คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #41 : Episode 8 ตัดสินชะตากรรม [Part 2]
Episode 8 ตัดสินชะตากรรม [Part 2]
----------------------------------------------------
[
มุมมองของยูมิ ]
“...?”
หลังจากนั่งคุกเข่าสิ้นหวังกับเหตุการณ์อันน่าเจ็บใจ...เหตุการณ์ที่เซอแวนท์ทั้งสิบคนสละชีพเพื่อปกป้องโฮกุของเดจาวูในร่างเกเทียและถูกอาบด้วยของเหลวสีดำจากจอกศักดิ์สิทธิ์ ฉันก็ลืมตาขึ้นพร้อมเงยหน้ามองจนพบว่าตัวเองกำลังเข้าไปในสถานที่แห่งใหม่
ซึ่งเป็นบ้านไม้ฝาเฌอร่าชั้นเดียวหลังเก่าท่ามกลางป่าไม้เขียวชอุ่ม บวกกับท้องนภายามค่ำคืน เหล่าแสงดาวดวงน้อยส่องประกายระยิบระยับเบาๆ หยาดของเหลวสีดำโปรยปรายลงราวกับฝน เมื่อเงยหน้ามองขึ้น พบกับวงแหวนสีดำออร่าสีแดงเข้มปรากฏรอบวง
“ที่นี่มัน...”
ฉันค่อยๆ
ลุกขึ้นยืนตรงหน้าบ้านแล้วมองดูรอบทิศให้แน่ใจก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าเข้าไปเตรียมเปิดประตู
แต่ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงพูดของใครบางคนดังขัดจังหวะจากทางด้านหลัง
“เป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียคนแรกที่ได้เข้ามา
ณ สถานที่แห่งนี้เลยนะเนี่ย...”
พอลองหันกลับไปมอง
เจ้าของเสียงเมื่อครู่นั้นคือตัวแทนแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์หรือไอริสฟีล ฟอน
ไอนซ์เบิร์น ตัวเธอกำลังอยู่ในรูปลักษณ์หญิงสาวผมขาว ผิวหนังขาวซีด
นัยน์ตาสีเหลือง และใส่ชุดธีมสีดำ-แดงอันแสดงตัวตนบ่งบอกว่าเป็นจอกสีดำ
ซึ่งผิดแปลกจากเซอแวนท์ในคาลเดียที่อยู่ในชุดธีมสีขาว
“คุณคือ...ไอริสฟีลงั้นเหรอ...”
“แล้วคิดว่าฉันเป็นจริงๆ
รึเปล่าล่ะ...อิชิมารุ ยูมิ”
อีกฝ่ายทักถามกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้างและแววตาเยี่ยงนางร้ายจนรู้สึกได้เลยว่าเธออาจเป็นตัวแทนแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์ผู้ทำลายบ้านเมือง
โลกมนุษย์ หรือแม้แต่มวลมนุษยชาติเหมือนกับความปรารถนาของเดจาวู
ต่อจากนั้นจึงเริ่มเกิดบทสนทนาขึ้นระหว่างพวกเราทั้งสองคนอย่างจริงจัง...
“ในคาลเดียแห่งนี้ไม่มีใครสามารถเป็นภาชนะคอยเติมเต็มความปรารถนาได้นอกจากไอนซ์เบิร์น...งั้นแปลว่าคุณ...”
“ฮึๆๆ
นั่นสินะ ถ้าจะบอกว่าเป็นเพียงแค่เปลือกนอกล่ะก็...ไม่ผิดหรอก หลังจากที่พวกเธอเข้าร่วมอีเว้นท์จนถูกไล่ออก...ฉันก็สังเกตพฤติกรรมมาโดยตลอด
แถมยังเป็นช่วงที่คนๆ หนึ่งกำลังปรารถนาอยากมีกายหยาบพอดี”
“เดจาวู...งั้นเหรอ”
“หืมม...รู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย
น่าแปลกใจจังแฮะ...ก็แอบนึกอยู่ว่าทำไมตอนนั้นถึงมีเงาดำร่างเธอยืนเคียงข้างกับเขา”
ฉันจ้องมองไอริสฟีลชุดดำแล้วกำหมัดไว้แน่น
เพราะเรื่องที่เจ้านั่นเคยเล่าให้ฟังมันตรงกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่จริงๆ
ไม่มีผิด ทั้งความปรารถนาเรื่องกายหยาบและเงาดำในร่างของฉันที่คอยตามหลอกหลอนถึงฝันร้ายเมื่อครั้งก่อนนู้น
“งั้นระหว่างที่คุณมอบกายหยาบให้เดจาวูตอนเวลาเที่ยงคืนก็...”
“จะบอกว่ายึดร่างเซอแวนท์ของเธอสินะ...” หญิงสาวผมขาวเอียงคอมองพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
เชิงเยาะเย้ยให้ฉันรู้สึกเสียท่า
“...”
“คิดผิดแล้วล่ะ...ฉันมีร่างนี้มาตั้งนานแล้วนี่
ก่อนที่มาสเตอร์อย่างเธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในคาลเดียด้วยซ้ำ เพราะถ้ายึดจริงๆ เซอแวนท์คลาสแคสเตอร์นามว่าไอริสฟีล ฟอน ไอนซ์เบิร์นคงไม่อยู่เคียงข้างเพื่อช่วยเหลือโลกหรอก”
“มีร่างนี้ตั้งนานแล้ว...?”
จริงด้วยสิ...เธอคนนี้เคยปรากฏตัวในอีเว้นท์อยู่เหมือนกัน
แต่การที่ยังอยู่รอดแบบนี้มัน...ค่อนข้างเป็นไปได้ยากไม่ใช่เหรอ
ทำไมกันนะ...ทำไมถึงยังปรากฏให้เห็นอีก...
“ทีนี้...ตาฉันถามบ้างละกัน”
ตัวแทนจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำเริ่มก้าวเท้าเดินเข้าหาอย่างช้าๆ
แล้วเอื้อมมือบางขาวภายใต้ผ้าคลุมมาแตะแก้มซ้ายของฉันไว้เบาๆ “ความปรารถนาของเธอ...คืออะไรกันแน่”
“...”
คนที่ฉันกำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ไอริสฟีลตัวจริง...เป็นแค่เจตจำนงของจอกศักดิ์สิทธิ์...เป็นแค่ตัวเติมเต็มปรารถนาด้านมืดและไม่สามารถดลบันดาลคำขอในด้านสว่าง
ถึงแม้จะขอให้ลบตัวตนของเดจาวูออกจากโลกใบนี้หรือช่วยมาชูให้หลุดพ้นจากขุมนรกก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะงั้น...สิ่งที่ทำได้คือปิดปากเงียบเอาไว้ก่อน
“...”
