คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : Episode 1 วันหนึ่ง...ที่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยน
Episode 1 วันหนึ่ง...ที่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยน
----------------------------------------------------
ในเช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน
“ใกล้จบเต็มทนแล้วสินะ...อีเว้นท์คริสต์มาส 2017 รีรัน”
ฉันพูดพึมพำกับตัวเองหลังจากพาเหล่าเซอแวนท์บางส่วนฟาร์มไอเทมพร้อมลุยชาเล้นจ์รอบสอง
ซึ่งทีมนั้นมีตัวเด่นที่ต้องพกจริงจังอย่างมอเดรดเซเบอร์ ต่อด้วยมาชู
เมอลิน(ชาวบ้าน) นักบุญจอร์จ คูจัง และคินโทกิไรเดอร์ ผลการต่อสู้ถือว่าดีขึ้นกว่าปีก่อน
เพชรกับเรย์จูยังปลอดภัยดีทั้งหมด เซอแวนท์ผู้สละชีพมีนักบุญล่อตีน รุ่นน้องถือโล่
สุดท้ายคือพ่อมดผมขาว
แหม่...แต่ละคนนี่หน้าเดิมๆ
ตายแบบเดิมๆ ทั้งนั้นจ้า
พอลองเปิดเช็คข้อมูลเกี่ยวกับ QP จำนวน Exp. เหล่าเพชรหรือแอปเปิ้ลปุ๊บแทบจะปิดเครื่องโน้ตแพ็ดแล้วนอนลงบนเตียงทั้งวัน
เพราะมีอยู่เหลือเฟือ เซอแวนท์ตัวใหม่ไม่ได้รับการอัญเชิญมาสักตัว
ถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งแต่ก็แอบเสียดายเรื่องเอนคิดูไม่น้อย
“เอนคิดูจ๋าา~ มาหาพวกเราทีเถ๊อออ~”
วิ้งง~
สิ่งที่ได้ : เซอแวนท์ คลาสแลนเซอร์ ใบสีทอง พลิกออกเป็นเมดูซ่าแลนเซอร์
“เมดูซ่าอีกแล้วเรอะ...! ไม่จริงใช่มั้ยเนี่ยย! เอาใหม่...อีกหกเม็ดพอ!!”
วิ้งง~
สิ่งที่ได้ : เซอแวนท์ คลาสแลนเซอร์ ใบสีทอง พลิกออกเป็นเมดูซ่าแลนเซอร์ (อีกครั้ง)
“What the hell...!!? มาบ่อยอะไรขนาดนี้เนี่ย...!!”
วิ้งง~
สิ่งที่ได้ : เซอแวนท์ คลาสแลนเซอร์ วงทอง ใบสีทอง พลิกออกเป็นเมดูซ่าแลนเซอร์ (และอีกครั้ง)
“เอาจนได้...เธอชื่อ เอนคิดู งั้นเหรอจ๊ะ”
“ขอโทษด้วยค่ะ...ที่ฉันโผล่ออกมาให้เห็นหน้าครบห้าครั้ง
นี่คงเป็นเดจาวูสินะคะเนี่ย”
ให้ตายเถอะ...ยิ่งนึกถึงยิ่งปวดช้ำใจจริงๆ ค่ะ คือบรรดาเซอแวนท์สี่ดาวที่ได้ NP5 ณ ปัจจุบันต่อจากเอมิยะก็เป็นแม่หนูผมม่วงสายควิกคนนี้ พอมีเรทกาชาของเธอเพิ่มทีไร มันต้องรุนแรงขนาดนี้ตลอดเลยเชียว
ในจังหวะที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงพร้อมครุ่นคิดถึงความเกลืออันขาวโพลนเหมือนดั่งแสงไฟในมายรูมนั้น
ประตูห้องก็ถูกเปิดออกและมีการปรากฏตัวของเซอแวนท์หนุ่มสองคน
คลาสแอสซาซินกับแคสเตอร์ คู่หูบิโชเน็นประจำคาลเดียอย่างโคทาโร่กับซิก
พวกเขาเดินเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้มสุดแสนจะน่ารัก แถมยังมีการหิ้วถุงใส่ขนมด้วย
เมื่อลองดูปริมาณทั้งหมดแล้วค่อยโล่งอกหน่อย
อย่างน้อยก็ไม่เยอะจนกลายเป็นมื้อเช้ารอบสอง
“อรุณสวัสดิ์นะขอรับ นายท่าน
กระผมมีของว่างยามเช้าให้กินด้วยล่ะ”
“ส่วนฉันมีพุดดิ้งนมสดกับชาเขียวอีกสองถ้วย
คุณจะเลือกอันไหนก็ได้ตามสะดวกเลยนะ”
“อ่อ...มาช่วยตบท้ายหลังศึกด้วยของหวานนี่เอง”
ฉันจับคางมองอย่างเข้าใจเหตุผล(หรือมโนไปเองไม่รู้)แล้วเรียกให้ทั้งสองมานั่งกินด้วยกัน
ซึ่งในถุงของนินจาผมแดงนั้นมีขนมปังโทสต์กับขวดนมกลิ่นชิบูย่าโทสต์สามชุด
เขาหยิบออกมาแจกจนครบสามคนก่อนที่จะเริ่มแกะซองกินขนมปังเป็นอย่างแรก
“...!?”
