คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ ๑ เพื่อนน้อง VS พี่เพื่อน
สวัสดีค่าาาาาา...ทรายพาเจ้เจ้าจันทร์กับอาตี๋เมฆมาฝากค่ะวันนี้ ไม่รู้จะถูกใจคุณผู้อ่านรึเปล่าเนอะ.....แต่อยากเขียนเรื่องนี้มาก...และอยากให้มีคนมาอ่านมาติ เยอะๆๆๆ..........ถ้ามีส่วนไหนต้องปรับปรุง รบกวนทุกท่านบอกทรายได้เลยนะคะ ทรายน้อมรับทุกคำติชมอ่ะ...อ่อ...แล้วก้อ..ร้านของเจ้าจันทร์ในเรื่องนี้ มันผุดออกมาจากสมองของทรายล้วนๆ เอ....มันเป็นไปได้มั้ยน้าาาที่จะมีร้านแบบนี้........หุหุ นิยายคือความฝันเล็กๆของทรายค่ะ....ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ กอดๆๆๆๆ
ปล...ตัวหนังสือสีนี้อ่านยากมั้ยค่ะ เวลาอ่านแสบตา รึว่าปวดตารึเปล่า ถ้าอ่านแล้วไม่สบายตา ขอกทรายได้นะคะ ทรายจะได้เปลี่ยนสีตัวหนังสือใหม่
ตอนที่ ๑ เพื่อนน้อง VS พี่เพื่อน
“กรุ้งกริ้ง กรุ้งกริ้ง” เสียงกระดิ่งดังกังวานหลังจากที่มีคนเปิดประตูเข้ามาในร้าน เดอะมูนส์ “เดอะ มูนส์ (The moons) สวัสดีค่ะ”
เดอะมูนส์ (The moons) เป็นร้านเบเกอรี่ขนาดกลาง ด้านหน้าร้านตกแต่งด้วยไม้ดอกและไม้ประดับนานาพันธุ์ ร้านกาแฟร้านนี้มีความแต่งต่างจากร้านอื่นๆคือ ลูกค้าจะต้องถอดรองเท้าไว้ที่หน้าร้าน ซึ่งทางร้านจะมีชั้นวางรองเท้าไว้ให้ก่อนจะเดินขึ้นบันไดขึ้นมายังประตูร้าน ซึ่งบันไดนี้ก็มีเพียงสามขั้นเท่านั้น และก่อนที่จะเข้าร้าน ทางร้านจะมีตุ่มใส่น้ำใบขนาดกลางตั้งไว้ข้างๆประตูเพื่อให้ลูกค้าใช้ล้างเท้าก่อนเข้าร้าน(สำหรับลูกค้าที่ไม่สวมถุงเท้า) เมื่อล้างเท้าเรียบร้อยแล้ว ที่ประตูทางเข้าด้านนอกจะมีผ้าเช็ดเท้าวางอยู่หนึ่งผืน และเมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในก็จะมีผ้าเช็ดเท้าวางอยู่อีกหนึ่งผืน เพื่อให้ลูกค้าใช้เช็ดเท้าก่อนที่จะเข้าไปด้านในร้าน
เมื่อเปิดประตู จะมีเสียงกรุ้งกริ้งของกระดิ่งดังขึ้น และจะมีเสียงกล่าวสวัสดีตามมา หากลูกค้าท่านใดได้มีโอกาสเข้ามาในร้านนี้ ทุกคนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแปลก เพราะที่นี่ตกแต่งร้านจากที่อื่นในละแวกนี้ ที่พื้นของร้านไม่ได้ปูด้วยกระเบื้องหรือหินอ่อน หากแต่ปูด้วยหินกรวดที่ใช้สำหรับการจัดแต่งสวน นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าร้าน ทั้งนี้ก็เพราะว่าเจ้าของร้านต้องการให้ลูกค้าสัมผัสถึงความผ่อนคลายเมื่อเท้าเหยียบลงไปบนก้อนหินก้อนเล็กๆเย็นๆเหล่านั้น