ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Myfalse...ความผิดของผมคือรักเพื่อนสนิท [yaoi/boys love]

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 61


    -ตอนที่ 5-
    คำว่ารักจากปากของเพื่อนสนิท





    “โอย...”ผมลุกขึ้นจากเตียงด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรง นี่ผมเมากลับบ้านเหรอให้ตายเถอะ ผมจำได้แค่ว่าผมกินไปแค่น้ำเปล่านี่นาแล้วจากนั้นผมก็วูบไป....

    ‘กูรักซัน..’

    ‘มึง...ว่าอะไรนะ’

    ‘กูรักไอ้ซันนนน ฮ่าๆ’

    ‘กูว่ามึงเมาแล้วล่ะไอ้กาย เข้าบ้านไปเถอะ’

    ‘ไม่เมา กูไม่ได้เมาซักหน่อย’

    ‘มึงเมา มากด้วย เข้าบ้านไปนอนซะ’

    ‘งั้นถ้าพรุ่งนี้กูสร่างเมากูจะพูดอีกครั้งให้ดู’


    เหตุการณ์ต่างๆมันกำลังย้อนเข้ามาในหัวผม ให้ตายเถอะนี่ผมเผลอบอกไอ้พีชไปงั้นเหรอ  ผมเอามือจิกทึ้งหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปหมด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พีชครับ ปัญหามันอยู่ที่ไอ้เวส เมื่อวานมันต้องบอกกันแล้วแหง อ้ากกกก

    ตึ่ง!

    ผมก้มลงมองก้อนกระดาษที่กลิ้งไปมาตรงระเบียง แต่คราวนี้มันต่างออกไป รอยหมึกสีน้ำเงินที่ซึมออกมาจากกระดาษทำให้ผมรับรู้ได้ว่ามีข้อความอยู่ในนั้น ผมรีบเปิดประตูระเบียงไปเก็บก้อนกระดาษออกโดยไม่สนก้อนกรวดที่ร่วงกราวลงพื้น

    ‘ขอคุยด้วยหน่อย เดี๋ยวปีนไปหาเปิดระเบียงไว้ล่ะ’

    มันจะคุยอะไรของมันกันนะหรือว่าจะเรื่องเมื่อคืนงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ พีชมันอาจจะบอกเวสแต่ก็แค่เวสมันไม่บอกสนุ๊กหรือโดยเฉพาะซันหรอก อาจจะเป็นเรื่องอื่นก็ได้ ผมคงคิดมากเกินไปเองล่ะ

    ตื่อดึ้ง!

    ผมมองมือถือเฮียที่สั่นแล้วขึ้นบอกว่าพีชส่งไลน์มาหา ผมเลยรีบเดินไปนั่งบนเตียงแล้วเปิดไลน์มาดูข้อความ

    :อรุณสวัสดิ์ครับพี่กาก้า กีกี้ตื่นยังอะ

    นี่สรุปว่าเฮียผมต้องชื่อกาก้าแล้วออกไปเต้นโชว์ชุดชั้นในที่คุกจริงๆใช่มั้ยเนี่ย แอบสงสารเฮียกันต์ขึ้นถนัดตา แต่ขออย่าให้เฮียทำจริงเลย ผมแอบสยอง

    นี่กูเอง มึงมีอะไรแต่เช้าเนี่ย?:

    :กีกี้เหรอ เปล่าหรอก แค่อยากรู้ว่ากลับถึงบ้านปลอดภัยรึเปล่า

    ห๊ะ...อยากรู้ว่ากลับถึงบ้านปลอดภัยมั้ย..แสดงว่ามันไม่ใช่คนมาส่งผมหรอกเหรอแล้วคนเมื่อคืนมันใครล่ะ มือที่ผมกำมือถือสั่นกึกอย่างห้ามไม่ได้ จะเป็นเวสหรือไอ้สนุ๊กได้ แต่ผมขอแค่คนเดียวอย่าให้เป็นเขา

    อ้าว...แล้วเมื่อคืนใครมาส่งกู:

    ขอร้อง...ใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่มัน ...ผมขอเว้นไว้แค่คนเดียวเท่านั้น..

    ตุบ!

    เสียงเท้ากระทบพื้นระเบียงห้องผมพร้อมกับคนปีนที่เดินเข้ามาในห้องผมด้วยสีหน้าท่าทางซีเรียส มันจ้องหน้าผมนิ่งซักพักก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ปลายเตียงผม

    ตื่อดึ้ง!

