คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : Duflin - Chapter 2
บทที่ 2
ซองเร ฟาลเซโร่
“นี่ ๆ ! ลาร์พน้อย... ตกลงเจ้าหนุ่มนี่ใครกันน่ะ?” สกายลาร์ค บลูสเปล ชายหนุ่มวัยยี่สิบเอ็ดปีเอ่ยถามน้องชายข้างบ้านด้วยคำถามเดิมมาเป็นครั้งที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ และคำตอบที่เขาได้รับ..ก็ยังเป็นแบบเดิม
“ผมบอกพี่ไปแล้วนะฮะว่าผมไม่รู้”
“น้องชายที่รัก ไม่นึกเลยนะว่าเด็กอัจฉริยะที่เรียนจบตั้งแต่อายุ 15 ปีอย่างนายจะไร้เดียงสาขนาดช่วยเหลือคนที่ไม่ได้รู้จัก” สกายลาร์คบ่น “ลาร์พน้อย ๆ ไม่รู้เหรอว่าเราอาจจะเอางูเห่าเข้าบ้านก็ได้”
“ผมรู้ฮะ แต่...” ในขณะที่ลาเพรียลกำลังจะบอกกับพี่ชายข้างบ้านที่ไว้ใจที่สุดว่าชายหนุ่มที่ช่วยเหลือมาซึ่งนอนอยู่บนเตียงของเขานั้น...มีบางอย่างที่เขาคุ้ยเคย บางอย่างที่เขาไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่แล้วเขาก็ยั้งปากไว้ทันพร้อมกับบอกปัดสกายลาร์คไปว่า “ไม่มีอะไรฮะ เดี๋ยวถ้าเขาฟื้นแล้ว ผมจะบอกให้เขาไป”
“ตกลง! ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็เรียกฉันแล้วกันนะลาร์พน้อย” สกายลาร์คบอก “แต่ว่าตอนนี้มีงานต้องทำ จะมาหาใหม่ตอนเย็น แล้วหวังว่าลาร์พน้อยจะทำอย่างที่พูดนะ”
“ฮะ ๆ เดี๋ยวพอเขาตื่นผมจะบอกให้เขาไปเอง” เด็กหนุ่มย้ำอีกครั้ง ก่อนที่สกายลาร์คจะพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องไป
ลาเพรียลทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเตียงเท่าไร และแม้ว่าเวลาที่เหลืออยู่สามเดือนจะไม่เอื้ออำนวย แต่เขาก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจจะหาข้อมูลทำรายงานนัก
...หาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ในเมื่อไม่เจอข้อมูลที่ต้องการเสียที
สักพัก ลาเพรียลก็รู้สึกได้ว่าคนบนเตียงกำลังขยับ เด็กหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะสาวเท้าก้าวไปที่เตียง พินิจพิจารณาชายหนุ่มที่อยู่บนเตียง
ความจริงแล้ว...ที่บอกว่าเป็นชายหนุ่ม ลาเพรียลประมาณเอาจากส่วนสูงของเขา น่าจะราว ๆ ร้อยเจ็ดสิบกว่า ๆ คงจะอายุมากกว่าเขาสองถึงสามปี ไม่น่าจะเกินไปมากกว่านั้น
ใบหน้าของเขาขาวซีดกว่าบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป มันช่างตัดกับเรือนผมสีดำขลับยาวสยายถึงกลางหลังซึ่งมัดไว้อย่างเรียบร้อยได้ดีเสียนี่กระไร
ลาเพรียลเห็นว่าเปลือกตานั้นกำลังขยับ และดวงตาเรียวคมคู่นั้นก็เปิดขึ้น!!
“คุณ...” ลาเพรียลคราง ชายหนุ่มคนนั้นเบิกตาโพลงเมื่อมองเห็นเขา
หมับ!!
“เรเพียร์... ในที่สุด...ข้าก็หาเจ้าเจอ...” ชายหนุ่มครางเสียงเบา แต่เพราะเขากอดลาเพรียลไว้ ทำให้ลาเพรียลได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างชัดเจน
เรเพียร์...ใครกัน? และที่สำคัญ...
