ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fate/Grand Order] วันๆ ณ คาลเดียกับยูมิ [END]

    ลำดับตอนที่ #36 : Episode 3 ธาตุแท้แห่งเงาดำ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 205
      21
      15 ก.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N

    Episode 3 ธาตุแท้แห่งเงาดำ

    ----------------------------------------------------

    สิ่งตรงหน้าที่ทำให้ฉันฆ่าไม่ลงอย่างมาชูกำลังยืนเผชิญหน้าในร่างอัลเตอร์ด้วยสีหน้าตายด้านแต่กลับมีรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ ซึ่งดูเหมือนคลาสจะถูกเปลี่ยนใหม่จากชิลเดอร์กลายเป็นอเวนเจอร์ผู้ถือหอกสีแดงเล่มใหญ่ อนุภาคพลังเวทจำนวนมากวนเวียนอยู่ทั่วร่าง ราวกับยังมีกาลาฮัดคอยสนับสนุนแม้อยู่ในร่างอัลเตอร์ก็ตาม

    ไม่สิ...รุ่นน้องแสนใจดีและอ่อนโยนแบบนั้นจะยอมเข้าสู่ด้านมืดไปได้ยังไงกัน!

    “...”

    พอคิดได้เช่นนั้น ฉันจึงเริ่มเปิดปากถามเธอทันที

    นี่...มาชู เธอคงไม่ได้ตั้งใจเป็นอัลเตอร์จริงๆ หรอกใช่มั้ย

    ฉัน...ตั้งใจเลือกเส้นทางนี้อยู่แล้วค่ะ เพราะหลังจากถูกพาตัวมายังบัลลังค์โซโลมอน เขา คนนั้นได้บอกวิธีที่จะช่วยให้พวกเรามีชีวิตรอดต่อไปบนโลกใบใหม่ในอีกไม่ช้า รุ่นน้องตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งบวกกับท่าทางไม่เป็นมิตรต่อพวกเราสามคน

    แต่เธอไม่คิดบ้างเหรอ...ว่านั่นจะทำให้ยุคของมวลมนุษยชาติจบลง ทุกคนที่เคยช่วยไว้ต้องตายเพราะฝีมือเจ้าบุคคลปริศนาเพียงคนเดียวนะ!”

    กับอีแค่ขยะสังคมที่ล้นโลก รุ่นพี่จะไปแคร์ทำไมนักหนาล่ะคะ

    บ้าจริง...ตัวเธอในตอนนี้มีนิสัยผิดแปลกเกินไปแล้ว!

    ขะ...ขยะสังคม? รู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองพูดอะไรออกมา!”

    ฉันกำหมัดที่ถือหอกเกโบล์กไว้แน่น พยายามคิดวิธีเกลี้ยกล่อมให้เธอกลับมาสู่ร่างเดิมอีกครั้ง แต่ด้วยคำว่า ขยะสังคมจากปากมาชูที่พูดอย่างตายด้านเมื่อครู่ มันยิ่งทำให้ความคิดเริ่มตันเรื่อยๆ สมองค่อยๆ ถูกความมืดกลบทับถม จนกระทั่งมีเซอแวนท์คนหนึ่งเดินอ้อมมาตรงหน้าพร้อมยกมือขึ้นจับไหล่สองข้างเพื่อปลุกสติ

    คูจัง?”

    ยูมิ...อย่าสนใจคำพูดพวกนั้นเลย เดี๋ยวก็หมดกำลังใจจะสู้พอดี

    มาสเตอร์ นี่อาจจะเป็นความเห็นที่แย่หน่อย แต่พวกเราต้องกำจัดคุณหนูมาชูซะ นางไม่ใช่รุ่นน้องอย่างที่พวกเรารู้จักอีกต่อไปแล้ว

    คูแลนเซอร์ก้าวเดินออกมาเผชิญหน้ากับรุ่นน้องแล้วควงหอกเตรียมตั้งหลักพร้อมสู้รบ คำพูดของเขาเมื่อครู่เปรียบเหมือนคมมีดที่กรีดลงกลางอก แม้เธอคนนั้นจะไม่ใช่คนเดิมแต่ในใจกลับคอยบอกย้ำว่าต้องช่วยให้รอดพ้นจากขุมนรกและกลับบ้านด้วยกัน

    พวกเรา...จะพากันเข่นฆ่าเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้หรอก

    ฉันเริ่มตัดสินใจย่างก้าวตรงไปเพื่อมุ่งหน้าเข้าหามาชูอัลเตอร์และลองเกลี้ยกล่อมใหม่อีกครั้งโดยสั่งให้เซอแวนท์หนุ่มทั้งสองยืนรอสังเกตปฏิกิริยาอยู่ที่เดิมก่อน

    มาชู...”

    รุ่นพี่...มาอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนเถอะนะคะ เลิกสนใจขยะสังคม ทำลายล้างโลกใบเก่าและสร้างใหม่ จากนั้นก็สร้างความสัมพันธ์ให้เหนียวแน่นกว่าเดิม

    ก็ดีใจอยู่หรอกที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่ขอโทษนะ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก พวกเราเคยอยู่ด้วยกันมาสองปีแล้ว ฉันรู้จักเธออย่างดีเลยล่ะ เธอเป็นรุ่นน้องที่ใจดี อ่อนโยน มุ่งมั่นกับงานการ พร้อมทำหน้าที่ปกป้องทุกคนตลอดเวลา

    “...”

    เธอคนนั้นยืนถืออาวุธประจำตัวอย่างแน่นิ่ง สีหน้าอันไร้อารมณ์ยังคงแสดงให้เห็นเหมือนเดิม สายตาจับจ้องมองทั้งใบหน้าและหอกเกโบล์กที่ฉันแอบไว้ข้างหลัง

    เธอลองนึกถึงช่วงเวลาดีๆ พวกนั้นให้ออกสิ ทั้งช่วยแก้ไขจุดพลิกผัน พาเข้าอีเว้นท์ในช่วงที่ฉันเพิ่งเป็นมาสเตอร์มือใหม่ และก็ตอนพักผ่อนอยู่ในคาลเดียด้วย พวกเราทุกคนต่างใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขทั้งนั้นเลยนะ!”

    .

    ..

    ...

    ....

    .....

    เมื่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไปได้สักพักใหญ่ เธอก็ค่อยๆ หัวเราะลั่นบัลลังค์โซโลมอนก่อนที่จะฉีกยิ้มกว้างราวกับกำลังเยาะเย้ยให้เสียท่า

    มะ...มาชู?”

    แต่พอเวลาผ่านไปนานๆ รุ่นพี่ก็เริ่มเข้าหากลุ่มเซอแวนท์ผู้ชายแทนฉันไม่ใช่เหรอคะ แถมยังใจง่าย ยอมให้ใครต่อใครเข้าใกล้ชิดอีก อย่างกับเป็นอีตัวยังไงยังงั้น

    “...!!?”

    ฉันกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ด คำพูดจากปากรุ่นน้องแสนใจดีเหล่านั้นเหมือนเป็นการสื่อความรู้สึกจากก้นบึ้งในใจที่ฝังลึกมายาวนาน มันรุนแรงเกินจะรับไหวจริงๆ

    เธอคง...เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ย

    วันๆ เอาแต่ใช้เวลาจู๋จี๋กับผู้ชายเนี่ย ไม่เคยเบื่อหน่ายบ้างเลยเหรอคะ

    “...”

    บ้าจริง...ทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้นะ!

    ทั้งที่เมื่อวานยังยิ้มแย้ม ตะลุยในอีเว้นท์คริสต์มาสด้วยกันได้อยู่เลยแท้ๆ!!

