คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : สองราชาจิตพิลึก
สองราชาจิตพิลึก
----------------------------------------------------
ในช่วงเที่ยงของวันต่อมา
“แทบไม่เชื่อเลยว่าพวกเราจะจัดการฮิจิคาตะได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ
ครั้งก่อนๆ ยังมีสะกิดหรือตายเกือบเกลี้ยงตับอยู่บ้าง
ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องจารึกสำหรับทีมคูฮูลินน์เลยนะ”
ฉันเดินพูดด้วยความตื่นเต้นและดีใจสุดฤทธิ์หลังจากออกไปลุยด่านชาเล้นจ์ในอีเว้นท์กุดะกุดะภาคจาจ้าที่เปิดให้เข้าร่วมใหม่พร้อมสู้กับ
ฮิจิคาตะ โทชิโซว อีกครั้ง
อาจเป็นเพราะคราวก่อนคาลเดียแห่งนี้ไม่มีความพร้อมหลายๆ อย่าง
ไม่ว่าจะเรื่องเซอแวนท์ที่ไม่มากพอ ขาดไอเทมในการใช้อัพสกิลหรือวิวัฒนาการของพวกเขา
อีกทั้งยังไม่มอบจอกศักดิ์สิทธิ์ให้บางคนด้วย
ลองคิดดูสิ...คึกคักมากแค่ไหนกับการเข้าไปด่านชาเล้นจ์หลายๆ
รอบ คือไม่ใช่อะไรหรอก พวกแต้มโนบุกับชินเซ็นกุมิมันครบหมดแล้ว
ไอเทมในร้านที่จำเป็นถูกกวาดเข้าคลังเรียบร้อย อาการเบื่อหน่ายเลยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งเหล่าเซอแวนท์บางส่วนก็นึกอยากต่อสู้กับฮิจิคาตะด้วย ฉันมองดูแล้วจึงได้พาลองเชิง
ปรากฏว่ามีคู่มือที่เหมาะสมเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคูฮูลินน์
หมา(แลงสาบ)ประจำคาลเดียนั่นเอง
“พวกข้าแข็งแกร่งอยู่แล้วน่า
แต่เพราะคุณหนูนี่แหละ พวกเราทุกคนถึงฝ่าฟันมาจนถึงวินาทีสุดท้ายอย่างชิลๆ”
คูแลนเซอร์เดินมาตบไหล่สองสามทีพร้อมยิ้มกว้างเหมือนเคย
“ใช่ๆ คำนวณทุกอย่างได้เป๊ะมากเลยล่ะ”
คูแคสเตอร์ที่อยู่หลังทีมใช้ความหน้าด้านมาพูดชื่นชมเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ด้วย แน่นอนว่าทุกคนบริเวณนี้ต้องหันหน้าส่งสายตานิ่งๆ ไปทางเดียวกันและโบกกะโหลกใส่คนละที
ขนาดเซอแวนท์อีกคนที่ไม่ได้ลุยด้วยอย่างคูโปรโตไทป์ยังไม่ฉาบปูนซีเมนต์ใส่เท่านี้เลยนะเฮ้ย
“เอ่อ...เรื่องนั้น...ต้องขอบคุณผมก่อนคนแรกไม่ใช่เหรอครับ
ทุกท่าน”
ในระหว่างนั้นเอง
