คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : Episode 3 ธาตุแท้แห่งเงาดำ
Episode 3 ธาตุแท้แห่งเงาดำ
----------------------------------------------------
สิ่งตรงหน้าที่ทำให้ฉันฆ่าไม่ลงอย่างมาชูกำลังยืนเผชิญหน้าในร่างอัลเตอร์ด้วยสีหน้าตายด้านแต่กลับมีรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ ซึ่งดูเหมือนคลาสจะถูกเปลี่ยนใหม่จากชิลเดอร์กลายเป็นอเวนเจอร์ผู้ถือหอกสีแดงเล่มใหญ่ อนุภาคพลังเวทจำนวนมากวนเวียนอยู่ทั่วร่าง ราวกับยังมีกาลาฮัดคอยสนับสนุนแม้อยู่ในร่างอัลเตอร์ก็ตาม
ไม่สิ...รุ่นน้องแสนใจดีและอ่อนโยนแบบนั้นจะยอมเข้าสู่ด้านมืดไปได้ยังไงกัน!
“...”
พอคิดได้เช่นนั้น ฉันจึงเริ่มเปิดปากถามเธอทันที
“นี่...มาชู เธอคงไม่ได้ตั้งใจเป็นอัลเตอร์จริงๆ หรอกใช่มั้ย”
“ฉัน...ตั้งใจเลือกเส้นทางนี้อยู่แล้วค่ะ เพราะหลังจากถูกพาตัวมายังบัลลังค์โซโลมอน
‘เขา’ คนนั้นได้บอกวิธีที่จะช่วยให้พวกเรามีชีวิตรอดต่อไปบนโลกใบใหม่ในอีกไม่ช้า” รุ่นน้องตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งบวกกับท่าทางไม่เป็นมิตรต่อพวกเราสามคน
“แต่เธอไม่คิดบ้างเหรอ...ว่านั่นจะทำให้ยุคของมวลมนุษยชาติจบลง
ทุกคนที่เคยช่วยไว้ต้องตายเพราะฝีมือเจ้าบุคคลปริศนาเพียงคนเดียวนะ!”
“กับอีแค่ขยะสังคมที่ล้นโลก รุ่นพี่จะไปแคร์ทำไมนักหนาล่ะคะ”
บ้าจริง...ตัวเธอในตอนนี้มีนิสัยผิดแปลกเกินไปแล้ว!
“ขะ...ขยะสังคม? รู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองพูดอะไรออกมา!”
ฉันกำหมัดที่ถือหอกเกโบล์กไว้แน่น พยายามคิดวิธีเกลี้ยกล่อมให้เธอกลับมาสู่ร่างเดิมอีกครั้ง
แต่ด้วยคำว่า ‘ขยะสังคม’ จากปากมาชูที่พูดอย่างตายด้านเมื่อครู่
มันยิ่งทำให้ความคิดเริ่มตันเรื่อยๆ สมองค่อยๆ ถูกความมืดกลบทับถม จนกระทั่งมีเซอแวนท์คนหนึ่งเดินอ้อมมาตรงหน้าพร้อมยกมือขึ้นจับไหล่สองข้างเพื่อปลุกสติ
“คูจัง?”
“ยูมิ...อย่าสนใจคำพูดพวกนั้นเลย เดี๋ยวก็หมดกำลังใจจะสู้พอดี”
“มาสเตอร์ นี่อาจจะเป็นความเห็นที่แย่หน่อย แต่พวกเราต้องกำจัดคุณหนูมาชูซะ
นางไม่ใช่รุ่นน้องอย่างที่พวกเรารู้จักอีกต่อไปแล้ว”
คูแลนเซอร์ก้าวเดินออกมาเผชิญหน้ากับรุ่นน้องแล้วควงหอกเตรียมตั้งหลักพร้อมสู้รบ
คำพูดของเขาเมื่อครู่เปรียบเหมือนคมมีดที่กรีดลงกลางอก
แม้เธอคนนั้นจะไม่ใช่คนเดิมแต่ในใจกลับคอยบอกย้ำว่าต้องช่วยให้รอดพ้นจากขุมนรกและกลับบ้านด้วยกัน
พวกเรา...จะพากันเข่นฆ่าเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้หรอก
ฉันเริ่มตัดสินใจย่างก้าวตรงไปเพื่อมุ่งหน้าเข้าหามาชูอัลเตอร์และลองเกลี้ยกล่อมใหม่อีกครั้งโดยสั่งให้เซอแวนท์หนุ่มทั้งสองยืนรอสังเกตปฏิกิริยาอยู่ที่เดิมก่อน
“มาชู...”
“รุ่นพี่...มาอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนเถอะนะคะ เลิกสนใจขยะสังคม
ทำลายล้างโลกใบเก่าและสร้างใหม่ จากนั้นก็สร้างความสัมพันธ์ให้เหนียวแน่นกว่าเดิม”
“ก็ดีใจอยู่หรอกที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่ขอโทษนะ ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก
พวกเราเคยอยู่ด้วยกันมาสองปีแล้ว ฉันรู้จักเธออย่างดีเลยล่ะ
เธอเป็นรุ่นน้องที่ใจดี อ่อนโยน มุ่งมั่นกับงานการ พร้อมทำหน้าที่ปกป้องทุกคนตลอดเวลา”
“...”
เธอคนนั้นยืนถืออาวุธประจำตัวอย่างแน่นิ่ง
สีหน้าอันไร้อารมณ์ยังคงแสดงให้เห็นเหมือนเดิม สายตาจับจ้องมองทั้งใบหน้าและหอกเกโบล์กที่ฉันแอบไว้ข้างหลัง
“เธอลองนึกถึงช่วงเวลาดีๆ พวกนั้นให้ออกสิ ทั้งช่วยแก้ไขจุดพลิกผัน
พาเข้าอีเว้นท์ในช่วงที่ฉันเพิ่งเป็นมาสเตอร์มือใหม่ และก็ตอนพักผ่อนอยู่ในคาลเดียด้วย
พวกเราทุกคนต่างใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขทั้งนั้นเลยนะ!”
.
..
...
....
.....
เมื่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาไปได้สักพักใหญ่
เธอก็ค่อยๆ หัวเราะลั่นบัลลังค์โซโลมอนก่อนที่จะฉีกยิ้มกว้างราวกับกำลังเยาะเย้ยให้เสียท่า
“มะ...มาชู?”
“แต่พอเวลาผ่านไปนานๆ รุ่นพี่ก็เริ่มเข้าหากลุ่มเซอแวนท์ผู้ชายแทนฉันไม่ใช่เหรอคะ
แถมยังใจง่าย ยอมให้ใครต่อใครเข้าใกล้ชิดอีก อย่างกับเป็นอีตัวยังไงยังงั้น”
“...!!?”
ฉันกำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ด คำพูดจากปากรุ่นน้องแสนใจดีเหล่านั้นเหมือนเป็นการสื่อความรู้สึกจากก้นบึ้งในใจที่ฝังลึกมายาวนาน มันรุนแรงเกินจะรับไหวจริงๆ
เธอคง...เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ใช่มั้ย
“วันๆ เอาแต่ใช้เวลาจู๋จี๋กับผู้ชายเนี่ย ไม่เคยเบื่อหน่ายบ้างเลยเหรอคะ”
“...”
บ้าจริง...ทำไมจู่ๆ ถึงได้รู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้นะ!
ทั้งที่เมื่อวานยังยิ้มแย้ม ตะลุยในอีเว้นท์คริสต์มาสด้วยกันได้อยู่เลยแท้ๆ!!