    ว่าจบก็เริ่มควบคุมอารมณ์บางอย่างที่เก็บกดไว้ไม่ไหวแล้วออกตัววิ่งขึ้นบันไดหวังจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด โดยระหว่างนั้นฉันแอบคิดในใจอยู่เรื่องหนึ่ง...ถ้าหาก กำจัดเธอทิ้งและขอพรจากจอกศักดิ์สิทธิ์ให้ฟื้นขึ้นด้วยร่างธรรมดา นั่นอาจเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ก็ได้

    เพราะงั้น...ขอโทษด้วยนะ มาชู

    ฮ้าาาาาาาา!!!

    เผยสันดานที่แท้จริงจนได้สินะคะ...รุ่นพี่ แต่ฉันคงฆ่าคุณตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ!”

    รุ่นน้องอัลเตอร์กระโดดพุ่งตรงมาและจับหันหอกเล่มใหญ่อีกด้านมาจ่อในระดับเดียวกับกลางอกหวังน็อกเอ้าท์ ฉันรีบหยุดชะงักตัวแล้วเบี่ยงตัวหลบทางซ้ายมือพร้อมเหวี่ยงเกโบล์กปัดป้องอาวุธฝ่ายตรงข้ามออกก่อนที่จะยอมร่วงลงข้างล่างเพื่อส่งโทรจิตบอกให้เซอแวนท์ของตัวเองช่วยรับไว้

    คูจัง!’

    รับทราบ...

    คูจังตอบรับและวาร์ปเข้ามาจับแขนซ้ายของฉันพร้อมเหวี่ยงขึ้นกลับบนบันไดสีขาวเหมือนเดิม พอลองหันมองอีกที มาชูก็เริ่มเปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นคูแลนเซอร์แทนเสียแล้ว หอกทั้งสองเล่มต่างปะทะกันจนเกิดประกายไฟและเสียงที่ดังสนั่นลั่นบัลลังค์ การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วสมกับเป็นเซอแวนท์จริงๆ

    ต่อมาเซอแวนท์หนุ่มผู้ถือครองหอกเกโบล์กได้หาจังหวะทีเผลอหมุนตัวถีบรุ่นน้องอัลเตอร์ให้ปลิวประมาณห้าเมตรแล้วถอยมาตั้งหลักโดยย่อตัวลงแตะพื้นตรงหน้าด้วยมือซ้าย ส่วนขาซ้ายเหยียดออกข้างหลัง

    เอาล่ะ...เวลาเริ่มลดน้อยลงทุกที ข้าคงออมมือให้กับคุณหนูไม่ได้แล้วแหละ

    พลหอกน้ำเงินพุ่งตรงข้างหน้าแล้วค่อยออกแรงกระโดดถอยหลังขึ้นบนฟ้า มือขวายกอาวุธหอกขึ้นเตรียมขว้างใส่อีกฝ่าย ออร่าสีแดงเริ่มปรากฏจากบริเวณปลายหอกอันเป็นพลังเวทในรูปแบบโฮกุประเภทต่อต้านกองทัพ สีหน้าของเขาบ่งบอกชัดเจนว่า จะใช้พลังนี้อย่างไม่ลังเลแน่นอน

    “...”

    จงรับไปซะ! เก...โบล์ก!!”

    ว่าจบก็เริ่มเบิกตากว้างพร้อมขว้างอาวุธประจำตัวออกไปหามาชูอัลเตอร์ มันพุ่งลงอย่างเร็วไวราวกับดาวตกสีแดง ออร่าจากปลายหอกค่อยๆ ท่วมทั้งเล่มจนคำนวณอนุภาคพลังเวทได้มหาศาล ถ้าเล็งกลางหัวใจเรียบร้อย จะไม่มีทางหลบหลีกได้ไหวแน่นอน

    เหล่าบาดแผลทั้งหมด ความเคียดแค้นและโศกเศร้าทั้งปวง บ้านเกิดของพวกเราจงเยียวยา...

    “...!!?”

    บทพูดนั่น...โฮกุของมาชูร่างธรรมดาไม่ใช่เหรอ!!

    จงสำแดงฤทธิ์เสีย...ลอร์ด คาเมล็อต!”

    เธอเรียกโล่ขนาดใหญ่ขึ้นมาวางปักบนพื้นด้วยมือขวาข้างเดียวในขณะที่มือซ้ายยังคงถือหอกสีแดงไว้อย่างแน่น โฮกุเริ่มสำแดงฤทธิ์โดยมีกำแพงคาเมล็อตขนาบข้าง เพียงแต่ครั้งนี้มันเปลี่ยนสีเป็นแดงเลือดทั้งหมด

    เมื่อปลายหอกบรรจบกับโล่ป้องกันชั้นนอกภายในเสี้ยววินาที ลมพายุได้เริ่มพัดทั่วบัลลังค์อย่างรุนแรง ตัวฉันที่กำลังยืนมองเกือบจะล้มลงข้างล่าง ซึ่งยังโชคดีหน่อยที่ได้คูจังช่วยรับตัวไว้ทัน

    โหๆ กะไว้แล้วเชียวว่าคุณหนูต้องมาไม้นี้ ถึงเป็นร่างอัลเตอร์แต่ยังมีสกิลป้องกันติดตัวสินะคูแลนเซอร์วาร์ปกลับมาหาพวกเราทั้งสองคนพร้อมยิ้มมุมปากเล็กๆ ให้ฝ่ายตรงข้าม

    แลนเซอร์! ลองหาจังหวะทีเผลอแล้วจัดการมาชูซะ! ฉันไม่สนเรื่องผลลัพธ์ต่อจากนี้อีกต่อไปแล้ว! แค่เอาชนะและขอพรจากจอกศักดิ์สิทธิ์ก็พอ!”

    ฉันเริ่มออกคำสั่งในฐานะมาสเตอร์โดยทำการใช้เรย์จูหนึ่งเส้นเพื่อถ่ายทอดพลังเวทเสริมเข้าไป แสงสีแดงบนมือขวาค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมออร่าสีฟ้าอ่อนๆ ล้อมรอบตัว จากนั้นจึงยกเกโบล์กที่กำลังถืออยู่ให้ใช้แทน

    ระหว่างนั้นก็ใช้เจ้านี่ด้วยนะ เดี๋ยวฉันจะเรียกอาวุธใหม่ด้วยกลัดมณีเวทย์ในภายหลังเอง

    คุณหนู...เจ้ามั่นใจดีแล้วใช่มั้ย เพราะถ้าเกิดศึกครั้งนี้จบลงแต่จอกไม่ตอบรับคำปรารถนา อาจจะเสียใจภายหลังนะพลหอกน้ำเงินเปิดปากถามเพื่อความมั่นใจแต่เขายังอุตส่าห์รับอาวุธหอกไว้ติดมือ

    นั่นสิ บางทีฉันคงเห็นแก่ตัวเกินไปน่ะแหละ แต่ว่า...เวลาของพวกเรามีไม่มากพอ เจ้าบุคคลปริศนายังไม่ปรากฏตัว ทางเลือกก็เลยถูกบีบให้น้อยลงด้วย ถ้าจอกศักดิ์สิทธิ์ไม่ตอบรับและมาชูล้มตายอย่างไม่มีทางฟื้น ฉันอนุญาตให้ใช้โฮกุสังหารมาสเตอร์ยอดแย่คนนี้ได้เลย

    ...