อื้อหือ...กลิ่นหอมอุ่นๆ
นี่ลอยเตะจมูกก่อนเลยเชียว ชิ้นขนมถูกตัดแบ่งเป็นเก้าชิ้น
ราดหน้าด้วยน้ำตาลเล็กน้อยและนมข้นหวานบางๆ
ทำให้ส่วนประกอบสามอย่างมีความเข้ากันมากถึงมากที่สุด
ง่ำๆๆ
“อะ...อร่อยมาก! การใส่ตัวราดหน้าพวกนี้ถือว่าหวานพอดีไม่มีเลี่ยน
เนื้อขนมปังที่ปิ้งใหม่ๆ ก็นุ่มกินง่าย แบบนั้นต้องลองกินคู่กับนมแล้วล่ะ”
ว่าจบฉันก็วางซองขนมปังโทสต์ไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วหยิบขวดนมขึ้นแกะฟรอยด์ออกจากฝาพร้อมจิบรับรสหนึ่งอึก
วินาทีนั้นคือเหมือนตัวเองกำลังหลงอยู่ในโลกแห่งของหวานที่มีลมโชยอ่อนๆ เลย พอกินคู่กันปุ๊บสวรรค์ยังเรียกพี่
เหล่านางฟ้าตัวน้อยต้องยอมถวายตัวมารุมล้อมเพิ่มความอร่อยให้กับขนมหลากรูปแบบ
ฮ้าา~
มันช่างรู้สึกฟินอะไรเช่นนี้น้าา~ (เดี๋ยวๆ สติลูกสติ อย่าเพ้อ)
โอเค...นั่งฟินกับครั้งแรกมามากพอแล้ว(?) รีบโซ้ยให้หมดรับความอร่อยให้เต็มที่ดีกว่า
ต้องขอขอบคุณเซอแวนท์หนุ่มสุดแสนใจดีและน่ารักสองคนที่นำของว่างถูกปากพวกนี้จริงๆ
เรี่ยวแรงที่หมดไปกับการลุยอีเว้นท์นี่พุ่งกระฉูดอย่างกับเรทติ้งหนังเลยทีเดียว
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากที่ได้กินขนมปังโทสต์คู่นมสดกลิ่นชิบูย่าโทสต์ร่วมกับโคทาโร่และซิกจนเกลี้ยงเรียบร้อย
พวกเขาทั้งสองก็ขออาสาเก็บขยะก่อนที่จะเดินออกจากมายรูม ทิ้งให้ฉันนั่งอิ่มอยู่คนเดียว
ซึ่งระหว่างนั้นเซอแวนท์หนุ่มคลาสเบอเซิกเกอร์เจ้าของฮู้ดสีม่วงเข้มอย่างคูจังได้เปิดประตูห้องพอดี
เขาเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิมแล้ววางถุงพลาสติกที่หิ้วติดมือบนโต๊ะข้างหัวเตียง
“เหนื่อยหน่อยสำหรับวันนี้นะ...ยูมิ” แฟนหนุ่มนั่งลงข้างๆ พร้อมยกมือขึ้นลูบหัวอย่างที่เคยทำทุกวัน
ทำให้ยังคงรู้สึกอบอุ่นใจและหายเหนื่อยตลอดเวลา
“อื้ม! คูจังเองก็เหมือนกัน
เรื่องชาเล้นจ์ประจำอีเว้นท์น่ะ” ฉันยิ้มตอบเล็กน้อยและเริ่มหยิบของในถุงพลาสติกใบนั้นออกมา
พบว่าเป็นพุดดิ้งรสนมสดหนึ่งถ้วยแบบเดียวกันกับของซิกที่วางอยู่บนโต๊ะเป๊ะ
พวกเซอแวนท์ในคาลเดียแห่งนี้ชอบหาเรื่องให้อ้วนกันจริงๆ
สินะเนี่ย
“พุดดิ้งถ้วยนั้น...ให้ข้าช่วยกินดีมั้ย”
“เอ๊ะ!? มะ...ไม่เป็นไรหรอก พอดีซิกคุงให้มาเมื่อกี้น่ะ
งั้นคูจังกินอีกถ้วยแทนละกันเนาะ”
เขาไม่ตอบอะไรนอกจากหยิบพุดดิ้งในมือของฉันมาแกะฝาออกแล้วยกซดนมทั้งถ้วย
แม้แต่ตัวเนื้อยังถูกจับบีบจนแหลกและกินหมดเกลี้ยง
ด้วยการที่เป็นเบอเซิกเกอร์จึงไม่แปลกใจอะไรมากมายตั้งแต่ตอนไปงานวัดครั้งนู้น
“...”