ว่าจบก็เริ่มควบคุมอารมณ์บางอย่างที่เก็บกดไว้ไม่ไหวแล้วออกตัววิ่งขึ้นบันไดหวังจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
โดยระหว่างนั้นฉันแอบคิดในใจอยู่เรื่องหนึ่ง...ถ้าหาก ‘กำจัด’
เธอทิ้งและขอพรจากจอกศักดิ์สิทธิ์ให้ฟื้นขึ้นด้วยร่างธรรมดา นั่นอาจเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้ก็ได้
เพราะงั้น...ขอโทษด้วยนะ มาชู
“ฮ้าาาาาาาา!!!”
“เผยสันดานที่แท้จริงจนได้สินะคะ...รุ่นพี่ แต่ฉันคงฆ่าคุณตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะ!”
รุ่นน้องอัลเตอร์กระโดดพุ่งตรงมาและจับหันหอกเล่มใหญ่อีกด้านมาจ่อในระดับเดียวกับกลางอกหวังน็อกเอ้าท์
ฉันรีบหยุดชะงักตัวแล้วเบี่ยงตัวหลบทางซ้ายมือพร้อมเหวี่ยงเกโบล์กปัดป้องอาวุธฝ่ายตรงข้ามออกก่อนที่จะยอมร่วงลงข้างล่างเพื่อส่งโทรจิตบอกให้เซอแวนท์ของตัวเองช่วยรับไว้
‘คูจัง!’
‘รับทราบ...’
คูจังตอบรับและวาร์ปเข้ามาจับแขนซ้ายของฉันพร้อมเหวี่ยงขึ้นกลับบนบันไดสีขาวเหมือนเดิม พอลองหันมองอีกที มาชูก็เริ่มเปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นคูแลนเซอร์แทนเสียแล้ว หอกทั้งสองเล่มต่างปะทะกันจนเกิดประกายไฟและเสียงที่ดังสนั่นลั่นบัลลังค์ การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วสมกับเป็นเซอแวนท์จริงๆ
ต่อมาเซอแวนท์หนุ่มผู้ถือครองหอกเกโบล์กได้หาจังหวะทีเผลอหมุนตัวถีบรุ่นน้องอัลเตอร์ให้ปลิวประมาณห้าเมตรแล้วถอยมาตั้งหลักโดยย่อตัวลงแตะพื้นตรงหน้าด้วยมือซ้าย
ส่วนขาซ้ายเหยียดออกข้างหลัง
“เอาล่ะ...เวลาเริ่มลดน้อยลงทุกที ข้าคงออมมือให้กับคุณหนูไม่ได้แล้วแหละ”
พลหอกน้ำเงินพุ่งตรงข้างหน้าแล้วค่อยออกแรงกระโดดถอยหลังขึ้นบนฟ้า
มือขวายกอาวุธหอกขึ้นเตรียมขว้างใส่อีกฝ่าย ออร่าสีแดงเริ่มปรากฏจากบริเวณปลายหอกอันเป็นพลังเวทในรูปแบบโฮกุประเภทต่อต้านกองทัพ
สีหน้าของเขาบ่งบอกชัดเจนว่า จะใช้พลังนี้อย่างไม่ลังเลแน่นอน
“...”
“จงรับไปซะ! เก...โบล์ก!!”
ว่าจบก็เริ่มเบิกตากว้างพร้อมขว้างอาวุธประจำตัวออกไปหามาชูอัลเตอร์
มันพุ่งลงอย่างเร็วไวราวกับดาวตกสีแดง ออร่าจากปลายหอกค่อยๆ ท่วมทั้งเล่มจนคำนวณอนุภาคพลังเวทได้มหาศาล
ถ้าเล็งกลางหัวใจเรียบร้อย จะไม่มีทางหลบหลีกได้ไหวแน่นอน
“เหล่าบาดแผลทั้งหมด ความเคียดแค้นและโศกเศร้าทั้งปวง
บ้านเกิดของพวกเราจงเยียวยา...”
“...!!?”
บทพูดนั่น...โฮกุของมาชูร่างธรรมดาไม่ใช่เหรอ!!
“จงสำแดงฤทธิ์เสีย...ลอร์ด คาเมล็อต!”
เธอเรียกโล่ขนาดใหญ่ขึ้นมาวางปักบนพื้นด้วยมือขวาข้างเดียวในขณะที่มือซ้ายยังคงถือหอกสีแดงไว้อย่างแน่น
โฮกุเริ่มสำแดงฤทธิ์โดยมีกำแพงคาเมล็อตขนาบข้าง เพียงแต่ครั้งนี้มันเปลี่ยนสีเป็นแดงเลือดทั้งหมด
เมื่อปลายหอกบรรจบกับโล่ป้องกันชั้นนอกภายในเสี้ยววินาที
ลมพายุได้เริ่มพัดทั่วบัลลังค์อย่างรุนแรง ตัวฉันที่กำลังยืนมองเกือบจะล้มลงข้างล่าง ซึ่งยังโชคดีหน่อยที่ได้คูจังช่วยรับตัวไว้ทัน
“โหๆ กะไว้แล้วเชียวว่าคุณหนูต้องมาไม้นี้
ถึงเป็นร่างอัลเตอร์แต่ยังมีสกิลป้องกันติดตัวสินะ” คูแลนเซอร์วาร์ปกลับมาหาพวกเราทั้งสองคนพร้อมยิ้มมุมปากเล็กๆ
ให้ฝ่ายตรงข้าม
“แลนเซอร์! ลองหาจังหวะทีเผลอแล้วจัดการมาชูซะ!
ฉันไม่สนเรื่องผลลัพธ์ต่อจากนี้อีกต่อไปแล้ว! แค่เอาชนะและขอพรจากจอกศักดิ์สิทธิ์ก็พอ!”
ฉันเริ่มออกคำสั่งในฐานะมาสเตอร์โดยทำการใช้เรย์จูหนึ่งเส้นเพื่อถ่ายทอดพลังเวทเสริมเข้าไป
แสงสีแดงบนมือขวาค่อยๆ
ปรากฏขึ้นพร้อมออร่าสีฟ้าอ่อนๆ ล้อมรอบตัว จากนั้นจึงยกเกโบล์กที่กำลังถืออยู่ให้ใช้แทน
“ระหว่างนั้นก็ใช้เจ้านี่ด้วยนะ เดี๋ยวฉันจะเรียกอาวุธใหม่ด้วยกลัดมณีเวทย์ในภายหลังเอง”
“คุณหนู...เจ้ามั่นใจดีแล้วใช่มั้ย เพราะถ้าเกิดศึกครั้งนี้จบลงแต่จอกไม่ตอบรับคำปรารถนา
อาจจะเสียใจภายหลังนะ” พลหอกน้ำเงินเปิดปากถามเพื่อความมั่นใจแต่เขายังอุตส่าห์รับอาวุธหอกไว้ติดมือ
“นั่นสิ บางทีฉันคงเห็นแก่ตัวเกินไปน่ะแหละ แต่ว่า...เวลาของพวกเรามีไม่มากพอ
เจ้าบุคคลปริศนายังไม่ปรากฏตัว ทางเลือกก็เลยถูกบีบให้น้อยลงด้วย ถ้าจอกศักดิ์สิทธิ์ไม่ตอบรับและมาชูล้มตายอย่างไม่มีทางฟื้น
ฉันอนุญาตให้ใช้โฮกุสังหารมาสเตอร์ยอดแย่คนนี้ได้เลย”
“...”
สิ้นเสียงของฉันปุ๊บ บรรยากาศเริ่มมาคุขึ้น
พอบวกกับอุณหภูมิอากาศรอบตัวที่เย็นเฉียบ ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ลงไปอีก ขอยอมรับตามตรงว่าไม่อยากพูดคำนั้นออกไปให้เสียขวัญกำลังใจเลยสักนิด
แต่ในหัวกลับคิดได้แค่เรื่องนี้จริงๆ
ให้ตายเถอะ ฉันนี่มัน...บ้าที่สุด!
