ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fate/Grand Order] วันๆ ณ คาลเดียกับยูมิ [END]

    ลำดับตอนที่ #18 : สองราชาจิตพิลึก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 394
      21
      15 ก.ย. 63

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     

    สองราชาจิตพิลึก

    ----------------------------------------------------

    ในช่วงเที่ยงของวันต่อมา

    แทบไม่เชื่อเลยว่าพวกเราจะจัดการฮิจิคาตะได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ ครั้งก่อนๆ ยังมีสะกิดหรือตายเกือบเกลี้ยงตับอยู่บ้าง ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องจารึกสำหรับทีมคูฮูลินน์เลยนะ

    ฉันเดินพูดด้วยความตื่นเต้นและดีใจสุดฤทธิ์หลังจากออกไปลุยด่านชาเล้นจ์ในอีเว้นท์กุดะกุดะภาคจาจ้าที่เปิดให้เข้าร่วมใหม่พร้อมสู้กับ ฮิจิคาตะ โทชิโซว อีกครั้ง อาจเป็นเพราะคราวก่อนคาลเดียแห่งนี้ไม่มีความพร้อมหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเซอแวนท์ที่ไม่มากพอ ขาดไอเทมในการใช้อัพสกิลหรือวิวัฒนาการของพวกเขา อีกทั้งยังไม่มอบจอกศักดิ์สิทธิ์ให้บางคนด้วย

    ลองคิดดูสิ...คึกคักมากแค่ไหนกับการเข้าไปด่านชาเล้นจ์หลายๆ รอบ คือไม่ใช่อะไรหรอก พวกแต้มโนบุกับชินเซ็นกุมิมันครบหมดแล้ว ไอเทมในร้านที่จำเป็นถูกกวาดเข้าคลังเรียบร้อย อาการเบื่อหน่ายเลยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งเหล่าเซอแวนท์บางส่วนก็นึกอยากต่อสู้กับฮิจิคาตะด้วย ฉันมองดูแล้วจึงได้พาลองเชิง ปรากฏว่ามีคู่มือที่เหมาะสมเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคูฮูลินน์ หมา(แลงสาบ)ประจำคาลเดียนั่นเอง

    พวกข้าแข็งแกร่งอยู่แล้วน่า แต่เพราะคุณหนูนี่แหละ พวกเราทุกคนถึงฝ่าฟันมาจนถึงวินาทีสุดท้ายอย่างชิลๆคูแลนเซอร์เดินมาตบไหล่สองสามทีพร้อมยิ้มกว้างเหมือนเคย

    ใช่ๆ คำนวณทุกอย่างได้เป๊ะมากเลยล่ะ

    คูแคสเตอร์ที่อยู่หลังทีมใช้ความหน้าด้านมาพูดชื่นชมเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ด้วย แน่นอนว่าทุกคนบริเวณนี้ต้องหันหน้าส่งสายตานิ่งๆ ไปทางเดียวกันและโบกกะโหลกใส่คนละที 

    ขนาดเซอแวนท์อีกคนที่ไม่ได้ลุยด้วยอย่างคูโปรโตไทป์ยังไม่ฉาบปูนซีเมนต์ใส่เท่านี้เลยนะเฮ้ย

    เอ่อ...เรื่องนั้น...ต้องขอบคุณผมก่อนคนแรกไม่ใช่เหรอครับ ทุกท่าน

    ในระหว่างนั้นเอง ก็มีเซอแวนท์หนุ่มคลาสไรเดอร์ เซ้นท์จอร์จ(หรือนักบุญจอร์จ) เดินสวนทางมาแล้วหยุดยืนถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    เขาผู้นี้ถูกมาสเตอร์หลายคนลากเข้าร่วมตบบอสบ่อยครั้ง...ไม่สิ เรียกว่าพาไปล่อเป้าให้ตัวทำดาเมจของทีมอยู่รอดปลอดภัยน่าจะดีกว่า หรือถ้าในทีมของเรามี ซิกฟรีด ผู้ล่ามังกรอยู่แต่ศัตรูถูกจัดอยู่ในประเภทอื่น เขาก็สามารถใช้โฮกุ อัสการอน เพื่อฝังรอยให้เป็นมังกร นั่นส่งผลให้โฮกุ บัลมุงค์ สร้างดาเมจได้แรงขึ้นเท่าตัว