    พีชมันส่งไลน์ตอบกลับมาแล้ว..คำตอบของเรื่องเมื่อคืนกำลังอยู่ในมือผม แต่ทันทีที่ผมก้มลงอ่านมือถือเฮียก็เกือบจะได้เข้าถังขยะอีกเครื่อง

    :อ๋อ..ก็ซันนี่ไง

    “เมื่อคืน..มึงพูดอะไรไว้จำได้มั้ย..”หลังจากที่ทั้งผมและมันเงียบมานาน มันก็เริ่มเปิดประเด็นขึ้นพร้อมด้วยเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนมันทำให้ผมรับรู้ว่ามันกำลังจริงจัง

    ‘งั้นถ้าพรุ่งนี้กูสร่างเมากูจะพูดอีกครั้งให้ดู’

    ประโยคคำพูดของตัวผมเองลอยเข้ามาในหัว ผมได้แต่ก้มหน้าไม่ยอมปรอปากหรือมองหน้าไอ้ซัน เพราะผมรู้..ว่าณ.ตอนนี้ถ้าผมมองหน้ามันหรือคุยกับมันแม้แต่คำเดียว ผมต้องได้ร้องไห้แน่ๆ

    “กูรู้ว่ามึงจำได้ว่าพูดอะไรออกมา พูดมาสิไหนว่าวันนี้จะพูดให้กูฟัง”

    “...”ผมรู้ว่านี่อาจเป็นเพียงครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้บอกความจริง แต่ผมกลัวไปหมด ถ้าผมพูดไปแล้วทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม มันจะไม่คุยกับผม เล่นกับผมแบบเดิม ผมควรปิดต่อไปดีมั้ย

    “ถ้าเมื่อวานมึงพูดเพราะมึงแค่เมากูจะลืมมันไปซะ แต่ถ้าไม่..บอกกันตรงๆได้มั้ยวะ”

    “...”มันรออยู่นานเกือบสิบนาทีแต่ก็ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่หลุดออกจากปากผมจนมันลุกขึ้นแล้วเตรียมปีนระเบียงกลับ

    “กูรักมึง”

    .

    .

    .

    .

    .

    “กีกี้!”ผมสะดุ้งกับใบหน้าของพีชที่แทบจะติดจมูกผมอยู่รอมร่อ พร้อมกับไอ้เวสกับไอ้สนุ๊กที่นั่งจ้องหน้าผม รวมถึง..ไอ้ซัน..

    “พีชมันเรียกตั้งนานมึงเหม่อเรื่องอะไรวะเนี่ย”

    “ไอ้ซันก็เหมือนกัน วันนี้มึงสองคนแม่งจะเงียบแปลกๆกันมากไปแล้วนะเว้ย ทะเลาะอะไรกันก็พูดออกมาสิวะ”ไอ้สนุ๊กมองหน้าผมสลับกับไอ้ซันที่ยังไม่เลิกจ้องหน้าผมซักที ตั้งแต่ตอนเช้าแล้วครับไม่มีก้อนกระดาษที่ปามาปลุกผมเหมือนทุกเช้า ไม่มีเสียงอะไรที่เล็ดลอดออกมาจากปากมันถ้าเป็นบทสนทนาระหว่างมันกับผม อย่างเดียวที่ผมรับรู้ได้คือสายตามันที่จ้องมองผมอย่างคาดเดาไม่ออก

    “ไม่ใช่ว่าที่ทะเลาะกันเพราะมันพูดออกไปงั้นหรอกเหรอ..”ไอ้เวสพูดพึมพำกับหนังสือที่มันอ่านอยู่โดยไม่เงยหน้ามามองหน้าใคร เสียงมันเบาเหมือนเสียงกระซิบจนแทบไม่มีใครได้ยิน แต่สำหรับผมแล้วมันเหมือนเอาโทรโข่งมาพูดข้างหูผมเลยด้วยซ้ำ

    “กูไม่เก็ทว่ะไอ้เวส ขอคำอธิบายเพิ่ม”