    สิ้นเสียงของฉันปุ๊บ บรรยากาศเริ่มมาคุขึ้น พอบวกกับอุณหภูมิอากาศรอบตัวที่เย็นเฉียบ ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ลงไปอีก ขอยอมรับตามตรงว่าไม่อยากพูดคำนั้นออกไปให้เสียขวัญกำลังใจเลยสักนิด แต่ในหัวกลับคิดได้แค่เรื่องนี้จริงๆ

    ให้ตายเถอะ ฉันนี่มัน...บ้าที่สุด!

    ยูมิ...ทำไมเจ้าถึง...

    ในจังหวะที่คูจังกำลังถามได้ไม่กี่คำ พวกเราพบว่าการต่อต้านโฮกุของมาชูอัลเตอร์เริ่มใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทน เกราะสีขาวบนมือขวาที่กำลังจับโล่ค่อยๆ ร้าวทีละนิด มันเริ่มแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นมือบางอันขาวเนียน เธอพยายามต้านเอาไว้อย่างสุดกำลังแล้ว แต่สุดท้าย...

    ฮ้าาาาาาาา!!!

    โล่ป้องกันชั้นนอกจากลอร์ด คาเมล็อตได้แตกสลายต่อหน้าต่อตาพร้อมเกิดการระเบิดเป็นรัศมีวงกว้างทั่วทั้งพื้นที่ ลมพายุโบกพัดแรงขึ้นหลายเท่าตัว พวกเราสามคนต่างพยายามทรงตัวให้อยู่ ณ ตำแหน่งเดิม สายตาของฉันจับจ้องมองไปยังตรงหน้าเพื่อรอผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้

    ...

    หอกเกโบล์กของคูแลนเซอร์...จะสามารถทะลวงไปถึงหัวใจของมาชูอัลเตอร์ได้จริงๆ รึเปล่านะ


    [ ทางด้านของเซอแวนท์กลุ่มหนึ่ง ]

    ในระหว่างการเดินทางเข้าสู่บัลลังค์โซโลมอนของกลุ่มเซอแวนท์ที่มีความผูกพันกับมาสเตอร์สาว เอมิยะพยายามแถลงไขเรื่องที่อราชเคยสั่งเสียก่อนตายด้วยสเตล่าอันเป็นการสละชีพให้แต่ละคนได้ฟัง ทั้งคูฮูลินน์แคสเตอร์ กิลกาเมชแคสเตอร์ และฟูมะ โคทาโร่ รวมถึงบอกแผนการเอาชนะศัตรูเพื่อช่วยปกป้องยุคของมวลมนุษยชาติให้อยู่รอดดังเดิม

    แล้วคุณหนูจะไม่รู้สึกแย่เอาภายหลังเหรอ นางยิ่งเป็นห่วงพวกเรามากกว่าตัวเองซะด้วย ไม่รู้ว่าพอได้ฟังเรื่องนี้จบแล้วจะคิดเห็นยังไงบ้างคูแคสเตอร์ที่อยู่ข้างพลธนูแดงขมวดคิ้วเล็กน้อยและเปิดปากถามด้วยความรู้สึกกังวลใจ

    อย่ากังวลอะไรนักเลย ข้าเชื่อว่าเจ้าพันทางต้องเข้าใจสถานการณ์นี้แน่ๆ เพราะนี่คือศึกครั้งสุดท้ายอันนองเลือด เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ต้องมีใครสักคนหนึ่งยอมเสียสละทุกอย่างเพื่ออีกคนหนึ่ง

    กิลกาเมชแคสเตอร์พูดตามความคิดและประสบการณ์ของตัวเองที่ได้พบเจอในจุดพลิกผันบาบิโลเนีย เพราะเขาเคยปกป้องมาสเตอร์โดยการยืนเข้าไปรับลำแสงจากเทียแมทจนแผงอกข้างซ้ายเป็นรูทะลุถึงข้างหลัง แม้เขาจะไม่อยากรำลึกถึงมันสักเท่าไหร่ก็ตาม

    นายท่าน...จะไม่เป็นไรแน่เหรอขอรับ

    ต้องไม่เป็นไรอยู่แล้ว โคทาโร่เอ๋ย นางยังมีเจ้าคูฮูลินน์อีกสองคนคอยร่วมต่อสู้นี่นา

    ใช่ๆ อย่างที่ท่านฟาโรห์บอกแหละ เจ้าพวกนั้นแข็งแกร่งจะตาย ไม่มีทางยอมแพ้ให้กับศัตรูง่ายๆ แน่นอนคูโปรโตไทป์ยิ้มให้นินจาหนุ่มเชิงปลอบขวัญกำลังใจทั้งที่ตัวเขาเองก็วิตกกังวลไม่แพ้กัน

    เท่าที่ข้ารู้จักมาสเตอร์มาทั้งหมด...นางเป็นคนที่จริงจัง มุ่งมั่นตั้งใจ พยายามทำทุกอย่างเพื่อทุกคนในคาลเดีย ถึงรู้ตัวดีว่าเป็นการฝืนตัวเอง แต่นางกลับไม่ยอมล้มเลิก เวลาพักผ่อนในมายรูมเองก็คงมีน้อยเกินไปด้วย

    นั่นสินะ พอผนวกกับสมัยที่ยูมิยังเรียนมัธยมปลายแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วงขึ้นไปอีกเลยล่ะ

    พลธนูแดงเห็นด้วยกับความเห็นของดันเต้เมื่อครู่พร้อมถอนหายใจเบาๆ ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ในฐานะที่เป็นเซอแวนท์เริ่มต้นและเปรียบดั่งคุณแม่ประจำคาลเดียแล้ว จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นห่วงยิ่งกว่าใครอื่น

    ระหว่างนั้นเอง ซิกที่ขอติดตามหลังมากับพวกเขาก็นึกอะไรบางอย่างออกก่อนที่จะเปิดปากถามเพื่อไขข้อสงสัยโดยไม่รอช้า

    เอ่อ...ฉันมีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่คาใจเมื่อไม่นานน่ะ

    “...?”

    พักนี้...มาสเตอร์ทำตัวแปลกๆ ไปรึเปล่านะ ตั้งแต่ตอนฝันถึงโรงเรียนคาลเดียที่มีพวกเราทั้งแปดคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอดูเหมือนจะนั่งจิตตกในช่วงที่ได้พักผ่อนจากอีเว้นท์แทบทุกครั้งเลย

    ใช่แล้ว...ในฝันนั้นมีเซอแวนท์ผู้เกี่ยวข้องอย่างคูฮูลินน์ทั้งสี่ เอมิยะ อราช ซิก และโคทาโร่ ซึ่งตอนท้ายมาสเตอร์ผมดำถูกกลั่นแกล้งขั้นรุนแรงจนตัวตายในที่สุด!

