ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลุ้นรักข้ามรุ่น

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ ๑ เพื่อนน้อง VS พี่เพื่อน

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 56


    สวัสดีค่าาาาาา...ทรายพาเจ้เจ้าจันทร์กับอาตี๋เมฆมาฝากค่ะวันนี้  ไม่รู้จะถูกใจคุณผู้อ่านรึเปล่าเนอะ.....แต่อยากเขียนเรื่องนี้มาก...และอยากให้มีคนมาอ่านมาติ เยอะๆๆๆ..........ถ้ามีส่วนไหนต้องปรับปรุง  รบกวนทุกท่านบอกทรายได้เลยนะคะ  ทรายน้อมรับทุกคำติชมอ่ะ...อ่อ...แล้วก้อ..ร้านของเจ้าจันทร์ในเรื่องนี้   มันผุดออกมาจากสมองของทรายล้วนๆ   เอ....มันเป็นไปได้มั้ยน้าาาที่จะมีร้านแบบนี้........หุหุ  นิยายคือความฝันเล็กๆของทรายค่ะ....ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ  กอดๆๆๆๆ

    ปล...ตัวหนังสือสีนี้อ่านยากมั้ยค่ะ เวลาอ่านแสบตา  รึว่าปวดตารึเปล่า  ถ้าอ่านแล้วไม่สบายตา  ขอกทรายได้นะคะ  ทรายจะได้เปลี่ยนสีตัวหนังสือใหม่ 

    ตอนที่ ๑ เพื่อนน้อง
    VS พี่เพื่อน

     

     



    “กรุ้งกริ้ง  กรุ้งกริ้ง”   เสียงกระดิ่งดังกังวานหลังจากที่มีคนเปิดประตูเข้ามาในร้าน  เดอะมูนส์  “เดอะ มูนส์ (The moons)  สวัสดีค่ะ” 

    เดอะมูนส์ (The moons)  เป็นร้านเบเกอรี่ขนาดกลาง  ด้านหน้าร้านตกแต่งด้วยไม้ดอกและไม้ประดับนานาพันธุ์ ร้านกาแฟร้านนี้มีความแต่งต่างจากร้านอื่นๆคือ  ลูกค้าจะต้องถอดรองเท้าไว้ที่หน้าร้าน  ซึ่งทางร้านจะมีชั้นวางรองเท้าไว้ให้ก่อนจะเดินขึ้นบันไดขึ้นมายังประตูร้าน  ซึ่งบันไดนี้ก็มีเพียงสามขั้นเท่านั้น และก่อนที่จะเข้าร้าน  ทางร้านจะมีตุ่มใส่น้ำใบขนาดกลางตั้งไว้ข้างๆประตูเพื่อให้ลูกค้าใช้ล้างเท้าก่อนเข้าร้าน(สำหรับลูกค้าที่ไม่สวมถุงเท้า)   เมื่อล้างเท้าเรียบร้อยแล้ว  ที่ประตูทางเข้าด้านนอกจะมีผ้าเช็ดเท้าวางอยู่หนึ่งผืน     และเมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในก็จะมีผ้าเช็ดเท้าวางอยู่อีกหนึ่งผืน  เพื่อให้ลูกค้าใช้เช็ดเท้าก่อนที่จะเข้าไปด้านในร้าน

    เมื่อเปิดประตู  จะมีเสียงกรุ้งกริ้งของกระดิ่งดังขึ้น  และจะมีเสียงกล่าวสวัสดีตามมา  หากลูกค้าท่านใดได้มีโอกาสเข้ามาในร้านนี้  ทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแปลก  เพราะที่นี่ตกแต่งร้านจากที่อื่นในละแวกนี้  ที่พื้นของร้านไม่ได้ปูด้วยกระเบื้องหรือหินอ่อน  หากแต่ปูด้วยหินกรวดที่ใช้สำหรับการจัดแต่งสวน นี่จึงเป็นเหตุผลว่า  ทำไมต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าร้าน ทั้งนี้ก็เพราะว่าเจ้าของร้านต้องการให้ลูกค้าสัมผัสถึงความผ่อนคลายเมื่อเท้าเหยียบลงไปบนก้อนหินก้อนเล็กๆเย็นๆเหล่านั้น  โต๊ะที่ใช้ในร้านนี้ล้วนแต่เป็นโต๊ะญี่ปุ่นทั้งสิ้น  และมีเบาะรองนั่งไว้สำหรับลูกค้าทุกคน โดยจะมีเสื่อปูไว้ที่พื้นแล้ววางเบาะทับเสื่ออีกครั้ง บนโต๊ะมีแจกันเล็กๆที่ใส่ดอกไม้ไทย  อย่างเช่นดอกมะลิ และดอกรักปักอยู่ในแจกันอย่างสวยงาม  ผนังของร้านถูกทาทับไว้ด้วยสีฟ้าอ่อน ที่หน้าต่างของร้านถูกตบแต่งไว้ด้วยมู่ลี่ที่ทำจากดอกมะลิ  ร้านนี้ทั้งร้านจึงหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นละมุนของดอกไม้  