เอาเป็นว่า...เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอนั่งกินของว่างพวกนี้ก่อนเลยดีกว่า
ผ่านไปไม่กี่นาที
หลังจากพวกเราสองคนพากันกินของว่างเติมแรงจนหมด
เบอเซิกเกอร์หนุ่มก็หยิบถ้วยพุดดิ้งนมสดใส่ถุงพลาสติกและมัดปากถุงให้เรียบร้อย แต่ยังไม่เอาไปทิ้งตอนนี้เพราะเขาขอนั่งคุยเป็นเพื่อนแก้เหงาโดยให้ฉันเปิดประเด็นก่อนคนแรก
อืมม...จะว่าไปมันก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้วแฮะ ตั้งแต่ตอนที่รู้สึกท้อแท้
ความเป็นมาสเตอร์เริ่มแหลกสลาย จนกระทั่งสู้กับเซอแวนท์สองตัวในร่างเงาสีดำเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ได้
ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นคือคูจังกับกิลกาเมชแคสเตอร์
“นี่...คูจัง จำเรื่องราวในช่วงปีที่แล้วได้มั้ย ตอนนั้นคือรู้สึกแย่และเสียใจมากที่ไม่ยอมรับฟังเหตุผลจากปากฉัน สารภาพตรงๆ ว่าคำนวณผิดพลาดไปหลายรอบเลย”
“อีเว้นท์คริสต์มาสครั้งก่อนสินะ...”
“ใช่แล้วล่ะ แถมยังได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการต่อสู้กับทั้งสองคนอีก
หลังกลับมาถึงคาลเดียน่าจะมีเซอแวนท์บางส่วนเล่าให้ฟังบ้างแล้วแหละเนาะ”
ฉันเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ตัวเขาในร่างเงาเคยทำท่าเตรียมสังหารเด็กสาวผมม่วงคนหนึ่งให้สิ้นลมหายใจตายอย่างโหดเหี้ยมด้วยโฮกุ
แถมกิลกาเมชยังเรียกโซ่รั้งขาไว้อีก วินาทีนั้นหัวใจแทบสลายเป็นเสี่ยงๆ และหวาดกลัวจนเกือบเสียสติ
“ถ้าตอนนั้นคูจังลงมือฆ่าเธอต่อหน้าจริงๆ ตัวฉันที่ไม่สามารถปกป้องใครสักคน...คงเป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...”
พออีกฝ่ายฟังจบก็ถอนหายใจเบาๆ มือขวายกขึ้นยีหัวเล่นพร้อมจับประคองแก้มด้วยมืออีกข้าง
เขาพยายามบอกให้ลืมความผิดพลาดครั้งก่อนทั้งหมดทั้งปวง ทำหน้าที่ของตัวเองในปัจจุบัน อย่าปล่อยให้พวกมันกลับมาควบคุมจิตใจเด็ดขาด
“เคยบอกไปแล้วนี่...ข้าจะคอยเป็นหอกปกป้องเจ้าโดยไม่ย้อนกลับไปนึกถึงความผิดพลาดหรือทิ้งเจ้าไว้ข้างหลังอีก
เพราะงั้นอย่าคิดมากนักเลย”
“อื้ม...ขอบคุณมากนะ”
สิ้นเสียงพูดเมื่อครู่ปุ๊บ ฉันเริ่มขยับเข้าใกล้และเอนตัวไปหาคูจังอย่างช้าๆ แขนสองข้างยื่นออกตรงหน้าเพื่อขอกอดไว้แน่น เขานั่งนิ่งสักพักแล้วค่อยโอบเอวโดยมีการจับท้ายทอยให้ใบหน้าซุกลงบนไหล่พร้อมลูบหัวอย่างเบามือ
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ก็เป็นฝ่ายอยากกอดด้วยตัวเอง ทั้งที่ทุกวันนี้เขาจะออดอ้อนก่อนตลอด
“...”
ความรู้สึกแปลกๆ ภายในใจนี่มันอะไรกัน...