    ครั้งก่อนแคสเตอร์หนุ่มผมน้ำตาลเคยแอบสังเกตยูมิอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่นั่งคนเดียวและคูอัลเตอร์ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เขาพบเห็นพฤติกรรมแปลกๆ อย่างเช่นนั่งกุมหัวตัวเองด้วยความทรมาน บางวันก็กรีดร้องเพื่อขับไล่ใครสักคนออกจากชีวิตแล้วค่อยเป็นลมชักกำเริบในจังหวะที่ไม่มีเซอแวนท์คนไหนคอยช่วย

    โดยเฉพาะอีเว้นท์ Battle in New York ตอนเข้าร่วมศึกชาเล้นจ์ หลังจากพวกเขาเอาชนะโอคาดะ อิโซเรียบร้อยและกำลังจะรอรับรางวัล มาสเตอร์สาวสังเกตเห็นศัตรูพยายามขอสู้ต่อ เธอเกิดอาการโมโหจนเหล่าผู้ชมโห่ร้อง

    นับตั้งแต่นั้นมา อารมณ์เคียดแค้นจึงเริ่มเข้าครอบงำจิตใจง่ายกว่าเดิม

    จะว่าไปเจ้าอัลเตอร์เคยแอบส่งโทรจิตเล่าให้ข้าฟังว่า หลังจากฝันเรื่องนั้นจบ นางตกอยู่ในสภาวะใกล้โคม่าชั่วขณะเลยแฮะ ถ้าไม่ได้เจ้านั่นคอยช่วยปลอบโยน คงจะเกิดอาการขั้นหนักจนถึงวันนี้ก็ได้

    เอมิยะจับคางครุ่นคิดพร้อมนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนในช่วงตีสามที่ยูมิเดินเล่นกับคูอัลเตอร์จนถึงห้องครัว ซึ่งเขากำลังตรวจเช็คเสบียงและจัดอุปกรณ์ครัวอยู่พอดี

    ต่อมาคูแคสเตอร์เริ่มเล่าให้ฟังว่า เขาเคยเห็นภาพอันน่าหดหู่ในชาเล้นจ์ที่สี่ประจำอีเว้นท์ Battle in New York หลังจากเซอแวนท์ทั้งหกล้มตายกันหมด จู่ๆ ร่างเงาดำแปลกประหลาดก็ปรากฏจากด้านหลังพร้อมเข้าสิงสู่จิตใจมาสเตอร์จนต้องเรียกอาวุธดาบเพื่อคร่าชีวิตศัตรูอย่างโหดเหี้ยม

    ยิ่งกว่านั้นคือ...เธอลุยชาเล้นจ์ที่เหลือต่อด้วยตัวคนเดียวจนกระทั่งกิลกาเมชไล่ออกจากอีเว้นท์ในภายหลัง แน่นอนว่าร่างเงาปริศนานั่นก็เริ่มแยกตัวออกด้วยเช่นกัน ทำให้คืนนั้นเธอเริ่มฝันร้ายขั้นรุนแรง

     

    บทสนทนาบางส่วนที่คูแคสเตอร์ได้ยินจากความฝัน

    นี่ฉัน...ทำอะไรลงไป ทำไมถึงถูกกีดกั้นจากอีเว้นท์ล่ะ แถมยังมีเลือดเปรอะเปื้อนเต็มตัวไปหมด

    ฮิๆๆๆ

    นั่นมัน...เสียงหัวเราะ...ของฉัน?’

    ฮ่าๆๆๆๆๆ ตายซะเถอะ...ตายๆ กันให้หมดเลย!’

    บ้าน่า! ฉันไม่มีทางพูดแบบนั้นสักหน่อย! ใช่แล้ว...ความฝัน...มันก็แค่ความฝันใช่มั้ยล่ะ!’

    พวกแกก็แค่--- ถ้ารีบๆ ตายไป ---นี้จะ---ขึ้นเยอะ!’

    ไม่! ไม่ใช่!! นั่นไม่ใช่ฉัน!!’

    เธอหลีกหนี---ของตัวเองไม่ได้หรอก...และจะไม่มีวันหนีมันพ้น! ฮ่าๆๆๆๆ

    กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!’

     

    ตอนนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงปริศนานั่นต้องการจะสื่อถึงอะไร แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

    “...”

    บรรยากาศเริ่มมาคุขั้นหนักหลังจากซิก เอมิยะ และคูแคสเตอร์เล่าเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นกับยูมิ อุณหภูมิอากาศภายในห้วงมิติระหว่างประตูสู่บัลลังค์โซโลมอนเย็นลงแปลกๆ จนการรับรู้อุณหภูมิของร่างกายแต่ละคนเริ่มผิดเพี้ยนจากเดิมที่ไม่เคยรู้สึก

    ความฝันนั่น...จะมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้รึเปล่านะ” < ซิก

    อาจเป็นไปได้นะขอรับ ทันทีที่ได้ยินคำว่า ร่างเงา จากปากของท่านคูฮูลินน์ กระผมก็เลยคาดเดาเอาไว้ก่อนครึ่งต่อครึ่ง” < โคทาโร่

    โหๆ เจ้าก็คิดเช่นนั้นด้วยงั้นรึ โคทาโร่เอ๋ย” < โอจิมังเดียส

    หืมม...ดูเหมือนพวกเจ้าสองคนต่างมีความคิดเห็นเหมือนกับข้าสินะ” < กิลกาเมช

    “ระ...หรือว่า...

    ยังไม่ทันที่คูโปรโตไทป์จะพูดอะไรต่อ อเวนเจอร์หนุ่มได้ส่งสัญญาณเตือนหลังจากสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างที่เริ่มเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที ซึ่งเอมิยะเองก็สัมผัสได้เช่นกัน พลังงานเหล่านั้นมีอนุภาคค่อนข้างสูงราวกับมีใครสักคนกำลังใช้โฮกุอยู่

    ท่าทางพวกเราจะเริ่มใกล้ถึงบัลลังค์โซโลมอนแล้ว แถมยังมีพลังเวทที่ถูกปลดปล่อยในรูปแบบโฮกุอีกด้วย นั่นเป็นของใครกันแน่นะ

    ดันเต้...ข้าว่ามันไม่ใช่แค่นั้นหรอก ยังมีพลังเวทอีกส่วนหนึ่งเริ่มหลอมรวมเข้ากันใหม่หลังจากแตกสลายไป บางทีอาจเป็นของเจ้าบุคคลปริศนาก็ได้นะ

    “...!!?”

    พอเอมิยะเริ่มทำการยืนยันพลังงานที่ตนสัมผัสได้ทั้งหมด ทุกคนต่างมีความรู้สึกเดียวกันว่า ยูมิกำลังตกอยู่ในอันตราย ยิ่งจิตใจของเธอคนนั้นเริ่มอ่อนแอลงจนถูกอารมณ์บางอย่างเข้าครอบงำง่ายด้วย

    ดังนั้น...พวกเขาทั้งแปดคนจึงรีบพากันมุ่งหน้าเข้าสู่บัลลังค์โซโลมอนเพื่อตามช่วยให้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป!

    .

    .

    .

    .

    .

    หลังจากการต่อต้านโฮกุของมาชูอัลเตอร์ถึงขั้นขีดจำกัด ลมพายุที่พัดโบกค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ เพียงแต่ยังหลงเหลือฝุ่นควันบดบังวิสัยทัศน์จนมองไม่เห็นร่างของเธอ เหล่าคาลเดียทั้งสามต่างยืนรอดูผลลัพธ์ที่กำลังจะตามมา

    จะทำสำเร็จรึเปล่านะ...

    ยูมิพูดพึมพำเบาๆ ในขณะที่จ้องมองสิ่งตรงหน้าโดยไม่ละสายตา มือขวาเริ่มหยิบกลัดมณีเวทย์จากกระเป๋าคาดเอวขึ้นบีบให้แตกและหลอมรวมเป็นหอกเกโบ (เล่มสีเหลืองของเดียร์มุด) เพื่อใช้มันแทนอีกเล่มหนึ่ง จังหวะนั้นเอง เซอแวนท์หนุ่มคลาสเบอเซิกเกอร์ได้เดินมายืนเคียงข้างพร้อมยกมือขึ้นแตะไหล่ซ้ายเบาๆ

    ยูมิ...ตอนนี้กลัดมณีเวทย์เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวแล้ว เจ้ายังพอสู้ไหวจริงๆ ใช่มั้ย

    อื้ม...ไม่เป็นไรหรอก คูจัง เม็ดสุดท้ายนั่นเดี๋ยวเก็บเอาไว้ก่อนละกัน ตราบใดที่หอกของพวกเราทั้งสามยังไม่แตกสลาย ฉันจะไม่ใช้มันเด็ดขาด และถ้าไม่มีอาวุธแล้วก็คงต้องสู้ด้วยมือเปล่า เพราะร่างกายนี้...ยังมีพลังเวทไหลเวียนอยู่

    “...”