ก็มีเซอแวนท์หนุ่มคลาสไรเดอร์ เซ้นท์จอร์จ(หรือนักบุญจอร์จ) เดินสวนทางมาแล้วหยุดยืนถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เขาผู้นี้ถูกมาสเตอร์หลายคนลากเข้าร่วมตบบอสบ่อยครั้ง...ไม่สิ
เรียกว่าพาไปล่อเป้าให้ตัวทำดาเมจของทีมอยู่รอดปลอดภัยน่าจะดีกว่า หรือถ้าในทีมของเรามี
ซิกฟรีด ผู้ล่ามังกรอยู่แต่ศัตรูถูกจัดอยู่ในประเภทอื่น เขาก็สามารถใช้โฮกุ
อัสการอน เพื่อฝังรอยให้เป็นมังกร นั่นส่งผลให้โฮกุ บัลมุงค์ สร้างดาเมจได้แรงขึ้นเท่าตัว
เนื่องจากเขาถูกเปรียบเหมือนตัวล่อฟ้าที่คอยปกป้องผู้คนไม่ให้ถูกฟ้าผ่าตายแบบนี้ บางทีก็แอบสงสัยนะว่ามาสเตอร์แต่ละคนฉุดกระชากลากถูบ่อยแค่ไหน
พาไปจนค่า Bond ตันแล้วรึยัง
“จริงด้วย...คุณช่วยล่อเป้าแล้วสละชีพให้ทุกคนนี่นา
เอ่อ...ถึงจะเป็นวิธีที่ดูโหดร้ายไปหน่อยแต่ก็ต้องขอขอบพระคุณอย่างสูงจริงๆ ค่ะ นักบุญจอร์จ”
ฉันโน้มตัวขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความสุภาพนอบน้อมแล้วยิ้มอ่อน
“ตัวผมในฐานะนักบุญและเซอแวนท์ของท่านต้องน้อมรับคำบัญชาเพื่อปกป้องทุกคนอยู่แล้ว
เพราะงั้นโปรดให้ผมทำหน้าที่นั้นต่อไปเถอะครับ”
“ได้ค่ะ ต่อจากนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยละกันนะคะ”
ว่าจบพวกเราทั้งห้าคนได้ขอตัวกลับมายรูมเพื่อนั่งพักผ่อนหย่อนใจ เติมแรงกายให้พร้อมสำหรับการฟาร์มไอเทมรอบหน้า คูแลนเซอร์ โปรโตไทป์และแคสเตอร์ชวนกันคุยเรื่องผีฮานาโกะที่เคยร่วมวงเล่าเมื่อล่าสุด
ต่อมาจู่ๆ พวกเขาก็ตกลงกันว่าจะลองชิมลางอาถรรพ์คืนนี้เลย ฉันเดินมองไว้อาลัยในใจล่วงหน้าสักสามวินาทีพร้อมหวังว่าจะรอดกลับคาลเดียอย่างปลอดภัย
“ในฐานะที่คุณหนูเป็นคนรู้วิธีเห็นน้องฮานาโกะ
ข้าอยากให้เจ้าร่วมเรย์ชิพไปห้องน้ำห้องสุดท้ายในโรงเรียนร้างกันสักหน่อย เอามะ?”
คูแคสเตอร์เข้ามาชักชวนแถมแอบเนียนยื่นหน้าใกล้แก้มซ้าย โอบแขนมาลูบไล้ไหล่ขวาขึ้นลงด้วยความพึงพอใจ
“ไม่เอาหรอก
พวกนายก็ลองของกันเองสิ อย่าลากฉันมาเกี่ยวข้องได้มั้ยอ่ะ” ฉันดันร่างอีกฝ่ายให้ห่างๆ
แล้วเปลี่ยนตำแหน่งไปเดินริมแถวข้างคูจัง โดยเขาหันมองมาพักหนึ่งพร้อมจับมือไว้
“หืมม? อย่าบอกนะว่าคุณหนูกลัวผี? ไม่ต้องโกหกให้ยุ่งยากหรอก
ถ้ากลัวจริง...คงไม่ยอมเสียเวลาลากสังขารตัวเองเข้าร่วมวงด้วยแล้วมั้ง ใช่มะ?”