“ไม่ตอบสินะ ถ้างั้นจากตรงนี้ไป...ฉันจะขอให้เธอลองมองดูอดีตที่เคยลืมเลือนและย้อนถามข้างในตัวเธอเองละกัน
ฮึๆๆ”
สิ้นเสียงของจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำปุ๊บ
เธอก็ได้หายตัวไปพร้อมพาฉันเข้าสู่สถานที่แห่งใหม่ ครั้งนี้เป็นโรงเรียนขนาดกลางที่มองดูแล้วน่าจะเป็นโรงเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงมัธยมต้น
เพราะสภาพแวดล้อมบ่งบอกชัดเจน ทั้งเหล่าผลงานประกวดวาดภาพที่เขียนป้ายว่า
รางวัลชนะเลิศในระดับประถม สนามเด็กเล่นระดับชั้นอนุบาล หรือแม้กระทั่งอาคารเรียนจำนวนสี่หลัง
ใช่...มันคือบ้านหลังที่สองของฉันในช่วงวัยอนุบาลหนึ่งนั่นเอง
แต่เท่าที่เห็นมาทั้งหมดกลับไม่พบกลุ่มนักเรียนหรืออาจารย์เดินป้วนเปี้ยนสักคน
ประตูห้องต่างๆ ถูกปิดแน่นสนิทราวกับอยู่ในช่วงปิดเทอม แม้กระทั่งเขตบริเวณทำความสะอาดของนักเรียนแต่ละระดับชั้นก็ไม่ได้รับการเก็บกวาดเลย
“เธอคนนั้นต้องการจะบอกอะไรกันแน่นะ...”
ฉันลองเดินสำรวจตามทางผ่านหน้าอาคารเรียนหลังต่างๆ
จากอาคารหนึ่งถึงสี่ไปเรื่อยๆ ซึ่งโดยรวมก็ยังไม่พบอะไรผิดแปลกมากกว่านี้ จนกระทั่ง...
“อิชิมารุ ยูมิ ลองไปดูที่โรงยิมให้หน่อยสิ”
“...?”
เสียงเรียกอันแหลมใสของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังกึกก้องภายในสถานที่แห่งนี้
แต่พอพยายามกวาดสายตามองรอบตัว กลับมองไม่เห็นใครจนทำให้รู้สึกฉงนใจไม่น้อย
“เธอเป็นใครน่ะ...”
“เอาน่า...ตัวตนของฉันยังไม่สำคัญหรอก
เพราะตอนนี้มีคนกำลังเรียกร้องขอความช่วยเหลืออยู่”
เรียกร้องขอความช่วยเหลือ...?
เพียงแค่ได้ยินประโยคเดียว
ขาสองข้างก็เริ่มออกแรงมุ่งหน้าโดยอัตโนมัติ ในฐานะมาสเตอร์แห่งคาลเดีย
ฉันจะต้องตามไปดูสถานการณ์ในโรงยิมดังกล่าวที่อยู่ห่างจากอาคารสี่ประมาณห้าร้อยเมตร
ตึกๆๆๆๆ
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”
พอวิ่งมาถึงหน้าตัวอาคารแล้ว
สิ่งที่พบคือประตูเหล็กปิดลงเกือบหมดยกเว้นอีกหนึ่งบานกำลังเปิดขึ้นต้อนรับแขกทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น...ภายในโรงยิมไม่มีทั้งเก้าอี้
โต๊ะ ผ้าม่าน เหลือทิ้งไว้แต่โพเดียมตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางเวที และ...
“...!!? นะ...นี่มัน...”
มีซากศพเหล่านักเรียน
อาจารย์ หรือแม้กระทั่งผู้ปกครองกำลังนอนตายจมกองเลือดเหมือนเพิ่งถูกสังหารทิ้งเมื่อไม่นานนัก
กลิ่นคาวเลือดลอยตลบอบอวลมาเตะจมูกพร้อมรอยแผลของทุกคนบริเวณกลางอกและคอหอยที่บ่งบอกให้รู้ว่าถูกทิ่มแทงด้วยอาวุธมีด
เกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่นะ...
“ฮึๆๆ
นี่แหละผลงานของเธอ...ยูมิ”
ระหว่างนั้น
เสียงเด็กผู้หญิงคนเดิมก็ดังกึกก้องอีกครั้งภายในโรงยิม เธอหัวเราะในลำคอให้กับฉันพร้อมเปิดเผยความลับเพิ่มเติมจากตอนที่มาชูอัลเตอร์เคยเล่าให้ฟัง
“มันเป็นผลงานชิ้นแรกอันแสนล้ำค่า ช่วยแสดงตัวตนให้โลกได้รู้ว่าเธอเริ่มก้าวสู่เส้นทางแห่งฆาตกรสาว...ผู้ใสซื่อ”
“อึ่ก...”
“งั้นต่อไปก็...เข้าบ้านของ
‘พวกเรา’ ด้วยกันดีมั้ย...”
หลังจากเด็กคนนั้นพูดจบ
ฉันค่อยๆ ถูกนำพาไปยังสถานที่แห่งใหม่อีกครั้ง รอบนี้เป็นบริเวณห้องนั่งเล่นภายในบ้านที่พบเห็นตอนเข้ามายังจอกศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก
พอลองหันมองตรงหน้าก็ได้พบกับหญิงสาววัยทองคนหนึ่ง เธอปล่อยผมสีดำลงยาวถึงสะบักหลัง นัยน์ตาสีน้ำเงิน
รูปลักษณ์ใบหน้ายังคงเด็กอยู่แม้มีอายุประมาณเลขสาม
ใช่แล้ว...เธอคนนี้คือ...
“คุณแม่...”
“ยูมิ! ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ตั้งใจเรียนกว่านี้หน่อย! ได้แค่ 3.05 มันไม่ถึง 3.50 ด้วยซ้ำ!”
ยังไม่ทันที่จะตั้งตัวทำอะไรต่อ
แม่ก็โถมเข้าหาพร้อมจับไหล่สองข้างบีบลงแน่นและเขย่าตัวฉันด้วยอารมณ์โกรธเคือง
ไม่พอใจกับผลการเรียนที่น้อยเกินคาดหวังตามประสาผู้ใหญ่ทั่วไปในสังคม
“ดะ...เดี๋ยวสิคะ...คุณแม่”
“ไม่ต้องอ้างว่าทำไม่ได้เลยนะ!
นี่เธอไม่อยากให้แม่ของตัวเองภูมิใจอีกน่ะสิ...ใช่มั้ย! ใช่มั้ย!!”
“มะ...ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ...หนูต้องการให้แม่ภาคภูมิใจ...”
“นี่!! ขึ้นเสียงใส่ฉันแบบนี้อยากจะตายตามพ่อรึไงกัน!!”