    เนื่องจากเขาถูกเปรียบเหมือนตัวล่อฟ้าที่คอยปกป้องผู้คนไม่ให้ถูกฟ้าผ่าตายแบบนี้ บางทีก็แอบสงสัยนะว่ามาสเตอร์แต่ละคนฉุดกระชากลากถูบ่อยแค่ไหน พาไปจนค่า Bond ตันแล้วรึยัง 

    จริงด้วย...คุณช่วยล่อเป้าแล้วสละชีพให้ทุกคนนี่นา เอ่อ...ถึงจะเป็นวิธีที่ดูโหดร้ายไปหน่อยแต่ก็ต้องขอขอบพระคุณอย่างสูงจริงๆ ค่ะ นักบุญจอร์จฉันโน้มตัวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความสุภาพนอบน้อมแล้วยิ้มอ่อน

    ตัวผมในฐานะนักบุญและเซอแวนท์ของท่านต้องน้อมรับคำบัญชาเพื่อปกป้องทุกคนอยู่แล้ว เพราะงั้นโปรดให้ผมทำหน้าที่นั้นต่อไปเถอะครับ

    ได้ค่ะ ต่อจากนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยละกันนะคะ

    ว่าจบพวกเราทั้งห้าคนได้ขอตัวกลับมายรูมเพื่อนั่งพักผ่อนหย่อนใจ เติมแรงกายให้พร้อมสำหรับการฟาร์มไอเทมรอบหน้า คูแลนเซอร์ โปรโตไทป์และแคสเตอร์ชวนกันคุยเรื่องผีฮานาโกะที่เคยร่วมวงเล่าเมื่อล่าสุด 

    ต่อมาจู่ๆ พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะลองชิมลางอาถรรพ์คืนนี้เลย ฉันเดินมองไว้อาลัยในใจล่วงหน้าสักสามวินาทีพร้อมหวังว่าจะรอดกลับคาลเดียอย่างปลอดภัย

    ในฐานะที่คุณหนูเป็นคนรู้วิธีเห็นน้องฮานาโกะ ข้าอยากให้เจ้าร่วมเรย์ชิพไปห้องน้ำห้องสุดท้ายในโรงเรียนร้างกันสักหน่อย เอามะ?” คูแคสเตอร์เข้ามาชักชวนแถมแอบเนียนยื่นหน้าใกล้แก้มซ้าย โอบแขนมาลูบไล้ไหล่ขวาขึ้นลงด้วยความพึงพอใจ

    ไม่เอาหรอก พวกนายก็ลองของกันเองสิ อย่าลากฉันมาเกี่ยวข้องได้มั้ยอ่ะฉันดันร่างอีกฝ่ายให้ห่างๆ แล้วเปลี่ยนตำแหน่งไปเดินริมแถวข้างคูจัง โดยเขาหันมองมาพักหนึ่งพร้อมจับมือไว้

    หืมม? อย่าบอกนะว่าคุณหนูกลัวผี? ไม่ต้องโกหกให้ยุ่งยากหรอก ถ้ากลัวจริง...คงไม่ยอมเสียเวลาลากสังขารตัวเองเข้าร่วมวงด้วยแล้วมั้ง ใช่มะ?”

    แหม...คือตูจะตรัสรู้ได้เยี่ยงไรกันล่ะยะ! พากันสรรหาพวกเรื่องสยองขวัญแทนที่จะหานิทานหรือตำนานดีๆ มาเล่าให้เบาสมอง ก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจนั่งฟังจนจบนี่แหละ

    มะ...มั่วซั่วน่า แคสเตอร์! คิดว่าคนอย่างฉันเคยกลัวผีด้วยเหรอ

    ต่อมาฉันขอให้เหล่าหมาสามช่าหยุดการสนทนาเมื่อครู่พร้อมพากลับมายรูมต่อ ถึงปากจะบอกว่าไม่กลัว แต่เบื้องลึกในก้นบึ้งหัวใจแอบมีความรู้สึกนั้นเหมือนกัน ยิ่งถ้าแสดงออกชัดเจน ทุกคนคงเป็นห่วงหนักกว่าเก่าหลายเท่า สิ่งที่อยากให้พวกเขาเห็นจริงๆ คือ ความแข็งแกร่ง ไม่เกรงกลัว พร้อมช่วยมนุษยชาติไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแค่ไหน