    พอเธอพยายามตอบและยิ้มบางให้หายห่วง คูอัลเตอร์เงียบปากไปแล้วยกมือข้างที่แตะไหล่ขึ้นมาลูบหัวเบาๆ ความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่นี้ทำให้รู้สึกมีแรงกำลังใจมากขึ้นกว่าเดิม จิตใจเริ่มสงบลงทีละนิดจากตอนแรกที่ควบคุมอารมณ์บางอย่างไว้ไม่อยู่

    แต่ถึงอย่างนั้น...เป้าหมายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

    พวกเขา...ต้องกำจัดมาชูร่างดำมืดนี้และขอพรให้จอกศักดิ์สิทธิ์เติมเต็มความปรารถนาด้วยการปลุกฟื้นเธอขึ้นใหม่ในร่างธรรมดาซะ

    มาสเตอร์...

    ในระหว่างที่มาสเตอร์สาวกำลังนึกคิดถึงเรื่องเมื่อครู่ คูแลนเซอร์ก็เรียกเธอพร้อมก้าวเท้าเดินตรงข้างหน้าแล้วควงหอกเกโบล์กเตรียมเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง

    ท่าทางผลลัพธ์จะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคาดหวังซะแล้วสิ

    “...!?”

    ฮึๆๆ สมกับเป็นยอดนักรบแห่งอัลสเตอร์จริงๆ นะคะ...คุณคูฮูลินน์ โฮกุเมื่อกี้ทำเอาโล่ของฉันแทบแตกเลยล่ะ

    รุ่นน้องหัวเราะในลำคอพร้อมค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนท่ามกลางฝุ่นควันเหล่านั้น เกราะมือสีขาวทั้งสองข้างแตกกระจายหายไปกับโฮกุประเภทต่อต้านกองทัพของพลหอกน้ำเงิน มือซ้ายยังคงถืออาวุธหอกสีแดงเล่มใหญ่ไว้มั่น แต่มือขวากลับว่างเปล่า โล่ที่เคยใช้เมื่อไม่นานถูกวางทิ้งบนพื้นดิน 

    ตอนนี้แหละ แลนเซอร์! ใช้โอกาสนี้เข้าสู้กับมาชูได้เลย!’

    โอ้ว!!’

    ทันทีที่มาชูลุกขึ้นตั้งหลักเสร็จ ยูมิรีบส่งโทรจิตให้แลนเซอร์หนุ่มเตรียมบุกโดยไม่ยอมให้เสียเวลาอันจำกัดไปมากกว่านี้ ซึ่งครั้งนี้จะร่วมสู้ด้วยทั้งหมดสามคน

    พวกเขารีบพุ่งตรงเข้าหาโดยแยกกันคนละทิศทาง หญิงสาวผมดำที่เริ่มเปิดศึกคนแรกจับอาวุธเล่มสีเหลืองด้วยมือขวาไว้มั่นพร้อมถ่ายโอนพลังเวทไปยังขาสองข้างแล้วออกแรงกระโดดขึ้นบนฟ้าก่อนที่จะจับฟาดลง ณ ตำแหน่งที่หญิงสาวผมชมพูกำลังยืนอยู่

    ฮ้ากกกกก!!!”

    เปล๊ง!!

    เสียงอาวุธทั้งสองเล่มปะทะกันรวมถึงพื้นดินที่แตกหักดังสนั่นบัลลังค์หลังจากอีกฝ่ายตวัดหอกเล่มใหญ่ขึ้นต่อต้านเอาไว้ทัน ทั้งตัวเธอที่ยังคงอยู่เบื้องบนและรุ่นน้องอัลเตอร์ต่างควงหอกสลับกับฟาดปะทะกันไปมาจนเกิดประกายไฟเล็กๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งคนเบื้องล่างเริ่มใช้ช่องโหว่เพื่อชูอาวุธประจำตัวตั้งฉากให้ด้านแหลมคมชี้ขึ้นฟ้า

    “...!!”

    แย่ล่ะสิ!! คุณหนูกำลังตกอยู่ในอันตราย!!

    คูแลนเซอร์สังเกตเห็นยูมิที่กำลังจะถูกโจมตีพร้อมยกเกโบล์กขึ้นเหนือไหล่ ออร่าสีแดงเริ่มปรากฏท่วมทั้งเล่ม เขากำอาวุธไว้แน่นก่อนที่จะออกแรงขว้างตรงไปยังเป้าหมายหวังช่วยมาสเตอร์ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือศัตรู

    ชิ...!”

    มาชูอัลเตอร์แสดงความรู้สึกขัดใจที่มีคนคอยขัดขวางการต่อสู้ของตัวเอง เธอเปลี่ยนใจจากตอนแรกที่จะทิ่มแทงรุ่นพี่ผมดำเป็นเหวี่ยงปัดป้องเกโบล์กของพลหอกน้ำเงินออกพลางหมุนตัวฟาดขาขวาเข้าไปเตะอีกคนขึ้นฟ้าในมุม 45 องศาจากพื้นดิน

    ...!”

    ในระหว่างนั้น คูอัลเตอร์ที่กำลังควงหอกเตรียมสู้ได้พบเห็นแฟนสาวด้วยหางตาพอดี เขาออกแรงขาสองข้างเหยียบพื้นจนเกิดรอยร้าวและก้อนดินที่แตกกระจาย จากนั้นก็กระโดดพุ่งขึ้นคว้าตัวไว้ในอ้อมแขนพร้อมพาเธอลงบันไดสีขาวอย่างปลอดภัย

    ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ย...ยูมิ

    อะ...อื้ม ขอบคุณนะ

    ทางด้านคูแลนเซอร์ตอนนี้เริ่มออกตัววิ่งเข้าหาอีกฝ่ายและเรียกอาวุธหอกให้ลอยหาเจ้าของ ซึ่งได้กลับมาเพียงแค่ของตัวเองเท่านั้น ส่วนของยูมิที่เรียกจากกลัดมณีเวทย์สลายหายไปพร้อมกับฝุ่นควัน

    เปล๊ง!! เปล๊ง!!

    การปะทะกันระหว่างสองคนดำเนินต่อจากศึกครั้งที่แล้ว โดยรอบนี้มาสเตอร์สาวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคาวเลือดที่ปนอยู่กับอนุภาคพลังเวทรอบตัวพวกเขา ความเกลียดชังของรุ่นน้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอยากสังหารกลุ่มคาลเดียให้ตายแล้วเหลือไว้เพียงรุ่นพี่คนเดียวเท่านั้น

    พอเวลาผ่านไปไม่นาน บัลลังค์โซโลมอนแห่งนี้ก็เริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อให้เกิดสัญญาณบางอย่าง มาชูอัลเตอร์แอบยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งตรงเข้าหามาสเตอร์แล้วหันด้านแหลมของอาวุธประจำตัวจ่อในระดับกลางอก ออร่าสีแดงอันเป็นพลังเวทหลอมรวมอยู่บนปลายหอก 

    หญิงสาวผมดำเพิ่งจะรู้สึกตัวจนร่างกายตอบสนองช้า นึกวิธีป้องกันไม่ทัน แต่ต่อมากลับรอดอย่างหวุดหวิดเพราะคูอัลเตอร์ช่วยปกป้องโดยการรับคมหอกด้วยมือที่ว่างเปล่า

    ฉึก!!