บ้าจริง...ถึงพยายามพูดประโยคอื่นออกไป
แม่ก็ไม่ยอมรับฟังหรือคิดเปลี่ยนใจเลยแฮะ
“...”
งั้นแปลว่านี่...เป็นการจำลองเหตุการณ์ในอดีตงั้นเหรอ
พอนึกได้เช่นนั้น ฉันจึงพยายามเงียบปากไว้ในขณะที่ยังคงถูกเขย่าตัวอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเธอคนนั้นหยุดการกระทำดังกล่าวพร้อมจ้องเขม็งเข้ามาใกล้ๆ
ราวกับว่าต้องการฟังใหม่อีกครั้ง
“ห๊า!? เมื่อกี้พูดอะไร...”
จริงด้วยแฮะ...เป็นเหมือนกับที่มาชูเคยเล่าให้ฟังไม่มีผิดเลย...
“งะ...งั้นหนูขอตัวไปก่อนนะคะ
คุณแม่...”
“...!!! นั่นมัน...มีดของฉันนี่...!!!”
ฉึ่ก!!!
ในจังหวะที่กำลังดันตัวแม่ออกทีละนิดเพื่อตีตัวออกห่างไป
จู่ๆ เสียงอาวุธแหลมคมทิ่มแทงเข้าร่างกายก็ดังขึ้นลั่นหู มันจะเป็นอย่างอื่นใดได้นอกจากการสังหารอีกฝ่ายด้วยมีดในร่มพกพา
แถมยังเป็นฝีมือของตัวฉัน...ในปัจจุบัน ไม่ใช่ตัวตนในอดีต
“คุณ...แม่...”
มือข้างขวาที่ถือมีดทิ่มเข้าคอหอยสั่นระริกและรู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี
หญิงสาววัยเลขสามกระอักเลือดสีแดงลงบนแขนฉันก่อนที่จะจับข้อมือเอาไว้แน่น
เธอพยายามเปล่งเสียงพูดอะไรบางอย่างแต่มันกลับไม่ชัดถ้อยชัดคำเท่าไหร่จนกระทั่งค่อยๆ
ปล่อยมือพร้อมคุกเข่าลงบนพื้นและเอนตัวนอนคว่ำภายในทันที
“ดะ...เดี๋ยวสิ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้...มือมัน...เลื่อนไปเอง...”
“พ่อคะ...หนูจัดการคนที่เคยฆ่าพ่อแล้ว
ทีนี้...ไม่ต้องห่วงว่าแม่จะฆ่าหนูเป็นคนต่อไปแล้วล่ะค่ะ”
“...!!?”
ฉันเริ่มหันมองตามต้นเสียงเด็กสาวอันน่าคุ้นเคยเมื่อครู่จนพบว่าเป็นเด็กนักเรียนมัธยมต้นในทรงผมโพนี่เทลสีดำ
นัยน์ตาสีน้ำเงินอันว่างเปล่า เธอกำลังใส่ชุดนักเรียนแบบกะลาสี เสื้อแขนสั้นสีขาวปกกรมท่า
เนคไทสีแดง กระโปรงยาวคลุมเข่ากับถุงเท้าสีกรมท่า รองเท้าส้นเตี้ยสีดำ
ทุกองค์ประกอบบ่งบอกให้รู้ว่า...นั่นคือตัวฉันสมัยมัธยมต้นนั่นเอง!
แถมยืนยันได้ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่งว่า
เสียงพูดที่ดังกึกก้องในโรงเรียนตอนนั้นก็คือเสียงคนๆ นี้!
ต่อมา
สถานที่ที่ยืนอยู่ ณ ตรงนี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นโรงยิมของโรงเรียนมัธยมเซย์โชว
ทุกอย่างแทบไม่ต่างไปจากโรงเรียนแห่งแรก
เพียงแต่เหล่าศพคนตายถูกกองรวมเข้าด้วยกันคล้ายกับเตรียมจุดไฟเผาเท่านั้นเอง
“การที่ไม่มีใครเหลียวแลตอนพวกเรามีปัญหารุมเร้าแบบนี้...สมควรตายจริงๆ
แหละเนอะ...”
“ไม่! ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องตายสักหน่อย! มันต้องมีใครสักคนในชีวิตที่คอยรับฟังอยู่แล้ว! เพียงแต่มีอุปสรรคหลายๆ
อย่าง...คอยขัดขวางเท่านั้นเอง!”
วินาทีนั้น
ฉันเริ่มเปิดปากคุยกับตัวเองในร่างเด็กนักเรียนหลังจากได้ยินคำพูดเมื่อครู่
เพราะสิ่งที่นึกในหัวตอนนี้คือ...อย่างน้อยมันต้องมีสักคนบนโลกใบนี้...ที่ยอมรับฟังปัญหาในใจของพวกเรา
“ก็ถ้ามีอยู่จริงๆ
ทำไมพวกเขาถึงไม่แสดงออกให้เห็นชัดๆ ล่ะ...แฝงตัวเข้ากับคนอื่นแล้วยังหน้าด้านปล่อยให้พวกเราเป็นแกะดำฝ่ายเดียว...เธอคิดว่ามันยังจะมีคนเป็นห่วงเป็นใยอยู่อีกเหรอ”
เธอคนนั้นคว้ามีดจากมือฉันแล้วเก็บเข้าไปในร่มพกพาสีดำก่อนที่จะโยนทิ้งใกล้ๆ
กองศพคนตายและยืนกอดอกจ้องมองอย่างไร้อารมณ์
“ระ...เรื่องนั้น...”
“ใกล้ถึงเวลาตัดสินใจแล้วไม่ใช่เหรอ...มาสเตอร์แห่งคาลเดีย”
ในจังหวะที่พวกเราสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่
เสียงของไอริสฟีลหรือตัวแทนจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำก็ดังขัดจังหวะบทสนทนา เสียงรองเท้ากระทบตามจังหวะก้าวเดินดังกึกก้องในโรงยิมแห่งนี้พร้อมกับร่างหญิงสาวที่กำลังเข้าหาอย่างช้าๆ
ด้วยรอยยิ้มกว้างพลางส่งสายตาจ้องมองมายังตัวฉันเอง
“ตะ...ตัดสินใจ...?”
“ใช่...ตัดสินใจว่าจะปรารถนาอะไร
แต่ถ้าเธอไม่มีจริงๆ ฉันคงต้องทำตามคำขอของเดจาวู...ด้วยการทำให้เป็นพรรคพวกเดียวกันกับเขา...”
“...!!”
ฉันพยายามเดินก้าวถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว
ความรู้สึกสิ้นหวังได้ผุดขึ้นในใจอีกครั้งเพราะนึกถึงเหตุการณ์สูญเสียมิตรภาพและคนรัก
อีกฝ่ายย่างก้าวมุ่งเข้าหาพร้อมหัวเราะในลำคอแล้วโลมเลียริมฝีปากตัวเองราวกับกำลังหิวโหยอยู่
“ยะ...แย่ล่ะสิ...”