    ทันใดนั้นเอง ในจังหวะที่พวกเรากำลังจะได้เดินถึงหน้าจุดหมายปลายทาง ร่างของมุทสึโนะคามิก็วิ่งโถมเข้ามาทักทายและบอกคูฮูลินน์ทั้งสี่ให้ช่วยเดินตามไปยังห้องครัวหน่อย เพราะดูเหมือนว่าจะมีเซอไพรส์เล็กน้อยจากเอมิยะเกี่ยวกับความสำเร็จครั้งนี้

    “คืองี้นา...คูฮูลินน์ ทางเอมิยะกำลังเตรียมบางอย่างไว้รอเซอไพรส์พวกเจ้าในห้องครัวอยู่ รีบตามไปรับรางวัลแห่งชัยชนะจากชาเล้นจ์ตอนนี้น่าจะดีกว่าเน้อ

    เห...เจ้าพลธนูแดงนั่นน่ะเรอะ น่าสนใจดีแฮะ งั้นพวกข้าขอตัวก่อนนะ...คุณหนู นอนพักผ่อนให้เต็มที่ละกัน ถ้าพร้อมทำภารกิจล่าไอเทมเมื่อไหร่ตามเรียกได้เลย

    คูแลนเซอร์เดินมาตบบ่าฉันพร้อมพาเดอะแก๊งค์มุ่งหน้าไปห้องครัวตามดาบหนุ่ม ยกเว้นคูจังที่ยังคงยืนอยู่ตรงหน้า เขาจ้องมองลึกเข้าดวงตาสีน้ำเงินแล้วใช้มือทั้งสองจับประคองแก้มไว้ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้าประทับริมฝีปากอุ่นๆ ลงบนหน้าผาก

    นอนพักก่อนเถอะ...ยูมิ เดี๋ยวข้ากลับมา

    หลังได้พยักหน้าตอบรับ หนุ่มเบอเซิกเกอร์ก็ลูบหัวเบาๆ แล้วหันหลังเดินตามเซอแวนท์ที่เหลือ ฉันมองเขาพร้อมลองคิดตัดสินใจว่าจะเข้านอนพักฟื้นพลังเวทหรือไปร่วมเสวนากับพวกเขาดี คนเราอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดาอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ ยิ่งรู้บางเรื่องที่สมควรแก่การจดจำยิ่งดี

    คือสมมุติถ้าเข้านอนพักปุ๊บ พลังเวทจะค่อยๆ ฟื้นฟูพร้อมทำภารกิจเก็บไอเทมต่ออย่างเต็มที่ แต่ก็อดยืนดูว่าเอมิยะมีอะไรมาเซอไพรส์บ้าง ในทางกลับกัน ถ้าเลือกอีกหนึ่งเส้นทาง เราจะได้รู้สิ่งที่เขามอบให้แก๊งค์หมาสี่ช่าแลกกับเรี่ยวแรงอันน้อยนิดจนลุยต่อไม่ไหว

    อืม...

    เอาวะ!! ขอร่วมเผือกสักรอบจะเป็นไรไป เดี๋ยวค่อยขอคุณแม่ทำอาหารให้กินเพื่อเติมพลังเวทก็ได้

    เมื่อตัดสินใจเลือกเรียบร้อย ฉันเริ่มตามกลุ่มเซอแวนท์หนุ่มโดยเลี่ยงการส่งเสียงดัง เท้าทั้งสองต้องย่องกึ่งเดินไว้ก่อน ปากปิดแนบสนิท หายใจเบาๆ ทำซะเหมือนตัวเองกำลังเป็นโจรเตรียมก่ออาชญากรรมทางทรัพย์สินยังไงไม่รู้ หวังว่าจะไม่มีใครเดินผ่านมาเห็นละกัน

    แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ~

    ห๊ะ...?”

    ในระหว่างที่เดินไปได้สองสามก้าว เสียงของใครสักคนก็ดังมาจากด้านหลังซ้ายมือ เป็นเสียงผู้หญิงที่ ไม่คุ้นเคยเอาซะเลย พอคิดว่าตัวเองคงเหนื่อยจนหูฝาดแล้วจึงเดินมุ่งหน้าตามหาเอมิยะต่อ

    แต่เธอไม่รู้บ้างเลย~

    ชิบละ...ผีกลางวันตามหลอกหลอนเปล่าเนี่ย!

