ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (ฟิคบารามอส)คู่กรรม ฉบับนำมาลงใหม่

    ลำดับตอนที่ #1 : คาร์ล วาเนส

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ย. 48


    ท่ามกลางสมรภูมิรบและความตาย ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางซากศพ ในอ้อมแขนคือชายหนุ่มผมสีเงิน นัยน์ตาสีฟ้าสวย ตามร่างกายมีบาดแผลจากแรงระเบิด



        “ไม่ คาโลริ อย่าจากฉันไป” หญิงสาวผมสีน้ำตาลสะอื้น ดวงตาสีเดียวกันมีน้ำตาคลอ



        “ฉันคงไม่รอดแล้ว อังสุเฟริน”



        “ไม่ คาโลริ ไม่ ได้โปรด”



        “ลาก่อน อังสุเฟริน”



        แล้วชายหนุ่มก็หลับตาลง ลมหายใจอุ่นๆที่หญิงสาวเคยสัมผัสได้หายไป เธอกอดร่างไร้วิญญาณในอ้อมแขนแน่น น้ำตาร่วงพรูราวกับหัวใจแตกสลายในดินแดนแห่งความตาย



        จบ....ครับ



        “เฮ้ย นอกเรื่องเฟ้ย นอกเรื่อง คู่กรรมภาคเก่าน่ะโบราณไปแล้วเฟ้ย” เสียงผู้กำกับแหวลั่นจนโรงถ่ายสะเทือน นักแสดงและสต๊าฟหน้าจ๋อยกันไปเป็นแถวๆ “ไหน ใครเอาบทไปไหนฟะ”



        “ยะ อยู่นี่ คะ ครับ” สต๊าฟคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ผู้กำกับกระชากบทออกมาจากมือของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว กวาดตามองกระดาษตรงหน้าก่อนตะโกน “เออ อันนี้แหละ แสดงเฟ้ยแสดง อย่าอู้ เดี๋ยวให้อดข้าวซะเลยนี่”



        คำพูดสุดท้ายทำให้บรรดาทีมงาน(เห็นแก่กิน)ทำงานของตัวเองกันอย่างเร่งด่วน(โดยเฉพาะนางเอกของเราที่ดูเหมือนจะกระตือรือร้น(ในเรื่องกิน)เป็นพิเศษ)



        เพลงเปิดเรื่อง............



        ฉันไม่รู้ว่าหลังจากนี้ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง

    ฉันไม่กล้าจะสัญญาด้วยคำใด.........(เปิดเอาเอง ขี้เกียจพิมพ์อ่ะ)



    “เฟริน ลงมากินข้าวได้แล้วลูก”



    “รู้แล้วค่ะแม่” เสียงขานรับดังมาพร้อมกับเสียงโครมครามตึงตังลงบันได ที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องหันมามองหน้ากันอย่างเอือมระอากับลูกสาวที่ไม่เคยเป็นกุลสตรีกับเขาเสียที



    “วันนี้แพนเค้กหรือคะ หอมจังเลย”สาวน้อยโผล่หน้าเข้ามาในห้องอาหาร ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องอาหารบนจานอย่างสนใจ เธอสวนกางเกงยีนส์ตัวหลวมโพรกกับเสื้อยืดตัวมหึมา ผมยาวสีน้ำตาลถูกรวบไปข้างอย่างไม่ใส่ใจนัก ดวงหน้ารูปไข่ถอดแบบผู้เป็นแม่มาอย่างไม่ผิดเพี้ยน เด็กหญิงเดินเข้ามานั่งบนโต๊ะอาหารก่อนเริ่มสวาปามอาหารในจานของตัวเอง



    “เฟลิอาร์ แม่บอกลูกกี่หนแล้วว่าอย่ารีบกิน เดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก”



    “อ๋อโอ้ทอ่ะ (ขอโทษค่ะ)”



    “ห้ามพูดเวลาทานอาหารด้วย”



    “โธ่ อลิเซีย อย่าจู้จี้ขี้บ่นนักสิจ๊ะ” ชายหนุ่มผู้เป็นพ่อเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ เขามีผมยาวสีดำรวบไว้ข้างหลัง ดวงตาสีเดียวกันเป็นประกายอยู่ใต้กรอบแว่นตา



    “เอวิส คุณอย่าให้ท้ายลูกสิคะ” อลิเซียหันกลับมาค้อนตาใส่



    “จ้าๆก็ได้จ้ะที่รัก” (พวกกลัวเมียนี่หว่า)