แหม...คือตูจะตรัสรู้ได้เยี่ยงไรกันล่ะยะ! พากันสรรหาพวกเรื่องสยองขวัญแทนที่จะหานิทานหรือตำนานดีๆ
มาเล่าให้เบาสมอง ก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจนั่งฟังจนจบนี่แหละ
“มะ...มั่วซั่วน่า
แคสเตอร์! คิดว่าคนอย่างฉันเคยกลัวผีด้วยเหรอ”
ต่อมาฉันขอให้เหล่าหมาสามช่าหยุดการสนทนาเมื่อครู่พร้อมพากลับมายรูมต่อ
ถึงปากจะบอกว่าไม่กลัว แต่เบื้องลึกในก้นบึ้งหัวใจแอบมีความรู้สึกนั้นเหมือนกัน ยิ่งถ้าแสดงออกชัดเจน
ทุกคนคงเป็นห่วงหนักกว่าเก่าหลายเท่า สิ่งที่อยากให้พวกเขาเห็นจริงๆ คือ ความแข็งแกร่ง
ไม่เกรงกลัว พร้อมช่วยมนุษยชาติไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแค่ไหน
ทันใดนั้นเอง
ในจังหวะที่พวกเรากำลังจะได้เดินถึงหน้าจุดหมายปลายทาง ร่างของมุทสึโนะคามิก็วิ่งโถมเข้ามาทักทายและบอกคูฮูลินน์ทั้งสี่ให้ช่วยเดินตามไปยังห้องครัวหน่อย
เพราะดูเหมือนว่าจะมีเซอไพรส์เล็กน้อยจากเอมิยะเกี่ยวกับความสำเร็จครั้งนี้
“คืองี้นา...คูฮูลินน์ ทางเอมิยะกำลังเตรียมบางอย่างไว้รอเซอไพรส์พวกเจ้าในห้องครัวอยู่ รีบตามไปรับรางวัลแห่งชัยชนะจากชาเล้นจ์ตอนนี้น่าจะดีกว่าเน้อ”
“เห...เจ้าพลธนูแดงนั่นน่ะเรอะ
น่าสนใจดีแฮะ งั้นพวกข้าขอตัวก่อนนะ...คุณหนู นอนพักผ่อนให้เต็มที่ละกัน ถ้าพร้อมทำภารกิจล่าไอเทมเมื่อไหร่ตามเรียกได้เลย”
คูแลนเซอร์เดินมาตบบ่าฉันพร้อมพาเดอะแก๊งค์มุ่งหน้าไปห้องครัวตามดาบหนุ่ม
ยกเว้นคูจังที่ยังคงยืนอยู่ตรงหน้า เขาจ้องมองลึกเข้าดวงตาสีน้ำเงินแล้วใช้มือทั้งสองจับประคองแก้มไว้ก่อนที่จะยื่นหน้าเข้าประทับริมฝีปากอุ่นๆ
ลงบนหน้าผาก
“นอนพักก่อนเถอะ...ยูมิ
เดี๋ยวข้ากลับมา”
หลังได้พยักหน้าตอบรับ
หนุ่มเบอเซิกเกอร์ก็ลูบหัวเบาๆ แล้วหันหลังเดินตามเซอแวนท์ที่เหลือ
ฉันมองเขาพร้อมลองคิดตัดสินใจว่าจะเข้านอนพักฟื้นพลังเวทหรือไปร่วมเสวนากับพวกเขาดี คนเราอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดาอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ ยิ่งรู้บางเรื่องที่สมควรแก่การจดจำยิ่งดี
คือสมมุติถ้าเข้านอนพักปุ๊บ
พลังเวทจะค่อยๆ ฟื้นฟูพร้อมทำภารกิจเก็บไอเทมต่ออย่างเต็มที่ แต่ก็อดยืนดูว่าเอมิยะมีอะไรมาเซอไพรส์บ้าง
ในทางกลับกัน ถ้าเลือกอีกหนึ่งเส้นทาง
เราจะได้รู้สิ่งที่เขามอบให้แก๊งค์หมาสี่ช่าแลกกับเรี่ยวแรงอันน้อยนิดจนลุยต่อไม่ไหว
“อืม...”
เอาวะ!! ขอร่วมเผือกสักรอบจะเป็นไรไป เดี๋ยวค่อยขอคุณแม่ทำอาหารให้กินเพื่อเติมพลังเวทก็ได้
เมื่อตัดสินใจเลือกเรียบร้อย
ฉันเริ่มตามกลุ่มเซอแวนท์หนุ่มโดยเลี่ยงการส่งเสียงดัง เท้าทั้งสองต้องย่องกึ่งเดินไว้ก่อน
ปากปิดแนบสนิท หายใจเบาๆ ทำซะเหมือนตัวเองกำลังเป็นโจรเตรียมก่ออาชญากรรมทางทรัพย์สินยังไงไม่รู้
หวังว่าจะไม่มีใครเดินผ่านมาเห็นละกัน
“แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ~”
“ห๊ะ...?”
ในระหว่างที่เดินไปได้สองสามก้าว
เสียงของใครสักคนก็ดังมาจากด้านหลังซ้ายมือ เป็นเสียงผู้หญิงที่ ‘ไม่คุ้นเคย’ เอาซะเลย พอคิดว่าตัวเองคงเหนื่อยจนหูฝาดแล้วจึงเดินมุ่งหน้าตามหาเอมิยะต่อ
“แต่เธอไม่รู้บ้างเลย~”
ชิบละ...ผีกลางวันตามหลอกหลอนเปล่าเนี่ย!