    “ไม่เก็ทน่ะดีแล้วสนุ๊ก กีกี้คงไม่ปลื้มเท่าไหร่ถ้านายเก็ท”ถ้าไอ้สนุ๊กเก็ทก็ค่อนข้างเรื่องใหญ่ล่ะครับ มันไม่เงียบๆเหมือนไอ้เวสหรอก ถึงหูคนทั้งโรงเรียนอ่ะครับ ไม่ใช่ว่ามันปากพล่อยนะแต่มันชอบหลุดปากบ่อย แต่สิ่งที่ผมกลัวตอนนี้เห็นทีจะไม่ใช่ไอ้สนุ๊กแต่ผมกลัวซันมากกว่า...หรือผมอาจทำผิดที่บอกมันไปแบบนั้น...ผมควรทำยังไงดี

    “กูไปก่อนนะ”หลังจากที่มันเอาแต่นั่งเงียบงันมาแต่เช้านี่อาจเป็นประโยคแรกด้วยซ้ำที่มันพูดออกมาก่อนจะเตรียมลุกจากโต๊ะไป มันก็แค่จะลุกออกจากโต๊ะแต่ทำไมผมรู้สึกว่าถ้ามันลุกออกไปแล้ว...มันจะลุกออกไปจากชีวิตผมด้วย

    “ซัน...กูขอคุยด้วยได้มั้ย...เรื่องเมื่อวาน..”

    “กูจะรอสวนข้างอาคารสาม”ผมยังไม่ทันพูดจนดีไอ้ซันก็พูดแทรกด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินจากมัน น้ำเสียงที่เย็นชาจนผมรู้สึกหนาวทั้งที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนกับสายตาที่คาดเดาออกยากก่อนมันจะเดินนำออกไป....นั่นมันทำให้ผมกลัวกว่าเดิม...กลัวเหลือเกินว่าจะเสียมันไป...
    ผมลุกขึ้นจากโต๊ะม้าหินอ่อนตามหลังมันไปติดๆโดยไม่สนเสียงเรียกจากด้านหลัง สิ่งเดียวที่อยู่ในสายตาของผมตอนนื้คือแผ่นหลังของซันในระยะที่สายตามองเห็น ผมเห็นแผผ่นหลังนี้นับไม่ถ้วนครับ แต่ละอารมณ์ความรู้สึกที่ได้แตกต่างกันออกไปเสมอ ผมเดินตามมันมาเรื่อยจนถึงอาคารสามทันทีที่มันหันมาเจอผม สีหน้าของซันค่อนข้างจะแปลกใจก่อนที่มันเอาหลังเอนพิงกำแพงแล้วมองผมด้วยสายตาเหมือนเมื่อกี้

    “...”

    “ไม่พูดกูกลับแล้วนะ”

    “ซัน...แค่เพราะกูรักมึง มึงโกรธกูเลยเหรอ”

    “กูไม่ได้โกรธ”

    “แต่มึงก็ห่างเหิน”

    ...ได้โปรด...อย่าใจร้ายไปมากกว่านี้...

    “กูไม่ได้ห่างเหิน”

    “มึงโกหก”

    ....เพราะถ้ามึงใจร้ายไปมากกว่านี้...

    “แล้วถ้ามึงเป็นกูมึงจะทำยังไงไอ้กาย จะให้กูทำยังไง มึงเป็นเพื่อนกูนะเว้ย..แต่มึง!..เฮ้อ..”

    “กูไม่ได้ขอให้มึงรับรักกูนะซัน กูไม่ได้ขอ แค่ทำตัวเหมือนเดิมได้มั้ย...”

    ....มันอาจทำให้กูทนไม่ไหว..และ...

    “แล้วมึงจะทำยังไง? รักกูแบบนี้ต่อไปเนี่ยนะ? ต่อให้กูไม่มีลินดากูก็รักมึงไม่ได้”นั่นเป็นความจริงที่ผมกลัวมาตลอด ผมเคยคิดว่าถ้ามันจะพูดคำนี้ออกมาผมจะเจ็บซักแค่ไหนกัน แต่มันต่างจากที่ผมคิดเยอะ...เจ็บกว่าที่ผมคิดเยอะ...

    “กูรู้...กูรู้มาตลอดซัน...กูไม่ได้รักมึงแบบไม่คิดนะ เพราะงี้กูถึงไม่อยากบอกมึง...แค่เป็นเหมือนเดิมได้มั้ย...”

    ...และ..ในที่สุด...หัวใจของผม....

    “มึงเป็นเพื่อนคนพิเศษของกูเสมอกาย แต่สัญญากับกูว่ามึงจะกลับไปเป็นเพื่อนกูเดิม แค่เพื่อนจากนี้และตลอดไปด้วย สัญญามาสิ”

    ...ก็แหลกสลายคามือมัน....