    ภายในร้านขายขนมหวานมากมายทั้งไทยและเทศ  รวมทั้งเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพนานาชนิด  ร้านเปิดตั้งแต่ สิบนาฬิกาไปจนถึงสามทุ่ม  และร้านจะหยุดทุกวันพระ  เพราะ  จันทิมา  หรือเจ้าจันทร์  เจ้าของร้านต้องเข้าวัดทำบุญ 

    “เชิญนั่งรอก่อนคะ เมนูวางอยู่บนโต๊ะ  เชิญเลือกรายการขนมที่ต้องการเลยค่ะ  สักครู่จะออกไปรับรายการที่สั่งนะคะ  หลังร้านยุ่งๆ ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับคะ”   เสียงใสๆดุจกระดิ่งที่ดังเมื่อตอนเปิดประตูดังขึ้น  โดยที่ลูกค้าที่เข้ามาเยือนไม่อาจทราบได้เลยว่าหญิงสาวเจ้าของเสียงอยู่ส่วนใดของร้าน  อาจจะเป็นหลังโต๊ะที่สูงประมาณเอวนั่น   ที่ใช้เป็นสถานที่สำหรับชงเครื่องดื่ม   หรือเจ้าของเสียงอาจจะอยู่หลังร้าน  ซึ่งเป็นส่วนของห้องครัว  อยู่ถัดจากเจ้าโต๊ะตัวนั้นเข้าไปอีก

    ร่างของลูกค้าเลือกนั่งที่ติดกับหน้าต่าง  ลูกค้ารายนี้เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่  ช่างดูขัดหูขัดตาเหลือเกินเมื่อผู้ชายตัวใหญ่เช่นนี้มานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กๆ   แล้วเปิดดูสมุดเล่มเล็กๆที่มีภาพของขนมหวานมากมายให้เลือกทาน  ใครจะคิดว่าเจ้าหนุ่มตัวใหญ่จะชอบกินขนมหวาน

    “มาแล้วค่ะมาแล้ว  ขอโทษด้วยนะคะที่ให้รอนาน  จะรับอะไรดีค่ะ”  

    ร่างสูงเพรียวของหญิงสาวที่สูงประมาณ ๑๗๐ เซนติเมตร  รีบวิ่งออมาจากหลังร้านเพื่อมารับรองลูกค้า  หญิงสาวสวมเสื้อยืดแขนยาวเข้ารูปสีฟ้า  แขนเสื้อถูกพับขึ้นมาถึงข้อศอก  สวมกางเกงยีนส์เข้ารูปสีน้ำเงินเข้ม  เท้าเปล่าเปลือยยาวเรียว  เล็บมือเล็บเท้าถูกตัดสั้น นิ้วเรียวจับปากกาแน่นเตรียมจดรายการขนมที่ลูกค้าจะสั่ง   ใบหน้าของหญิงสาวก้มลงจดจ่ออยู่ที่สมุดบันทึกเล่มเล็กในมือ  ผมที่เคยยาวถึงกลางหลังถูกมัดเป็นมวยเก็บไว้อย่างเรียบร้อย  ที่มวยผมถูกรัดไว้ด้วยยางรัดผมและรัดไว้ด้วยมาลัยดอกมะลิอีกชั้น   ลูกผมหล่นระใบหน้านวลและต้นคอ  ที่ใบหูไร้เครื่องประดับใดๆ เพราะหญิงสาวไม่นิยม เธอมักจะบอกเสมอว่า  ไม่ได้หูเบา ไม่ต้องเจาะหูหรอก  สวยหรืองาม  ผู้หญิงที่นั่งคุกเข่ารอรับคำสั่งจากลูกค้าคนนี้  เธอเหมาะกับคำไหนกัน  และทั้งสองคำนี้มันต่างอย่างไรกัน  ชายหนุ่มที่เป็นลูกค้าเอาแต่นั่งจ้องหน้าแม่ค้าหน้าหวาน  จนลืมไปแล้วว่าเธอกำลังรอคำตอบจากเขาอยู่