ทำไมเสียงนี้ถึงได้คุ้นเคยนัก สัมผัสนี้อีก
“เอ่อ... ขอโทษฮะ เรเพียร์คือใครกันเหรอฮะ?” ลาเพรียลเอ่ยถามหลังจากที่ดันชายหนุ่มออกไปจากตัวเขาได้แล้ว “แล้วคุณเป็นใครกัน?”
ชายหนุ่มคนนั้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“ข้าชื่อซองเร ฟาลเซโร่” ชายหนุ่มคนนั้นตอบ “แล้วเจ้า...ไม่ได้ชื่อเรเพียร์ ทอร์ทาแลน หรอกเหรอ?”
เด็กหนุ่มสั่นหัว “ไม่ฮะ ผมชื่อลาเพรียล ทัวลัสต์”
“...” ซองเรเงียบไป ใช้สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างใช้ความคิด ก่อนจะมาหยุดจ้องหน้าลาเพรียล
ลาเพรียลเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า... ดวงตาของซองเร ฟาลเซโร่ คนนี้ เป็นดวงตาที่สวยมาก ไม่ใช่สีน้ำตาลเข้มธรรมดา และที่สำคัญสีน้ำตาลมักจะให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ดวงตาของคนคนนี้...
กลับให้ความรู้สึกเยือกเย็น และโหยหาอย่างไรบอกไม่ถูก...
“หน้าผม...มีอะไรติดรึเปล่าฮะ?” เด็กหนุ่มถามเพราะรู้สึกว่าซองเรชักจะจ้องหน้าเขานานเกินไปจนเริ่มรู้สึกประหม่าเสียแล้ว ชายหนุ่มชะงักก่อนจะโคลงหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอโทษ
“ไม่มี หน้าเจ้าไม่มีอะไรติด”
“อ่า... ผมรู้สึกว่าคำพูดแทนตัวของคุณมันดูแปลก ๆ นะฮะ” ลาเพรียลเอ่ยขึ้น
ถ้าเทียบกันระหว่าง ‘ข้า’ และ ‘เจ้า’ กับ ‘ผม’ และ ‘คุณ’ สรรพนามแรกก็ดูแปลกกว่ากันเยอะทีเดียวล่ะ แต่มันไม่ใช่แค่นั้น!!
ไม่ใช่แค่ว่าสรรพนามเจ้ากับข้าถูกเลิกใช้ไปตั้งนานแล้ว แต่สิ่งมีชีวิตที่ยังใช้สรรพนามนี้อยู่ก็มีแต่สิ่งมีชีวิตนอกดัฟลินเท่านั้น!! หรือว่าซองเรคนนี้จะเป็น...?!
ไม่...ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ปัจจุบันยังไม่พบสิ่งมีชีวิตนอกดัฟลินที่มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์ขนาดนี้ ใกล้เคียงที่สุดก็มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ แต่สีผิวของพวกนั้นเป็นสีเขียว ๆ ที่ดูยังไงก็ไม่น่าอยู่ใกล้เลยสักนิด!!
“แปลก? อ้อ! นั่นสินะ...” ซองเรพึมพำ “แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าแปลกมั้ย?”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นระดับอก ทันใดนั้นลูกบอลสีฟ้าใสที่ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็ปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือของเขา ลาเพรียลจ้องมองลูกบอลนั้นด้วยความตกตะลึง แต่ซองเรจ้องมองมันด้วยความรู้สึกที่ล้ำลึกยิ่งกว่า ดวงตาสีเข้มไหววูบเล็กน้อยจนไม่อาจสังเกตเห็น
...คนคนนี้คือคนคนนั้นแน่ ๆ...แต่ทำไมล่ะ?...
...ไม่มีทาง...ไม่มีทางที่คนคนนั้นจะลืม...แล้วเพราะอะไร...