    “กูสัญญา..”

    .

    .

    .

    .

    .

    กริ๊ง

    “ยินดีต้อนรับครับ กี่ที่ครับหรือว่าคุณจองโต๊ะไว้?”ทันทีหญิงสาวเดินก้าวเข้าร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่งมาก็มีบริกรวิ่งตรงเข้ามาต้อนรับทันที

    “นัดคนไว้ค่ะ คุณแทนทันต์น่ะค่ะไม่ทราบว่าโต๊ะไหนคะ”

    “งั้นเชิญทางนี้เลยครับ”บริกรหนุ่มเดินนำสาวสวยมายังโต๊ะสุดมุมร้านที่มีชายหนุ่มอีกคนนั่งกินอาหารรออยู่แล้วทันทีที่หญิงสาวนั่งลงบริกรก็โค้งตัวแล้วเดินออกไป

    “มาช้าจังนะคะลินดา พี่รอตั้งนานแหน่ะ”แทนทันต์ยิ้มหล่อก่อนจะวางช้อนส้อมลงแล้วเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่เริ่มถอดแว่นกันแดดออกเผยให้เห็นความสวยหวานของใบหน้า

    “ก็ลินดากินข้าวกับป๊าม๊าอยู่นี่คะ แล้วเรียกมาด่วนแบบนี้พี่แทนมีอะไรเหรอคะ”

    “พอดีวันนี้พี่แวะไปหาคนที่รู้จักที่โรงเรียนน้องซันมาเลยเจออะไรเด็ดๆเข้านิดหน่อย”แทนพูดพร้อมยกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ทำเอาลินดาเริ่มตาเป็นประกายด้วยความสนใจทันที

    “อะไรเหรอคะ เด็ดๆที่ว่าน่ะ”

    “น้องซันรู้เรื่องที่น้องกายแอบรักเรียบร้อยแล้วครับ เมื่อกี้ทะเลาะกันใหญ่โต”ทันทีที่แทนทันต์พูดจบลินดาก็ยิ้มกว้างอย่างสะใจ มือสองข้างยอดขึ้นกอดอกอย่างชอบใจ

    “งี้สงสัยเราคงได้โอกาสแล้วล่ะค่ะ”

    “โอกาสอะไรกันครับน้องลินดา หรือเรามีแผนอะไรในใจหื้ม”

    “หึ..ก็พี่แทนอยากได้ไอ้กายนั่นไม่ใช่เหรอคะ ลินดาอนุญาตให้พี่เอาไปคืนนึงเลยล่ะค่ะ”คำตอบของลินดาทำเอาคิ้วของแทนเลิกสูงอย่างสงสัยแต่ภายในดวงตานั้นปิดซ่อนความหื่นกระหายไม่อยู่

    “ตอนนี้พี่แทนพอจะมีลูกน้องซักสองสามคนมั้ยล่ะคะ เราจะเล่นอะไรกันนิดหน่อย”ลินดาพูดจบแทนก็ยิ้มร้ายอีกครั้งก่อนจะหยิบมือถือเครื่องหรูข้างตัวขึ้นมากดโทรออกแล้วแนบหูตัวเอง

    “เกณฑ์คนของเรามาซักสามสี่คนหน่อยซิ...เอาคนที่ฉุดเด็กได้น่ะ...”

    .

    .

    .

    .

    .

    หลายคนบอกว่าความรักที่ทรมานที่สุดคือการแอบรัก มันอึดอัด ทรมานและแสนเศร้า แต่สำหรับผมแล้วผมยินดีกับการที่ได้ตกหลุมรัก แม้ว่าหลุมนั้นมันจะลึกและมีหนามแหลมที่จะทิ่มแทงผม แต่ผมไม่เสนใจหรอกครับเพราะสิ่งสำคัญมันไม่ใช่การรับรัก แค่ขอให้ผมได้รักต่อไปก็พอ..ผมคงรักษาสัญญากับมันไม่ได้หรอกครับ...ผมได้แต่เดินเตะฝุ่นไปเรื่อยๆ ปกติเวลานี้ผมคงกลับถึงบ้านแล้ว ผมเป็นคนเดินเร็วจะตายครับแต่วันนี้เหมือนขาผมหนักกว่าทุกวัน  ผมรับรู้ได้ว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมามันมาจากอกข้างซ้ายของผมแน่นอน

    เอี๊ยด..