ฉันหันหน้ามองวนรอบ
360 องศาด้วยความวอกแวก ระแวงว่าจะมีตัวประหลาดพุ่งเข้ามาเล่นงานบ้าง
แต่ตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้ผีเผอหรือสัตว์ประหลาดอะไรนั่นคงไม่มีหรอกมั้ง
แค่นั่งร่วมวงฟังเรื่องผีคืนเดียวถึงกับหลอนในหัวเลยเรอะ! ถ้าเป็นงั้นจริง
มันควรเริ่มตั้งแต่นอนฝันแล้วดิ
“แอบส่งใจให้นิดๆ
แต่ดูเธอช่างเฉยเมย~”
นั่น!! ในห้องฝั่งซ้ายมือต้องมีสโต๊กเกอร์แอบอยู่แน่เลยใช่มั้ย!!
ว่าจบก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะร่วมดูเซอไพรส์นั่นแล้วรีบวิ่งไปยังห้องดังกล่าวเพื่อเปิดดูเจ้าของเสียง
มือซ้ายค่อยๆ ยื่นจับประตู มือขวาล้วงกระเป๋ากระโปรงเตรียมหยิบกลัดมณีเวทย์ หัวใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น
เหงื่อเริ่มไหลออกตามมือและใบหน้าทีละนิด (เล่นใหญ่ซะนึกว่าเล่นเกมแนวสยองขวัญ)
จากนั้นฉันก็จับเปิดประตูอย่างเร็วพลันพร้อมพบกับสิ่งไม่คาดคิดมาก่อนในชีวิต
“C'mon C'mon C'mon C'mon Baby ให้คุกกี้ทำนายกัน”
เซอแวนท์หนุ่มสองคนซึ่งมีฐานะเป็นราชากำลังหันหลังให้ ตรงเบื้องหน้าน่าจะมีเครื่องเปิดเพลงตั้งอยู่ จุดที่พีคสุดคือ พวกเขาดันพากันชูแท่งไฟ ยืดเส้นยืดสายเต้นด้วยกัน สภาพของงานเอกสารถูกวางกองบนโต๊ะข้างเตียงยิ่งกว่าดินพอกหางหมู มันพูนจนแทบจะร่วงลงพื้นด้วยความอ่อนแรง
ฉันยืนมองราชาจิตพิลึกด้วยสายตาเรียบนิ่งที่แฝงความเงิบแดกไว้ข้างในแล้วค่อยๆ
เดินย่องเพื่อเตรียมออกจากห้องให้เร็วและเงียบที่สุด แต่สายตาเฮงซวยกลับกวาดเจอป้ายบางอย่างแปะบนประตู
มันมีข้อความอยู่ว่า...
‘ถ้าไม่เต้นเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย
ก่อนล่ะก็...จะไม่อนุญาตให้ออกไปนะจ๊ะ’
งานหยาบ!! งานหยาบที่สุดเลย!! ดา วินชี่จัง!!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ฉันมั่นใจว่าเธอจะเป็นดั่งฝัน~
ในวันแห่งความรัก~ สักวันหนึ่ง~”
เฮ้อ...ในที่สุดก็จบสักทีหลังจากทนยอมโยกย้ายส่ายสะโพกกับเพลง
คุกกี้เสี่ยงทาย ปลดล็อกห้องพร้อมกับสองราชาอย่างกิลกาเมชและโอจิมังเดียส
ซึ่งวันนี้พวกเขาดูพิลึกแปลกๆ ตื่นก็ช้า งานการไม่ทำ แถมชูแท่งไฟเต้นตามอีก
ความรับผิดชอบในหน้าที่เหมือนกำลังถูกคุกกี้ดูดออกหมดทั้งตัวแล้ว
ฉันเริ่มหายใจแรงด้วยความเหนื่อยหอบ
ยืนหันหน้าเข้ากำแพง แก้มขวายื่นไปแนบแน่น แขนทั้งสองห้อยต่องแต่ง หยาดเหงื่อค่อยๆ
ไหลตามตัว สภาพการยืนเอียงเข้ากำแพงเปรียบดั่งคนเมาเหล้าผู้ยังไม่หายสร่างก็ไม่ปาน
ขาสองข้างตอนนี้พยายามก้าวเดินเพื่อเตรียมออกจากห้อง
แต่กลับถูกโซ่ตรวนแห่งสรวงสวรรค์จากกิลกาเมชมัดล่ามรอบเอวและกระตุกดึงตัวไปหาตัวเอง
“อ่อก...!”
