คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Duflin - Chapter 1
Duflin ลำนำรัก...เรื่องราวแห่งมิตรภาพ
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรอใครบางคนอย่างไร้เหตุผล
ข้ากำลังตามหาใครบางคนอย่างไร้จุดหมาย
ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น
ข้ารู้เพียงแต่ว่าข้าต้องหาคนคนนั้นให้เจอ
ผมรู้สึกเพียงว่ามีใครกำลังตามหาผม
และคนคนนั้นกำลังรอข้าอยู่
เพราะฉะนั้นผมจึงหยุดอยู่ตรงนี้
ต้องรออยู่แน่..ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้
เพื่อที่จะรอ...เพียงเท่านั้น
เพราะฉะนั้น... ข้าต้องหาให้เจอ...
บทที่
พบกัน
‘...กล่าวกันว่า... โลกของเรานั้นได้เกิดการชำระล้างมาหลายครั้งหลายคราว สิ่งที่ถูกชะล้างคือความดำมืดในจิตใจคน และว่ากันว่าการชำระล้างจิตใจดำมืดนั้นคือการทำให้มนุษย์หลงผิดและฆ่ากันเองอย่างถึงที่สุด เพื่อให้ความมืดดำหายไปจากจิตใจของมนุษย์ เราเรียกช่วงเวลานั้นว่า ‘วันสิ้นโลก’
ในช่วงเวลาวันสิ้นโลกนั้นเองที่เหล่ามนุษย์จะหายไปจากโลก รอให้ธรรมชาติฟื้นตัว และจากนั้น...มนุษย์ผู้บริสุทธิ์คนแรกก็จะถือกำเนิดขึ้นอย่างลึกลับ ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเขาหรือเธอเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ในยุคปัจจุบันนี้คาดว่าน่าจะเป็นยุคถัดจากวันสิ้นโลกครั้งล่าสุด 400 กว่าปี
เล่าต่อกันมาว่า มนุษย์ผู้บริสุทธิ์ในยุคแรกนั้นมีพลังอำนาจที่เหนือมนุษย์ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น ‘พลังเวทย์’ ก็ว่าได้ พวกเขาหรือพวกเธอสามารถเนรมิตทุกสิ่งได้ดังใจนึก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่ความมืดดำในจิตใจเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นเมื่อพวกเขาเริ่มเข่นฆ่ากันเองในยุคต่อมา ผู้นำของพวกเขาก็ได้ใช้พลังทั้งหมดที่ตนมีลบล้างพลังวิเศษในตัวพวกเขาไป นั่นรวมถึงตัวผู้นำเองด้วย
และในช่วง 300 ปีหลังจากนั้นที่มนุษย์ไร้พลังวิเศษ พวกเราก็ได้ทำการวิวัฒนาการต่าง ๆ มากมายจนเกิดเป็นวิทยาการในปัจจุบัน ตั้งชื่อโลกของเราใหม่ว่า ‘ดัฟลิน’ ...’
ติ๊ด!