    “คุณค่ะ  รับอะไรดีค่ะ”   เมื่อไม่ได้รับคำตอบ  หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อถามอีกครั้ง  แต่พอเห็นหน้าลูกค้า  เธอถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว 

    “มาทำไม”   นี่คือประโยคแรกที่หญิงสาวพูดเมื่อเห็นหน้าของลูกค้ารายนี้  ผู้ชายร่างสูงใหญ่  เพราะออกกำลังกายเป็นประจำ  ใบหน้าที่ไม่ใช่ไทยแท้  แต่มีกลิ่นอายของชาวจีนปะปนอยู่บนใบหน้าด้วย   ส่วนผสมระหว่างสายเลือดคนจีนและสายเลือดคนไทย  คิ้วเข้ม ตาคม จมูกโด่ง และปากแดงราวกับทาสีไว้ตลอดเวลา ผิวสีขาวราวกับหยวกกล้วย  มองดูไกลๆนึกว่าดาราเกาหลีเสียอีก

    “มาส่งความคิดถึง”  ชายหนุ่มเอ่ยคำตอบที่ตรงกับใจมากที่สุด  และตามด้วยอีกเหตุผลที่ของร้านต้องส่ายหน้า

    “แล้วก็มาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟ  รับมั้ย  ผมไม่ชอบประโยคปฏิเสธนะ”

    “ไม่รับ  มาอยู่ได้ทุกวัน  กลับไปเลยนะ”  หญิงสาวคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่เธอจะนั่งต่อไป  เสียเวลาเปล่า  เธอจึงจะลุกขึ้นไปทำงานที่หลังร้านต่อ  เพราะตอนนี้ทั้งร้านมีแค่ผู้ชายคนนี้เป็นลูกค้าเพียงคนเดียว

    “จะรีบไปไหน  ยังไม่ได้สั่งอะไรเลยนะ”

                    “ก็รีบๆสั่งมาสิ  มีงานค้างอยู่หลังร้าน”

                    “งานเยอะละสิ  งั้นไป  ไปหลังร้านกัน  ให้ผมช่วยงานนะ  นี่ไงล่ะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องมาสมัครงานที่นี่  ผมเป็นห่วงจันทร์นะ” ชายหนุ่มกุมมือหญิงสาวไว้แน่นพร้อมทั้งทำตาปริบๆ  คงจะน่าเอ็นดูไม่น้อย  ถ้าคนทำเป็นเด็ก  ไม่ใช่เจ้าตี๋หน้าเกาหลีคนนี้

                    “เยอะไปแล้วๆ ปล่อยมือฉันเลยนะ  ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ  ฉันเป็นพี่นายนะ”

                    “แล้วไงล่ะ  ก็จันทร์เป็นแฟนผม ทำไมผมจะจับมือจันทร์ไม่ได้  ให้ผมหอมแก้มยังได้เลยนะ”

                    “อี๋  หยุดเลยนะ  แล้วฉันไปเป็นแฟนนายเมื่อไหร่กัน  นายเป็นแค่เพื่อนของน้องสาวฉัน  อย่ามาลามปามนะ”   หญิงสาวใช้มือดันใบหน้าของชายหนุ่มให้ออกไปไกลๆใบหน้าเธอ  เด็กอะไรก็ไม่รู้  ปากยังไม่ว่าแต่มือถึงเสียแล้ว

                    “ไม่เป็นแฟนวันนี้  เดี๋ยววันข้างหน้าก็เป็นเองแหละ  จันทร์ไม่เคยได้ยินเหรอ  มีแฟนเด็กเหมือนมียาชูกำลัง”

