวจนลามถึงมรณบัตรเพื่ออิหยังวะคะ คุณนางเอก”
“เราคือแมวเหมียวจอมขี้เกียจ...น้องบลูสุดแสนจะชอบนอนอู้
อยู่แต่กับการวาดรูป ลูบไล้คีย์บอร์ดเป็นว่าเล่นค่า~”
เดี๋ยวๆๆๆ มาถึงก็แฉพฤติกรรมตัวเองเลยบ่...!!
“แน่นอนว่าเราเป็นแมวน่ารัก ที่สวยและรวยเพราะกระบวยเต็มบ้าน~”
บลูเสนอตัวเองอย่างภาคภูมิใจคูณล้านเท่าภายใต้ออร่าเปล่งเปล่งแตกกระจายรอบๆ
หู-หางแมวของนางกระดิกไปมาจนรู้สึกมือไม้สั่นอยากตัดทิ้งปล่อยวัดแทนหมาซะตอนนี้
“โหๆๆ กระบวยเต็มบ้านแบบนั้น...แสดงว่าบลูมีแต่น้ำให้กินแทนวิสกัสสินาา~”
“ไม่อ่ะเพื่อน...กระบวยคือเฟอร์นิเจอร์ประจำบ้านเราต่างหากก~”
สรุปพวกเอ็งสองคนมาเพื่อกาวกันเองรึไงฟะ...
“เอิ่ม...” ฉันทำได้แต่ยืนมองคนเขียนทั้งสองที่ต่างเล่นมุกด้วยกันอย่างซี้ปึ้กเหมือนรู้จักมานานล้านปีเศษ(?) พร้อมกับความเอ๋อแดกและไม่รู้จะไปต่อยังไง
“อ้อ...ลืมไปๆ พวกเราสองคนมาจากรายการ ดีวีดีอินไดเร็กต์
จะนำเสนอชุดว่ายน้ำใหม่รูปแบบพิเศษสำหรับคุณโดยเฉพาะเลยค่า”
ยัยคนเขียนจอมเพี้ยนเปิดรายการใหม่ ดำเนินเรื่อยๆ
เหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็ดีดนิ้วเรียกให้ยัยคนเขียนจอมขี้เกียจตั้งขากล้องไว้ให้เรียบร้อยแล้วเปิดกระเป๋าสะพายสีฟ้าหยิบอะไรบางอย่างออกมา
“สิ่งที่คุณจะได้รับคือ ชุดหนังแบบใหม่จากทางบริษัทกาวเกลือแห่งประเทศไทย
จำกัดค่า~”
“แทนแท๊นน~!!
“เดี๋ยวนะ...ชะ...ชุดหนัง...?”
“ใช่ค่า~ ชุดนี้มีคุณสมบัติเพื่อใส่ควบคู่กับชุดว่ายน้ำทั่วไป
ช่วยให้เผยเนื้อหนังอย่างมั่นอกมั่นใจ ไร้กังวลเรื่องรอยช้ำ รอยแผลเป็น แผลไฟไหม้ แม้แต่สิวบนหลังก็สามารถถูกปกปิดมิดชิดได้เป๊ะๆ
โป๊ะเชะ เตะวอลเลย์สบาย~”
“สำหรับราคา...เราไม่คิด กระเป๋าตังค์ฟิตอย่างแน่นอนค่า~”
เจแปนรับชุดหนังจากบลูแล้วพูดโฆษณาด้วยกันที่ไม่ใช่แค่เกินจริง
แต่มันเกินจินตนาการกับความเมากาว บวกกับสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตามประสานักโฆษณาในโทรทัศน์ ฉันมองชุดนั่นไปนานๆ
พร้อมแอบคันไม้คันมือและคันเท้าทั้งสองข้าง เกิดความรู้สึกหมั่นไส้เบาๆ
“อิอิ สนใจมั้ยคะ คุณลูกค้าผิวสีเข้มม~ พวกเรามีโปรโมชั่นสำหรับการเริ่มใช้งานคู่กับชุดว่ายน้ำช่วงวันสงกรานต์เท่านั้นเพียบเลยนะค---”
ผลัวะ!!
“ชุดหนังมนุษย์แท้ 100% เลยมั้ย
ยัยเจแปน~!!!”
ฉันกำหมัดขวาเสยคางคนเขียนผมดำขึ้นซ้ำจุดเดิมแรงยิ่งกว่าเดิม
ทำให้ร่างของอีกฝ่ายลอยพ้นพื้นสูงขึ้นอีกประมาณห้าเซนติเมตรแล้วค่อยกลิ้งหลายตลบออกด้านหลัง
“อะเฮื้ออออ~ ตูโดนเสยคางอีกแล้วค่าา~ เพื่อนเอ๋ยย~ ฝากฟันทั้ง 32 ซี่ของข้าด้วยย~ แอ่ก...”
“ได้เลยเพื่อน...ฟันของออเจ้าทุกซี่จะต้องได้รับการดูแลจากเฮาจนขาวสะอาดต่อไป...”
ตั้งแต่ ณ เวลานั้นเป็นต้นมา ยัยคนเขียนเพี้ยนก็น็อกเอ้าท์คาพื้นทรายประจำหาดสวนสนยาวๆ
ทำให้คิเรย์ต้องพาลากออกไปนอนพักในรถกระบะสีเงินที่ยังคงเปิดเพลงแด๊นซ์ให้เหล่าชาวบ้านชาวเมืองได้โยกย้ายส่ายสะโพกจนกว่าเทศกาลสงกรานต์ประจำวันที่
13 เมษายนจะจบลง
ส่วนฉัน...ขอนอนพักผ่อนใต้ร่มเงาของเต้นท์ต่อไปให้หายเหนื่อยใจละกัน
พอยัยนั่นเมากาวที...มันต้องมีเรื่องน่าปวดหัวประจำเลยจริงๆ
[ The (Bonus) End ]
[ เย้~ เรียบร้อยสำหรับโบนัสกาวๆ และก็อย่าเพิ่งหายไปไหนเด้อ เดี๋ยวจะมีอีกหนึ่งโบนัสมาลงตบท้ายด้วยย ]
ความคิดเห็น