“ยูมิ...ทำไมเจ้าถึง...”
ในจังหวะที่คูจังกำลังถามได้ไม่กี่คำ พวกเราพบว่าการต่อต้านโฮกุของมาชูอัลเตอร์เริ่มใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทน เกราะสีขาวบนมือขวาที่กำลังจับโล่ค่อยๆ ร้าวทีละนิด มันเริ่มแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
เผยให้เห็นมือบางอันขาวเนียน เธอพยายามต้านเอาไว้อย่างสุดกำลังแล้ว แต่สุดท้าย...
“ฮ้าาาาาาาา!!!”
โล่ป้องกันชั้นนอกจากลอร์ด คาเมล็อตได้แตกสลายต่อหน้าต่อตาพร้อมเกิดการระเบิดเป็นรัศมีวงกว้างทั่วทั้งพื้นที่
ลมพายุโบกพัดแรงขึ้นหลายเท่าตัว พวกเราสามคนต่างพยายามทรงตัวให้อยู่ ณ ตำแหน่งเดิม
สายตาของฉันจับจ้องมองไปยังตรงหน้าเพื่อรอผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
“...”
หอกเกโบล์กของคูแลนเซอร์...จะสามารถทะลวงไปถึงหัวใจของมาชูอัลเตอร์ได้จริงๆ รึเปล่านะ
[ ทางด้านของเซอแวนท์กลุ่มหนึ่ง ]
ในระหว่างการเดินทางเข้าสู่บัลลังค์โซโลมอนของกลุ่มเซอแวนท์ที่มีความผูกพันกับมาสเตอร์สาว
เอมิยะพยายามแถลงไขเรื่องที่อราชเคยสั่งเสียก่อนตายด้วยสเตล่าอันเป็นการสละชีพให้แต่ละคนได้ฟัง
ทั้งคูฮูลินน์แคสเตอร์ กิลกาเมชแคสเตอร์ และฟูมะ โคทาโร่ รวมถึงบอกแผนการเอาชนะศัตรูเพื่อช่วยปกป้องยุคของมวลมนุษยชาติให้อยู่รอดดังเดิม
“แล้วคุณหนูจะไม่รู้สึกแย่เอาภายหลังเหรอ นางยิ่งเป็นห่วงพวกเรามากกว่าตัวเองซะด้วย
ไม่รู้ว่าพอได้ฟังเรื่องนี้จบแล้วจะคิดเห็นยังไงบ้าง” คูแคสเตอร์ที่อยู่ข้างพลธนูแดงขมวดคิ้วเล็กน้อยและเปิดปากถามด้วยความรู้สึกกังวลใจ
“อย่ากังวลอะไรนักเลย ข้าเชื่อว่าเจ้าพันทางต้องเข้าใจสถานการณ์นี้แน่ๆ
เพราะนี่คือศึกครั้งสุดท้ายอันนองเลือด เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ต้องมีใครสักคนหนึ่งยอมเสียสละทุกอย่างเพื่ออีกคนหนึ่ง”
กิลกาเมชแคสเตอร์พูดตามความคิดและประสบการณ์ของตัวเองที่ได้พบเจอในจุดพลิกผันบาบิโลเนีย
เพราะเขาเคยปกป้องมาสเตอร์โดยการยืนเข้าไปรับลำแสงจากเทียแมทจนแผงอกข้างซ้ายเป็นรูทะลุถึงข้างหลัง
แม้เขาจะไม่อยากรำลึกถึงมันสักเท่าไหร่ก็ตาม
“นายท่าน...จะไม่เป็นไรแน่เหรอขอรับ”
“ต้องไม่เป็นไรอยู่แล้ว โคทาโร่เอ๋ย นางยังมีเจ้าคูฮูลินน์อีกสองคนคอยร่วมต่อสู้นี่นา”
“ใช่ๆ อย่างที่ท่านฟาโรห์บอกแหละ เจ้าพวกนั้นแข็งแกร่งจะตาย
ไม่มีทางยอมแพ้ให้กับศัตรูง่ายๆ แน่นอน” คูโปรโตไทป์ยิ้มให้นินจาหนุ่มเชิงปลอบขวัญกำลังใจทั้งที่ตัวเขาเองก็วิตกกังวลไม่แพ้กัน
“เท่าที่ข้ารู้จักมาสเตอร์มาทั้งหมด...นางเป็นคนที่จริงจัง
มุ่งมั่นตั้งใจ พยายามทำทุกอย่างเพื่อทุกคนในคาลเดีย ถึงรู้ตัวดีว่าเป็นการฝืนตัวเอง
แต่นางกลับไม่ยอมล้มเลิก เวลาพักผ่อนในมายรูมเองก็คงมีน้อยเกินไปด้วย”
“นั่นสินะ พอผนวกกับสมัยที่ยูมิยังเรียนมัธยมปลายแล้ว
ยิ่งน่าเป็นห่วงขึ้นไปอีกเลยล่ะ”
พลธนูแดงเห็นด้วยกับความเห็นของดันเต้เมื่อครู่พร้อมถอนหายใจเบาๆ
ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ในฐานะที่เป็นเซอแวนท์เริ่มต้นและเปรียบดั่งคุณแม่ประจำคาลเดียแล้ว
จึงไม่แปลกที่เขาจะเป็นห่วงยิ่งกว่าใครอื่น
ระหว่างนั้นเอง ซิกที่ขอติดตามหลังมากับพวกเขาก็นึกอะไรบางอย่างออกก่อนที่จะเปิดปากถามเพื่อไขข้อสงสัยโดยไม่รอช้า
“เอ่อ...ฉันมีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่คาใจเมื่อไม่นานน่ะ”
“...?”
“พักนี้...มาสเตอร์ทำตัวแปลกๆ ไปรึเปล่านะ ตั้งแต่ตอนฝันถึงโรงเรียนคาลเดียที่มีพวกเราทั้งแปดคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เธอดูเหมือนจะนั่งจิตตกในช่วงที่ได้พักผ่อนจากอีเว้นท์แทบทุกครั้งเลย”
ใช่แล้ว...ในฝันนั้นมีเซอแวนท์ผู้เกี่ยวข้องอย่างคูฮูลินน์ทั้งสี่
เอมิยะ อราช ซิก และโคทาโร่ ซึ่งตอนท้ายมาสเตอร์ผมดำถูกกลั่นแกล้งขั้นรุนแรงจนตัวตายในที่สุด!