หน้าต่างข้อมูลที่เปิดไว้ถูกปิดลงโดยเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวและดวงตาสีเขียวมรกต เขาถอนหายใจพลางมองแล็บทอปของตัวเองอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก
“ให้ตายเถอะ... จะเป็นบรรณารักษ์ชั้นสูงไม่ได้จะเป็นนักประวัติศาสตร์สักหน่อย ทำไมต้องทำอะไรอย่างนี้ด้วยเนี่ย!” เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีเจ้าของนามอันแสนไพเราะเพราะพริ้ง ‘ลาเพรียล ทัวลัสต์’ บ่นอุบอย่างไม่เข้าใจ ปิดจอแล็บทอป-ลงก่อนจะกดปุ่มสีแดงเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้เครื่อง
ทันใดนั้นแล็บทอปก็ย่อขนาดลง เปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นแหวนเงินเกลี้ยงที่มีปุ่มเล็ก ๆ ต่างสีสันอยู่ด้านข้าง และที่หัวแหวนมีปุ่มเล็ก ๆ สีใสอยู่ด้วย
อุปกรณ์ชิ้นนี้คือ ‘เรเกียสริง’ วิทยาการชนิดใหม่ของดัฟลิน ลักษณะที่แท้จริงคือแหวนเงินเกลี้ยงธรรมดา แต่ที่พิเศษคือปุ่มหลากสีที่ติดตั้งอยู่ด้านข้าง ผู้ประดิษฐ์อุปกรณ์ชิ้นนี้คือเรเกียส โฮมุส แรกเริ่มเขาประดิษฐ์มีปุ่มสีแดงปุ่มเดียวเท่านั้น ซึ่งเมื่อกดปุ่มนั้นแหวนจะทำการเปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นแล็บทอป
แต่ปัจจุบันเรเกียสได้ทำการพัฒนาอุปกรณ์ชิ้นนี้ของเขาทำให้มีปุ่มมากที่สุดสิบสองปุ่ม ซึ่งในตอนนี้แหวนรุ่นที่ลาเพรียลใช้อยู่เป็นแหวนรุ่นหกปุ่ม ด้านซ้ายของแหวนสามปุ่ม และด้านขวาอีกสาม
ด้านซ้ายประกอบไปด้วยสีเขียว สีน้ำเงิน และสีม่วง หากกดสีเขียว ปุ่มสีใสที่หัวแหวนจะทำการฉายภาพโฮโลแกรมสามมิติขึ้นเป็นปฏิทินและกำหนดการสำคัญต่าง ๆ ของเจ้าของแหวน หากกดปุ่มสีน้ำเงิน แหวนจะฉายภาพโฮโลแกรมขึ้นเป็นนาฬิกา และนาฬิกาที่ว่านี้ไม่ได้มีเพียงแค่เวลาสามัญของดัฟลินเท่านั้น แต่ยังคงแสดงเวลาสามัญของดวงดาวอื่น ๆ ได้อีกด้วย
อาใช่...ทุกคนฟังไม่ผิด ไม่ใช่ ‘ประเทศอื่น ๆ’ แต่เป็น ‘ดาวอื่น ๆ’ เพราะแผ่นดินทุกตารางนิ้วของดัฟลินติดกันแน่นเป็นปึกแผ่น มีแม่น้ำสายเล็กใหญ่ตัดบ้างในบางพื้นที่ แต่หากจะหาเมืองที่ติดทะเลต้องไปทางตะวันออกสุด ตะวันตกสุด เหนือสุด และใต้สุดเท่านั้น
และทุกพื้นที่จะมีเวลาและอุณหภูมิเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน ไม่คลาดเคลื่อนไปสักนิดเดียว