    ฉันหันหน้ามองวนรอบ 360 องศาด้วยความวอกแวก ระแวงว่าจะมีตัวประหลาดพุ่งเข้ามาเล่นงานบ้าง แต่ตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้ผีเผอหรือสัตว์ประหลาดอะไรนั่นคงไม่มีหรอกมั้ง แค่นั่งร่วมวงฟังเรื่องผีคืนเดียวถึงกับหลอนในหัวเลยเรอะ! ถ้าเป็นงั้นจริง มันควรเริ่มตั้งแต่นอนฝันแล้วดิ

    แอบส่งใจให้นิดๆ แต่ดูเธอช่างเฉยเมย~

    นั่น!! ในห้องฝั่งซ้ายมือต้องมีสโต๊กเกอร์แอบอยู่แน่เลยใช่มั้ย!!

    ว่าจบก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะร่วมดูเซอไพรส์นั่นแล้วรีบวิ่งไปยังห้องดังกล่าวเพื่อเปิดดูเจ้าของเสียง มือซ้ายค่อยๆ ยื่นจับประตู มือขวาล้วงกระเป๋ากระโปรงเตรียมหยิบกลัดมณีเวทย์ หัวใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น เหงื่อเริ่มไหลออกตามมือและใบหน้าทีละนิด (เล่นใหญ่ซะนึกว่าเล่นเกมแนวสยองขวัญ) จากนั้นฉันก็จับเปิดประตูอย่างเร็วพลันพร้อมพบกับสิ่งไม่คาดคิดมาก่อนในชีวิต

    C'mon C'mon C'mon C'mon Baby ให้คุกกี้ทำนายกัน

    เซอแวนท์หนุ่มสองคนซึ่งมีฐานะเป็นราชากำลังหันหลังให้ ตรงเบื้องหน้าน่าจะมีเครื่องเปิดเพลงตั้งอยู่ จุดที่พีคสุดคือ พวกเขาดันพากันชูแท่งไฟ ยืดเส้นยืดสายเต้นด้วยกัน สภาพของงานเอกสารถูกวางกองบนโต๊ะข้างเตียงยิ่งกว่าดินพอกหางหมู มันพูนจนแทบจะร่วงลงพื้นด้วยความอ่อนแรง

    ฉันยืนมองราชาจิตพิลึกด้วยสายตาเรียบนิ่งที่แฝงความเงิบแดกไว้ข้างในแล้วค่อยๆ เดินย่องเพื่อเตรียมออกจากห้องให้เร็วและเงียบที่สุด แต่สายตาเฮงซวยกลับกวาดเจอป้ายบางอย่างแปะบนประตู มันมีข้อความอยู่ว่า...

     

    ถ้าไม่เต้นเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ก่อนล่ะก็...จะไม่อนุญาตให้ออกไปนะจ๊ะ

     

    งานหยาบ!! งานหยาบที่สุดเลย!! ดา วินชี่จัง!!

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    ฉันมั่นใจว่าเธอจะเป็นดั่งฝัน~ ในวันแห่งความรัก~ สักวันหนึ่ง~

    เฮ้อ...ในที่สุดก็จบสักทีหลังจากทนยอมโยกย้ายส่ายสะโพกกับเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ปลดล็อกห้องพร้อมกับสองราชาอย่างกิลกาเมชและโอจิมังเดียส ซึ่งวันนี้พวกเขาดูพิลึกแปลกๆ ตื่นก็ช้า งานการไม่ทำ แถมชูแท่งไฟเต้นตามอีก ความรับผิดชอบในหน้าที่เหมือนกำลังถูกคุกกี้ดูดออกหมดทั้งตัวแล้ว

    ฉันเริ่มหายใจแรงด้วยความเหนื่อยหอบ ยืนหันหน้าเข้ากำแพง แก้มขวายื่นไปแนบแน่น แขนทั้งสองห้อยต่องแต่ง หยาดเหงื่อค่อยๆ ไหลตามตัว สภาพการยืนเอียงเข้ากำแพงเปรียบดั่งคนเมาเหล้าผู้ยังไม่หายสร่างก็ไม่ปาน ขาสองข้างตอนนี้พยายามก้าวเดินเพื่อเตรียมออกจากห้อง แต่กลับถูกโซ่ตรวนแห่งสรวงสวรรค์จากกิลกาเมชมัดล่ามรอบเอวและกระตุกดึงตัวไปหาตัวเอง

    อ่อก...!”