พอเดินถอยออกห่างจนแผ่นหลังชิดกับประตูห้องเก็บของ
ฉันก็เริ่มรู้ตัวว่าหมดหนทางหนีเรียบร้อย มือสองข้างยกขึ้นกุมกลางอกไว้แน่น พยายามภาวนาให้ใครสักคนช่วยพาหลบหนีออกจากขุมนรกแห่งนี้
เพราะในใจฉันไม่ได้อยากเป็นเหมือนมาชูอัลเตอร์...ไม่ได้อยากปล่อยให้โลกของพวกเราถูกทำลาย
ถ้าชีวิตนี้ยังพอมีความหวังอยู่...แม้มันจะมีเพียงน้อยนิด
แต่...ขอร้องล่ะ...
“ฉัน...ฉันน่ะ...”
“อย่าเพิ่งด่วนทำหน้าทำตาสิ้นหวังแบบนั้นสิ...อิชิมารุ
ยูมิ”
ภายในเสี้ยววินาทีแห่งการภาวนาอ้อนวอน เรื่องไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เสียงพูดอันน่าคุ้นเคยดังมาจากด้านหลังประตูห้องเก็บของซึ่งอยู่ใกล้กันพอดี คนๆ นั้นเริ่มทำการเปิดประตูจนทำให้ร่างของฉันเผลอเอนล้มลงข้างหลังโดยไม่ทันตั้งตัว
คำพูดสุดท้ายของทั้งสองคนที่ได้ยินก่อนที่จะถูกโอบกอดและหมดสติไปคือ...
“ฉันขอรับตัวเธอคนนี้ไว้ละกัน...จอกศักดิ์สิทธิ์สีดำ
ไม่สิ...อังรี มายู”
“ชิ...ยัยบ้านี่บังอาจขัดขวางฉันได้นะ!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“อึ่ก...”
พอเวลาผ่านไปไม่นานนัก
ฉันก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นพร้อมยันตัวลุกขึ้น พยายามพยุงตัวเองไม่ให้เอนล้มลงนอนและกวาดสายตาซ้ายขวา
พบว่าตัวเองกำลังยืนท่ามกลางป่าไม้ทึบยามค่ำคืน ไอหมอกสีขาวบางๆ ลอยอยู่รอบตัว ทางตรงหน้ามองเห็นประตูเหล็กปิดกั้นไว้และแสงไฟสีเหลืองอ่อนๆ
บนยอดเสาที่ตั้งห่างออกไกล
“...ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ท่าทางลำบากแย่เลย”
ต่อมา
เสียงผู้หญิงอันน่าคุ้นเคยได้ดังขึ้นอีกครั้งจากทางขวามือ ฉันเริ่มหันหน้ามองเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าคนที่ช่วยให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของตัวแทนแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำเป็นใคร
แถมยังอยู่ในรูปร่างเงาสีดำทึบอีก
“เธอคือ...”
“ไม่รู้ว่าจะจำได้รึเปล่า...แต่ฉันคือส่วนหนึ่งในร่างกายเธอตั้งแต่ช่วงสมัยมัธยมปลาย...”
“ส่วนหนึ่ง...ในร่างกายฉัน...?”
ถ้าลองอิงจากเรื่องราวที่มาชูอัลเตอร์เล่าให้ฟังตอนนั้น...เธอบอกว่ามีเงาดำส่วนหนึ่งปรากฏตัวออกจากท้ายทอยและแผ่นหลังซึ่งเป็นฝีมือของเดจาวูร่างหลักที่ฝากฝังเป็นคำสาป
เดจาวู...ร่างหลัก?
งะ...งั้นแปลว่า...เจ้านี่ก็เป็น...
“ดะ...เดจาวู!?”
ฉันตกใจตื่นด้วยสีหน้าซีดเผือดทันทีแล้วรีบหาอะไรบางอย่างเตรียมใช้ป้องกันตัวไว้
แต่เจ้าตัวกลับยกนิ้วชี้ขึ้นโบกเหมือนกำลังบ่งบอกว่าอย่าเพิ่งคิดร้ายอะไรแบบนั้น
“ใจเย็นก่อนสิ...ฉันไม่ได้มาเพื่อหวังสังหารเธอสักหน่อย
จำไม่ได้เหรอ...ว่าฉันเป็นคนเสนอทางเลือกให้เธอล้างมลทินและหลีกหนีออกจากร่างหลักน่ะ
ถึงจะต้องเลิกเป็นซานิวะก็ตาม...”
“เฮ้อ...” ฉันถอนหายใจออกด้วยความโล่งอกที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องหวาดระแวงอะไรมากมาย “แล้วจุดประสงค์ที่มาช่วยฉันแบบนี้คืออะไรกันแน่”
แม้เมื่อก่อนเคยยอมรับข้อเสนอดังกล่าวเพื่อหลีกหนีเดจาวูร่างหลักให้ไกลที่สุด ล้างมลทินทั้งหมดด้วยการฝึกเป็นจอมเวทที่หอนาฬิกาในลอนดอนและถูกเลือกเป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดีย
แต่พอได้ฟังอดีตเหล่านั้นแล้ว มันกลับรู้สึกสงสัย
ทั้งที่ปกติพวกเดจาวูจะต้องหวังร้ายต่อฉันแท้ๆ
“เธออาจจะสงสัยจริงๆ
สินะ...เพราะเดจาวูร่างหลักเป็นคนฝากฝังคำสาปในรูปแบบอาการลมชักด้วยตัวเอง
และคำสาปที่ว่าคือตัวฉัน แต่ว่า...ตอนพวกดาบหนุ่มพากันช่วยเตรียมยารักษาหรือควบคุมอาการนั้น
ฉันก็รู้สึกผิดทันทีเลยล่ะ...”
“รู้สึกผิด...?”
“อย่างที่เคยบอก...พวกเราไม่มีตัวตนที่แน่นอน
เป็นเพียงกลุ่มหมอกดำล่องลอยไปตามความมืด แต่นั่นไม่ใช่ว่าความคิดจะลงรอยกันสักหน่อย
หลังจากถูกเจ้านั่นเรียกให้เข้าฝังบนท้ายทอยกับแผ่นหลังของเธอ...ฉันเหมือนรู้สึกเป็นอิสระแปลกๆ
ยังไงไม่รู้...”
“มะ...หมายความว่าไงกัน...”
“อันที่จริง...”