                    “ไปเอามาจากไหน  คำพูดแบบนี้”

                    “คิดได้ตอนเห็นหน้าจันทร์นี่ล่ะ”  ชายหนุ่มสบตาหญิงสาว  พร้อมทั้งดึงมือของเธอขึ้นมาประทับจูบ

                    “เมฆ!! อีกแล้วนะ ฉวยโอกาสตลอดเลย”   ใบหน้างามบึ้งตึง  พร้อมทั้งดึงมือให้หลุดจากการเกาะกุม  แล้วเธอก็เดินเข้าหลังร้านไปทันที  เพราะยิ่งอยู่ยิ่งเปลืองตัว

                    ส่วนคนที่ได้สูดดมกลิ่นหอมๆจากมือสาวก็เอาแต่มองตามหญิงสาวไปจนเธอหายลับเข้าไปในห้องครัว   ชื่อของเขาคือ เมฆ  ชื่อที่อยู่ในบัตรประชาชนก็คือ  ชลัท  ปีนี้เป็นปีที่ ๒๓ ที่ลืมตามาดูโลก  ส่วนหญิงสาวที่เดินงอนตุ๊บป่องเข้าไปหลังร้าน  เธอชื่อ  จันทิมา  หรือจันทร์  ปีนี้หญิงสาวจะอายุ  ๒๘ ปีบริบูรณ์  ไม่แปลกเลย  ที่พระจันทร์ดวงนี้จะไม่ยอมคบหากับเขา แต่คนอย่างไอ้เมฆ   อยากได้อะไรก็ต้องได้

                    “กรุ้งกริ้ง กรุ้งกริ้ง” 

                    “เดอะมูนส์สวัสดีครับ  เชิญเลือกที่นั่งเลยครับ”  ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะก้าวขาตามหญิงสาวเข้าไปในครัว  ลูกค้าก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน  เขาจึงต้องทำตัวเป็นว่าที่แฟนเจ้าของร้านที่ดี  ต้อนรับลูกค้าไปพลางๆ

                    “รับอะไรดีครับคุณผู้หญิง”  ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าข้างๆโต๊ะของลูกค้า  แล้วถามถึงรายการขนมและเครื่องดื่มที่ลูกค้าต้องการรับประทาน 

                    “เอ....ไม่ทราบว่าร้านนี้รับพนักงานเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะ  เราสองคนไม่คุ้นหน้าคุณเลย”  ลูกค้าหนึ่งในสองเอ่ยถาม  สงสัยจะเป็นลูกค้าประจำ  ชายหนุ่มนึกในใจ

                    “ผมมาทำงานวันนี้วันแรกครับ” 

                    สองสาวผู้เป็นลูกค้าจ้องหน้าชายหนุ่มพนักงานเสิร์ฟตาไม่กะพริบ  ในใจของทั้งคู่มีลางสังหรณ์เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้  เขาต้องเป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างในร้านนี้เป็นแน่  เพราะไม่เช่นนั้น  มีรึเจ้าของร้านสุดสวยอย่างจันทิมา  จะยอมให้ลูกจ้างหน้าหล่อคนนี้เข้ามาทำงาน

                    “ไปบอกเจ้าจันทร์ทีสิว่าเพชรกับพลอยมา”   หญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมทั้งปิดสมุดเล่มเล็กลง

                    “ไม่สั่งอะไรเหรอครับ”

                    “ไม่ล่ะ  แค่คุณไปบอกเจ้าจันทร์ว่าเพชรกับพลอยมา  แค่นี้เจ้าจันทร์ก็รู้แล้วว่าเราสองคนต้องการทานอะไร” 

                    “ครับ  รอสักครู่นะครับ”  ชายหนุ่มเดินตรงไปยังห้องครัวของร้าน   และเมื่อไปถึงเขาก็เจอกับแม่ครัวที่สวยที่สุดในโลก  ชลัทยืนยิ้มอยู่ที่ประตูห้องครัว  สายตาจ้องไปยังจันทิมาที่กำลังนำคุ้กกี้ออกมาจากเตาอบ 

                    “จันทร์ไม่สนที่จะไปเป็นแฟนผมจริงๆเหรอ”  เมื่อเห็นว่าเธอจัดการกับคุ้กกี้เรียบร้อย  โดยการนำใส่โหล  เขาก็เอ่ยถามและเดินเข้าไปหาเธอในครัว 