    จะรีบเสด็จไปไหนเล่า เจ้าพันทาง ใช้เวลาอยู่เป็นเพื่อนกับพวกข้าสักหน่อยไม่ได้รึ

    ไม่เอ๊าา! หม่อมฉันจะกลับห้องไปน๊อนนน!!

    ยูมิเอ๋ย...ข้าเข้าใจว่าเหน็ดเหนื่อยจากการทำภารกิจที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสเปิดอกพูดคุยกันหลายๆ เรื่องเลยนี่ฟาโรห์เดินมาใกล้แล้วยื่นแขนโอบไหล่พร้อมพาตัวฉันไปนั่งบนเตียงหรูของพวกเขา

    “จะนั่งคุยด้วยหรือทำอะไรอย่างอื่นกันแน่ฟะ...

    หืม? เมื่อครู่เจ้าพูดเช่นไรนะ

    ปะ...เปล่าเพคะ ท่านกิลกาเมช แค่คิดว่าหลังจากนอนพักเรียบร้อย จะนั่งคุยกับดา วินชี่หรือทำภารกิจต่อดีเท่านั้นเองฉันรีบพูดแถสดพร้อมหัวเราะเบาๆ ให้ราชาผมทองตรงหน้าเลิกสนใจประโยคที่เพิ่งพึมพำจบ

    สีข้างจะถลอกปอกเปิกก็ตอนนี้แล้วล่ะค่ะ ท่านผู้อ่าน!

    เป็นเช่นนั้นเองรึกิลกาเมชเดินมานั่งใกล้แล้วจับเชยคางขึ้น ดวงตาสีแดงเพลิงกำลังจ้องมองลึกเข้ามายังดวงตาสีน้ำเงิน มือข้างขวาลูบแก้มขึ้นลงและนวดเล่นไปเรื่อย

    “...?”

    เอาเถอะ ตอนนี้ชักจะเริ่มขี้เกียจแล้วสิ ข้าขอพักก่อนละกัน ครบครึ่งชั่วโมงเมื่อไหร่ปลุกด้วยต่อจากนั้นเขาเริ่มเอนตัวนั่งซบไหล่โดยไม่คิดจะถามความสมัครใจสักคำ

    ณ จุดๆ นี้คือมันใกล้โคตร นึกว่าใช้ยาสีฟันใกล้ชิดอยู่ อีกอย่างคือ โอจิมังเดียสดันร่วมนั่งซบไหล่อีกฝั่งด้วย นับได้ว่ายาสีฟันยี่ห้อนั้นยังเรียกทวดรุ่นแรกกันเลยทีเดียว

    “...”

    “...”

    ราชาทั้งสองคนอยู่ในสถานะพักเครื่องอย่างแท้จริง สงสัยเหนื่อยจากการเต้นเมื่อกี้มั้ง แต่นี่แหละคือวินาทีของการฉวยโอกาสวิ่งหนีให้พ้นและไปพักในห้องของตัวเองอย่างสงบสุข เรื่องเซอพรงเซอไพรส์ไว้คราวหน้า(ถ้ามี)ละกัน!!

    ว่าจบก็ค่อยๆ จับร่างพวกเขานอนลงบนเตียง ไม่ปลุกให้ตื่นมาชิงตัดหน้าและรีบย่องออกจากห้องนี้ให้ไวที่สุด ต้องขอขอบคุณโซ่ตรวนแห่งสรวงสวรรค์ที่ไม่ผูกมัดรอบเอวอีกแล้ว ถ้ามันยังดื้อด้านอยู่คงไม่รอดแน่นอน เมื่อลองมองซ้ายขวาพบกับความว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คนเดินเตร่ไปมา ขาทั้งสองวิ่งมุ่งหน้ากลับมายรูม มือขวายื่นจับเปิดประตูก่อนที่จะกระโดดขึ้นเตียงชนิดที่ว่าเกือบสไลด์พลิกคว่ำลงพื้นพร้อมห่มผ้าห่มอย่างรวดเร็ว

    ฟุบ!