    ผมมองรถตู้สีดำติดฟิลม์ทึบที่มาจอดเทียบที่ข้างถนนด้านหน้าผมเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่หรอกครับ คงไม่ใช่คนรู้จักของผม แต่มันติดตรงที่ชายชุดดำสี่ห้าคนที่ก้าวลงมาจากรถตู้แล้วดักหน้าผมไว้นี่สิครับ

    “เฮ้ยๆ คนนี้เปล่าวะ”

    “ใช่ว่ะ ลากขึ้นรถมา”

    ว่าจบคนที่ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าพวกมันก็ตรงมาฉุดแขนผมทันที มีหรือครับคนอย่างผมจะยอมแต่เพราะผมไม่ใช่คนออกกำลังกายเหมือนไอ้สนุ๊ก ผมไม่เก่งต่อสู้เหมือนไอ้ซัน ผมไม่แรงเยอะเหมือนไอ้เวส แทบเรียกได้ว่าผมแรงน้อยกว่าพีชด้วยซ้ำไปครับ นั่นมันทำให้ตัวผมปลิวขึ้นรถตู้ไปง่ายๆ

    “ปล่อยผมนะ ผมไม่รู้จักพวกคุณซักหน่อย พวกคุณจะทำอะไรผม!!”

    “หุบปากซะ ไปทำอะไรเจ้านายพวกกูไว้ล่ะ ถึงได้โดนสั่งฉุดแบบนี้”ผมได้แต่นั่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว..ฉุดงั้นเหรอ...ใครกันนะ...แต่ตอนนี้ประเด็นสำคัญไม่ใช่คนสั่งฉุด ผมแค่นึกถึง..ไอ้ซัน..

    “หัวหน้าดูดิ น้ำตาคลอด้วยแฮะ ไม่น่าล่ะเจ้านายสั่งฉุดน่ารักชิบหาย”คนข้างตัวผมพูดเสียงดังอย่างหยาบโลนก่อนจะเอามือที่แข็งสากมาลูบแก้มผม ผมทำได้แค่เบี่ยงตัวหลบหนีสัมผัสมันเท่านั้น

    ...ซัน...ช่วยด้วย...

    “เฮ้ยๆ ของเจ้านายอย่าเพิ่งแดก ให้เจ้านายก่อนถ้าเขาปรานีเราอาจได้ต่อ..ออกรถโว้ย”ผมได้แต่มองคนพวกนี้สลับไปมาอย่างหาทางออก ผมจะรอดออกไปจากที่นี่ได้ยังไง...หรือผมจะต้องโดนอะไรแบบนี้จริงๆ...แต่ก่อนที่รถพวกมันจะเคลื่อนตัวออกก็มีรถสปอร์ตสีแดงสดขับมาขวางหน้ารถไว้

    “ใครวะแม่งกล้าขวางพวกเราได้ไง”ก่อนที่พวกมันจะเปิดประตูรถตู้ออกไปดู ประตูรถตู้ก็เปิดออกพร้อมคำตอบของเจ้าของรถสีแดงยืนอยู่หน้าประตู ปลายกระบอกปืนสีเงินที่จ่อที่หัวของหัวหน้าพวกมันอย่างรวดเร็ว

    “ปล่อยผู้ชายคนนั้นออกมา...”ผู้ชายท่าทางเคร่งขรึมพูดขึ้นอย่างน่ากลัวก่อนจะพยักเพยิดหน้ามาทางผม แต่ทำไมไม่รู้ผมถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าคนๆมากมายเหลือเกิน

    “ทำไมกูต้องปล่อยด้วยวะ”

    “กูมีเหตุผลสามข้อให้พวกมึง ข้อหนึ่งคือกูมีปืนอยู่ในมือ ข้อสองต่อให้กูยิงพวกมึงหมดรถตำรวจก็ไม่จับกูและข้อสามเพราะกูชื่อภานรินทร์ เหตุผลพอรึยัง”ทันทีที่คนๆนี้ร่ายจบพวกชุดดำที่เหลือก็พากันกระซิบกระซาบเหงื่อตกจนกระทั่งเสียงมือถือของหัวหน้ามันดัง คนที่ชื่อภานรินทร์จ้องมองเชิงให้รับสาย หลังจากรับสายเสร็จพวกมันก็ผลักตัวผมออกมาจากรถทำให้ผมเกือบหน้าทิ่มถ้าไม่ได้คุณภานรินทร์รับไว้ซะก่อน

    “เฮ้ยพวกเรากลับ! เจ้านายเปลี่ยนแผน”พวกมันพูดจบก็ลุกลี้ลุกลนปิดประตูรถตู้แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ผมมองตามพวกมันไปจบลับสายตาอย่างใจหาย ถ้าคุณคนนี้เขามาไม่ทันผมจะเป็นยังไงบ้างนะ..