มันช่างสับสน...หวาดระแวงเหลือเกิน...
หรือลางสังหรณ์กำลังบอกว่าต่อจากนี้ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน...?
“...”
ไม่เอา...ไม่เอาแบบนี้...
ขอร้องล่ะ...อย่าให้มันเกิดขึ้นเลย
เมื่อความกลัวเพิ่มพูนเรื่อยๆ มือสองข้างก็สั่นระริกเบาๆ พยายามจิกเล็บเข้าแผ่นหลังเพื่อหยุดยั้งมันไว้ คูจังคลายอ้อมกอดออกทีละนิดพร้อมดึงมือของฉันมากุมเข้าหากันตรงหน้าแล้วจ้องหน้ามองตา
“ยูมิ...ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...” อีกฝ่ายเว้นช่วงประโยคไว้ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้าใกล้เพื่อประทับริมฝีปากบนหน้าผากเชิงปลอบใจ “เจ้ายังมีพวกข้าทุกคนที่คอยช่วยเหลือและปกป้องอยู่นะ”
หลังจากฟังจบ ฉันไม่รู้จะพูดยังไงนอกจากพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเขาจึงบอกให้นอนพักซะ ตื่นมาอีกทีค่อยตามฟาร์ม QP ด้วยกัน ซึ่งระหว่างนั้นเขาก็ขอนั่งเฝ้าตรงขอบเตียงและไม่ยอมออกไปไหนเด็ดขาด เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยจัดการทันที
“...”
ถ้ามีบางอย่างเปลี่ยนไปจนต้องเกิดเหตุร้ายตามที่ลางสังหรณ์บอกจริงๆ ล่ะก็...
...ขอให้มันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเถอะนะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ยู~ มิ~”
“...”
“อยู่ที่ไหนน้า~”
เสียงเรียกของใครบางคนนั้นพาปลุกให้ตื่นจากห้วงภวังค์
ฉันค่อยๆ ลืมตาสองข้างพร้อมลุกขึ้นนั่งมองรอบตัว ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับไม่ใช่มายรูม
มันมืดมิดทั่วทั้งบริเวณ ไร้ซึ่งแสงสว่างจากหลอดไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นใด สักพักก็เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยราวกับไม่มีแรงโน้มถ่วงเข้าช่วย
นี่เป็นแค่...ความฝันใช่มั้ย
“นี่ๆ หัดพูดอะไรสักหน่อยสิ...”
พอลองฟังเสียงปริศนานั่นอีกรอบ
สมองก็ประมวลผลออกมาว่าเจ้าของเสียงเป็นผู้ชายวัยละอ่อน น่าจะเด็กกว่าด้วยซ้ำ
ฉันอดสงสัยไม่ได้อีกต่อไปก่อนที่จะเริ่มเปิดปากถามทันที แม้ว่าจะไม่เห็นรูปลักษณ์อีกฝ่ายก็เถอะ
“นายเป็นใครน่ะ...”
“อ่ะ...ยูมิ! ในที่สุดก็ยอมคุยด้วยจนได้
อยู่ทางนั้นเองสินะ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสดใสตามประสาวัยเด็กในขณะที่มุ่งหน้าตรงเข้าหา
กลิ่นอายแปลกประหลาดอันเปี่ยมไปด้วยพิษสงและอันตรายเริ่มแผ่กระจายรอบตัว อุณหภูมิภายในสถานที่นี้เย็นลงเรื่อยๆ
แต่มือไม้ทั้งสองกลับรู้สึกตรงข้ามกัน
“ตอบมา! นายเป็นใคร ต้องการอะไรจากฉัน!”
“แหม...ถ้าตอบชื่อเอาตอนนี้มันก็ไม่เซอไพรส์สิ จริงมั้ย?
ฉันแค่อยากอยู่ร่วมกันกับเธอ...โดยไม่มีใครขวางหน้าขวางตาเท่านั้นเอง”
“ขวางหน้าขวางตา? นายหมายถึงคูจังงั้นเหรอ...”
“โอ๊ะ! รู้ทันด้วยแฮะ สมกับเป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียจริงๆ
แต่ว่านะ...ตั้งแต่บัดนี้ ด้ายแดงแห่งพันธสัญญาของพวกเธอทุกคนจะต้องถูกตัดขาดออกจากกัน ผูกมัดใหม่ให้ตายยังไงก็ไร้ประโยชน์”
บรรยากาศกับคำพูดแปลกๆ แบบนั้นมันผิดปกติเกินไป
จะเป็นมาสเตอร์คนอื่นก็ไม่ใช่ เซอแวนท์ก็ไม่เชิง แถมยังไม่เคยมีใครเล่นพิเรนทร์ปิดไฟช่วงเช้าจนมืดเกินด้วย
“ขอล่ะ หยุดพูดอะไรไม่เข้าเรื่องแล้วพาฉันออกจากฝันบ้าบอนี่สักที!”