    เหยดดดด!! รอดแล้วโว้ยยย!! ทีนี้ขอหลับไม่ตื่นและฟื้นไม่มีเลยดีกว่า

    ต่อมาฉันพยายามข่มตาตัวเองลง นอนตะแครงทางขวามือเพื่อให้รู้สึกหลับง่ายขึ้น ยิ่งความอบอุ่นจากผ้าห่มสีขาวยิ่งชวนหลับเข้าไปใหญ่ เมื่ออาการง่วงนอนเริ่มเข้าครอบงำทีละนิดๆ ร่างกายก็อ่อนเพลียเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราตามที่หวังไว้

    “...Zzz”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    โหๆ ไม่คิดเลยว่าจะทิ้งพวกข้าได้ลงคอเช่นนี้ ถึงเวลาลงโทษแล้วล่ะ เจ้า-พัน-ทาง

    ชิบละ อย่าบอกนะว่า...

    ตาทั้งสองรีบเบิกออกและมองรอบๆ จนพบกับร่างของราชาผมทองอันน่าคุ้นเคย ซึ่งเขาตอนนี้กำลังอยู่ในท่าคร่อมร่างอยู่ข้างบน มือขวายื่นมาแตะแก้มไว้ มือซ้ายลูบไล้จากแขนลงมาประสานนิ้วเข้าด้วยกัน ใบหน้าก้มลงซุกต้นคอพร้อมแอบงับเบาๆ เชิงหยอกเล่น

    อืมม...คอเจ้ายังขาวเนียนน่างับเล่นเหมือนเดิมเลยนะ ช่างน่าสงสัยเสียจริงว่าโลหิตสีแดงจะน่าอร่อยขนาดไหน...

    งั่บ!

    อ๊ะ...!?”

    ฉันเผลอครางเสียงหลงเมื่อเขี้ยวแหลมจากอีกฝ่ายฝังลึกบนต้นคอ ริมฝีปากบน-ล่างของเขาแตะแนบชิดพร้อมดูดเลือดเข้าไปราวกับแวมไพร์หนุ่มผู้หล่อเหลาผู้กระหายเลือดหญิงสาวก็ไม่ปาน

    อึ่ก...อึ่ก...อึ่ก...

    เสียงกลืนกินหยาดโลหิตสีแดงถูกเปล่งให้ได้ยินเบาๆ มือทั้งสองเริ่มล้วงเข้าเสื้อมาลูบไล้เอวขึ้นลงสลับกัน จังหวะที่ฉันพยายามดึงมือซนๆ ของเขา โอจิมังเดียสก็เดินตามจนถึงที่หมายแล้วลากกิลกาเมชออกห่างจากจุดนี้ประมาณสองเมตรและฉีกผ้าคลุมตัวเองมาเช็ดรอยเลือดบนต้นคอ

    ไม่เป็นไรนะ...ยูมิ ข้าในฐานะ นักล่าแวมไพร์ได้มาช่วย ณ ตรงนี้แล้ว

    “เอ๊ะ? ดะ...เดี๋ยวๆ นี่ท่านเปลี่ยนอาชีพตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะฉันเอียงคอมองราชาผมน้ำตาลด้วยสีหน้าสงสัยและมึนงงอย่างหนักหน่วงจริงจัง

    ก็เห็นกิลกาเมชกัดคอดูดเลือดเจ้านี่ ถ้าข้าสวมบทบาทเป็นนักล่าคงจะเข้ากันดีไม่ใช่น้อยเขาตอบพร้อมก้มลงดูชุดแต่งกายที่ไม่ได้เข้ากับบทบาทเมื่อครู่เลยสักนิด ฮืม...แต่ข้าก็ต้องเปลี่ยนชุดใหม่ก่อนล่ะนะ จับตามองให้ดีๆ เสียเถิด

    ว่าจบฟาโรห์แห่งอิยิปต์ก็เริ่มถอดผ้าคลุมสีขาวออกมาถือตรงหน้าเพื่ออำพรางร่างตัวเองแล้วทำท่าออกแรงสะบัดขึ้นบน ตัวเขาถูกเปลี่ยนในชุดนักล่าแวมไพร์โดยท่อนบนมีเสื้อเชิ้ตสีเหลืองและเสื้อแขนยาวลายทางสีเฮเซลนัทใส่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมแขนยาวสีเทาแกมเหลืองที่ด้านหลังยาวลงถึงเข่า ท่อนล่างมีกางเกงขายาวสีเทาอ่อน รองเท้าบู๊ทยาวสีดำ เหล่าอุปกรณ์เสริมก็มีเนคไทและเข็มขัดสีเฮเซลนัทเข้ม ถุงมือสีดำ รวมทั้งกางเขนสีเงินที่ปักบนปกเสื้อคลุม

    คือแบบ...ดูดีเหลือหลายอ่ะ!