    “มึงโอเคมั้ย”ผมสะดุ้งกับเสียงที่ดังอยู่ด้านบนหัวทำให้ผมตระหนักได้ว่าผมยังอยู่ในอ้อมกอดของเขาอยู่ ผมจึงรีบเด้งออกมายืนก้มหน้าทันที

    “ขอบคุณมากนะครับ ถ้าไม่ได้คุณผมคงแย่”

    “ห่างเหินกับกูจริงหรือมึงจำกูไม่ได้กันแน่”ผมชะงักกับคำพูดของเขาก่อนจะเงยหน้าจ้องอย่างพิจารณา..จะว่าไปแล้วดวงตาแบบนี้มัน....เมื่อกี้เขาบอกว่าชื่อภานรินทร์งั้นเหรอ ชื่อแปลกๆแบบนี้คงมีไม่กี่คนหรอก

    “วิท...”

    “กว่าจะจำกูได้นะกาย”หนีเสือปะจระเข้ชัดๆครับ วิทเป็นหัวหน้าแก็งค์ที่แกล้งผมมาแต่เด็กแล้วล่ะครับแต่หลังจากที่พ่อวิทเสียไปเขาก็ออกจากโรงเรียนหลังจบป.6 แล้วก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย แต่ที่สำคัญคือซันกับวิทไม่ถูกกันอย่างแรงครับ ว่าแล้วผมก็รีบกลับหลังหันเตรียมเดินหนีทันที

    “มึงทำงี้กับคนที่ช่วยมึงเหรอกาย?” ผมยังไม่ทันได้เดินหนีเลยครับให้ตาย ผมไม่รู้ว่าผมเร็วไม่พอหรือวิทเร็วมากกันแน่ เขาถึงได้จับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยแบบนี้

    “ก็ขอบคุณไปแล้วไง...”

    “กูไม่ถูกกับซันใช่ว่ามึงต้องไม่ถูกกับกูนะกาย”

    “มึงชอบแกล้งกูจะตาย...” เมื่อไหร่จะปล่อยมือผมซะทีเนี่ย...แถวนี้มันใกล้บ้านด้วยสิครับถ้าซันมันมาเห็น ผมล่ะไม่อยากนึก

    “แล้วถ้ากูบอกว่ากูแกล้งมึงเพราะอยากสนิทกับมึงล่ะ”

    “แล้วถ้ากูบอกว่ามึงไม่มีทางสนิทกับมันเพราะกูเป็นเพื่อนมันล่ะ”ผมสะดุ้งเงยหน้ามองเสียงคุ้นหูพร้อมกับซันที่หน้าบึ้งมาแต่ไกลก่อนจะเดินตรงมาจับมือวิทออกจากผม

    “เพื่อนที่ปกป้องเพื่อนไม่ได้ ไม่น่าเรียกเพื่อนได้นะ”

    ผลัวะ

    ทันทีที่วิทพูดจบหมัดหนักๆของไอ้ซันก็ดิ่งตรงเข้าที่หน้าของวิทจนล้มลงไปกับพื้นทันที ทำเอาผมตกใจรีบวิ่งไปกอดแขนไอ้ซันไว้ทันทีเมื่อเห็นมันเตรียมจะซ้ำอีกหมัด

    “พอเถอะซัน กลับกันเถอะนะ”

    “มึงจะห้ามกูทำไมไอ้กาย อย่ามาห้ามกูนะ ปล่อย!!!”มันพยายามสะบัดแขนผมออกพร้อมกับตะโกนเสียงดังน่ากลัว จะว่าไปผมก็ไม่ได้ต่างจากตอนเด็กเท่าไหร่หรอกครับ ขี้แยยังไงผมก็ยังขี้แยอยู่อย่างนั้นหรือเพราะผมยังกลัวเหตุการณ์เมื่อกี้อยู่ก็ไม่รู้ ทำเอาน้ำตาผมเริ่มไหลทีละนิดจนหยดลงแขนไอ้ซัน