“อะไรกัน...นี่ไม่ใช่ความฝันสักหน่อยนา~”
ตัวเขาภายใต้ความมืดมิดเริ่มเข้าใกล้ชิดทุกที
อุณหภูมิรอบตัวเย็นลงยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับพลังงานบางอย่างที่ค่อยๆ โอบรัดทั่วทั้งร่าง
ทำให้รู้สึกอึดอัด แทบขยับเขยื้อนไม่ได้ หายใจลำบาก เสียงเรียกชื่อคูจังจากปากฉันเริ่มแหบขึ้นมาก
ท้ายสุดก็ทำได้เพียงออกเสียงร้องในลำคอคล้ายขาดอากาศหายใจ
“ชะ...ช่วย...ด้วย...คู...จัง...”
“นี่ๆ ทำไมต้องพยายามต่อต้านและเรียกร้องขอความช่วยเหลือด้วยล่ะ
เธอเองก็รู้ตัวดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอว่ามันไม่มีความหมายทั้งนั้น”
“...”
ฉันไม่ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแล้วพยายามเรียกร้องหาเซอแวนท์คนอื่นต่อ
มือขวาค่อยๆ ฝืนแรงยกขึ้นเตรียมใช้เรย์จูสั่งการ แต่พอผ่านไปไม่นานและยังไม่ทันที่จะใช้มัน
พลังงานเหล่านั้นก็สลายหายไป ร่างกายของฉันถูกปลดออกจากพันธนาการจนร่วงลงนั่งจุดเดิม
“โธ่...เป็นมาสเตอร์ที่ดื้อด้านจริงๆ งั้นขอยอมปล่อยให้พักหายใจก่อน ไว้เจอกันใหม่ในอีกไม่ช้านี้ และเธอ...จะได้เห็นตัวตนของฉันที่แท้จริงสักที”
ว่าจบบุคคลปริศนาคนนั้นก็เริ่มหายตัวไปโดยมีแสงสีขาวแผ่กระจายออกกลางอากาศราวกับรอยร้าวบนกระจก
ต่อมาภาพตรงหน้าจึงเปลี่ยนเป็นมายรูมเหมือนเดิม หากแต่สภาพห้องกลับค่อนข้างเละเทะพร้อมหยดเลือดที่ลากยาวถึงหน้าประตู
“แค่กๆๆ”
ฉันนั่งไอสองสามรอบ
สูดอากาศหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วมองดูนาฬิกาข้อมือ เวลาที่ปรากฏคือเที่ยงตรง จากนั้นก็ลองตบแก้มขวาตัวเองเพื่อทดสอบความมั่นใจ
ซึ่งถือเป็นข้อพิสูจน์ว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้ไม่ใช่ความฝันอย่างที่คิดไว้
ให้ตายเถอะ...มันเกิดบ้าอะไรขึ้นนะ
“...”
ในเมื่อพิสูจน์เรียบร้อย
สิ่งที่ควรทำต่อคือสืบหาความจริง ฉันเริ่มลุกขึ้นออกจากเตียงสีขาวและเดินตามหยดเลือดสีแดงนั่น
มือขวายื่นไปตรงหน้าเพื่อเปิดประตูห้องอย่างช้าๆ แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างอื่นนั้น
สายตาทั้งสองกลับสังเกตเห็นบางอย่างเข้า ทำเอาเกือบช็อกอยู่นาน
ใช่แล้ว...สิ่งนั้นคือ
ร่างของเซอแวนท์หนุ่มคลาสเบอเซิกเกอร์ในสภาพอาบเลือดเนื่องจากถูกของมีคมฟันแนวเฉียงกลางลำตัว
“คูจัง!!” ฉันไม่รอช้าอะไรพร้อมรีบวิ่งเข้าหาคูจังที่กำลังนั่งพิงกำแพงห้องตรงข้ามแล้วแตะเลือดบนแผงอกของเขา
คาดเดาไม่ยากเลยว่าเพิ่งถูกใครสักคนโจมตีไม่นาน “เกิดอะไรกันแน่น่ะ!!”