หากกดปุ่มสีม่วง ปุ่มนี้เป็นปุ่มเคลื่อนย้ายสิ่งของฉับพลัน แค่เล็งหัวแหวนไปที่สิ่งของที่ต้องการเคลื่อนย้าย จากนั้นก็กดปุ่ม หัวแหวนจะยิงเลเซอร์ไปที่ของสิ่งนั้น จากนั้นเราแค่พูดสถานที่ที่ต้องการส่งของไปเท่านั้น ของสิ่งนั้นก็จะไปอยู่ในสถานที่ที่เราพูดถึงทันที ถือเป็นระบบไปรษณีย์ที่ใช้เทคโนโลยีสูงที่สุดในปัจจุบัน เพราะสถานที่ที่จะส่งไปนั้นก็ต้องติดเครื่องรับสัญญาณไว้เหมือนกัน หากไม่ใช่อุปกรณ์ที่มีคนใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบันล่ะก็... ระบบนี้คงใช้การไม่ได้เป็นแน่
จบไปสำหรับปุ่มด้านซ้าย มาถึงปุ่มเล็ก ๆ ด้านขวาของแหวนบ้าง ด้านขวาของแหวนประกอบไปด้วยปุ่มสีแดง สีเหลือง และสีชมพู หากกดปุ่มสีแดงก็อย่างที่ได้กล่าวไปว่าแหวนจะเปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็วกลายเป็นแล็บทอปขนาดมาตรฐาน หากกดปุ่มสีเหลือง แหวนจะกลายเป็นเครื่องสื่อสารระบบโฮโลแกรมที่สามารถโต้ตอบกันได้โดยเห็นหน้ากันผ่านจอโฮโลแกรมที่ฉายขึ้นมาจากหัวแหวน และยังสามารถได้ยินเสียงได้ด้วย วิธีการติดต่อไปที่บุคคลใด ๆ ก็แค่เรียกชื่อ จากนั้นแหวนจะติดต่อไปที่แหวนของอีกคนโดยอัตโนมัติ
และกดปุ่มสีชมพู ปุ่มนี้จะเป็นปุ่มที่หลายคนชื่นชอบที่สุดก็เป็นได้ มันคือปุ่ม ‘สั่งอาหาร’ เมื่อกดไประบบสัญญาณของแหวนจะเชื่อมต่อกับรายการอาหารของร้านอาหารที่ติดตั้งเครื่องรับสัญญาณไว้ในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด หัวแหวนจะฉายรายการอาหารและเราสามารถสั่งอาหารได้เพียงแค่จิ้มไปที่ชื่ออาหารนั้น และอาหารนั้นก็จะส่งมาถึงตัวเราภายในเวลาไม่กี่นาที
เอ... ท่าทางจะลืมบอกไปแฮะว่าทุกระบบของแหวนใช้เป็นระบบสัมผัสได้ทั้งหมด
ติ๊ด! ติ๊ด!
เสียงร้องเตือนจากแหวนดังขึ้น เมื่อได้ยินเสียงนั้น ลาเพรียลก็จัดการกดปุ่มสีเหลืองที่อยู่ด้านขวาของแหวนทันที
[ฮ้ายย... ตอบช้าเสมอเลยนะลาร์พ] เสียงตัดพ้ออย่างล้อเลียนดังขึ้นจากชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเจ้าของเรือนผมยาวประบ่าสีส้มสด ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเขาฉายแววขี้เล่น
“ขอโทษฮะพี่กาย ผมหาข้อมูลรายงานเพลินไปหน่อย” ลาเพรียลตอบ
[น้อย ๆ หน่อยลาร์พ โกหกคนอื่นได้แต่โกหกฉันไม่ได้หรอก!] ชายหนุ่มวัยยี่สิบปีเจ้าของนาม ‘สกายลาร์ค บลูสเปล’ ตอบกลับมา [นายน่ะ! หลังจากถอดใจเรื่องข้อมูลรายงาน ก็มานั่งเหม่อเรื่องเสียงที่ได้ยินในฝันใช่มั้ยล่ะ?!]
“เปล่าสักหน่อยฮะ! ผมไม่ได้นั่งเหม่อสักหน่อย” ลาเพรียลปฏิเสธเสียงแข็ง
[เฮ้ ๆๆ ! นายน่ะปรึกษาเรื่องเสียงในฝันนั้นกับฉันมากี่ครั้งแล้ว โถ ๆๆ ! ลาร์พน้อยผู้น่าสงสาร ช่างไม่รู้ตัวเอาซะเลยว่าตกหลุมรักเจ้าของเสียงปริศนาที่อยู่ในฝันซะแล้ว ฮ่า ๆๆๆ ]
“พี่กายฮะ! เสียงในฝันนั้นน่ะมันเสียงผู้ชายนะฮะ!!”