    “มึงร้องไห้เพราะกูชกมันเนี่ยนะไอ้กาย!!! กลับ!! อย่าให้กูเจอมึงยุ่งกับเพื่อนกูอีกนะไอ้วิท ครั้งนี้กูเห็นแก่ไอ้กาย”ผมพูดอย่างเอาเรื่องใส่วิทที่เช็ดเลือดตรงมุมปากแล้วพยายามลุกขึ้น แต่ผมไม่ได้รับรู้อะไรอีกเพราะหลังจากนั้นมันก็กระชากผมกลับบ้านมาอย่างรวดเร็ว

    .

    .

    .

    .

    .

    ตุบ!

    มันเหวี่ยงผมลงนั่งเก้าอี้คอมมันอย่างแรง อ่านไม่ผิดหรอกครับ มันไม่ได้พาผมกลับบ้านแต่มันลากผมเข้าบ้านมัน แถมตอนลากเข้ามาไม่พูดอะไรซักคำแต่ทำหน้าโกรธจัดอย่างเดียว

    “ฮึก..”

    “มึงจะเลิกร้องได้ยังวะ เป็นห่วงไอ้เหี้ยนั่นมากรึไง มึงก็รู้ว่ากูกับมันไม่ถูกกันแล้วจะไปคุยกับมันทำไม!!!”มันตะคอกใส่ผมเสียงดังลั่นห้องดีตรงที่ว่าพ่อแม่มันอยู่ต่างประเทศอยู่แล้วส่วนเฮียแซนด์ก็เหมือนจะไม่อยู่ ไม่งั้นได้ตกใจกันยกบ้านครับ

    “แต่..วิทช่วยกูไว้..ฮึก..กูก็แค่...”

    “กูแค่จะตอบแทนด้วยการให้มันกอดแน่น ไม่ก็จับมือถือแขนกันใช่มั้ย”

    “อึก..มึงเป็นบ้าอะไรไอ้ซัน กูบริสุทธิ์ใจ!!”

    ..ขอร้อง...ไม่รัก...อย่ามาทำเหมือนหวงกันแบบนี้..

    “แล้วถ้ากูไปไม่ทัน มึงกับมันเข้าโรงแรมกันไปแล้วล่ะสิ!!!”

    เพียะ

    ผมมองหน้ามันที่สะบัดไปตามแรงตบของผมทั้งน้ำตา ทำไมมันถึงต้องดูถูกผมถึงขนาดนี้ ทำไมมันต้องทำร้ายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวันๆนึง ทำไมมันทำให้ผมเจ็บจนร้องไห้หนักกว่าเดิมขนาดนี้

    “เดี๋ยวนี้มึงตบกูเพราะมันงั้นเหรอ!! นี่น่ะเหรอที่บอกว่ารักกูน่ะ รักกูแต่มึงปกป้องมันทำไม!!!”

    ...อย่าเอาคำว่ารักมาอ้าง...ถ้ามึงไม่คิดแม้แต่จะเห็นมันในสายตา...

    “มึงไม่ถูกกันวิท ไม่ใช่ว่ากูจะต้องเกลียดวิทตามมึงด้วย!!!”

    “อ๋อ...มึงจะประชดกูใช่มั้ยไอ้กาย มึงจะประชดกูเรื่องนั้นใช่มั้ย!!!”มันตรงดิ่งเข้ามาบีบไหล่ผมไว้แน่นเหมือนคีมเหล็กแล้วกดลงกับเก้าอี้โต๊ะคอมจนผมเกือบคิดไปแล้วว่าเก้าอี้อาจหักได้

    “ตลอดมากูเกลียดวิทตามมึงซัน..แต่ตอนนี้กูจะรักษาสัญญาเมื่อตอนเย็น ถ้ามึงเป็นแค่เพื่อนกู กูก็ไม่มีเหตุผลที่จะแคร์มึงเกินเหตุ..อื้อ!!”บอกผมทีว่าผมไม่ได้คิดไปเอง บอกผมทีว่าวันนี้ผมไม่ได้เมา บอกผมทีว่ามันนี้มันไม่ได้มืด...จนมันไม่รู้ว่ากำลังจูบใครอยู่




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×