“มีศัตรูบุกเข้ามาคาลเดียในร่างเงาสีดำ...ตอนนี้ข้ายืนยันไม่ได้ว่าเจ้านั่นเป็นวิญญาณวีรชนหรือมอนสเตอร์จากที่ไหน”
“แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้นี่นา
ถ้าเป็นมอนสเตอร์จากคาลเดียเกทคงไม่มีทางเดินเตร่ออกมาหรอก”
ระหว่างนั้นก็พยายามใช้เรย์จูในการรักษาบาดแผลแสนฉกรรจ์ของอีกฝ่ายด้วย
แต่เขาดันจับข้อมือรั้งเอาไว้และขอให้ช่วยพาไปหาไนติงเกลแทน
ฉันนั่งคิดหนักหลายวินาทีก่อนที่จะจับประคองร่างไว้ข้างๆ แล้วพาเดินมุ่งหน้าไปยังห้องพยาบาล
ถึงจะหนักหน่อยแต่ก็ต้องพยายามเพื่อเขาล่ะนะ
ตื๊ดด~ ตื๊ดด~ ตื๊ดด~
พอผ่านไปไม่กี่นาที เสียงเตือนตามสายลำโพงของคาลเดียได้ดังขึ้นพร้อมกับคำประกาศจากหญิงสาวผู้เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิจัยเวททั้งหมด
“ถึงมาสเตอร์สาวนัมเบอร์ 021 อิชิมารุ ยูมิ
ขณะนี้ภายในคาลเดียของเราได้เกิดเหตุด่วนโดยไม่คาดคิด มีใครบางคนกำลังบุกโจมตีซึ่งไม่อาจทราบตัวตนที่แท้จริงได้ เมื่อพยายามตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่าไม่ใช่ทั้งเซอแวนท์หรือมอนสเตอร์จากคาลเดียเกท
เป็นบุคคลปริศนาที่ปรากฏตัวในร่างเงาสีดำ
ทางเราจึงขอให้ท่านรีบมาที่ห้องเรย์ชิพเตรียมแผนการรับมือกับสถานการณ์เลวร้าย
ณ บัดนี้”
หลังจากฟังคำประกาศเมื่อครู่จบ ทั้งฉันและคูจังต่างก็พูดในประโยคเดียวกันโดยบังเอิญราวกับนัดไว้ล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่ามีความคิดเดียวกันเป๊ะ
“เป็นเจ้านั่นจริงๆ ด้วยสินะ...!!”
ณ ห้องเรย์ชิพ
หลังจากได้พาคูจังรักษาแผลที่ห้องพยาบาลเรียบร้อย
ฉันรีบแจ้นวิ่งตามนัด ซึ่งพอมาถึงปุ๊บก็สัมผัสถึงอารมณ์หรือความรู้สึกของกลุ่มนักวิจัยเวท บรรยากาศภายในห้องตอนนี้เต็มไปด้วยความอึดอัด กังวล หวาดกลัว และสับสนปะปนกัน
ส่วนฉันทำได้แต่ยืนนิ่งเงียบ
พยายามเก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้ในใจแล้วครุ่นคิดถึงเหตุการณ์หลังจากนอนพักหลายชั่วโมง
แต่ว่าตอนนี้กลับไม่สามารถสานต่อความคิดเรื่องพวกนั้นสักนิด
ยิ่งนึกถึงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งปวดหัว
ทุกอย่าง...ดูดำมืดไปหมด
“กำลังรออยู่พอดีเลย ยูมิจัง”
จังหวะนั้นเอง ดา
วินชี่ได้เดินทางมาถึงพอดี โดยยังคงใส่ชุดเดิม สภาพเดิม ไม่มีบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนไม่มีใครสนใจจะเข้าโจมตี เธอยิ้มทักทายเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจังพร้อมประชุม
“เมื่อกี้คงได้ยินประกาศของนักวิจัยเวทแล้ว...ท่าทางครั้งนี้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องเร่งแก้ไขให้ได้
เพราะมันมีเวลาจำกัดอยู่ไม่มาก”
“เวลาจำกัด? หมายความว่าไงกันเหรอ
ดา วินชี่จัง”
“เหตุผลหลักข้อแรกคือ...มาชู เธอหายตัวไปพร้อมกับบุคคลปริศนาคนนั้นทันที”
มาชูถูกลักพาตัว!!? บ้าจริง...ทำไมฉันถึงโง่เง่าไม่ยอมนึกถึงเธอและตามปกป้องกันนะ
ฉันก้มหน้าลงเล็กน้อยและกำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่นด้วยความเจ็บใจ
อีกฝ่ายยืนเงียบพักใหญ่แล้วค่อยประชุมต่อ
“เหตุผลหลักข้อสอง...หลังจากเจ้านั่นหายตัวไปแล้ว
สิ่งที่เพิ่มเข้ามาบนคาลเดียสคือ จุดพลิกผันสีแดง แสดงให้เห็นว่าเป็นจุดอันตราย ถ้าไม่รีบตามแก้ไขภายในสองชั่วโมง
ยุคของมวลมนุษยชาติจะจบลง ทั้งโลก จักรวาล และคาลเดียจะถูกทำลายทันที”
“เอ๊ะ!? แบบนั้นมันเลวร้ายกว่าที่คิดไว้หลายเท่าอีกนะ!!”