[แล้วไงล่ะ!! ถ้าสองคนรักกันยังไงก็ได้อยู่แล้ว ฮ่า ๆๆๆ โอเค ๆ ฉันล้อเล่น แค่ล้อนายเล่นเท่านั้นเองไม่เห็นต้องทำหน้าจริงจังอย่างนั้นเลย]
“ฮะ ๆๆ ผมก็ชินกับนิสัยล้อเล่นไปทั่วของพี่แล้วล่ะฮะ” ลาเพรียลบอกปัดพี่ชายข้างบ้านของตัวเอง “แล้วพี่กายติดต่อมานี่มีอะไรล่ะฮะ?”
[ไม่มีอะไร้! แค่ติดต่อมาทวงรายงานเท่านั้นแหละ! อีกสามเดือนก็เข้ากำหนดส่งแล้วเลื่อนขั้นเป็นบรรณารักษ์ขั้นสูงแล้วนา...]
“พี่จะติดต่อมากดดันผมให้ได้อะไรฮะเนี่ย?! ผมจะรีบก็แล้วกันฮะ” ลาเพรียลเอ่ยตัดบท ก่อนจะกดปุ่มสีเหลืองอีกครั้งเพื่อตัดสายการสนทนาทิ้งเสีย
เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหัวเสีย เครียดเรื่องรายงานที่ต้องทำเพื่อเลื่อนขั้นยังไม่พอ ยังต้องมาโดยสะกิดปมเรื่องเสียงในฝันอีก!
เรามาเท้าความกันเสียหน่อย... ลาเพรียล ทัวลัสต์ เป็นเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่เรียนจบหลักสูตรด้านบรรณารักษ์และจิตวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนี้กำลังจะส่งรายงานพร้อมกับยื่นแบบจำนงสอบเลื่อนขั้นเป็นบรรณารักษ์ขั้นสูง
บรรณารักษ์ขั้นสูงคืออะไร? ก็บรรณารักษ์ธรรมดาก็คือผู้ดูแลคอมพิวเตอร์สมาร์ททีวี...
เอ...ตกเรื่องอะไรไปรึเปล่านะ...
อ้อใช่! คงต้องอธิบายเกี่ยวกับห้องสมุดเสียก่อน ห้องสมุดตามประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ในยุคก่อน ๆ ก็คือห้องกว้าง ๆ ที่มีแต่ชั้นหนังสือและหนังสือเรียงกันเต็มไปหมดใช่มั้ยล่ะ?! แต่สำหรับยุคนี้แล้ว...ลบภาพห้องสมุดแบบนั้นไปได้เลย!!
ห้องสมุดในยุคนี้ไม่มีหนังสืออีกแล้ว มีก็แต่คอมพิวเตอร์ระบบทัชสกรีน... เอ่อ...เรียกง่าย ๆ ว่าแท็บเล็ตขนาดสี่สิบสองนิ้วนั่นแหละ ถ้าเรียกง่ายกว่านั้นก็สมาร์ททีวีระบบทัชสกรีนไปเลยก็ได้ แต่สมาร์ททีวีของห้องสมุดน่ะเจ๋งกว่าสมาร์ททีวีธรรมดาเยอะ!!