ครั้งก่อนแคสเตอร์หนุ่มผมน้ำตาลเคยแอบสังเกตยูมิอยู่บ่อยๆ
ทุกครั้งที่นั่งคนเดียวและคูอัลเตอร์ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เขาพบเห็นพฤติกรรมแปลกๆ
อย่างเช่นนั่งกุมหัวตัวเองด้วยความทรมาน บางวันก็กรีดร้องเพื่อขับไล่ใครสักคนออกจากชีวิตแล้วค่อยเป็นลมชักกำเริบในจังหวะที่ไม่มีเซอแวนท์คนไหนคอยช่วย
โดยเฉพาะอีเว้นท์ Battle
in New York ตอนเข้าร่วมศึกชาเล้นจ์ หลังจากพวกเขาเอาชนะโอคาดะ
อิโซเรียบร้อยและกำลังจะรอรับรางวัล มาสเตอร์สาวสังเกตเห็นศัตรูพยายามขอสู้ต่อ เธอเกิดอาการโมโหจนเหล่าผู้ชมโห่ร้อง
นับตั้งแต่นั้นมา อารมณ์เคียดแค้นจึงเริ่มเข้าครอบงำจิตใจง่ายกว่าเดิม
“จะว่าไปเจ้าอัลเตอร์เคยแอบส่งโทรจิตเล่าให้ข้าฟังว่า หลังจากฝันเรื่องนั้นจบ
นางตกอยู่ในสภาวะใกล้โคม่าชั่วขณะเลยแฮะ ถ้าไม่ได้เจ้านั่นคอยช่วยปลอบโยน คงจะเกิดอาการขั้นหนักจนถึงวันนี้ก็ได้”
เอมิยะจับคางครุ่นคิดพร้อมนึกถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนในช่วงตีสามที่ยูมิเดินเล่นกับคูอัลเตอร์จนถึงห้องครัว
ซึ่งเขากำลังตรวจเช็คเสบียงและจัดอุปกรณ์ครัวอยู่พอดี
ต่อมาคูแคสเตอร์เริ่มเล่าให้ฟังว่า
เขาเคยเห็นภาพอันน่าหดหู่ในชาเล้นจ์ที่สี่ประจำอีเว้นท์ Battle
in New York หลังจากเซอแวนท์ทั้งหกล้มตายกันหมด จู่ๆ ร่างเงาดำแปลกประหลาดก็ปรากฏจากด้านหลังพร้อมเข้าสิงสู่จิตใจมาสเตอร์จนต้องเรียกอาวุธดาบเพื่อคร่าชีวิตศัตรูอย่างโหดเหี้ยม
ยิ่งกว่านั้นคือ...เธอลุยชาเล้นจ์ที่เหลือต่อด้วยตัวคนเดียวจนกระทั่งกิลกาเมชไล่ออกจากอีเว้นท์ในภายหลัง
แน่นอนว่าร่างเงาปริศนานั่นก็เริ่มแยกตัวออกด้วยเช่นกัน ทำให้คืนนั้นเธอเริ่มฝันร้ายขั้นรุนแรง
บทสนทนาบางส่วนที่คูแคสเตอร์ได้ยินจากความฝัน
‘นี่ฉัน...ทำอะไรลงไป ทำไมถึงถูกกีดกั้นจากอีเว้นท์ล่ะ
แถมยังมีเลือดเปรอะเปื้อนเต็มตัวไปหมด’
‘ฮิๆๆๆ’
‘นั่นมัน...เสียงหัวเราะ...ของฉัน?’
‘ฮ่าๆๆๆๆๆ ตายซะเถอะ...ตายๆ กันให้หมดเลย!’
‘บ้าน่า! ฉันไม่มีทางพูดแบบนั้นสักหน่อย!
ใช่แล้ว...ความฝัน...มันก็แค่ความฝันใช่มั้ยล่ะ!’
‘พวกแกก็แค่--- ถ้ารีบๆ ตายไป ---นี้จะ---ขึ้นเยอะ!’
‘ไม่! ไม่ใช่!! นั่นไม่ใช่ฉัน!!’
‘เธอหลีกหนี---ของตัวเองไม่ได้หรอก...และจะไม่มีวันหนีมันพ้น! ฮ่าๆๆๆๆ’
‘กรี๊ดดดดดดดด!!!!!!’
“ตอนนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสียงปริศนานั่นต้องการจะสื่อถึงอะไร
แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน”
“...”
บรรยากาศเริ่มมาคุขั้นหนักหลังจากซิก เอมิยะ และคูแคสเตอร์เล่าเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นกับยูมิ อุณหภูมิอากาศภายในห้วงมิติระหว่างประตูสู่บัลลังค์โซโลมอนเย็นลงแปลกๆ จนการรับรู้อุณหภูมิของร่างกายแต่ละคนเริ่มผิดเพี้ยนจากเดิมที่ไม่เคยรู้สึก
“ความฝันนั่น...จะมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้รึเปล่านะ”
< ซิก
“อาจเป็นไปได้นะขอรับ ทันทีที่ได้ยินคำว่า
ร่างเงา จากปากของท่านคูฮูลินน์ กระผมก็เลยคาดเดาเอาไว้ก่อนครึ่งต่อครึ่ง”
< โคทาโร่
“โหๆ เจ้าก็คิดเช่นนั้นด้วยงั้นรึ โคทาโร่เอ๋ย”
< โอจิมังเดียส
“หืมม...ดูเหมือนพวกเจ้าสองคนต่างมีความคิดเห็นเหมือนกับข้าสินะ”
< กิลกาเมช
“ระ...หรือว่า...”
ยังไม่ทันที่คูโปรโตไทป์จะพูดอะไรต่อ อเวนเจอร์หนุ่มได้ส่งสัญญาณเตือนหลังจากสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างที่เริ่มเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที
ซึ่งเอมิยะเองก็สัมผัสได้เช่นกัน พลังงานเหล่านั้นมีอนุภาคค่อนข้างสูงราวกับมีใครสักคนกำลังใช้โฮกุอยู่
“ท่าทางพวกเราจะเริ่มใกล้ถึงบัลลังค์โซโลมอนแล้ว แถมยังมีพลังเวทที่ถูกปลดปล่อยในรูปแบบโฮกุอีกด้วย
นั่นเป็นของใครกันแน่นะ”
“ดันเต้...ข้าว่ามันไม่ใช่แค่นั้นหรอก ยังมีพลังเวทอีกส่วนหนึ่งเริ่มหลอมรวมเข้ากันใหม่หลังจากแตกสลายไป
บางทีอาจเป็นของเจ้าบุคคลปริศนาก็ได้นะ”
“...!!?”
พอเอมิยะเริ่มทำการยืนยันพลังงานที่ตนสัมผัสได้ทั้งหมด
ทุกคนต่างมีความรู้สึกเดียวกันว่า ยูมิกำลังตกอยู่ในอันตราย ยิ่งจิตใจของเธอคนนั้นเริ่มอ่อนแอลงจนถูกอารมณ์บางอย่างเข้าครอบงำง่ายด้วย
ดังนั้น...พวกเขาทั้งแปดคนจึงรีบพากันมุ่งหน้าเข้าสู่บัลลังค์โซโลมอนเพื่อตามช่วยให้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป!
.
.
.
.
.
หลังจากการต่อต้านโฮกุของมาชูอัลเตอร์ถึงขั้นขีดจำกัด
ลมพายุที่พัดโบกค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ เพียงแต่ยังหลงเหลือฝุ่นควันบดบังวิสัยทัศน์จนมองไม่เห็นร่างของเธอ
เหล่าคาลเดียทั้งสามต่างยืนรอดูผลลัพธ์ที่กำลังจะตามมา
“จะทำสำเร็จรึเปล่านะ...”
ยูมิพูดพึมพำเบาๆ ในขณะที่จ้องมองสิ่งตรงหน้าโดยไม่ละสายตา
มือขวาเริ่มหยิบกลัดมณีเวทย์จากกระเป๋าคาดเอวขึ้นบีบให้แตกและหลอมรวมเป็นหอกเกโบ (เล่มสีเหลืองของเดียร์มุด) เพื่อใช้มันแทนอีกเล่มหนึ่ง
จังหวะนั้นเอง เซอแวนท์หนุ่มคลาสเบอเซิกเกอร์ได้เดินมายืนเคียงข้างพร้อมยกมือขึ้นแตะไหล่ซ้ายเบาๆ
“ยูมิ...ตอนนี้กลัดมณีเวทย์เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวแล้ว
เจ้ายังพอสู้ไหวจริงๆ ใช่มั้ย”
“อื้ม...ไม่เป็นไรหรอก คูจัง เม็ดสุดท้ายนั่นเดี๋ยวเก็บเอาไว้ก่อนละกัน
ตราบใดที่หอกของพวกเราทั้งสามยังไม่แตกสลาย ฉันจะไม่ใช้มันเด็ดขาด และถ้าไม่มีอาวุธแล้วก็คงต้องสู้ด้วยมือเปล่า
เพราะร่างกายนี้...ยังมีพลังเวทไหลเวียนอยู่”
“...”