“คุณทำได้ยังไงฮะ?! ยังไม่มีวิทยาการไหนที่เรียกของได้ดังใจนี่นา!” ลาเพรียลถามอย่างตื่นตะลึง
“สิ่งนี้ไม่ใช่วิทยาการของพวกเจ้าหรอก...” ซองเรตอบเสียงเรียบ “มันเรียกว่า ‘พลังเวทย์’ พลังที่พวกเจ้าเชื่อกันว่ามีอยู่จริงในยุคสี่ร้อยกว่าปีที่แล้วยังไงล่ะ”
“สุดยอดเลย!! ทำไมยุคนี้ไม่มีของแบบนี้บ้างนะ!!” ลาเพรียลบอกด้วยความรู้สึกตื่นเต้นราวกับเด็กได้ของเล่นใหม่ ดวงตาสีเขียวมรกตเปล่งประกายระยิบระยับ ซองเรจ้องมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกจุกในอก
‘เจ้าเป็นคนที่สุดยอดที่สุดเลยรู้มั้ย?! พวกข้าไม่มีใครทำแบบนั้นได้สักคน!!’
เขาได้ยินประโยคนี้เมื่อนานมาแล้ว และตอนนี้...เขาก็ได้ยินอีกประโยคที่คล้ายคลึงกัน
คนคนนั้น...อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เป็นไปได้เหรอ?...
“เอ่อ.. ขอโทษฮะ” ลาเพรียลบอก ก่อนจะละออกจากลูกบอลสีฟ้าใสนั้น “คุณน่ะ...อายุเท่าไรเหรอฮะ?”
“แล้วเจ้าล่ะ...อายุเท่าไร?” ซองเรถามกลับ ลาเพรียลยิ้มออกมาก่อนจะตอบว่า
“17 ฮะ”
“ข้าอายุเท่าเจ้า”
“ห๊ะ?”
“...เดี๋ยวข้าจะเล่าอะไรให้ฟัง” ซองเรเอ่ย ในขณะที่ลาเพรียลก็ยิ่งทำตัวคล้ายเด็ก ๆ มากขึ้นเมื่อเขาไปลากเก้าอี้มาจากมุมห้องและนั่งลงข้างเตียงพร้อมด้วยความสงสัยในใจ...
ทำไมกัน... ถึงรู้สึกไว้วางใจผู้ชายคนนี้อย่างประหลาด?
ควรจะสงสัย ควรจะหวาดกลัวสิ!! เราเอาเขาเข้ามาทำอะไรแปลก ๆ ในบ้านของเรา ควรจะไล่ออกไปสิ!
“เล่าสิฮะ” ทว่าร่างกายกลับไม่ทำตามสิ่งที่ควรทำ ลาเพรียลนั่งอยู่ข้างเตียงและจ้องซองเรอย่างไม่วางตา
“...นานมาแล้ว ในตอนที่โลกนี้ยังคงมีเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีพลังเวทมนตร์ พลังถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 สาย ก็คือดิน น้ำ ลม ไฟ แสงสว่าง และความมืด เด็กชายกำพร้าคนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับความพิเศษเหนือใคร ปกติหนึ่งคนจะมีพลังเพียงหนึ่งสาย ไม่มากและไม่น้อยกว่านั้น แต่เด็กชายคนนั้น...กลับควบคุมพลังได้ทุกสาย”
“งั้นก็สุดยอดไปเลยสิฮะ! ต้องเป็นที่ยอมรับของทุกคนแน่ ๆ !!” ลาเพรียลบอก
“ไม่... กว่าทุกคนจะยอมรับ เด็กชายคนนั้นผ่านความดำมืดของสังคมมามากมาย” ซองเรบอก “ถูกกลั่นแกล้งเพราะไม่มีพ่อแม่ ถูกกลั่นแกล้งเพียงเพราะพวกไร้หัวคิดหวาดกลัวพลังที่อยู่ในร่างกาย ‘ถ้าไม่ทำให้ตกอยู่ในอำนาจเรา เราก็ต้องตกอยู่ในอำนาจฝ่ายตรงข้าม’ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนในยุคนั้นคิด”
“น่าสงสารจังเลยนะฮะ” ลาเพรียลว่า “ไม่มีความผิดก็ยังจะมาโดนแบบนั้นอีก”
ราวกับซองเรเห็นภาพซ้อนทับในอดีต ประโยคที่คล้ายคลึงกัน คิดไว้ไม่มีผิด... ยังไงก็ต้องหาเจอ เป็นคนคนนี้แน่ ๆ
“แต่แล้วก็มีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง เด็กผู้ชายที่ไม่มีพลังอะไรเลย แต่ได้รับการคุ้มครองจากราชวงศ์ ทำให้ใคร ๆ ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับเขา ใช้ชีวิตอย่างเลิศเลอ...แต่ไร้ความสุข” ซองเรเล่าต่อ “จนวันหนึ่งทั้งสองคนได้มาเจอกัน เด็กผู้ชายที่มีพลังอันยิ่งใหญ่แต่ถูกรังเกียจ กับเด็กผู้ชายที่ไร้ซึ่งพลังแต่เต็มไปด้วยอำนาจ...”