เพราะหนังสือที่มีต่างก็ถูกเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ของหายากไปหมดแล้ว ทำให้วิธีที่ทำให้เรื่องราวต่าง ๆ อยู่ยงคงกระพันต่อไปก็คือการบันทึกโดยใช้วิธีนี้เท่านั้น ผู้คนทั่วไปสามารถมาค้นหาข้อมูลจากห้องสมุดได้เต็มที่ โดยมีบรรณารักษ์คอยดูแลและควบคุมการใช้งานของสมาร์ททีวี รวมไปถึงการยืมข้อมูลด้วย
การยืมข้อมูล... ก็เหมือนกับว่าถ้าเอกสารมีความยาวมากเกินไปและไม่สามารถอ่านวันเดียวได้จบ ห้องสมุดจะมีบริการให้ยืมข้อมูลกลับไปอ่านที่แล็บทอปหรือคอมพิวเตอร์ของตัวเองซึ่งอยู่ที่บ้าน โดยการบันทึกข้อมูลลงในแฟลชไดรฟ์ของห้องสมุด แล้วให้ยืมกลับไปอ่านได้
อย่าคิดว่าห้องสมุดจะกระจอกขนาดขโมยข้อมูลได้นะ!! แฟลชไดรฟ์จะติดตั้งโปรแกรมเฉลี่ยว่าผู้อ่านจะเข้ามาอ่านกี่รอบถึงจะจบ จากนั้นเมื่อครบรอบที่กำหนดไว้... ข้อมูลที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์จะทำลายตัวเอง และแฟลชไดรฟ์จะถูกส่งกลับห้องสมุดด้วยระบบเคลื่อนย้ายอัตโนมัติที่ติดตั้งไว้ที่ห้องสมุดทันที และผู้ที่ยืมข้อมูลไปไม่สามารถนำข้อมูลไปลงในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้
ขอบเขตการดูแลทั้งหมดเป็นหน้าที่ของบรรณารักษ์... ในที่นี้คือบรรณารักษ์ธรรมดา ไม่ใช่บรรณารักษ์ขั้นสูงนะ
มาต่อกันที่แล้วบรรณารักษ์ขั้นสูงทำอะไร? ก็คือบรรณารักษ์ที่เรียกได้ว่า...เอ่อ... อาจจะเป็นปราชญ์ไปในตัวเลยก็ว่าได้ เพราะคนที่จะเป็นบรรณารักษ์ขั้นสูงนั้นจะต้องดูแลห้องสมุดไปพร้อม ๆ กับการทำงานวิจัยด้านหนังสือและพัฒนาการทางสมองของมนุษย์ ในขณะเดียวกันก็ต้องศึกษาศาสตร์โบราณแขนงต่าง ๆ และบางครั้งอาจจะต้องประสบภาวะงานล้นมือ ดูแลห้องสมุด ทำงานวิจัย วิเคราะห์หลักฐานโบราณ ฯลฯ ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน
...ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าแค่เขามีความคิดจะต่อเป็นบรรณารักษ์ขั้นสูง ทางสถาบันก็แทบจะอ้าแขนรับโดยไม่ต้องสอบแล้ว เพราะคนที่สอบสายนี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย!!
แต่ที่เขาต้องทำรายงานแล้วทำข้อสอบน่ะหรือ... เหตุผลนั้นง่ายมาก...
ก็พี่ชายข้างบ้านตัวดีน่ะสิไปเป่าหูศาสตราจารย์ที่สถาบันเข้า!! เขาก็เลยตกที่นั่งลำบากแบบนี้
เอ... นี่เราลืมพูดถึงอะไรไปรึเปล่า?
อ้อใช่! ก่อนหน้านี้เคยกล่าวถึงว่าลาเพรียลมีปมเกี่ยวกับเสียงในฝันใช่มั้ย? อันนี้อธิบายไม่ถูกแฮะ...
“ฮ้าววว!! ง่วงจัง... เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน” ลาเพรียลว่าพลางปิดปากหาว เด็กหนุ่มคว้าหนังสือเล่มโตซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างโซฟาไปหนุนก่อนจะหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์...
‘เจ้าน่ะ... ทำไมถึงต้องไป...’ เสียงหนึ่งดังขึ้นในขณะที่รอบกายมีเพียงความมืด เสียงทุ้มนุ่มลึกที่ได้ยินมาตลอดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
...เสียงนี้...อีกแล้ว...
‘ข้าก็ไม่ได้ไปไหนไกลสักหน่อย’ เสียงที่คล้ายคลึงกับเสียงของลาเพรียลเองตอบกลับมา
‘เจ้าโกหก’ เสียงทุ้มนั้นดังตอบ ‘...ถ้าเจ้าไป...แล้วข้าจะเหลือใครล่ะ’
‘ข้าก็ไม่หายไปไหนสักหน่อย’ เสียงที่คล้ายกับลาเพรียลตอบกลับ ‘ถ้าข้าหายไปนาน ๆ ... เจ้าก็ตามหาข้าสิ!’