“จะรีบเสด็จไปไหนเล่า
เจ้าพันทาง ใช้เวลาอยู่เป็นเพื่อนกับพวกข้าสักหน่อยไม่ได้รึ”
ไม่เอ๊าา! หม่อมฉันจะกลับห้องไปน๊อนนน!!
“ยูมิเอ๋ย...ข้าเข้าใจว่าเหน็ดเหนื่อยจากการทำภารกิจที่ผ่านมา
แต่ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสเปิดอกพูดคุยกันหลายๆ เรื่องเลยนี่” ฟาโรห์เดินมาใกล้แล้วยื่นแขนโอบไหล่พร้อมพาตัวฉันไปนั่งบนเตียงหรูของพวกเขา
“จะนั่งคุยด้วยหรือทำอะไรอย่างอื่นกันแน่ฟะ...”
“หืม? เมื่อครู่เจ้าพูดเช่นไรนะ”
“ปะ...เปล่าเพคะ ท่านกิลกาเมช
แค่คิดว่าหลังจากนอนพักเรียบร้อย จะนั่งคุยกับดา
วินชี่หรือทำภารกิจต่อดีเท่านั้นเอง” ฉันรีบพูดแถสดพร้อมหัวเราะเบาๆ
ให้ราชาผมทองตรงหน้าเลิกสนใจประโยคที่เพิ่งพึมพำจบ
สีข้างจะถลอกปอกเปิกก็ตอนนี้แล้วล่ะค่ะ
ท่านผู้อ่าน!
“เป็นเช่นนั้นเองรึ”
กิลกาเมชเดินมานั่งใกล้แล้วจับเชยคางขึ้น ดวงตาสีแดงเพลิงกำลังจ้องมองลึกเข้ามายังดวงตาสีน้ำเงิน
มือข้างขวาลูบแก้มขึ้นลงและนวดเล่นไปเรื่อย
“...?”
“เอาเถอะ ตอนนี้ชักจะเริ่มขี้เกียจแล้วสิ
ข้าขอพักก่อนละกัน ครบครึ่งชั่วโมงเมื่อไหร่ปลุกด้วย” ต่อจากนั้นเขาเริ่มเอนตัวนั่งซบไหล่โดยไม่คิดจะถามความสมัครใจสักคำ
ณ จุดๆ นี้คือมันใกล้โคตร นึกว่าใช้ยาสีฟันใกล้ชิดอยู่ อีกอย่างคือ โอจิมังเดียสดันร่วมนั่งซบไหล่อีกฝั่งด้วย นับได้ว่ายาสีฟันยี่ห้อนั้นยังเรียกทวดรุ่นแรกกันเลยทีเดียว
“...”
“...”
ราชาทั้งสองคนอยู่ในสถานะพักเครื่องอย่างแท้จริง
สงสัยเหนื่อยจากการเต้นเมื่อกี้มั้ง แต่นี่แหละคือวินาทีของการฉวยโอกาสวิ่งหนีให้พ้นและไปพักในห้องของตัวเองอย่างสงบสุข
เรื่องเซอพรงเซอไพรส์ไว้คราวหน้า(ถ้ามี)ละกัน!!
ว่าจบก็ค่อยๆ
จับร่างพวกเขานอนลงบนเตียง ไม่ปลุกให้ตื่นมาชิงตัดหน้าและรีบย่องออกจากห้องนี้ให้ไวที่สุด
ต้องขอขอบคุณโซ่ตรวนแห่งสรวงสวรรค์ที่ไม่ผูกมัดรอบเอวอีกแล้ว
ถ้ามันยังดื้อด้านอยู่คงไม่รอดแน่นอน เมื่อลองมองซ้ายขวาพบกับความว่างเปล่า
ไร้ซึ่งผู้คนเดินเตร่ไปมา ขาทั้งสองวิ่งมุ่งหน้ากลับมายรูม
มือขวายื่นจับเปิดประตูก่อนที่จะกระโดดขึ้นเตียงชนิดที่ว่าเกือบสไลด์พลิกคว่ำลงพื้นพร้อมห่มผ้าห่มอย่างรวดเร็ว
ฟุบ!