หญิงสาวในร่างเงาดำทึบเว้นช่วงประโยคไว้ก่อนที่จะเดินเข้ามาหาฉันแล้วยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้าง
บรรยากาศรอบข้างเริ่มมีลมพัดโบกและไอหมอกเบาๆ จนเกิดความรู้สึกขนลุกด้วยความหนาวเย็นหน่อยๆ
พร้อมกับคำตอบที่ไม่เคยคาดคิด
“ฉันเกลียดเดจาวูร่างหลักเข้าไส้เลย...เจ้านั่นเป็นคนควบคุมพลังอำนาจของพวกเราในทางที่ไม่ดี
หวังแต่ผลประโยชน์ในการเข่นฆ่าทุกคนบนโลก เหยื่อหลายคนต่างตกเข้าสู่ความมืดมิด แสดงสันดานดิบจนรู้สึกว่านั่นคือตัวตนที่แท้จริง”
“...”
“ท้ายสุด...ร่างของคนๆ
นั้นถูกยึดไว้และเปลี่ยนจิตวิญญาณเป็นร่างเงาภายใต้สมาชิกเดจาวู ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณคนตายที่ไม่ว่าจะยังไม่หลุดพ้นจากบ่วงกรรมหรือหลุดไปแล้วด้วยซ้ำ”
“โหดร้ายที่สุด...”
ฉันฟังอีกฝ่ายเล่าความจริงเมื่อครู่นี้พลางกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจที่เดจาวูร่างหลักบังอาจใช้เหล่าวิญญาณคนตายเป็นเครื่องมือ
และพอผนวกเหตุการณ์ในชีวิตทั้งหมดแล้ว ยิ่งรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือจิตสังหารภายใต้สันดานดิบที่เคยพยายามลืมเลือน
ทั้งคนในครอบครัว...สมาชิกในโรงเรียนทั้งสองแห่ง...เหล่ากองทัพข้ามเวลา...เซอแวนท์ที่เคยกำจัดในจุดพลิกผัน...หรือแม้แต่เกเทียเองก็เช่นกัน
บ้าที่สุดเลย...
“เธอยังโชคดีหน่อยที่เจ้านั่นส่งตัวฉันให้ฝังตามท้ายทอยกับแผ่นหลังในตอนนั้น...ไม่งั้นคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ก็ได้
อีกอย่าง...ยาที่ยะเก็นเคยปรุงให้เธอกิน...ฉันก็คอยเป็นตัวแบกรับฤทธิ์ยาไว้และกำจัดออกไปด้วย”
หมับ...!
“...!!?”
ร่างเงาทึบค่อยๆ
จับมือสองข้างของฉันมากุมไว้ระดับอกพร้อมเผยตัวตนใหม่ที่แท้จริง กลุ่มหมอกเงาดำแยกตัวออกจากกันจนกระทั่งได้เห็นเป็นรูปลักษณ์หญิงสาวผู้มีความสูงประมาณ 146 เซนติเมตร (ส่วนฉันสูง 153 เซนติเมตร) เรือนผมสีดำถูกมัดรวบลงต่ำสองข้างปล่อยไว้ข้างหน้า
นัยน์ตาสีน้ำเงิน เนื้อตัวขาวนวลใส
เธอกำลังอยู่ในชุดมิโกะซึ่งเป็นกิโมโนสีขาวที่ครึ่งล่างมีผ้าคล้ายกางเกงสีน้ำเงินใส่ทับไว้ระดับเหนือเอว
ผ้าคลุมไหล่สีน้ำเงิน ถุงเท้าทาบิสีขาว รองเท้าแตะโซริสีดำอ่อน และเครื่องประดับอันน่าคุ้นเคยอย่างแว่นตากรอบสีดำ
สรุปง่ายๆ
ก็คือ...
“ตัวฉัน...อีกคนหนึ่ง?”
“อื้ม...อิชิมารุ
ยูมิในร่างซานิวะเองแหละ” หญิงสาวตรงหน้าแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงใสแล้วส่งรอยยิ้มบางเหมือนกับที่ฉันเคยทำไม่มีผิด
“หลังได้เป็นอิสระจากเงื้อมมือของเดจาวูร่างหลักด้วยการฝังเข้าร่างของเธอ...ฉันก็ได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง
เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ในวังวนแห่งเดจาวูเพื่อต่อต้านความคิดชั่วร้ายนั่น”
“วังวนแห่งเดจาวู...งั้นเหรอ”
“อ้อ...นี่คงจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอสินะ”
“...” ตัวฉันที่ยังคงสับสนและไม่เข้าใจเรื่องใหม่ๆ เหล่านี้ไม่อาจพูดอะไรได้นอกจากพยักหน้าลงหนึ่งทีเพื่อรอฟังต่อ “แต่ตอนนี้พวกเรามีเวลาเหลือค่อนข้างน้อยแล้วนี่นา...จะตามหยุดยั้งหายนะจากเดจาวูร่างหลักทันรึเปล่ายังไม่รู้เลย”
“ถึงเจ้านั่นจะบอกว่าให้เวลาตัดสินใจห้านาที
แต่ฉันก็ได้พาเธอหนีจากจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำและมาที่เมืองฟุยุกิแทนแล้ว
ส่วนเรื่องเวลาในโซโลมอน...ตอนนี้เหลือประมาณสิบนาที แบบนี้คงสรุปสั้นๆ เข้าใจง่ายได้อยู่...”
“งั้น...ขอฟังสักหน่อยละกัน...”
เดจาวูในร่างซานิวะสาวพยักหน้าตอบรับพร้อมเริ่มจูงมือฉันเพื่อเดินออกจากป่าไม้ทึบแห่งนี้และพามุ่งหน้าไปยังอาคารหลังหนึ่งคล้ายโบสถ์ประจำเมืองฟุยุกิ
ในระหว่างนั้นเธอก็อธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับวังวนดังกล่าว
“วังวนแห่งเดจาวู...หรือถ้าจะให้เรียกอีกแบบคือ
โลกจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำ มีอังรี มายูเป็นตัวแทน แน่นอน...ไอริสฟีล ฟอน
ไอนซ์เบิร์นในชุดสีดำนั่นก็กลายเป็นเปลือกนอกหลังจากถูกกำจัดทิ้งไป”
“งั้นแปลว่า กลุ่มสมาชิกเงาดำเริ่มได้ที่อยู่ใหม่หลังจากล่องลอยตามความมืดมานาน...?”
“ประมาณนั้น...พอได้ที่อยู่พักพิงแห่งใหม่แล้ว
พวกเขาต่างทำหน้าที่ในการยึดร่างวิญญาณคนตาย ปรากฏตัวตามคำเรียกของเดจาวูร่างหลัก
เหมือนกับเหล่ากองทัพข้ามเวลาในโซโลมอนอ่ะนะ”
“อื้ม...”