พอเธอพยายามตอบและยิ้มบางให้หายห่วง คูอัลเตอร์เงียบปากไปแล้วยกมือข้างที่แตะไหล่ขึ้นมาลูบหัวเบาๆ
ความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่นี้ทำให้รู้สึกมีแรงกำลังใจมากขึ้นกว่าเดิม จิตใจเริ่มสงบลงทีละนิดจากตอนแรกที่ควบคุมอารมณ์บางอย่างไว้ไม่อยู่
แต่ถึงอย่างนั้น...เป้าหมายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
พวกเขา...ต้องกำจัดมาชูร่างดำมืดนี้และขอพรให้จอกศักดิ์สิทธิ์เติมเต็มความปรารถนาด้วยการปลุกฟื้นเธอขึ้นใหม่ในร่างธรรมดาซะ
“มาสเตอร์...”
ในระหว่างที่มาสเตอร์สาวกำลังนึกคิดถึงเรื่องเมื่อครู่
คูแลนเซอร์ก็เรียกเธอพร้อมก้าวเท้าเดินตรงข้างหน้าแล้วควงหอกเกโบล์กเตรียมเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
“ท่าทางผลลัพธ์จะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคาดหวังซะแล้วสิ”
“...!?”
“ฮึๆๆ สมกับเป็นยอดนักรบแห่งอัลสเตอร์จริงๆ นะคะ...คุณคูฮูลินน์
โฮกุเมื่อกี้ทำเอาโล่ของฉันแทบแตกเลยล่ะ”
รุ่นน้องหัวเราะในลำคอพร้อมค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนท่ามกลางฝุ่นควันเหล่านั้น เกราะมือสีขาวทั้งสองข้างแตกกระจายหายไปกับโฮกุประเภทต่อต้านกองทัพของพลหอกน้ำเงิน มือซ้ายยังคงถืออาวุธหอกสีแดงเล่มใหญ่ไว้มั่น แต่มือขวากลับว่างเปล่า โล่ที่เคยใช้เมื่อไม่นานถูกวางทิ้งบนพื้นดิน
‘ตอนนี้แหละ แลนเซอร์! ใช้โอกาสนี้เข้าสู้กับมาชูได้เลย!’
‘โอ้ว!!’
ทันทีที่มาชูลุกขึ้นตั้งหลักเสร็จ ยูมิรีบส่งโทรจิตให้แลนเซอร์หนุ่มเตรียมบุกโดยไม่ยอมให้เสียเวลาอันจำกัดไปมากกว่านี้
ซึ่งครั้งนี้จะร่วมสู้ด้วยทั้งหมดสามคน
พวกเขารีบพุ่งตรงเข้าหาโดยแยกกันคนละทิศทาง
หญิงสาวผมดำที่เริ่มเปิดศึกคนแรกจับอาวุธเล่มสีเหลืองด้วยมือขวาไว้มั่นพร้อมถ่ายโอนพลังเวทไปยังขาสองข้างแล้วออกแรงกระโดดขึ้นบนฟ้าก่อนที่จะจับฟาดลง
ณ ตำแหน่งที่หญิงสาวผมชมพูกำลังยืนอยู่
“ฮ้ากกกกก!!!”
เปล๊ง!!
เสียงอาวุธทั้งสองเล่มปะทะกันรวมถึงพื้นดินที่แตกหักดังสนั่นบัลลังค์หลังจากอีกฝ่ายตวัดหอกเล่มใหญ่ขึ้นต่อต้านเอาไว้ทัน
ทั้งตัวเธอที่ยังคงอยู่เบื้องบนและรุ่นน้องอัลเตอร์ต่างควงหอกสลับกับฟาดปะทะกันไปมาจนเกิดประกายไฟเล็กๆ
มากมายอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งคนเบื้องล่างเริ่มใช้ช่องโหว่เพื่อชูอาวุธประจำตัวตั้งฉากให้ด้านแหลมคมชี้ขึ้นฟ้า
“...!!”
แย่ล่ะสิ!! คุณหนูกำลังตกอยู่ในอันตราย!!
คูแลนเซอร์สังเกตเห็นยูมิที่กำลังจะถูกโจมตีพร้อมยกเกโบล์กขึ้นเหนือไหล่
ออร่าสีแดงเริ่มปรากฏท่วมทั้งเล่ม เขากำอาวุธไว้แน่นก่อนที่จะออกแรงขว้างตรงไปยังเป้าหมายหวังช่วยมาสเตอร์ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือศัตรู
“ชิ...!”
มาชูอัลเตอร์แสดงความรู้สึกขัดใจที่มีคนคอยขัดขวางการต่อสู้ของตัวเอง
เธอเปลี่ยนใจจากตอนแรกที่จะทิ่มแทงรุ่นพี่ผมดำเป็นเหวี่ยงปัดป้องเกโบล์กของพลหอกน้ำเงินออกพลางหมุนตัวฟาดขาขวาเข้าไปเตะอีกคนขึ้นฟ้าในมุม
45 องศาจากพื้นดิน
“...!”
ในระหว่างนั้น คูอัลเตอร์ที่กำลังควงหอกเตรียมสู้ได้พบเห็นแฟนสาวด้วยหางตาพอดี
เขาออกแรงขาสองข้างเหยียบพื้นจนเกิดรอยร้าวและก้อนดินที่แตกกระจาย จากนั้นก็กระโดดพุ่งขึ้นคว้าตัวไว้ในอ้อมแขนพร้อมพาเธอลงบันไดสีขาวอย่างปลอดภัย
“ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่มั้ย...ยูมิ”
“อะ...อื้ม ขอบคุณนะ”
ทางด้านคูแลนเซอร์ตอนนี้เริ่มออกตัววิ่งเข้าหาอีกฝ่ายและเรียกอาวุธหอกให้ลอยหาเจ้าของ
ซึ่งได้กลับมาเพียงแค่ของตัวเองเท่านั้น ส่วนของยูมิที่เรียกจากกลัดมณีเวทย์สลายหายไปพร้อมกับฝุ่นควัน
เปล๊ง!! เปล๊ง!!
การปะทะกันระหว่างสองคนดำเนินต่อจากศึกครั้งที่แล้ว
โดยรอบนี้มาสเตอร์สาวสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคาวเลือดที่ปนอยู่กับอนุภาคพลังเวทรอบตัวพวกเขา
ความเกลียดชังของรุ่นน้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอยากสังหารกลุ่มคาลเดียให้ตายแล้วเหลือไว้เพียงรุ่นพี่คนเดียวเท่านั้น
พอเวลาผ่านไปไม่นาน บัลลังค์โซโลมอนแห่งนี้ก็เริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อยก่อให้เกิดสัญญาณบางอย่าง มาชูอัลเตอร์แอบยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งตรงเข้าหามาสเตอร์แล้วหันด้านแหลมของอาวุธประจำตัวจ่อในระดับกลางอก ออร่าสีแดงอันเป็นพลังเวทหลอมรวมอยู่บนปลายหอก
หญิงสาวผมดำเพิ่งจะรู้สึกตัวจนร่างกายตอบสนองช้า
นึกวิธีป้องกันไม่ทัน แต่ต่อมากลับรอดอย่างหวุดหวิดเพราะคูอัลเตอร์ช่วยปกป้องโดยการรับคมหอกด้วยมือที่ว่างเปล่า
ฉึก!!