‘...?’
‘มาสัญญากันดีกว่า เวลาของเจ้าจะหยุดเพื่อตามหาข้า แล้วเวลาของข้าจะหยุดเพื่อรอเจ้า ตกลงไหม?’
‘...ตกลง’ เสียงทุ้มเงียบไปนานกว่าจะตอบ ‘รอข้าด้วยแล้วกัน...เพื่อนรักของข้า’
ติ๊ด! เฮือก!
ลาเพรียลสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อแหวนร้องเตือนเขา อา... เขาตั้งให้แล็บทอปดังตอบสนองทุกครั้งที่ค้นหาเจอข้อมูลที่เขาต้องการนี่นะ...
เขาถอดแหวนออกมาก่อนจะกดที่ปุ่มสีแดง ไม่นานแหวนก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นแล็บทอปคู่ใจ แค่เปิดจอแล็บทอปขึ้น หน้าต่างข้อมูลก็เด้งขึ้นมาในทันทีทันใด
‘โลกที่มีเพียงปริศนา...ดัฟลิน...’
“ให้ตาย... ทำไมไม่เจอข้อมูลที่ต้องการสักทีนะ...” ลาเพรียลบ่นอุบขณะออกมาเดินเล่นข้างนอก สูดอากาศ ชมนกชมไม้ในสวนสาธารณะไปเรื่อย และคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
เสียงใสฝันนั่น... ทำไมคราวนี้ถึงได้ยินมากกว่าทุกครั้งนะ ปกติเขาจะได้ยินแค่คำว่า ‘รอข้าหน่อยนะ เพื่อนรักของข้า’ แค่นี้แท้ ๆ
กรอบ...แกรบ
เสียงเหยียบใบไม้แห้งแถว ๆ พุ่มไม้ใหญ่ดังเข้ามาในโสตประสาทของเด็กหนุ่ม ทำลายภวังค์ความคิดของเขาจนหมดสิ้น ด้วยความสงสัย...เด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ ก้าวเข้าไปทางพุ่มไม้ที่ตนได้ยินเสียง
เดินใกล้เข้าไป...ใกล้เข้าไป...
พริบตานั้น...ก็มีร่างหนึ่งแหวกพุ่มไม้ออกมา เพียงแค่เห็นร่างนั้น...ลาเพรียลก็หยุดนิ่งกับที่ทันที
...ความรู้สึกคุ้นเคยนี้...อะไรกัน...
ไม่ใช่แค่ลาเพรียลที่หยุดนิ่งกับที่ ชายหนุ่มคนนั้นก็ชะงักงันไปเหมือนกัน ดวงตาเรียวคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นเบิกโพลง.
“เรเพียร์...เจ้า...” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังออกมาจากปากของร่างสูง เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางโงนเงน ก่อนจะล้มลงตรงหน้าลาเพรียล โชคยังดีที่ลาเพรียลรับไว้ทัน
“คุณ...คุณครับ!” ลาเพรียลร้อง เขย่าชายหนุ่มในอ้อมแขนอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อเหลือบเห็นวงแหวนสีเงินเกลี้ยงที่นิ้วกลางข้างขวา เด็กหนุ่มจึงกดปุ่มสีเหลืองแล้วพูดว่า ‘สกายลาร์ค บลูสเปล’ ไม่รอให้สัญญาณเชื่อมถึงกันเสร็จดี เด็กหนุ่มร้องจนเกือบจะเป็นตะโกนใส่ไปว่า
“พี่กายฮะ!! พี่มาหาผมที่สวนสาธารณะเดลฟีน ด่วนที่สุด เดี๋ยวผมจะอธิบายให้พี่ฟังทีหลัง แต่พี่ต้องมาหาผมเดี๋ยวนี้!”
ความคิดเห็น