“ส่วนต้นกำเนิดของเดจาวูร่างหลัก...ฉันคาดเดาว่ามาจากโลกจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำและน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับอังรี
มายูอย่างแน่นอน”
“อย่างนี้นี่เอง...”
“อีกอย่าง...จุดประสงค์ที่ฉันเสนอทางเลือกให้เป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดีย คือหลอกล่อเจ้านั่นตามมา เผื่อว่ามีความคิดอยากมีกายหยาบเป็นใครสักคน และพอถึงเวลาอันสมควรปุ๊บ...ก็จะได้กำจัดให้สิ้นซากไปเลย”
“นี่เธอ...หวังดีกับฉันจริงๆ ด้วยสินะ...”
“เพราะฉันเกลียดร่างหลักเข้าไส้...ดังนั้นเธอถึงเป็นคนหนึ่งและคนเดียวที่มีความคิดตรงกัน สามารถไว้วางใจพร้อมร่วมมือกันปกป้องทุกคนได้ยังไงล่ะ”
ถือเป็นการอธิบายที่ค่อนข้างดีสำหรับฉันเลย...อย่างน้อยก็ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับเดจาวูร่างหลักมากขึ้นเยอะ
ทั้งความชั่วร้ายที่ตามยึดร่างหรือวิญญาณ รวมพลกำลังของตัวเองเป็นกลุ่มเงาดำรูปแบบต่างๆ
อย่างเช่นกลุ่มกองทัพข้ามเวลา
แต่สิ่งที่ยังคงค้างคาใจตอนนี้คือ...รุ่นน้องประจำคาลเดียอย่างมาชู
เพราะฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าการเลือกเส้นทางเป็นอัลเตอร์...มาจากใจจริงหรือถูกสะกดจิตกันแน่
เอี๊ยดด~
“ถึงแล้วล่ะ...”
หลังจากได้รับฟังคำอธิบายจนจบ
ซานิวะสาวก็จูงมือพาฉันเปิดประตูโบสถ์และมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน ซึ่งทางเดินมีเพียงแค่ตรงกลางและริมซ้ายขวาเนื่องจากมีเก้าอี้ยาววางเรียงกัน
พอเดินเกือบสุดทางพบว่ามีโต๊ะวางหนังสือไบเบิลและจุดเทียนขนาบข้าง
สำคัญยิ่งกว่าคือ
ประตูสองบานเหมือนกับทางเข้ามิติเวลาที่ไม่น่าจะมีในสถานที่แห่งนี้แม้แต่นิดเดียว ซึ่งกำลังฉายภาพเหตุการณ์ในฮงมารุและเหตุการณ์ในโซโลมอนอยู่
“นะ...นี่มัน...”
“ทางเลือกพวกนี้...จะเป็นตัวตัดสินชะตากรรมของทุกคนบนโลก ระหว่างกลับฮงมารุเพื่อช่วยกำจัดกองทัพข้ามเวลาที่บุกรุก...และเข้าสู่โซโลมอนเพื่อยืนหยัดสู้กับเดจาวูร่างหลักอีกครั้ง”
“ตัวตัดสินชะตากรรม...”
“อื้ม...ใช่แล้วล่ะ
แต่ว่ามันจะติดปัญหาหรือข้อแลกเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน
ถ้าเธอเลือกฮงมารุ โอกาสที่โลกใบนี้จะแตกสลายมีสูง แต่ถ้า...เลือกโซโลมอน โอกาสที่เธอจะรอดจากการต่อสู้ก็มีน้อยเช่นกัน”
“...”
กลับฮงมารุไปช่วยโทมะ...หรือกลับโซโลมอนเพื่อหยุดยั้งแผนการของเดจาวูงั้นเหรอ
ฉันกำหมัดสองข้างแน่นหลังมองเหตุการณ์ภายในประตูทางเข้ามิติแห่งชะตากรรม
ไม่ว่าทางไหนก็อยากเข้าไปช่วย อยากกำจัดศัตรูทิ้งให้ทุกคนรอดพ้นจากอันตราย
แต่พอไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้างตอนเลิกเป็นซานิวะแบบนี้...ฉันจะไปสู้ไหวได้ยังไงกัน
และถ้า...ไม่หยุดยั้งแผนการของเดจาวู ยุคของมวลมนุษยชาติจะจบลง
ทุกอย่างที่ทุ่มเทและความหวังของทุกคนจะสูญเปล่า...
“...”
ฉันควร...จะทำยังไงดีนะ...
‘...เจ้าต้องอยู่รอดต่อไปให้ได้...และก็กำจัดเจ้านั่นทิ้งซะ’
“...จงทำหน้าที่สุดท้ายของตัวเองต่อไปเสียเถิด
ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำได้แน่นอน...”
“...จงสู้ต่อไปเพื่อกอบกู้มวลมนุษยชาติเสียเถิด”
“...ข้าขอส่งต่อความเกลียดชังให้กับเจ้าเพื่อกำจัดศัตรูครั้งนี้
เพราะงั้นอย่าทำอะไรผิดพลาดซะล่ะ”
“มาสเตอร์/คุณหนู/นายท่าน/ยูมิ...!!”
เสี้ยววินาทีนั้นเอง
คำพูดบางส่วนของเหล่าเซอแวนท์ของฉันก็ดังกึกก้องขึ้นภายในหัวราวกับพยายามย้ำเตือนหน้าที่
ณ ตอนนี้...และไม่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้ เพราะพวกเขารวมถึงเหล่านักวิจัยและดา
วินชี่ต่างฝากฝังความหวังให้กับตัวฉันผู้เป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียเพียงคนเดียวที่สามารถกอบกู้โลกใบนี้
อีกทั้งยังมีเดจาวูในร่างซานิวะคอยช่วยเหลือ
เส้นทางแห่งชะตากรรมของทุกคน...ทั้งในเมืองฟุยุกิ
คาลเดีย ฮงมารุ โลก หรือแม้กระทั่งจักรวาลของพวกเรา...กำลังตกอยู่ในกำมือฉันเพียงคนเดียว
“...”
คงต้องเลือก...แล้วสินะ
“เพราะฉันเคยเป็นซานิวะประจำฮงมารุ
ความรู้สึกเป็นห่วงต่อเหล่าดาบหนุ่มก็เลยยังคงฝังลึกไม่จางหาย แต่ว่า...ที่นั่นมีซานิวะอีกหนึ่งคนอย่างโทมะคอยอยู่เคียงข้างพวกเขาและช่วยต่อสู้กับกองทัพข้ามเวลาแล้ว
ถึงจะแอบถามในใจว่าเขามีโอกาสรอดมากน้อยแค่ไหนก็เถอะ”
“แล้ว...จะเอายังไงต่อล่ะ...”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ...ตอนนี้ตัวตนของฉันคือมาสเตอร์แห่งคาลเดียนัมเบอร์
021 อิชิมารุ ยูมิ...ผู้คอยช่วยแก้ไขจุดพลิกผันต่างๆ ไม่ให้อนาคตข้างหน้าของมนุษยชาติเปลี่ยนแปลงไปอีกทาง
และฉัน...จะต้องช่วยเหลือโลกใบนี้เพื่อเติมเต็มความหวังของทุกคน”
“...”