เหยดดดด!! รอดแล้วโว้ยยย!! ทีนี้ขอหลับไม่ตื่นและฟื้นไม่มีเลยดีกว่า
ต่อมาฉันพยายามข่มตาตัวเองลง
นอนตะแครงทางขวามือเพื่อให้รู้สึกหลับง่ายขึ้น
ยิ่งความอบอุ่นจากผ้าห่มสีขาวยิ่งชวนหลับเข้าไปใหญ่
เมื่ออาการง่วงนอนเริ่มเข้าครอบงำทีละนิดๆ
ร่างกายก็อ่อนเพลียเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราตามที่หวังไว้
“...Zzz”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“โหๆ
ไม่คิดเลยว่าจะทิ้งพวกข้าได้ลงคอเช่นนี้ ถึงเวลาลงโทษแล้วล่ะ เจ้า-พัน-ทาง”
ชิบละ
อย่าบอกนะว่า...
ตาทั้งสองรีบเบิกออกและมองรอบๆ
จนพบกับร่างของราชาผมทองอันน่าคุ้นเคย ซึ่งเขาตอนนี้กำลังอยู่ในท่าคร่อมร่างอยู่ข้างบน
มือขวายื่นมาแตะแก้มไว้ มือซ้ายลูบไล้จากแขนลงมาประสานนิ้วเข้าด้วยกัน
ใบหน้าก้มลงซุกต้นคอพร้อมแอบงับเบาๆ เชิงหยอกเล่น
“อืมม...คอเจ้ายังขาวเนียนน่างับเล่นเหมือนเดิมเลยนะ
ช่างน่าสงสัยเสียจริงว่าโลหิตสีแดงจะน่าอร่อยขนาดไหน...”
งั่บ!
“อ๊ะ...!?”
ฉันเผลอครางเสียงหลงเมื่อเขี้ยวแหลมจากอีกฝ่ายฝังลึกบนต้นคอ
ริมฝีปากบน-ล่างของเขาแตะแนบชิดพร้อมดูดเลือดเข้าไปราวกับแวมไพร์หนุ่มผู้หล่อเหลาผู้กระหายเลือดหญิงสาวก็ไม่ปาน
อึ่ก...อึ่ก...อึ่ก...
เสียงกลืนกินหยาดโลหิตสีแดงถูกเปล่งให้ได้ยินเบาๆ
มือทั้งสองเริ่มล้วงเข้าเสื้อมาลูบไล้เอวขึ้นลงสลับกัน จังหวะที่ฉันพยายามดึงมือซนๆ
ของเขา โอจิมังเดียสก็เดินตามจนถึงที่หมายแล้วลากกิลกาเมชออกห่างจากจุดนี้ประมาณสองเมตรและฉีกผ้าคลุมตัวเองมาเช็ดรอยเลือดบนต้นคอ
“ไม่เป็นไรนะ...ยูมิ
ข้าในฐานะ ‘นักล่าแวมไพร์’ ได้มาช่วย ณ
ตรงนี้แล้ว”
“เอ๊ะ? ดะ...เดี๋ยวๆ
นี่ท่านเปลี่ยนอาชีพตั้งแต่เมื่อไหร่เพคะ” ฉันเอียงคอมองราชาผมน้ำตาลด้วยสีหน้าสงสัยและมึนงงอย่างหนักหน่วงจริงจัง
“ก็เห็นกิลกาเมชกัดคอดูดเลือดเจ้านี่
ถ้าข้าสวมบทบาทเป็นนักล่าคงจะเข้ากันดีไม่ใช่น้อย” เขาตอบพร้อมก้มลงดูชุดแต่งกายที่ไม่ได้เข้ากับบทบาทเมื่อครู่เลยสักนิด
“ฮืม...แต่ข้าก็ต้องเปลี่ยนชุดใหม่ก่อนล่ะนะ จับตามองให้ดีๆ
เสียเถิด”
ว่าจบฟาโรห์แห่งอิยิปต์ก็เริ่มถอดผ้าคลุมสีขาวออกมาถือตรงหน้าเพื่ออำพรางร่างตัวเองแล้วทำท่าออกแรงสะบัดขึ้นบน
ตัวเขาถูกเปลี่ยนในชุดนักล่าแวมไพร์โดยท่อนบนมีเสื้อเชิ้ตสีเหลืองและเสื้อแขนยาวลายทางสีเฮเซลนัทใส่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมแขนยาวสีเทาแกมเหลืองที่ด้านหลังยาวลงถึงเข่า
ท่อนล่างมีกางเกงขายาวสีเทาอ่อน รองเท้าบู๊ทยาวสีดำ เหล่าอุปกรณ์เสริมก็มีเนคไทและเข็มขัดสีเฮเซลนัทเข้ม
ถุงมือสีดำ รวมทั้งกางเขนสีเงินที่ปักบนปกเสื้อคลุม
คือแบบ...ดูดีเหลือหลายอ่ะ!