                    “ฉันไม่ชอบกินเด็ก  โดยเฉพาะเด็กอย่างนาย”  หญิงสาวถอดถุงมือกันความร้อนออกจากมือ  แล้วเดินตรงไปเทน้ำใส่แก้วสองใบ  สำหรับตัวเธอเองและชายหนุ่มรุ่นน้อง

                    “ทำไมเหรอครับเด็กอย่างผมมันทำไมเหรอ”  ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแก้วน้ำแล้วถามคำถามที่เขาข้องใจ  เด็กแล้วยังไงล่ะ รักไม่เป็น? ชอบไม่เป็น? อย่างนั้นเหรอ?

                    “เมฆเป็นเพื่อนของน้องสาวพี่  มัน.....แปลกๆนะ  พี่รู้สึกแปลกๆ มันเอ่อ  นายเป็นน้องอ่ะ  อายุน้อยกว่าพี่ตั้งสี่ห้าปี เอิ่มคือว่า...ถอยไปหน่อยได้มั้ย”   จันทิมาอธิบายเหตุผลของเธอไปเรื่อยๆ  แต่การอธิบายก็ต้องสะดุด  เมื่อชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอเดินเข้ามาประชิดตัว  สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไรนัก  เพราะเธอยืนหันหลังให้ตู้เย็นขณะคุยกับเขา  และตอนนี้ชลัทก็เดินเข้ามาใกล้เธอและใช้แขนทั้งสองของเขากักร่างของเธอไว้ในอ้อมกอดร้อนๆนี่  บ้าชะมัด  คนแก่อยากจะเป็นลม

                    “พูดต่อสิครับเจ๊จันทร์”  ชายหนุ่มก้มลงมาเกือบจะชิดกับใบหน้าของหญิงสาว  แล้วเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกชื่อเธอเสียใหม่  ในเมื่ออยากเป็นพี่  เขาก็จัดให้  ไว้แต่งงานกันไปเมื่อไหร่ค่อยเรียก เจ้าจันทร์เหมือนที่พ่อกับแม่ของเธอเรียก

                      “ขยับออกไปหน่อยไม่ได้เหรอ”  หญิงสาววัยยี่สิบปลายๆรู้สึกว่าใบหน้าของเธอเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ  ใจเต้นแรงผิดปกติ  นี่เธอเป็นโรคหัวใจรึเปล่าเนี่ย

                    “ไม่ได้...ขยับไม่ได้  ถ้าอยากให้ผมขยับ  เจ๊จันทร์ก็พูดต่อสิครับว่ามีเหตุผลอะไรอีก  ดูเหมือนเจ๊จันทร์ยังพูดไม่จบนะครับ”  ชายหนุ่มก้มลงมาจนชิดหน้าผากของหญิงสาวรุ่นพี่  กลิ่นหอมละมุนของเนย  วนิลา และกลิ่นของอะไรอีกหลายอย่างที่เขาไม่รู้จักเป็นกลิ่นตัวประจำของหญิงสาวคนนี้  ยิ่งได้กลิ่น  ยิ่งอยากชิม อยากสัมผัส  อยากรู้นักว่าขนมหวานชิ้นนี้จะหวานกลมกล่อมสักแค่ไหน

                    “เฮ้ย!!!//เฮ้ย!!!”   เสียงที่ดังมาจากประตูเป็นสิ่งที่ขัดจังหวะไม่ให้ชลัททำในสิ่งที่เขาอยากทำ  และช่วยดึงสติของจันทิมาที่เริ่มล่องลอยให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว 

                    “เอ่อ//เอ่อ”  หนุ่มสาวที่เป็นเหตุให้เกิดเสียง...เฮ้ย....ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา  หญิงสาวยืนนิ่งแต่มือกำที่ผ้ากันเปื้อนสีสวยเสียแน่น  ส่วนชายหนุ่มยืนนิ่งเช่นกันและใช้มือลูบที่ท้ายทอยของตัวเอง  ส่วนผู้ชมทั้งสอง  ตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่แปะอยู่ที่ใบหน้า......ไอ้จันทร์มีแฟน!!!???......





    ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×