    เลือดสีแดงสาดกระเซ็นลงพื้นบันไดพร้อมกับมือซ้ายที่ถูกทิ่มทะลวงถึงด้านหลัง คำสาปค่อยๆ แผ่กระจายทั่วทั้งแขนและกัดกินพลังเวทอย่างช้าๆ แสดงให้เห็นว่าหอกเล่มนั้นถูกชโลมด้วยพิษ ช่วงแรกที่คูแลนเซอร์กับรุ่นน้องสู้กัน ยังไม่มีใครได้รับบาดแผลจากอาวุธของฝ่ายตรงข้าม จึงไม่อาจทราบถึงความอันตรายของมันในตอนนั้น

    อึ่ก...

    คูจัง!!” ยูมิรีบพาเบอเซิกเกอร์หนุ่มถอยออกห่างจากมาชูแล้วพยายามใช้พลังเวทลบล้างพิษออก เขายืนมองสักพักก่อนที่จะจับมือขวารั้งไว้ไม่ให้ทำอย่างอื่นใดต่อ

    ข้าไม่เป็นไรหรอก...ตอนนี้ยังพอไหวอยู่...

    แต่ว่าคำสาปนั่นน่ะ...!!”

    แหม...คุณอัลเตอร์เนี่ยช่างดื้อด้านจริงๆ นะคะ ดูแล้วแทบไม่ได้ต่างอะไรจากรุ่นพี่เลยเนอะ

    รุ่นน้องอัลเตอร์ค่อยๆ เดินเข้าหาอย่างช้าพร้อมหัวเราะในลำคอเชิงเย้ยหยัน มือขวากำอาวุธเล่มใหญ่แน่นหวังใช้มันฝังคำสาปต่อ มาสเตอร์สาวรีบเข้าไปขัดขวางและถือหอกเกโบเพื่อเตรียมปกป้องคนรักสุดหัวใจ

    ขอร้องล่ะ หยุดสักทีได้มั้ย เธอจะฆ่าใครก็ตามใจ แต่อย่าฆ่าคูจังเลยนะ!”

    “...”

    เพี๊ยะ!!

    พอฟังจบประโยค เธอแอบยิ้มมุมปากพร้อมใช้มือขวาฟาดลงบนแก้มซ้ายจนสัมผัสถึงความร้อนผ่าวของมัน ต่อจากนั้นก็ดึงร่างรุ่นพี่แล้วยกเท้าขวาออกแรงถีบแผ่นหลังจนตัวปลิวออกห่างประมาณสามเมตร และกลิ้งบนพื้นหลายตลบ

    อั่ก...!”

    มาสเตอร์!!”

    ทั้งคูแลนเซอร์และอัลเตอร์ต่างรีบวิ่งลงไปสมทบข้างๆ มาสเตอร์อย่างไม่รอช้า พวกเขาต่างแสดงสีหน้าเป็นกังวล กลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหรือสิ้นลมต่อหน้าต่อตาโดยที่ยังไม่เสร็จภารกิจของตัวเอง

    ไม่นึกเลยว่ารุ่นพี่จะโง่เง่าขนาดนี้ การที่พวกเราจะได้อยู่บนโลกใบใหม่กันแค่สองคนจำเป็นต้องปรานีคนอื่นด้วยเหรอคะ

    บ้าจริง...จิตใจของเธอเริ่มดำมืดลงทุกที แบบนี้คงเรียกว่าสูญเสียตัวตนที่แท้จริงแล้วสินะ

    “...”

    ไม่หรอก...! นี่ต้องเป็นฝีมือของเจ้าบุคคลปริศนาแน่ๆ!

    มาชู...เลิกหลอกตัวเองเถอะ ฉันรู้ว่าเธอ...ไม่มีทางยอมเป็นอัลเตอร์แล้วฆ่าพวกเราหรอก”

    หญิงสาวผมดำพยายามยกหอกสีเหลืองขึ้นปักบนพื้นแล้วค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังรู้สึกเจ็บทั่วแผ่นหลัง สายตาจับจ้องมองขึ้น ณ เบื้องบนบัลลังค์โซโลมอนจนพบว่ารุ่นน้องกำลังหันหน้ามาเผชิญกับเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

    โธ่...เป็นแค่มาสเตอร์ที่ไม่ชำนาญพอแท้ๆ ยังกล้าใช้ปากพล่อยๆ พูดจาออกมาได้อีกนะคะ”

    “...”

    ไม่สิ...บางทีอาจเป็นรุ่นพี่ที่เอาแต่หลอกตัวเองมากกว่าล่ะมั้ง”

    เอ๊ะ...?”

    ถ้าอิงตามคำพูดของ ‘เขา’ คนนั้นที่เล่าให้ฟังและช่วยฉันเลือกเส้นทางนี้ล่ะก็...มีโอกาสที่พวกเราสองคนจะเข้าขากันได้ดีกว่าพวกเซอแวนท์กู้โลกหลายเท่าเลยนี่นา”

    สิ้นเสียงของรุ่นน้องอัลเตอร์แล้ว จิตใจของยูมิเริ่มถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกสับสน เธอถามตัวเองซ้ำๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องอะไร ทั้งคำว่า 'หลอกตัวเอง' 'อิงตามคำพูดของเขา' 'โอกาสที่จะเข้าขากันได้ดีกว่าเซอแวนท์'

    เธอ...ไม่เข้าใจสิ่งที่รุ่นน้องต้องการจะสื่อเลยจริงๆ

     

    ฮิๆๆ

    ‘เธอหลีกหนี---ของตัวเองไม่ได้หรอก และจะไม่มีวันหนีมันพ้น!’

     

    เสียงพูดนี้...ทำไมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนนะ

    “...!!?”

    ช่วงที่เสียงพูดอันคุ้นหูกำลังดังกึกก้องในหัวของยูมิ มาชูอัลเตอร์ยิ้มกว้างแล้วรีบพุ่งตรงเข้าไปยืนตรงหน้าเซอแวนท์หนุ่มคลาสเบอเซิกเกอร์ก่อนที่จะยกอาวุธสีแดงขึ้นระดับเดียวกับแผงอกของเขา

    “เอาล่ะ...เตรียมตัวตายซะเถอะค่ะ คุณอัลเตอร์”

    “...!!”

    วินาทีนั้นเอง มือขวาอันมีสัญลักษณ์เรย์จูของเธอเริ่มชูขึ้นตรงหน้าด้วยสัญชาตญาณของมาสเตอร์แห่งคาลเดียและคนรักที่รู้สึกผูกพันด้วยมากที่สุด ภายในใจเอาแต่บอกย้ำเตือนหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ ณ ตอนนี้โดยเธอจะไม่ยอมละทิ้งมันเด็ดขาด!

    ไม่ได้...คูจังจะมาล้มตายง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้

    เขาเป็นเซอแวนท์ที่แข็งแกร่งที่สุดของฉัน...

    ...ดังนั้นฉันต้องปกป้องเขาให้อยู่รอดด้วยกันต่อไป!!

    “ด้วยอำนาจแห่งเรย์จูข้าขอสั่งการ!! คูฮูลินน์อัลเตอร์ จงจัดการมาชูอัลเตอร์ด้วยโฮกุของตนซะ!!!”

    วิ้งง~

    หลังจากออกคำสั่งอย่างสุดเสียง แสงสีแดงบนมือขวาค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมออร่าสีฟ้าอ่อนรอบตัวคูอัลเตอร์ หมายความว่าการถ่ายโอนพลังเวทจากเรย์จูได้ผล นอกจากนั้นยังเป็นการลบล้างพิษบนแขนซ้ายอีกด้วย เขายิ้มมุมปากให้แฟนสาวแล้ววาร์ปไปยังบันไดสีขาวก่อนที่จะเปลี่ยนร่างให้เป็นโฮกุของตัวเองเตรียมจัดการศัตรูทันที

    “ปลดปล่อยคำสาปทั้งหมด ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จงมุ่งเข้าเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังนี้เสีย...”