“แหมๆ คิดว่าตัวเองเท่นักรึ
เจ้าฟาโรห์ ช่างอ่อนหัดเสียจริง ต่อจากนี้ก็จงเบิกตามองดูความสง่างามของผีดูดเลือดโฉมใหม่ให้ดีๆ ซะ!”
ความกาวได้บังเกิดขึ้นเมื่อกิลกาเมชขอร่วมเปลี่ยนชุดด้วยการเปิดเกท
ออฟ บาบิโลนเรียกผ้าม่านสี่ผืนรอบด้านขึ้นมาจากบนพื้น
เขาเดินเข้าไปข้างในอยู่ประมาณครึ่งนาทีก่อนที่จะเปิดผ้าม่านด้วยความมั่นใจ(เว่อร์)
โดยชุดใหม่นี้มีลักษณะคล้าย วลาดที่ 3 เวอร์ชั่นเบอเซิกเกอร์ แต่เปลี่ยนธีมสีให้เหมือนชุดดั้งเดิมของตัวเขาเอง
นี่มันย้อมแมวขายชัดๆ!! คิดว่าท่านเป็นเอลี่เมก้าสองตัวนั้นรึง๊ายย!!
“อืมม...ดูดีใช้ได้นี่”
โอจิมังเดียสกล่าวชื่นชมอีกฝ่ายพร้อมยืนอยู่เคียงข้าง “งั้น...เจ้าช่วยลองพิจารณาความสง่างามของพวกข้าสองคนแล้วโหวตคะแนนดูสิ
ยูมิ”
“ห๊ะ? ไม่ใช่ว่าจะเตรียมรับบทจัดการแวมไพร์ทิ้งหรอกเหรอเพคะ ท่านฟาโรห์”
“พูดเป็นเล่นไป
ข้าแค่อยากให้ลองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชุดใหม่ก่อนเท่านั้นเอง อีกอย่างบทบาทเมื่อครู่ก็ได้จบสิ้นลงแล้วด้วย”
“อ่อ...อย่างนี้นี่เอง งั้นเอาเป็นว่า...”
ฉันยืนจับคางตัวเองมองพิจารณาราชาในชุดธีมแวมไพร์-นักล่า คือเอาจริงๆ ก็ดูดี เลิศทั้งคู่น่ะแหละ แต่คนละสไตล์กัน ระหว่างนั้นเองในใจก็เริ่มคิดเผื่อว่ามันต้องมีใครตรงหน้าแอบฉวยโอกาสพุ่งมาชิงตัวในจังหวะทีเผลอก่อนแน่ๆ โดยเฉพาะกิลกาเมชนี่ตัวดีเลย
“ว่าไง...เจ้าพันทาง
ตัวข้าสง่างามที่สุดในปฐพีใช่หรือไม่ล่ะ” เขาใช้ความยิ่งใหญ่และหล่อเหลาของตัวเองมาโอ้อวดให้อยู่เหนือกว่าคนอื่นอย่างหน้าไม่อายพร้อมยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัยปนเย่อหยิ่ง
อย่านึกหลงตัวเองให้มากนัก หมั่นไส้ค่ะ...!
ต่อมาฉันค่อยๆ
เดินไปใกล้ทั้งสองคนแล้วยืมกางเขนจากปกเสื้อคลุมโอจิมังเดียสเพื่อลองเชิงจ่อกลางหน้าผากราชาผมทอง
ผลลัพธ์ที่ได้มาถึงกับต้องยืนเงิบบวกเอ๋อแดกยิ่งกว่าดมกาวยี่สิบกล่อง
แสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์เริ่มสาดส่องให้อีกฝ่ายรู้สึกร้อนรุ่มจากภายในออกสู่ภายนอก
เปลวเพลิงขนาดเล็กลุกท่วมแผดเผาไปทั่วร่าง เขาหวีดร้องเสียงหลงอย่างทรมาน โดยทางฟาโรห์ยังต้องยืนมองแบบมึนๆ
อึนๆ พร้อมแสดงสีหน้าตะลึงกับการกระทำเมื่อกี้
“อ๊ากกกก! ระ...ร้อน! ร้อนชะมัด!”