“ใช่...ตอนแรกฉันก็คิดว่าเจ้านั่นจะเล็งแค่คาลเดียอย่างเดียวเหมือนกัน
แปลกยิ่งกว่านั้นคือ...”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผ่านไปหลายนาที
หลังประชุมกับดา
วินชี่เรื่องแผนการแก้ไขจุดพลิกผันล่าสุดเสร็จ ฉันก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องเรย์ชิพและเรียกเซอแวนท์ทั้งหมดให้มารวมตัวที่โรงอาหาร พวกเขาต่างนั่งมองพลางพูดคุยซุบซิบกันเอง ทุกกลุ่มแสดงสีหน้าที่แตกต่าง มีทั้งนิ่งเฉย ซีเรียส วิตกกังวล โดยเฉพาะเด็กๆ สามคนที่ร่วมจับมือเพื่อพยายามกำจัดความกลัวออกไป
“...”
“เอ่อ...ฟังนะ ทุกคน
ดูท่าทางศึกครั้งนี้จะรุนแรงยิ่งกว่าการแก้ไขจุดพลิกผันอื่นๆ เพราะมีเวลาจำกัดน้อยมาก ทำเอาฉันรู้สึกว่าช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานเริ่มจบลงจริงๆ ถ้าให้เรียกว่าศึกครั้งสุดท้ายก็ไม่ผิดหรอก”
“ครั้งสุดท้าย? หมายความว่าไงเหรอ
คุณหนู” คูแลนเซอร์ที่นั่งรวมกลุ่มกับคูคนอื่นหันมาถามด้วยความสงสัย
“จากการประชุมเมื่อไม่นาน ศึกที่พวกเราต้องเข้าร่วมคือจุดพลิกผันสีแดงจุดใหม่
ซึ่งมันปรากฏบนคาลเดียส ทางตะวันตกของบริเวณคาบมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ หรือที่หลายๆ
คนชอบเรียกกันว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า”
“แต่นั่นเป็นมหาสมุทรที่ไม่มีเกาะให้ยืนนี่นา
แถมยังเป็นตำนานหลุมดำอีก”
“อย่างที่นายพูดเลยแหละ...โปรโตไทป์ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ...เสามารทั้งเจ็ดคลาสกลับมาอีกครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ”
“เสามาร!!? อย่าบอกนะว่าเป็นจุดพลิกผันโซโลมอน!!?”
ทุกคนต่างรีแอคชั่นเหมือนกันหมด พวกเขาคงไม่อยากเชื่อแน่ๆ
ว่ามันจะตามหลอกหลอนอีกทั้งที่ควรจบตั้งนานแล้ว
“ขนาดฉันยังไม่อยากเชื่อเลย...จนกระทั่งลองปลุกตัวเองดูแล้วรู้ตัวทันทีว่าไม่ใช่แค่ฝันร้าย
สภาพมายรูมที่เละเทะหลังพูดคุยกับบุคคลปริศนาในความมืดมิด คราบเลือดของคูจังที่ไหลลงพื้นจากบาดแผล
นี่มันบ้าบอชัดๆ”
“อ้อ! และก็อีกหนึ่งข้อที่อยากเตือนยูมิจังไว้นะ”
“...?”
“พอไปถึงจุดนั้นแล้ว...ความตายของเหล่าเซอแวนท์จะกลายเป็นสิ่งต้องห้าม
เพราะถ้าสูญเสียพลังเวทจนเหลือศูนย์หรือถูกฆ่าตาย...พวกเขาจะกลับบัลลังค์วีรชนของตัวเอง
ไม่มีทางย้อนกลับมายังคาลเดียแห่งนี้ได้อีกต่อไป”
พอนึกถึงคำเตือนสุดท้ายของดา วินชี่
มือไม้สองข้างที่ถือโน้ตแพ็ดก็เริ่มสั่นระริกด้วยความกลัว รู้สึกกังวลว่าตัวเองจะสามารถปกป้องทุกคนกลางสนามรบได้หรือไม่
ความประมาทจากศึกที่ผ่านมาจะโถมเข้าครอบงำจิตใจรึเปล่า
แต่คูจังเพิ่งบอกเมื่อเช้าว่าไม่ต้องกลัว
ฉันยังมีพวกเขาคอยสู้ร่วมกันและเป็นอาวุธปกป้องจากภัยอันตรายตรงหน้า ดังนั้น...ถ้าให้ยอมแพ้ตอนนี้
ทุกคนคงผิดหวังหรือล้มตายกันหมดพอดี
เพราะความหวังของเหล่ามวลมนุษยชาติตอนนี้...อยู่ที่มาสเตอร์แห่งคาลเดียเพียงคนเดียว!
“แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น! พวกเราทุกคนต้องแก้ไขมันให้ได้!!”
สิ้นเสียงพูดของฉันปุ๊บก็เริ่มทวนสมาชิกเซอแวนท์เพื่อออกลุยศึกครั้งใหญ่ทันที
ซึ่งบอกเลยว่าไม่ใช่แค่หกคนอีกแล้ว
“เซเบอร์ : อัลติล่า มอเดรด
ซิกรูด เบดิเวียร์ แลนสล็อต
อาเชอร์ : เอมิยะ เอมิยะอัลเตอร์ โรบิ้นฮู้ด ยูริเอล อราช อาจารย์ไครอน
แลนเซอร์ : คูฮูลินน์ คูฮูลินน์โปรโตไทป์ กรรณะ เมดูซ่า ไรโค อาจารย์หลี่
ไรเดอร์ : ท่านฟาโรห์ อิชทาร์ เรียวมะ มอเดรด คินโทกิ นักบุญจอร์จ
แคสเตอร์ : คูฮูลินน์แคสเตอร์ ท่านกิลกาเมช ซิกคุง เมเดีย ทามาโมะ ไรม์ ไอริสฟีล
แอสซาซิน : แจ๊ค โคทาโร่คุง ชูเท็น คิงฮัสซัน อิโซ ชิกิ
เบอเซิกเกอร์ : คูจัง ไนติงเกล โจนอัลเตอร์
สุดท้ายคือคลาสพิเศษ : อบิเกล ดันเต้ โฮล์มส เอลี่เมก้า บีบี”
เหล่าเซอแวนท์ในรายชื่อเมื่อครู่ต่างนั่งรวมกันครบ ไม่มีขาดหายแม้แต่นิด ซึ่งมีการวางแผนแยกทางกันกำจัดเสามารทั้งเจ็ด โดยฉันจะขอให้คูจังกับคูแลนเซอร์ร่วมกันไปช่วยมาชูให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือเจ้านั่น แต่ในระหว่างนั้นเอง ดาบหนุ่มทั้งสองคนก็วิ่งเข้าหาด้วยความเร่งรีบ แถมยังถืออาวุธประจำตัวไว้กับมือ
“มุทสึคุง! คุณแม่มิทสึ! ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ!”
“ไม่มีอะไรมากมายหรอก นายท่าน พวกข้าแค่อยากบอกว่าเดี๋ยวจะช่วยปกป้องคาลเดียแห่งนี้ให้เท่านั้นเอง” มุทสึโนะคามิยืนหอบสักพักหนึ่งแล้วเดินมาตบไหล่พร้อมกับยิ้มกว้าง
“กลุ่มเซอแวนท์บางส่วนของเจ้าก็เหมือนกัน พวกเขาไม่อยากนั่งเฉยๆ เป็นภาระในศึกครั้งสุดท้ายแบบนี้น่ะ”
มิทสึทาดะยิ้มอ่อนและยกมือขึ้นลูบหัว ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาเปรียบเหมือนกำลังใจที่ดีไม่น้อยเลย
“เอ่อ...อื้ม ขอบคุณนะ” ฉันยิ้มตอบกลับบางๆ
ให้อีกฝ่ายแล้วค่อยหันไปพูดกับเซอแวนท์คนอื่น “งั้นเอาเป็นว่า...พวกเรามาเริ่มแผนการเมื่อกี้เพื่อจบศึกครั้งนี้กันเถอะ!”
ทุกคนรับทราบตามนั้นแล้วลุกออกจากเก้าอี้เพื่อแยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเอง
กลุ่มพวกฉันไม่รอช้ามุ่งหน้าไปยังห้องเรย์ชิพเตรียมเข้าสู่จุดพลิกผันสีแดงบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าที่เหล่าเสามารเจ็ดต้นรอคอยอยู่
ความหลังต่างๆ ที่ไม่ควรถูกย้อนกลับไปพบเจอ รวมถึงการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของบุคคลปริศนาในร่างเงาสีดำนั่นกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
พวกเรากลุ่มคาลเดีย...ต้องปกป้องมวลมนุษยชาติภายในสองชั่วโมงอันเป็นเวลาจำกัดให้ได้!!
[ To be continued ]
ความคิดเห็น