ใช่แล้ว...ถ้าหยุดยั้งแผนการทำลายล้างมวลมนุษยชาติทัน
ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี โทมะเองก็คงไม่เจอกับอันตรายไปมากกว่านี้ ถึงเขาเคยแอบทรยศเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นแกะดำอีกคน...แต่มันกลับอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ
เพราะเขา...เป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายที่ได้รู้จักกันคนแรกภายในรั้วโรงเรียนมัธยมเซย์โชว
ฉันเปิดกระเป๋าคาดเอวเพื่อหยิบกลัดมณีเวทย์เม็ดสุดท้ายออกมาเตรียมยืนยันเส้นทางแห่งชะตากรรมอันไร้ซึ่งความลังเลใจพร้อมหันหน้าตอบกับเดจาวูในร่างซานิวะสาวด้วยสีหน้าจริงจังที่สุด
“ฉะนั้น...แม้ต้องเสียเลือดเนื้อมากน้อยเพียงใด...ฉันขอยืนหยัดต่อสู้กับเดจาวูต่อไป! เพราะถ้ากำจัดได้ทัน...ไม่ว่าฮงมารุหรือคาลเดียก็จะรอดพ้นจากเงื้อมมือของเจ้านั่นและอังรี มายูยังไงล่ะ!!”
เพื่อเซอแวนท์ทั้งสิบคนผู้เสียสละทุกอย่างในการปกป้องมาสเตอร์...ฉันจะไม่ถอยอีกต่อไป...ไม่รู้สึกท้อแท้อีกต่อไป...และไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อใครอีกต่อไป!!!
“...”
เมื่ออีกฝ่ายฟังจบ
เธอค่อยๆ ส่งรอยยิ้มสดใสแล้วเอื้อมมือสองข้างมากุมมือขวาของฉันที่กำลังถือกลัดมณีเวทย์ไว้
จากนั้นจึงเริ่มมีแสงสีน้ำตาลเข้มสาดส่องทั่วบริเวณโบสถ์แห่งนี้ก่อนที่จะปรากฏออกเป็นอาวุธดาบฝักสีม่วงเล่มหนึ่งอันน่าคุ้นเคย
“ฉันแอบคิดไว้แล้วแหละว่าเธอต้องเลือกเส้นทางนี้
เพราะถ้าช่วยเหลือโลกใบนี้ได้...ทางฮงมารุเองก็จะปลอดภัยด้วยเหมือนกันสินะ...”
“อื้ม...”
“ทีนี้...พวกเราไม่มีเวลาเหลือแล้ว ถึงจะเคยบอกว่าโอกาสรอดมีน้อย แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เธอทำได้ นั่นคือ รีบชักดาบเล่มนี้ออกจากฝักและเสียบกลางอกตัวเองเพื่อเริ่มทำการหลอมรวมพลังเข้าร่างกายซะ”
เสียบกลางอกตัวเอง...!?
“ตะ...แต่ว่านั่น...คงจะไม่ทำให้ฉันตายสินะ...”
“กลัดมณีเวทย์ของเธอถูกสร้างมาจากความรู้ที่ได้ศึกษาในตำนานวีรชนเช่นพวกอาวุธดาบกับโล่ป้องกันแล้วค่อยถ่ายโอนพลังเวทรวมกันใช่มั้ยล่ะ
อีกอย่าง...ฉันเสริมพลังเข้าไปเพิ่มอีกมากมายเลย เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกนะ”
ฉันฟังซานิวะสาวชี้แนะและพูดความจริงเรื่องแหล่งที่มาของกลัดมณีเวทย์
ซึ่งตรงกับความเป็นจริงในฐานะมาสเตอร์แห่งคาลเดียไม่มีผิด
“...”
ไม่มีเวลาลังเลแล้วล่ะ...ยูมิ
เธอต้องทำมันซะ!
พอนึกได้เช่นนั้น
ฉันก็ค่อยๆ จับด้ามดาบพร้อมชักออกจากฝักสีม่วง
มือขวาควงให้ด้านแหลมของมันจ่อกลางอกแล้วออกแรงเสียบเข้าเต็มแรง ผลลัพธ์ที่ได้เกินความคาดหมายมาก เพราะมันไม่เจ็บหรือมีเลือดไหลสักหยด
หนำซ้ำอาวุธเล่มนี้ยังส่องแสงสีน้ำตาลเข้มและหลอมรวมพลังเวทเข้ามาตามร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า
การถูกทิ่มแทงด้วยอาวุธแหลมคมโดยไม่รู้สึกเจ็บเนี่ย...เพิ่งเป็นครั้งแรกเลยล่ะ
“ต่อจากนี้ไป...เธอจะได้รับร่างใหม่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
พลังเวทมหาศาลกว่าเดิม ความรู้สึกเจ็บปวดจะค่อยๆ ลดหายไปจนเหลือเพียงนิด และมีพลังใหม่นอกจากฟรอเซ่น
คราฟ แต่เมื่อจบศึกครั้งนี้...”
“...?”
“เธอจะต้องอยู่ในร่างนี้จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
และก็...”
.
..
...
....
.....
“...”
“ข้อแลกเปลี่ยนครั้งนี้มีทั้งหมดสองข้อ
ถ้ารู้สึกไม่พอใจสักเท่าไหร่นักก็ไม่เป็นไร แต่ฉันอยากทำเพื่อตัวเธอเองนะ...โอเคมั้ย”
อีกฝ่ายมุ่งหน้าไปเปิดประตูเส้นทางแห่งชะตากรรมสองบานพร้อมอธิบายสิ่งที่ได้รับจากการหลอมรวมพลังเวทของเธอทั่วทั้งร่างกายโดยยังคงไม่เว้นแม้แต่เหล่าข้อแลกเปลี่ยนเช่นเดิม
แต่ถ้า...
นั่นเป็นความต้องการจากใจจริงของเดจาวูที่มีความคิดไม่ลงรอยกับร่างหลัก...
ฉันคงปฏิเสธไม่ลงหรอก...