เลือดสีแดงสาดกระเซ็นลงพื้นบันไดพร้อมกับมือซ้ายที่ถูกทิ่มทะลวงถึงด้านหลัง
คำสาปค่อยๆ แผ่กระจายทั่วทั้งแขนและกัดกินพลังเวทอย่างช้าๆ
แสดงให้เห็นว่าหอกเล่มนั้นถูกชโลมด้วยพิษ ช่วงแรกที่คูแลนเซอร์กับรุ่นน้องสู้กัน
ยังไม่มีใครได้รับบาดแผลจากอาวุธของฝ่ายตรงข้าม จึงไม่อาจทราบถึงความอันตรายของมันในตอนนั้น
“อึ่ก...”
“คูจัง!!” ยูมิรีบพาเบอเซิกเกอร์หนุ่มถอยออกห่างจากมาชูแล้วพยายามใช้พลังเวทลบล้างพิษออก
เขายืนมองสักพักก่อนที่จะจับมือขวารั้งไว้ไม่ให้ทำอย่างอื่นใดต่อ
“ข้าไม่เป็นไรหรอก...ตอนนี้ยังพอไหวอยู่...”
“แต่ว่าคำสาปนั่นน่ะ...!!”
“แหม...คุณอัลเตอร์เนี่ยช่างดื้อด้านจริงๆ นะคะ ดูแล้วแทบไม่ได้ต่างอะไรจากรุ่นพี่เลยเนอะ”
รุ่นน้องอัลเตอร์ค่อยๆ เดินเข้าหาอย่างช้าพร้อมหัวเราะในลำคอเชิงเย้ยหยัน
มือขวากำอาวุธเล่มใหญ่แน่นหวังใช้มันฝังคำสาปต่อ มาสเตอร์สาวรีบเข้าไปขัดขวางและถือหอกเกโบเพื่อเตรียมปกป้องคนรักสุดหัวใจ
“ขอร้องล่ะ หยุดสักทีได้มั้ย เธอจะฆ่าใครก็ตามใจ
แต่อย่าฆ่าคูจังเลยนะ!”
“...”
เพี๊ยะ!!
พอฟังจบประโยค เธอแอบยิ้มมุมปากพร้อมใช้มือขวาฟาดลงบนแก้มซ้ายจนสัมผัสถึงความร้อนผ่าวของมัน
ต่อจากนั้นก็ดึงร่างรุ่นพี่แล้วยกเท้าขวาออกแรงถีบแผ่นหลังจนตัวปลิวออกห่างประมาณสามเมตร
และกลิ้งบนพื้นหลายตลบ
“อั่ก...!”
“มาสเตอร์!!”
ทั้งคูแลนเซอร์และอัลเตอร์ต่างรีบวิ่งลงไปสมทบข้างๆ
มาสเตอร์อย่างไม่รอช้า พวกเขาต่างแสดงสีหน้าเป็นกังวล
กลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหรือสิ้นลมต่อหน้าต่อตาโดยที่ยังไม่เสร็จภารกิจของตัวเอง
“ไม่นึกเลยว่ารุ่นพี่จะโง่เง่าขนาดนี้ การที่พวกเราจะได้อยู่บนโลกใบใหม่กันแค่สองคนจำเป็นต้องปรานีคนอื่นด้วยเหรอคะ”
บ้าจริง...จิตใจของเธอเริ่มดำมืดลงทุกที
แบบนี้คงเรียกว่าสูญเสียตัวตนที่แท้จริงแล้วสินะ
“...”
ไม่หรอก...! นี่ต้องเป็นฝีมือของเจ้าบุคคลปริศนาแน่ๆ!
“มาชู...เลิกหลอกตัวเองเถอะ ฉันรู้ว่าเธอ...ไม่มีทางยอมเป็นอัลเตอร์แล้วฆ่าพวกเราหรอก”
หญิงสาวผมดำพยายามยกหอกสีเหลืองขึ้นปักบนพื้นแล้วค่อยๆ
ยันตัวลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังรู้สึกเจ็บทั่วแผ่นหลัง สายตาจับจ้องมองขึ้น ณ เบื้องบนบัลลังค์โซโลมอนจนพบว่ารุ่นน้องกำลังหันหน้ามาเผชิญกับเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“โธ่...เป็นแค่มาสเตอร์ที่ไม่ชำนาญพอแท้ๆ
ยังกล้าใช้ปากพล่อยๆ พูดจาออกมาได้อีกนะคะ”
“...”
“ไม่สิ...บางทีอาจเป็นรุ่นพี่ที่เอาแต่หลอกตัวเองมากกว่าล่ะมั้ง”
“เอ๊ะ...?”
“ถ้าอิงตามคำพูดของ ‘เขา’
คนนั้นที่เล่าให้ฟังและช่วยฉันเลือกเส้นทางนี้ล่ะก็...มีโอกาสที่พวกเราสองคนจะเข้าขากันได้ดีกว่าพวกเซอแวนท์กู้โลกหลายเท่าเลยนี่นา”
สิ้นเสียงของรุ่นน้องอัลเตอร์แล้ว จิตใจของยูมิเริ่มถูกเติมเต็มด้วยความรู้สึกสับสน
เธอถามตัวเองซ้ำๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องอะไร ทั้งคำว่า 'หลอกตัวเอง' 'อิงตามคำพูดของเขา' 'โอกาสที่จะเข้าขากันได้ดีกว่าเซอแวนท์'
เธอ...ไม่เข้าใจสิ่งที่รุ่นน้องต้องการจะสื่อเลยจริงๆ
‘ฮิๆๆ’
‘เธอหลีกหนี---ของตัวเองไม่ได้หรอก
และจะไม่มีวันหนีมันพ้น!’
เสียงพูดนี้...ทำไมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อนนะ
“...!!?”
ช่วงที่เสียงพูดอันคุ้นหูกำลังดังกึกก้องในหัวของยูมิ
มาชูอัลเตอร์ยิ้มกว้างแล้วรีบพุ่งตรงเข้าไปยืนตรงหน้าเซอแวนท์หนุ่มคลาสเบอเซิกเกอร์ก่อนที่จะยกอาวุธสีแดงขึ้นระดับเดียวกับแผงอกของเขา
“เอาล่ะ...เตรียมตัวตายซะเถอะค่ะ
คุณอัลเตอร์”
“...!!”
วินาทีนั้นเอง มือขวาอันมีสัญลักษณ์เรย์จูของเธอเริ่มชูขึ้นตรงหน้าด้วยสัญชาตญาณของมาสเตอร์แห่งคาลเดียและคนรักที่รู้สึกผูกพันด้วยมากที่สุด
ภายในใจเอาแต่บอกย้ำเตือนหน้าที่ที่ตัวเองต้องทำ ณ ตอนนี้โดยเธอจะไม่ยอมละทิ้งมันเด็ดขาด!
ไม่ได้...คูจังจะมาล้มตายง่ายๆ
แบบนั้นไม่ได้
เขาเป็นเซอแวนท์ที่แข็งแกร่งที่สุดของฉัน...
...ดังนั้นฉันต้องปกป้องเขาให้อยู่รอดด้วยกันต่อไป!!
“ด้วยอำนาจแห่งเรย์จูข้าขอสั่งการ!! คูฮูลินน์อัลเตอร์ จงจัดการมาชูอัลเตอร์ด้วยโฮกุของตนซะ!!!”
วิ้งง~
หลังจากออกคำสั่งอย่างสุดเสียง
แสงสีแดงบนมือขวาค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมออร่าสีฟ้าอ่อนรอบตัวคูอัลเตอร์
หมายความว่าการถ่ายโอนพลังเวทจากเรย์จูได้ผล นอกจากนั้นยังเป็นการลบล้างพิษบนแขนซ้ายอีกด้วย
เขายิ้มมุมปากให้แฟนสาวแล้ววาร์ปไปยังบันไดสีขาวก่อนที่จะเปลี่ยนร่างให้เป็นโฮกุของตัวเองเตรียมจัดการศัตรูทันที
“ปลดปล่อยคำสาปทั้งหมด
ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จงมุ่งเข้าเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังนี้เสีย...”