    แหมๆ คิดว่าตัวเองเท่นักรึ เจ้าฟาโรห์ ช่างอ่อนหัดเสียจริง ต่อจากนี้ก็จงเบิกตามองดูความสง่างามของผีดูดเลือดโฉมใหม่ให้ดีๆ ซะ!”

    ความกาวได้บังเกิดขึ้นเมื่อกิลกาเมชขอร่วมเปลี่ยนชุดด้วยการเปิดเกท ออฟ บาบิโลนเรียกผ้าม่านสี่ผืนรอบด้านขึ้นมาจากบนพื้น เขาเดินเข้าไปข้างในอยู่ประมาณครึ่งนาทีก่อนที่จะเปิดผ้าม่านด้วยความมั่นใจ(เว่อร์) โดยชุดใหม่นี้มีลักษณะคล้าย วลาดที่ 3 เวอร์ชั่นเบอเซิกเกอร์ แต่เปลี่ยนธีมสีให้เหมือนชุดดั้งเดิมของตัวเขาเอง

    นี่มันย้อมแมวขายชัดๆ!! คิดว่าท่านเป็นเอลี่เมก้าสองตัวนั้นรึง๊ายย!!

    อืมม...ดูดีใช้ได้นี่โอจิมังเดียสกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายพร้อมยืนอยู่เคียงข้าง งั้น...เจ้าช่วยลองพิจารณาความสง่างามของพวกข้าสองคนแล้วโหวตคะแนนดูสิ ยูมิ

    ห๊ะ? ไม่ใช่ว่าจะเตรียมรับบทจัดการแวมไพร์ทิ้งหรอกเหรอเพคะ ท่านฟาโรห์

    พูดเป็นเล่นไป ข้าแค่อยากให้ลองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชุดใหม่ก่อนเท่านั้นเอง อีกอย่างบทบาทเมื่อครู่ก็ได้จบสิ้นลงแล้วด้วย

    อ่อ...อย่างนี้นี่เอง งั้นเอาเป็นว่า...

    ฉันยืนจับคางตัวเองมองพิจารณาราชาในชุดธีมแวมไพร์-นักล่า คือเอาจริงๆ ก็ดูดี เลิศทั้งคู่น่ะแหละ แต่คนละสไตล์กัน ระหว่างนั้นเองในใจก็เริ่มคิดเผื่อว่ามันต้องมีใครตรงหน้าแอบฉวยโอกาสพุ่งมาชิงตัวในจังหวะทีเผลอก่อนแน่ๆ โดยเฉพาะกิลกาเมชนี่ตัวดีเลย

    ว่าไง...เจ้าพันทาง ตัวข้าสง่างามที่สุดในปฐพีใช่หรือไม่ล่ะเขาใช้ความยิ่งใหญ่และหล่อเหลาของตัวเองมาโอ้อวดให้อยู่เหนือกว่าคนอื่นอย่างหน้าไม่อายพร้อมยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัยปนเย่อหยิ่ง

    อย่านึกหลงตัวเองให้มากนัก หมั่นไส้ค่ะ...!

    ต่อมาฉันค่อยๆ เดินไปใกล้ทั้งสองคนแล้วยืมกางเขนจากปกเสื้อคลุมโอจิมังเดียสเพื่อลองเชิงจ่อกลางหน้าผากราชาผมทอง ผลลัพธ์ที่ได้มาถึงกับต้องยืนเงิบบวกเอ๋อแดกยิ่งกว่าดมกาวยี่สิบกล่อง

    แสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์เริ่มสาดส่องให้อีกฝ่ายรู้สึกร้อนรุ่มจากภายในออกสู่ภายนอก เปลวเพลิงขนาดเล็กลุกท่วมแผดเผาไปทั่วร่าง เขาหวีดร้องเสียงหลงอย่างทรมาน โดยทางฟาโรห์ยังต้องยืนมองแบบมึนๆ อึนๆ พร้อมแสดงสีหน้าตะลึงกับการกระทำเมื่อกี้

    อ๊ากกกก! ระ...ร้อน! ร้อนชะมัด!”