“แล้วไงต่อฮะ?” ลาเพรียลถาม ท่าทางอย่างนั้นทำให้นึกถึงเด็กเวลาฟังคุณครูเล่านิทาน แต่ทำไมนะ...ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเรื่องราวนี้คุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ
“สำหรับเด็กชายผู้มีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่นั้น... เด็กชายผู้ไร้ซึ่งพลัง แต่ไม่กลั่นแกล้งและหวาดกลัว ทั้งยังให้ความช่วยเหลือนั้นถือเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต เป็นทั้งเพื่อน ทั้งครู เป็นทุกทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ส่วนสำหรับเด็กชายผู้ไร้พลังนั้น เด็กชายผู้ครอบครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังไม่ยอมก้มหัวให้เขาและยังต่อล้อต่อเถียงกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอถือเป็นเพื่อนคนแรกและคนเดียว ให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน”
“ดีจังเลยนะฮะ งั้นทั้งสองคนก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้วสิ” ลาเพรียลบอก
“ใช่ แล้วเจ้าจะเชื่อมั้ย? ถ้าบอกว่าเด็กชายในเรื่องเล่านั้นน่ะ...คือข้า” ซองเรบอก ลาเพรียลนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างและพยักหน้ารัว
“เชื่อสิฮะ! แล้วก็คงเป็นเด็กชายที่ครอบครองพลังทุกสายคนนั้นด้วยใช่มั้ยฮะ” ลาเพรียลบอก และเมื่อซองเรพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มก็พึมพำ “แล้วเด็กชายที่ไม่มีพลัง...”
“เรเพียร์ ทอร์ทาแลน คือชื่อของเด็กคนนั้น” ซองเรเอ่ยขึ้น
“งั้นคุณก็ต้องอายุมากกว่าสามร้อยปีแล้วน่ะสิฮะ! จะอายุสิบเจ็ดได้ยังไง!” ลาเพรียลวกกับมาที่จุดประสงค์แรกอีกครั้ง ราวกับจะเห็นซองเรยิ้มนิด ๆ ก่อนที่ชายหนุ่มจะอธิบายว่า
“ข้ากับเรเพียร์น่ะ...ทำพันธสัญญาที่เรียกว่า พันธสัญญาหยุดเวลา เอาไว้ ทำให้เวลาของข้าถูกหยุดลงตั้งแต่อายุ 17 เมื่อสามร้อยหรือสี่ร้อยกว่าปีก่อน” ซองเรบอก “เวลาของข้าหยุดลงเพื่อตามหา ส่วนเวลาของคนคนนั้น...หยุดลงเพื่อรอคอย”
ลาเพรียลแทบสะอึกเมื่อได้ยินคำว่า ‘รอคอย’
งั้นเรเพียร์คนนั้น... ก็คงเป็นคนเหมือนเขาสินะ ที่กำลังรอคอยอะไรบางอย่าง
“ทำไมถึงต้องทำสัญญานั้นล่ะฮะ?”