ในระหว่างนั้น
รุ่นน้องอัลเตอร์เริ่มพุ่งเข้าไปขัดขวางโดยเร็ว แต่ด้วยการที่กลุ่มคาลเดียไม่ได้มากันแค่สองคน
คูแลนเซอร์จึงรีบทำหน้าที่ปกป้องเซอแวนท์อีกคนจนกว่าจะเตรียมการเรื่องโฮกุสำเร็จ
เขาพยายามต่อสู้เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ แม้เปลี่ยนเป็นวิ่งอ้อมออกด้านข้าง เธอไม่อาจสาวถึงอีกฝ่ายได้
ขอทีเถอะ...อย่าให้เรย์จูเส้นที่สองของฉันต้องไร้ค่าเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาอีกเลย!
“กรีด คอนย์เฮน!!”
‘แลนเซอร์! ถอยออกมาซะ!’
มาสเตอร์สาวส่งโทรจิตบอกให้คูแลนเซอร์หลีกทางกลับมายืนข้างๆ
เธอ เซอแวนท์หนุ่มคลาสเบอเซิกเกอร์เริ่มโจมตีมาชูอัลเตอร์อย่างต่อเนื่อง เมื่ออีกฝ่ายพยายามหาทางป้องกันไม่นาน
จู่ๆ ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นหยุดนิ่งผิดจากปกติพร้อมยอมถูกโจมตีเรื่อยๆ สุดท้ายเขายกมือขวาจ้วงเข้ากลางอกและปลดปล่อยหนามแหลมใหญ่ให้ทะลวงถึงข้างหลัง
ฉึก!!
“อั่ก...!!”
รุ่นน้องกรีดร้องด้วยความรู้สึกจุกกลางอกพลางกระอักเลือดสีแดงออกจากปากของตัวเอง
หยาดเลือดสาดกระเซ็นทั่วทั้งร่างคูอัลเตอร์และค่อยๆ หยดลงบนพื้นดิน เขาดึงมือขวาออกแล้วเปลี่ยนเป็นร่างเดิม
สายตาอันเรียวคมจับจ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังทรุดลงนอนข้างล่างสักพักใหญ่ก่อนที่จะก้าวเท้าเดินกลับไปหามาสเตอร์สาวอย่างใจเย็น
“คูจัง! ปลอดภัยดีรึเปล่า...ไม่มีอะไรผิดพลาดใช่มั้ย!”
“ไม่มีปัญหาหรอก ขอแค่เจ้าปลอดภัย...ข้าก็โอเคแล้วล่ะ”
“อืมม...งั้นขอดูหน่อยนะ”
หญิงสาวผมดำจับแขนซ้ายของเขามาตรวจเช็คว่าไม่มีคำสาปฝังอยู่จริงหรือไม่
จนต่อมาก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอกพร้อมกับยิ้มบาง อีกฝ่ายอดใจไม่ได้จนต้องยกมือข้างนั้นลูบหัวเธอเล่น
“...”
นานแค่ไหนแล้วที่ทั้งสองคบหาและใช้ชีวิตร่วมกัน
จากตอนแรกจะไม่ยอมให้ยูมิเข้าใกล้ชิดใคร เขากลับเปลี่ยนใจเมื่อได้รับรู้ว่าเธอโดดเดี่ยวเพราะถูกเพื่อนหลอกใช้แล้วทิ้งมานาน
ฉะนั้น...เขาต้องปกป้องทุกคนที่ผูกพันกับแฟนสาวให้ถึงที่สุด
แม้สละจนตัวตายก็จะยอม
“...!!”
ทันใดนั้นเอง พื้นที่บัลลังค์โซโลมอนเริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง
แต่มีอีกสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลุ่มคาลเดียทั้งสามคนพบเห็นออร่าสีดำรอบตัวมาชูอัลเตอร์ที่กำลังนอนสิ้นลมอยู่
พลังเวทเหล่านั้นลอยวนเวียนราวกับกำลังหลอมรวมเข้าใหม่ ต่อมาเธอก็ค่อยๆ จับปักหอกเล่มใหญ่บนพื้นแล้วยันตัวลุกขึ้นอย่างโซซัดโซเซพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างดังปีศาจร้าย
“ว่าแล้วรุ่นพี่ยูมิเนี่ย...โง่เง่าอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ”
“มาชู!? ทำไมกัน...เธอน่าจะตายด้วยโฮกุของคูจังแล้วแท้ๆ!”
“คุณอาจจะไม่ได้สังเกตสินะคะ ตอนคุณอัลเตอร์กำลังใช้โฮกุแล้วฉันยืนนิ่งแทนที่จะหาทางป้องกันเหมือนกับคนอื่นเขา”
“หืมม...ยอมสตั๊นเพื่อแลกกับการใช้สกิลฟื้นคืนชีพดักหน้านี่เอง
คุณหนูมาชูร่างนี้ดูแปลกใหม่ยิ่งกว่าเดิมเลยแฮะ”
คูแลนเซอร์ยิ้มมุมปากให้ฝ่ายตรงข้ามในขณะที่กำลังควงหอกขึ้นพาดบนไหล่ ซึ่งตอนโฮกุของคูอัลเตอร์กำลังถูกใช้งานนั้น เขาได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ พร้อมสัมผัสถึงพลังเวทที่หายไปส่วนหนึ่ง
“เธอนี่มันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว...” ยูมิเริ่มหวาดระแวงในตัวรุ่นน้องของเธอทุกทีๆ
มือทั้งสองเริ่มสั่นระริกไปมาจนต้องกำหมัดควบคุมมันไว้
“ฮึๆๆ ถ้าฉันบ้าบิ่นจริง รุ่นพี่เองก็คงจะเป็นยิ่งกว่าคลุ้มคลั่งล่ะมั้งคะ”
“เอาอีกแล้ว...!? มาชู ตั้งแต่ตอนที่เธอบอกว่าฉันหลอกตัวเองเนี่ย...มันหมายความว่าไงกัน! อธิบายให้ชัดเจนสักที!”
“แหมๆ อยากฟังใจจะขาดขนาดนั้นเลย? งั้นก็รอให้ ‘พวกเขา’ มาถึงที่นี่ก่อนเถอะค่ะ”
ในจังหวะที่มาชูอัลเตอร์พูดจบประโยคไปไม่กี่วินาที
มาสเตอร์สาวสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างมากกว่าผิดปกติ พอลองหันไปมองทางด้านหลังแล้วจึงพบว่า
มีเซอแวนท์กลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหา ซึ่งทุกคนล้วนผูกพันกับเธอมากที่สุด
เว้นแต่ซิกคนเดียวที่ขอติดตามมาเท่านั้น
“เอมิยะ!? ทำไมถึงตามเข้ามาที่นี่ล่ะ! อีกอย่างเวลาจำกัดที่เหลือตอนนี้...!”
“น่าจะเหลือประมาณครึ่งชั่วโมง...ที่พวกข้าตามมาช่วยเจ้าก็เพราะมีเหตุผลสำคัญอยู่ข้อหนึ่งน่ะ”
เอมิยะตอบพร้อมกับฝืนยิ้มเล็กๆ ให้อีกฝ่าย “แต่เอาเป็นว่า...ค่อยบอกหลังจากจบศึกนี้ละกัน”
“พูดถึงปุ๊บก็มาปั๊บเลยนะคะ คุณเอมิยะ แสดงว่าด้ายแดงแห่งพันธสัญญาของพวกคุณผูกมัดกับรุ่นพี่ไว้อย่างแน่นหนาจริงๆ”
“โห...พลังเวทมหาศาลที่หลอมรวมเข้ากันใหม่นั่น...เป็นของเจ้าเองงั้นรึ
มาชู” กิลกาเมชแคสเตอร์ยืนกอดอกและส่งสายตาจ้องมองรุ่นน้องอัลเตอร์ที่ยังคงถืออาวุธหอกสีแดงเล่มใหญ่ไว้มั่น
“ไม่สิ...จะเรียกเป็นชื่อคงดูหรูหราสำหรับคนที่มีจิตใจเน่าเฟะสินะ
ยัยพันทาง”
“...!?”