    “อ้อ เฟริน แม่หาโรงเรียนให้ลูกได้แล้วนะ”



    คำพูดของผู้เป็นแม่เรียกความสนใจของเด็กสาวให้เงยหน้าขึ้นจากอาหารในจานทันที



    “แม่จะให้ลูกไปเรียนที่โรงเรียนเซนต์เบิร์กในลอนดอน ที่ๆท่านอาชามัว น้องของพ่อของแม่เป็นอาจารย์อยู่ แม่คุยกับท่านแล้ว แม่คิดว่าลูกเตรียมเลือกสายเรียนได้แล้วล่ะ”



    “แต่หนู”



    “ไม่มีแต่ เฟลิอาร์ เราอายุสิบห้าแล้ว แม่ว่าเราควรจะคุยกันรู้เรื่องนะ”



    ...................................................................................................



    วันนี้เป็นวันที่เฟรินจะต้องเดินทางไปลอนดอน เพื่อไปลงทะเบียนเรียนที่โรงเรียนเซนต์เบิร์ก(มีจริงป่าวหว่า) โรงเรียนประจำชื่อดังของพวกมีกะตังในลอนดอน เมื่อจัดกระเป๋าเสร็จ คนขับรถก็พาเธอไปส่งที่สนามบิน เนื่องจากพ่อและแม่ของเธอติดธุระไม่สามารถไปส่งเธอได้ เมื่อลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยเธอก็พักที่บ้านของเธอในลอนดอนคนเดียวเพื่อเตรียมตัวในวันเปิดภาคเรียน ระหว่างที่อยู่บ้านคนเดียวก็แกล้งคนใช้แบบ แอบหนีไปเที่ยวตอนกลางคืนบ้าง แล้วแต่ความคิดในแต่ละวัน



    แล้ววันเปิดภาคเรียนก็มาถึง...........



    โรงเรียนเซนต์เบิร์กเป็นแหล่งชุมนุมของบรรดาลูกท่านหลานเธอ ท่านเคาน์ และลูกบุคลสำคัญของประเทศต่างๆมากมาย ค่าเทอมแพงหูฉี่ แยกห้องพักตามสายที่เรียน มีอาณาเขตกว่าร้อยไร่ ตัวอาคารเรียนเป็นรูปแบบพระราชวังฝรั่งเศส ว่ากันว่ามีประวัติศาสตร์มากว่าหนึ่งพันสองร้อยปี



    “นักเรียนสายศิลป์พบกับอาจารย์ประจำสายได้ที่ห้อง 546 ค่ะ” เสียงประกาศดังมาตามสายลำโพงทั่วโรงเรียนเมื่อเฟรินเดินเข้ามาในบริเวณโรงเรียน มีนักเรียนเดินไปเดินมากันขวักไขว่ สายตาของเธอมัวแต่จับจ้องกับความอลังการของอาคารต่างๆจนเดินไปชนกับใครคนหนึ่งเข้า



    “เฮ้ย ขอโทษที เป็นอะ”



    เธอชะงักเมื่อบุรุษที่เธอเดินชนเงยหน้าขึ้นมาจากกองข้าวของ เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง ผิวขาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย ผมสีเงิน ดวงตาสีฟ้าไร้อารมณ์ แต่ที่เธอชะงักไม่ใช่เพราะความหล่อ เท่ห์ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เธอชะงักเพราะเมื่อเธอเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้า ความรู้สึกแปลกประหลาดก็วาบเข้ามาในใจพร้อมชื่อของใครบางคนที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน



    คาโล วาเนบลี ?



    “ไม่เป็นไร” บุรุษตรงหน้าตอบด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ดึงเธอออกจากห้วงความคิด เธอช่วยเขาเก็บข้าวของของเขาบนพื้นพร้อมกับขอโทษขอโพย เมื่อเก็บของเสร็จ เขาก็ทำท่าจะเดินจากไป แต่เธอดักไว้



    “ขอโทษนะ นายชื่ออะไร”



    เด็กหนุ่มตวัดสายตากลับมามองก่อนตอบ แล้วเดินจากไป



    “คาร์ล วาเนส”



    คาร์ล วาเนส เธอทวนในใจ ผู้ชายอะไรขี้เก๊กชะมัด



    ...................................................................................................................................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×