แรกเริ่ม...ซองเรคิดจะไม่บอกเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่พอคิดอีกที... คนคนนี้กับคนคนนั้น ก็คือคนเดียวกัน...ไม่ผิดแน่ “ก็เรเพียร์...บังเอิญไปรู้ความลับของขุมพลังทั้งหก โดยมีข้าเป็นต้นเหตุน่ะสิ”
ลาเพรียลออกมาเดินเล่นกับซองเรที่สวนสาธารณะเดลฟีนหลังจากที่ชายหนุ่ม...ความจริงก็เด็กหนุ่มเหมือนเขานั่นแหละ เล่าทุกอย่างออกมา
พันธสัญญาหยุดเวลา... คือพันธะที่คนทั้งสองกระทำโดยการใช้เพียงลมปาก แค่พูดออกมาเท่านั้น...คำพูดนั้นจะผูกมัดคนทั้งสองโดยทันที และจะมีสัญลักษณ์ของการหยุดเวลาอยู่ที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย อย่างที่ท่อนแขนของซองเรจะมีลวดลายเป็นนาฬิกาสีดำอยู่ และคู่สัญญาของซองเรก็จะมีสัญลักษณ์อยู่เหมือนกัน พันธสัญญานี้สามารถทำได้ขอแค่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเวทมนตร์ แต่หากไร้เวทมนตร์ทั้งสองคนจะไม่สามารถทำได้
...แต่ซองเรไม่ได้บอกเขาว่าความลับของขุมพลังทั้งหกคืออะไร
“นี่...คุณมีบ้านอยู่รึเปล่าฮะ?” ลาเพรียลถามขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ ถึงถามคำถามนี้ขึ้นมา
คงเพราะว่าถ้าอีกฝ่ายไม่มีบ้านอยู่ เขาคงเต็มใจให้มาอยู่บ้านเขากระมัง (ฮา...)
“ต้องมีสิ ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ข้าจะไปอยู่ไหนล่ะ?” จนแล้วจนรอด... ซองเรก็ไม่ได้เปลี่ยนสรรพนามแทนตัวนั้นอยู่ดี
“...งั้นบ้านคุณอยู่ไหนล่ะ? แล้วทำไมเมื่อบ่ายถึงไปอยู่ในพุ่มไม้สวนสาธารณะล่ะ?”
“บ้านข้าอยู่...อืมม พวกเจ้าน่าจะเรียกที่นั่นว่า ‘หอพักบรรณารักษ์ขั้นสูง’ ล่ะมั้ง?” ซองเรตอบ “ส่วนคำถามต่อไป... เรเพียร์ชอบป่า ข้าก็เลยคิดว่าถ้าไปตามหาแถว ๆ ป่า ข้าอาจจะเจอก็ได้”
...ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเจอแล้วก็เถอะ
ลาเพรียลตาโต “นี่คุณ!! คุณเป็นบรรณารักษ์ขั้นสูงเหรอ?! ผมนึกว่าคุณจะซ่อนอยู่แต่ในบ้านซะอีก!!”
“ถ้าไม่ทำงานข้าจะมีเงินมั้ยล่ะ? ใช้เวทมนตร์ได้ก็จริงแต่ไม่มีเวทมนตร์เสกอาหารสำเร็จรูปได้หรอกนะ” ซองเรบอก “ข้าน่ะ... ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปจนกว่าจะหาเรเพียร์เจอ”
“ทำไมถึงมุ่งมั่นขนาดนั้นล่ะฮะ?”
“...” ซองเรเงียบไป “ถ้าเจ้ารู้ความหมายของคำว่า ‘คนที่เป็นทุกอย่างของชีวิต’ น่ะ เจ้าก็จะรู้เองว่าทำไมข้าถึงมุ่งมั่นขนาดนั้น เพราะเรเพียร์น่ะ...เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับข้า”
ความคิดเห็น