    ในระหว่างนั้น รุ่นน้องอัลเตอร์เริ่มพุ่งเข้าไปขัดขวางโดยเร็ว แต่ด้วยการที่กลุ่มคาลเดียไม่ได้มากันแค่สองคน คูแลนเซอร์จึงรีบทำหน้าที่ปกป้องเซอแวนท์อีกคนจนกว่าจะเตรียมการเรื่องโฮกุสำเร็จ เขาพยายามต่อสู้เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ แม้เปลี่ยนเป็นวิ่งอ้อมออกด้านข้าง เธอไม่อาจสาวถึงอีกฝ่ายได้

    ขอทีเถอะ...อย่าให้เรย์จูเส้นที่สองของฉันต้องไร้ค่าเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาอีกเลย!

    กรีด คอนย์เฮน!!”

    แลนเซอร์! ถอยออกมาซะ!’

    มาสเตอร์สาวส่งโทรจิตบอกให้คูแลนเซอร์หลีกทางกลับมายืนข้างๆ เธอ เซอแวนท์หนุ่มคลาสเบอเซิกเกอร์เริ่มโจมตีมาชูอัลเตอร์อย่างต่อเนื่อง เมื่ออีกฝ่ายพยายามหาทางป้องกันไม่นาน จู่ๆ ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นหยุดนิ่งผิดจากปกติพร้อมยอมถูกโจมตีเรื่อยๆ สุดท้ายเขายกมือขวาจ้วงเข้ากลางอกและปลดปล่อยหนามแหลมใหญ่ให้ทะลวงถึงข้างหลัง

    ฉึก!!

    อั่ก...!!”

    รุ่นน้องกรีดร้องด้วยความรู้สึกจุกกลางอกพลางกระอักเลือดสีแดงออกจากปากของตัวเอง หยาดเลือดสาดกระเซ็นทั่วทั้งร่างคูอัลเตอร์และค่อยๆ หยดลงบนพื้นดิน เขาดึงมือขวาออกแล้วเปลี่ยนเป็นร่างเดิม สายตาอันเรียวคมจับจ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังทรุดลงนอนข้างล่างสักพักใหญ่ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินกลับไปหามาสเตอร์สาวอย่างใจเย็น

    คูจัง! ปลอดภัยดีรึเปล่า...ไม่มีอะไรผิดพลาดใช่มั้ย!”

    ไม่มีปัญหาหรอก ขอแค่เจ้าปลอดภัย...ข้าก็โอเคแล้วล่ะ

    อืมม...งั้นขอดูหน่อยนะ

    หญิงสาวผมดำจับแขนซ้ายของเขามาตรวจเช็คว่าไม่มีคำสาปฝังอยู่จริงหรือไม่ จนต่อมาก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอกพร้อมกับยิ้มบาง อีกฝ่ายอดใจไม่ได้จนต้องยกมือข้างนั้นลูบหัวเธอเล่น

    “...”

    นานแค่ไหนแล้วที่ทั้งสองคบหาและใช้ชีวิตร่วมกัน จากตอนแรกจะไม่ยอมให้ยูมิเข้าใกล้ชิดใคร เขากลับเปลี่ยนใจเมื่อได้รับรู้ว่าเธอโดดเดี่ยวเพราะถูกเพื่อนหลอกใช้แล้วทิ้งมานาน

    ฉะนั้น...เขาต้องปกป้องทุกคนที่ผูกพันกับแฟนสาวให้ถึงที่สุด แม้สละจนตัวตายก็จะยอม

    “...!!”

    ทันใดนั้นเอง พื้นที่บัลลังค์โซโลมอนเริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง แต่มีอีกสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลุ่มคาลเดียทั้งสามคนพบเห็นออร่าสีดำรอบตัวมาชูอัลเตอร์ที่กำลังนอนสิ้นลมอยู่ พลังเวทเหล่านั้นลอยวนเวียนราวกับกำลังหลอมรวมเข้าใหม่ ต่อมาเธอก็ค่อยๆ จับปักหอกเล่มใหญ่บนพื้นแล้วยันตัวลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างดังปีศาจร้าย

    ว่าแล้วรุ่นพี่ยูมิเนี่ย...โง่เง่าอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ

    มาชู!? ทำไมกัน...เธอน่าจะตายด้วยโฮกุของคูจังแล้วแท้ๆ!”

    คุณอาจจะไม่ได้สังเกตสินะคะ ตอนคุณอัลเตอร์กำลังใช้โฮกุแล้วฉันยืนนิ่งแทนที่จะหาทางป้องกันเหมือนกับคนอื่นเขา

    หืมม...ยอมสตั๊นเพื่อแลกกับการใช้สกิลฟื้นคืนชีพดักหน้านี่เอง คุณหนูมาชูร่างนี้ดูแปลกใหม่ยิ่งกว่าเดิมเลยแฮะ

    คูแลนเซอร์ยิ้มมุมปากให้ฝ่ายตรงข้ามในขณะที่กำลังควงหอกขึ้นพาดบนไหล่ ซึ่งตอนโฮกุของคูอัลเตอร์กำลังถูกใช้งานนั้น เขาได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ พร้อมสัมผัสถึงพลังเวทที่หายไปส่วนหนึ่ง

    เธอนี่มันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว...ยูมิเริ่มหวาดระแวงในตัวรุ่นน้องของเธอทุกทีๆ มือทั้งสองเริ่มสั่นระริกไปมาจนต้องกำหมัดควบคุมมันไว้

    ฮึๆๆ ถ้าฉันบ้าบิ่นจริง รุ่นพี่เองก็คงจะเป็นยิ่งกว่าคลุ้มคลั่งล่ะมั้งคะ

    “เอาอีกแล้ว...!? มาชู ตั้งแต่ตอนที่เธอบอกว่าฉันหลอกตัวเองเนี่ย...มันหมายความว่าไงกัน! อธิบายให้ชัดเจนสักที!”

    แหมๆ อยากฟังใจจะขาดขนาดนั้นเลย? งั้นก็รอให้ พวกเขามาถึงที่นี่ก่อนเถอะค่ะ

    ในจังหวะที่มาชูอัลเตอร์พูดจบประโยคไปไม่กี่วินาที มาสเตอร์สาวสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างมากกว่าผิดปกติ พอลองหันไปมองทางด้านหลังแล้วจึงพบว่า มีเซอแวนท์กลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหา ซึ่งทุกคนล้วนผูกพันกับเธอมากที่สุด เว้นแต่ซิกคนเดียวที่ขอติดตามมาเท่านั้น

    เอมิยะ!? ทำไมถึงตามเข้ามาที่นี่ล่ะ! อีกอย่างเวลาจำกัดที่เหลือตอนนี้...!

    น่าจะเหลือประมาณครึ่งชั่วโมง...ที่พวกข้าตามมาช่วยเจ้าก็เพราะมีเหตุผลสำคัญอยู่ข้อหนึ่งน่ะเอมิยะตอบพร้อมกับฝืนยิ้มเล็กๆ ให้อีกฝ่าย แต่เอาเป็นว่า...ค่อยบอกหลังจากจบศึกนี้ละกัน

    พูดถึงปุ๊บก็มาปั๊บเลยนะคะ คุณเอมิยะ แสดงว่าด้ายแดงแห่งพันธสัญญาของพวกคุณผูกมัดกับรุ่นพี่ไว้อย่างแน่นหนาจริงๆ

    โห...พลังเวทมหาศาลที่หลอมรวมเข้ากันใหม่นั่น...เป็นของเจ้าเองงั้นรึ มาชูกิลกาเมชแคสเตอร์ยืนกอดอกและส่งสายตาจ้องมองรุ่นน้องอัลเตอร์ที่ยังคงถืออาวุธหอกสีแดงเล่มใหญ่ไว้มั่น ไม่สิ...จะเรียกเป็นชื่อคงดูหรูหราสำหรับคนที่มีจิตใจเน่าเฟะสินะ ยัยพันทาง

    “...!?”

    นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ยูมิได้ยินราชาแห่งอุรุคเรียกมาชูด้วยฐานะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเทียบเท่ากับตัวเธอเอง แม้จะอยู่ฐานะเดียวกัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกได้ว่าเขาจงใจใส่อารมณ์เข้าไปในคำพูดให้ดูต่ำยิ่งกว่าเดิม

    ท่านมาชู...ทำไมถึงได้มีร่างกายแบบนั้นล่ะขอรับ

    ถึงจะไม่น่าเชื่อฟังสักเท่าไหร่ แต่นางคงเข้าสู่ด้านมืดจนเป็นอัลเตอร์เรียบร้อยแล้วล่ะ...แถมยังเป็นคลาสอเวนเจอร์ด้วย ช่างหายากจริงๆ ดันเต้ตอบคำถามให้โคทาโร่แล้วยิ้มมุมปากด้วยความสนุกที่ได้เจอเซอแวนท์คลาสเดียวกันกับตัวเอง

    ...

    แปะๆๆ

    แต่ในขณะนั้นการสนทนาของกลุ่มคาลเดียได้หยุดชะงักลงเมื่อเสียงปรบมือจากมาชูอัลเตอร์ดังขัดจังหวะ เธอเริ่มยกมือขวาดีดนิ้วเรียกบางอย่าง พื้นที่บัลลังค์โซโลมอนสั่นสะเทือนอีกครั้งก่อนที่จะมีคนๆ หนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากเก้าอี้บัลลังค์ ร่างกายสีเหลือง-ส้มและท่อนแขนสองข้างอันใหญ่โตอันเป็นเอกลักษณ์นี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น

    ถึงเวลาต้อนรับแขกจากคาลเดียแล้วนะคะ...ท่านเกเทีย

    เกเทีย!!!?”

    ทุกคนต่างอุทานออกมาด้วยความตกใจและไม่เคยคาดคิดมาก่อน ยูมิเบิกตากว้างพร้อมกำหมัดสองข้างอย่างแน่น หอกเกโบในมือขวาของเธอที่เรียกจากกลัดมณีเวทย์เริ่มมีพลังเวทสีเหลืองบางๆ ลอยท่วมทั้งเล่ม

    เขาคนนั้น...ที่รุ่นน้องเคยพูดไว้...ได้ปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาแล้วจริงๆ

    หืมม...แขกเยอะกว่าที่คิดไว้ซะอีก ท่าทางมาสเตอร์จะมีนิสัยขี้ขลาดจนต้องพาเซอแวนท์มาร่วมสู้ด้วยขนาดนั้นเลยสินะ

    เกเทีย...ทำไมแกยังมีตัวตนอยู่อีกล่ะ!! แกควรตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ!!”

    ให้ตายเถอะ มาสเตอร์แห่งคาลเดียเอ๋ย เจ้าน่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าใครคือต้นตอของเรื่องทั้งหมด และทุกวันนี้เจ้ารังเกียจใคร อยากให้ใครออกจากชีวิตนักหนาล่ะ

    ห๊ะ...?” มาสเตอร์สาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพร้อมครุ่นคิดตามสิ่งที่อีกฝ่ายถามเข้ามาทีละข้อ

    ต้นตอของเรื่องทั้งหมด...คนที่เกลียดและอยากให้ออกจากชีวิต...

    “...!!? หรือว่า...!!”

    สีหน้าแบบนั้น...คงรู้คำตอบแล้วสินะ อิชิมารุ ยูมิ

    ร่างเงาที่ฉันเจอเมื่อเช้า...ร่างเงาที่ลักพาตัวมาชูเข้าบัลลังค์โซโลมอนและแนะนำเส้นทางสู่ความมืดหม่นให้กับเธอคนนั้น...เป็นแกเองงั้นเหรอ เดจาวู!!”

    แม้จะไม่ค่อยมั่นใจเรื่องร่างเงา แต่กลับมีสิ่งหนึ่งยืนยันได้ชัดเจน นั่นคือความเกลียดชังที่มีต่ออีกฝ่าย ช่วงที่เธอนั่งคนเดียว ไม่มีคูอัลเตอร์คอยอยู่เคียงข้าง เสียงหัวเราะก็ดังกึกก้อง หลอกหลอนจนรู้สึกปวดหัวและทรมาน บางครั้งต้องนั่งกรีดร้องไล่มันออกไป ภายหลังจึงเกิดอาการลมชักกำเริบในจังหวะที่ไม่มีเซอแวนท์คอยช่วยเหลือเลย

    ใช่แล้ว...แต่มันก็น่าเชื่อใจยากจริงๆ นะ ทั้งที่ตัวข้าเอาแต่ล่องลอยท่ามกลางความมืด ไม่มีใครรู้เห็นนอกจากเจ้า แถมยังเป็นคนเดียวที่คอยตามติดชีวิตเจ้ามาตั้งแต่สมัยเรียนด้วย

    จากนั้นเขาจึงเล่าต่อไปอีกว่า เคยมีความคิดอยากได้กายหยาบเป็นใครสักคนหนึ่งเพื่อพบเจอกับหญิงสาวผู้ที่ตนพยายามตามติดมาโดยตลอด วันหนึ่งจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำบังเอิญได้ยินคำปรารถนานี้เข้า เธอปรากฏตัว ณ เวลาเที่ยงคืนเพื่อเติมเต็มมันให้กลายเป็นจริง ซึ่งระหว่างนั้นเงาดำในร่างมาสเตอร์สาวก็เข้าหลอกหลอนถึงฝันของยูมิ โดยมีประโยคหนึ่งบอกไว้ว่า...

     

    เธอหลีกหนี บาปกรรม ของตัวเองไม่ได้หรอก...และจะไม่มีวันหนีมันพ้น!’

     

    ประโยคนั่นน่ะ...จะเป็นของใครได้นอกจากตัวเจ้าอีกคนที่ถูกลืมเลือนไปอย่างน่าเสียดาย

    ตัวฉัน...อีกคนหนึ่ง...?” ยูมิพยายามประติดประต่อความจริงที่เดจาวูบอกด้วยความรู้สึกงุนงง สับสน และไม่อาจรู้ได้ว่าบาปกรรมของตนคืออะไร

    เอาเถอะ...จะปล่อยให้รุ่นพี่ยืนคิดต่อไปคงไม่ดีนักหรอกมาชูอัลเตอร์ค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้าหามาสเตอร์สาวแล้วลูบคางเบาๆ พร้อมส่งสายตาเย้ยหยันใส่ คนโง่ยังไงก็โง่...คนบาปยังไงก็บาปวันยันค่ำอยู่ดีใช่มั้ยล่ะคะ

    “...!!?”

    ทีนี้ถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว...ขอให้พวกคุณทุกคนเตรียมรับฟังเรื่องราวในอดีตของรุ่นพี่อิชิมารุ ยูมิคนนี้ดีกว่า พอฟังจบ...อาจจะคิดผิดที่ยอมผูกมัดความสัมพันธ์จนถึงวันนี้ก็ได้

    [ To be continued ]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×