“อื้ม...ฉันขอยอมรับข้อเสนอพวกนี้ไว้เอง”
“ขอบคุณที่เชื่อใจคำสาปอย่างฉันนะ
และก็...ขอโทษที่คอยทำให้เธอรู้สึกทรมานตามคำสั่งของร่างหลักมาโดยตลอด” เธอกล่าวคำขอบคุณแล้วค่อยๆ เดินเข้าหาก่อนที่จะยื่นแขนสองข้างออกมาโอบกอดฉันไว้แน่นเพื่อขอโทษในสิ่งที่เคยทำลงไปโดยไม่ได้เต็มใจ
พอเป็นร่างมนุษย์ธรรมดาแล้ว...อ้อมกอดนี้มันอบอุ่นแปลกๆ
เลยแฮะ
“ช่างมันเถอะ...ฉันให้อภัยแล้วล่ะ”
“อื้ม...งั้นเธอรีบกลับไปโซโลมอนเถอะ เดี๋ยวฉันช่วยจัดการเรื่องกองทัพข้ามเวลาในฮงมารุเอง ไม่แน่...พวกเราอาจจะเจอกันอีกครั้งหลังจากจบศึกครั้งนี้ก็ได้”
ซานิวะสาวค่อยๆ
คลายกอดออกจากตัวฉันพร้อมยิ้มกว้างให้อย่างสดใสจนดูน่ารักหลายเท่า
จากนั้นพวกเราสองคนจึงย่างก้าวไปทางประตูสู่เส้นทางแห่งชะตากรรมแล้วยื่นมือแตะเบาๆ
จนกระทั่งภาพทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลนเตรียมพร้อมเข้าสู่สถานที่แห่งนั้น
เอาล่ะ...ต่อจากนี้ฉันจะงัดทุกอย่างมาใช้เพื่อกำจัดเดจาวูในร่างเกเทียให้สิ้นซากล่ะนะ!
[ มุมมองที่
3 ]
ระหว่างที่เดจาวูในร่างเกเทียกับมาชูอัลเตอร์กำลังยืนรอการตัดสินใจของยูมิอยู่หลายนาที
พวกเขาต่างเริ่มแอบสงสัยกันว่าทำไมถึงมาช้าเกินกำหนดอย่างเวลาห้านาที
“มาชู...เจ้าคิดว่ามาสเตอร์แห่งคาลเดียผู้นี้จะตายในโลกจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำรึยัง...”
“ยิ่งทางนั้นมีอังรี มายูอยู่ด้วย...เผลอๆ
เขาอาจจะต้องการเปลือกนอกของรุ่นพี่จนฆ่าทิ้งไปก็เป็นได้นี่คะ ฮึๆๆ” รุ่นน้องผมชมพูควงหอกเล่นไปมาพร้อมหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้ายจนทำให้อีกฝ่ายถึงกับต้องฉีกยิ้มกว้าง
“นั่นสินะ...ถ้าได้วิญญาณของเธอคนนั้นมาเป็นสมาชิกเดจาวู
คงจะยอดเยี่ยมไม่น้อยเลยล่ะ”
“...!! ท่านเกเทียคะ!!”
จังหวะที่เกเทียกำลังเดินเข้าไปหายูมินั้น เขาก็ได้หยุดชะงักเพราะพบเห็นบางอย่างผิดปกติ
แม้จะดูเหมือนไปตามคาดหมายแต่มันกลับมีอะไรมากกว่านั้น ออร่าสีดำค่อยๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวเธอที่กำลังนั่งก้มหน้าและคุกเข่าจนท่วมทั้งร่างพร้อมระเบิดออกเป็นลมพายุทั่วบริเวณ
ทุกอย่างบนตัวเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเริ่มเปลี่ยนทีละนิดๆ
“ฮึๆๆ พวกแกนี่มันทุเรศสิ้นดี...ทุเรศที่สุดในปฐพี...”
“ท่านเกเทีย...นั่นใช่สิ่งที่พวกเราต้องการจริงๆ รึเปล่าคะ ทำไมถึงดูแปลกไป...”
“ทั้งมิตรภาพ...ความรัก...พวกแกบังอาจทำลายทิ้งได้ลงคอจริงๆ เลยนะ”
“...!?”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังตะลึงกับคำพูดเมื่อครู่ รูปลักษณ์ของมาสเตอร์สาวก็ได้เปลี่ยนเป็นผมสั้นประมาณไหล่สีน้ำตาลเข้ม
บนผิวสีคล้ำหน่อยๆ มีรอยช้ำอยู่ อันแสดงให้เห็นจุดที่อาจารย์โคนามะเคยล้ำเขตต้องห้ามในสมัยมัธยมปลาย
สีนัยน์ตาไม่อาจทราบได้เพราะถูกผ้าหนังคาดตาสีเทาใส่ปิดไว้
จากเดิมเคยใส่ชุดยูนิฟอร์มคาลเดียกลับกลายเป็นชุดอื่นแทน โดยมีเสื้อสายเดี่ยวสีขาว-เทา
กางเกงขาสั้นสีดำขอบเข็มขัดสีม่วง เลคกิ้งและรองเท้าบู้ทสั้นสีดำ อีกทั้งยังมีถุงมือตัดนิ้วสีดำขอบส้มเข้ม
เสื้อคลุมยาวถึงสะโพกสีดำขอบเหลืองทองที่ด้านในเป็นสีส้ม และสร้อยคอคล้ายกับของโอคุริคาระ
สำคัญยิ่งกว่าคือ...กระเป๋าคาดเอวได้สลายหายไปพร้อมกับมีกลัดมณีเวทย์สีดำเม็ดสุดท้ายในนั้นลอยมา
เธอหยิบมันไว้ก่อนที่จะบีบให้แตกออกเป็นเศษเล็กๆ จนกระทั่งเริ่มหลอมรวมเข้าด้วยกันใหม่
แสงสีดำปรากฏขึ้นเป็นรูปลักษณ์อาวุธดาบคาตานะมาตรฐานภายในฝักสีม่วง
ใช่แล้ว...ดาบเล่มนั้นคือ...
“โอคุริคาระ...”
มาสเตอร์สาวเรียกชื่ออาวุธในจังหวะที่กลัดมณีเวทย์เม็ดสุดท้ายหลอมรวมเสร็จพอดีก่อนที่จะค่อยๆ
ลุกขึ้นยืนถือดาบเล่มนั้นไว้ในมือซ้าย ซึ่งพอผนวกกับชุดปัจจุบัน ทำให้เดจาวูในร่างเกเทียรู้ว่าผิดแปลกไปจริงๆ
“รุ่นพี่...”
“...” เธอไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้นพร้อมเงยหน้ามอง แม้ถูกปิดตาไว้แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังเวทราวกับเป็นเซอแวนท์ไรเดอร์นามว่าเมดูซ่าไม่มีผิด
“นี่เจ้า...”
“...”
“บังอาจปฏิเสธร่างใหม่จากจอกสีดำที่สมบูรณ์แบบงั้นรึ...อิชิมารุ ยูมิ อัลเตอร์!”
[ To be continued ]
ความคิดเห็น