    อ่ะ...ต้องขออภัยด้วยเพคะ ท่านกิลกาเมชฉันรีบคืนกางเขนสีเงินและเดินถอยหลังออกห่างประมาณสามก้าวด้วยท่าทางตกอกตกใจ

    ถึงปากจะบอกขอโทษ แต่ทำไมเบื้องลึกในอกช่างรู้สึกสะใจดีจัง

    หนอย~!! บังอาจลงไม้ลงมือเช่นนี้กับข้าได้ลงนะ!! ครั้งนี้จะยอมปล่อยก่อน เจอรอบหน้าเมื่อไหร่ข้าเอาคืนอีกหลายเท่าแน่นอน เจ้าพันทาง!!!”

    ร่างของแวมไพร์สีทองค่อยๆ สลายหายตัวกับออร่าสีทองพร้อมทิ้งชุดตัวเองที่เพิ่งใส่ลงพื้นและเกท ออฟ บาบิโลนที่ดูดผ้าม่านสี่ผืนกลับเหมือนเดิม ซึ่งไม่รู้เหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่ยอมดูดเสื้อผ้าไปด้วย

    บางทีเห็นปุ๊บก็รู้สึกโคตรเงิบกับความกาวของราชาผมทองนั่นเหมือนกันแฮะ...

    ทางโอจิมังเดียสในชุดนักล่าแวมไพร์เดินมาใกล้แล้วโอบเอวพานั่งพักบนเตียง เขายกมือยีหัวจนผมแทบยุ่งเหยิงก่อนที่จะเรียกสฟริงซ์ตัวน้อยให้ได้อุ้มเล่น บางครั้งมันก็แอบงับมือเบาๆ คลอเคลียสลับกับนอนซบหน้าอกอย่างเพลิดเพลิน

    ยูมิเอ๋ย...ข้าขอมอบอะไรบางอย่างให้เจ้าสักหน่อยนะฟาโรห์หันมองพร้อมยื่นมือขวามาจับแก้มฉันไว้ มือที่ว่างของเขากำมือตรงหน้าประมาณสองวินาทีแล้วแบออกเป็นดอกไม้สีชมพูขนาดเล็ก จากนั้นก็มอบให้และยิ้มกว้าง

    เอ่อ...มันจะดีเหรอเพคะฉันถามเพื่อความแน่ใจเพราะดอกไม้นั่นมีความสำคัญเกี่ยวกับภรรยาที่เขารักที่สุดอย่าง นางเนเฟอร์ตารี แถมพอเปรียบเทียบความงดงามแล้วก็รู้สึกได้ว่าต่างกันคนละชั้นเลย

    อย่าได้คิดมากและรับไปเถิดอีกฝ่ายจ้องหน้ามองตาด้วยสีหน้าจริงจังก่อนที่จะยื่นดอกไม้มาวางในกำมือซ้าย นอกจากนี้ยังมีกระดาษแผ่นเล็กอันเป็นของแถมยื่นมาให้มืออีกข้างถือไว้ ต่อมาเขาค่อยๆ ก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากเบาๆ

    ช่างเป็นราชาที่โรแมนติกอะไรขนาดนี้...

    ฉันแอบยิ้มอ่อนแล้วรับดอกไม้ไปวางบนโต๊ะพร้อมหยิบกระดาษสีขาวมาอ่านใจความสำคัญที่ถูกเขียนไว้ แต่ความโรแมนติกนั่นก็สูญสลายและไร้ความหมายภายในทันทีเมื่อพบกับข้อความบนกระดาษดันเป็นเรื่องร้องขออันแสนจะหลอกหลอนหัวใจ

     

    เจ้าช่วยเต้นเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ให้ข้ารับชมได้หรือไม่...นางฟ้าผู้เลอโฉมเอ๋ย

     

    ไม่เอ๊าา!! ขอไม่เต้นแล้วได้มั้ยเพค้าา!!!

    [ To be continued ]

    ตัวอย่างชุดที่โอจิมังเดียสใส่ใหม่


    Credit : http://code-realize.wikia.com/wiki/Abraham_Van_Helsing

    [ ส่วนชาเล้นจ์ที่ไปลุย ไรท์ได้อัดวีดีโอตามด้านล่างให้ดูด้วย ]


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×