“อ่ะ...ต้องขออภัยด้วยเพคะ
ท่านกิลกาเมช” ฉันรีบคืนกางเขนสีเงินและเดินถอยหลังออกห่างประมาณสามก้าวด้วยท่าทางตกอกตกใจ
ถึงปากจะบอกขอโทษ
แต่ทำไมเบื้องลึกในอกช่างรู้สึกสะใจดีจัง
“หนอย~!! บังอาจลงไม้ลงมือเช่นนี้กับข้าได้ลงนะ!! ครั้งนี้จะยอมปล่อยก่อน
เจอรอบหน้าเมื่อไหร่ข้าเอาคืนอีกหลายเท่าแน่นอน เจ้าพันทาง!!!”
ร่างของแวมไพร์สีทองค่อยๆ
สลายหายตัวกับออร่าสีทองพร้อมทิ้งชุดตัวเองที่เพิ่งใส่ลงพื้นและเกท ออฟ
บาบิโลนที่ดูดผ้าม่านสี่ผืนกลับเหมือนเดิม ซึ่งไม่รู้เหตุผลว่าทำไมมันถึงไม่ยอมดูดเสื้อผ้าไปด้วย
บางทีเห็นปุ๊บก็รู้สึกโคตรเงิบกับความกาวของราชาผมทองนั่นเหมือนกันแฮะ...
ทางโอจิมังเดียสในชุดนักล่าแวมไพร์เดินมาใกล้แล้วโอบเอวพานั่งพักบนเตียง
เขายกมือยีหัวจนผมแทบยุ่งเหยิงก่อนที่จะเรียกสฟริงซ์ตัวน้อยให้ได้อุ้มเล่น บางครั้งมันก็แอบงับมือเบาๆ
คลอเคลียสลับกับนอนซบหน้าอกอย่างเพลิดเพลิน
“ยูมิเอ๋ย...ข้าขอมอบอะไรบางอย่างให้เจ้าสักหน่อยนะ”
ฟาโรห์หันมองพร้อมยื่นมือขวามาจับแก้มฉันไว้ มือที่ว่างของเขากำมือตรงหน้าประมาณสองวินาทีแล้วแบออกเป็นดอกไม้สีชมพูขนาดเล็ก
จากนั้นก็มอบให้และยิ้มกว้าง
“เอ่อ...มันจะดีเหรอเพคะ”
ฉันถามเพื่อความแน่ใจเพราะดอกไม้นั่นมีความสำคัญเกี่ยวกับภรรยาที่เขารักที่สุดอย่าง
นางเนเฟอร์ตารี แถมพอเปรียบเทียบความงดงามแล้วก็รู้สึกได้ว่าต่างกันคนละชั้นเลย
“อย่าได้คิดมากและรับไปเถิด”
อีกฝ่ายจ้องหน้ามองตาด้วยสีหน้าจริงจังก่อนที่จะยื่นดอกไม้มาวางในกำมือซ้าย
นอกจากนี้ยังมีกระดาษแผ่นเล็กอันเป็นของแถมยื่นมาให้มืออีกข้างถือไว้
ต่อมาเขาค่อยๆ ก้มหน้าลงจุมพิตบนหน้าผากเบาๆ
ช่างเป็นราชาที่โรแมนติกอะไรขนาดนี้...
ฉันแอบยิ้มอ่อนแล้วรับดอกไม้ไปวางบนโต๊ะพร้อมหยิบกระดาษสีขาวมาอ่านใจความสำคัญที่ถูกเขียนไว้ แต่ความโรแมนติกนั่นก็สูญสลายและไร้ความหมายภายในทันทีเมื่อพบกับข้อความบนกระดาษดันเป็นเรื่องร้องขออันแสนจะหลอกหลอนหัวใจ
‘เจ้าช่วยเต้นเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ให้ข้ารับชมได้หรือไม่...นางฟ้าผู้เลอโฉมเอ๋ย’
ไม่เอ๊าา!! ขอไม่เต้นแล้วได้มั้ยเพค้าา!!!
[ To be continued ]
ตัวอย่างชุดที่โอจิมังเดียสใส่ใหม่
Credit : http://code-realize.wikia.com/wiki/Abraham_Van_Helsing
[ ส่วนชาเล้นจ์ที่ไปลุย ไรท์ได้อัดวีดีโอตามด้านล่างให้ดูด้วย ]
ความคิดเห็น