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ยูมิได้ยินราชาแห่งอุรุคเรียกมาชูด้วยฐานะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเทียบเท่ากับตัวเธอเอง
แม้จะอยู่ฐานะเดียวกัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกได้ว่าเขาจงใจใส่อารมณ์เข้าไปในคำพูดให้ดูต่ำยิ่งกว่าเดิม
“ท่านมาชู...ทำไมถึงได้มีร่างกายแบบนั้นล่ะขอรับ”
“ถึงจะไม่น่าเชื่อฟังสักเท่าไหร่ แต่นางคงเข้าสู่ด้านมืดจนเป็นอัลเตอร์เรียบร้อยแล้วล่ะ...แถมยังเป็นคลาสอเวนเจอร์ด้วย
ช่างหายากจริงๆ” ดันเต้ตอบคำถามให้โคทาโร่แล้วยิ้มมุมปากด้วยความสนุกที่ได้เจอเซอแวนท์คลาสเดียวกันกับตัวเอง
“...”
แปะๆๆ
แต่ในขณะนั้นการสนทนาของกลุ่มคาลเดียได้หยุดชะงักลงเมื่อเสียงปรบมือจากมาชูอัลเตอร์ดังขัดจังหวะ
เธอเริ่มยกมือขวาดีดนิ้วเรียกบางอย่าง พื้นที่บัลลังค์โซโลมอนสั่นสะเทือนอีกครั้งก่อนที่จะมีคนๆ
หนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากเก้าอี้บัลลังค์ ร่างกายสีเหลือง-ส้มและท่อนแขนสองข้างอันใหญ่โตอันเป็นเอกลักษณ์นี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“ถึงเวลาต้อนรับแขกจากคาลเดียแล้วนะคะ...ท่านเกเทีย”
“เกเทีย!!!?”
ทุกคนต่างอุทานออกมาด้วยความตกใจและไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ยูมิเบิกตากว้างพร้อมกำหมัดสองข้างอย่างแน่น หอกเกโบในมือขวาของเธอที่เรียกจากกลัดมณีเวทย์เริ่มมีพลังเวทสีเหลืองบางๆ
ลอยท่วมทั้งเล่ม
‘เขา’ คนนั้น...ที่รุ่นน้องเคยพูดไว้...ได้ปรากฏตัวต่อหน้าต่อตาแล้วจริงๆ
“หืมม...แขกเยอะกว่าที่คิดไว้ซะอีก ท่าทางมาสเตอร์จะมีนิสัยขี้ขลาดจนต้องพาเซอแวนท์มาร่วมสู้ด้วยขนาดนั้นเลยสินะ”
“เกเทีย...ทำไมแกยังมีตัวตนอยู่อีกล่ะ!! แกควรตายไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ!!”
“ให้ตายเถอะ มาสเตอร์แห่งคาลเดียเอ๋ย เจ้าน่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าใครคือต้นตอของเรื่องทั้งหมด และทุกวันนี้เจ้ารังเกียจใคร อยากให้ใครออกจากชีวิตนักหนาล่ะ”
“ห๊ะ...?” มาสเตอร์สาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพร้อมครุ่นคิดตามสิ่งที่อีกฝ่ายถามเข้ามาทีละข้อ
ต้นตอของเรื่องทั้งหมด...คนที่เกลียดและอยากให้ออกจากชีวิต...
“...!!? หรือว่า...!!”
“สีหน้าแบบนั้น...คงรู้คำตอบแล้วสินะ อิชิมารุ ยูมิ”
“ร่างเงาที่ฉันเจอเมื่อเช้า...ร่างเงาที่ลักพาตัวมาชูเข้าบัลลังค์โซโลมอนและแนะนำเส้นทางสู่ความมืดหม่นให้กับเธอคนนั้น...เป็นแกเองงั้นเหรอ เดจาวู!!”
แม้จะไม่ค่อยมั่นใจเรื่องร่างเงา แต่กลับมีสิ่งหนึ่งยืนยันได้ชัดเจน
นั่นคือความเกลียดชังที่มีต่ออีกฝ่าย ช่วงที่เธอนั่งคนเดียว ไม่มีคูอัลเตอร์คอยอยู่เคียงข้าง
เสียงหัวเราะก็ดังกึกก้อง หลอกหลอนจนรู้สึกปวดหัวและทรมาน บางครั้งต้องนั่งกรีดร้องไล่มันออกไป
ภายหลังจึงเกิดอาการลมชักกำเริบในจังหวะที่ไม่มีเซอแวนท์คอยช่วยเหลือเลย
“ใช่แล้ว...แต่มันก็น่าเชื่อใจยากจริงๆ นะ ทั้งที่ตัวข้าเอาแต่ล่องลอยท่ามกลางความมืด
ไม่มีใครรู้เห็นนอกจากเจ้า แถมยังเป็นคนเดียวที่คอยตามติดชีวิตเจ้ามาตั้งแต่สมัยเรียนด้วย”
จากนั้นเขาจึงเล่าต่อไปอีกว่า เคยมีความคิดอยากได้กายหยาบเป็นใครสักคนหนึ่งเพื่อพบเจอกับหญิงสาวผู้ที่ตนพยายามตามติดมาโดยตลอด วันหนึ่งจอกศักดิ์สิทธิ์สีดำบังเอิญได้ยินคำปรารถนานี้เข้า เธอปรากฏตัว ณ
เวลาเที่ยงคืนเพื่อเติมเต็มมันให้กลายเป็นจริง ซึ่งระหว่างนั้นเงาดำในร่างมาสเตอร์สาวก็เข้าหลอกหลอนถึงฝันของยูมิ โดยมีประโยคหนึ่งบอกไว้ว่า...
‘เธอหลีกหนี บาปกรรม ของตัวเองไม่ได้หรอก...และจะไม่มีวันหนีมันพ้น!’
“ประโยคนั่นน่ะ...จะเป็นของใครได้นอกจากตัวเจ้าอีกคนที่ถูกลืมเลือนไปอย่างน่าเสียดาย”
“ตัวฉัน...อีกคนหนึ่ง...?” ยูมิพยายามประติดประต่อความจริงที่เดจาวูบอกด้วยความรู้สึกงุนงง
สับสน และไม่อาจรู้ได้ว่าบาปกรรมของตนคืออะไร
“เอาเถอะ...จะปล่อยให้รุ่นพี่ยืนคิดต่อไปคงไม่ดีนักหรอก”
มาชูอัลเตอร์ค่อยๆ ก้าวเท้าเดินเข้าหามาสเตอร์สาวแล้วลูบคางเบาๆ
พร้อมส่งสายตาเย้ยหยันใส่ “คนโง่ยังไงก็โง่...คนบาปยังไงก็บาปวันยันค่ำอยู่ดีใช่มั้ยล่ะคะ”
“...!!?”
“ทีนี้ถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว...ขอให้พวกคุณทุกคนเตรียมรับฟังเรื่องราวในอดีตของรุ่นพี่อิชิมารุ ยูมิคนนี้ดีกว่า พอฟังจบ...อาจจะคิดผิดที่ยอมผูกมัดความสัมพันธ์จนถึงวันนี้ก็ได้”
[ To be continued ]
ความคิดเห็น