โต๊ะที่ใช้ในร้านนี้ล้วนแต่เป็นโต๊ะญี่ปุ่นทั้งสิ้น และมีเบาะรองนั่งไว้สำหรับลูกค้าทุกคน โดยจะมีเสื่อปูไว้ที่พื้นแล้ววางเบาะทับเสื่ออีกครั้ง บนโต๊ะมีแจกันเล็กๆที่ใส่ดอกไม้ไทย อย่างเช่นดอกมะลิ และดอกรักปักอยู่ในแจกันอย่างสวยงาม ผนังของร้านถูกทาทับไว้ด้วยสีฟ้าอ่อน ที่หน้าต่างของร้านถูกตบแต่งไว้ด้วยมู่ลี่ที่ทำจากดอกมะลิ ร้านนี้ทั้งร้านจึงหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นละมุนของดอกไม้
ภายในร้านขายขนมหวานมากมายทั้งไทยและเทศ รวมทั้งเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพนานาชนิด ร้านเปิดตั้งแต่ สิบนาฬิกาไปจนถึงสามทุ่ม และร้านจะหยุดทุกวันพระ เพราะ จันทิมา หรือเจ้าจันทร์ เจ้าของร้านต้องเข้าวัดทำบุญ
“เชิญนั่งรอก่อนคะ เมนูวางอยู่บนโต๊ะ เชิญเลือกรายการขนมที่ต้องการเลยค่ะ สักครู่จะออกไปรับรายการที่สั่งนะคะ หลังร้านยุ่งๆ ขออภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับคะ” เสียงใสๆดุจกระดิ่งที่ดังเมื่อตอนเปิดประตูดังขึ้น โดยที่ลูกค้าที่เข้ามาเยือนไม่อาจทราบได้เลยว่าหญิงสาวเจ้าของเสียงอยู่ส่วนใดของร้าน อาจจะเป็นหลังโต๊ะที่สูงประมาณเอวนั่น ที่ใช้เป็นสถานที่สำหรับชงเครื่องดื่ม หรือเจ้าของเสียงอาจจะอยู่หลังร้าน ซึ่งเป็นส่วนของห้องครัว อยู่ถัดจากเจ้าโต๊ะตัวนั้นเข้าไปอีก
ร่างของลูกค้าเลือกนั่งที่ติดกับหน้าต่าง ลูกค้ารายนี้เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ช่างดูขัดหูขัดตาเหลือเกินเมื่อผู้ชายตัวใหญ่เช่นนี้มานั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กๆ แล้วเปิดดูสมุดเล่มเล็กๆที่มีภาพของขนมหวานมากมายให้เลือกทาน ใครจะคิดว่าเจ้าหนุ่มตัวใหญ่จะชอบกินขนมหวาน
“มาแล้วค่ะมาแล้ว ขอโทษด้วยนะคะที่ให้รอนาน จะรับอะไรดีค่ะ”
ร่างสูงเพรียวของหญิงสาวที่สูงประมาณ ๑๗๐ เซนติเมตร รีบวิ่งออมาจากหลังร้านเพื่อมารับรองลูกค้า หญิงสาวสวมเสื้อยืดแขนยาวเข้ารูปสีฟ้า แขนเสื้อถูกพับขึ้นมาถึงข้อศอก สวมกางเกงยีนส์เข้ารูปสีน้ำเงินเข้ม เท้าเปล่าเปลือยยาวเรียว เล็บมือเล็บเท้าถูกตัดสั้น นิ้วเรียวจับปากกาแน่นเตรียมจดรายการขนมที่ลูกค้าจะสั่ง ใบหน้าของหญิงสาวก้มลงจดจ่ออยู่ที่สมุดบันทึกเล่มเล็กในมือ ผมที่เคยยาวถึงกลางหลังถูกมัดเป็นมวยเก็บไว้อย่างเรียบร้อย ที่มวยผมถูกรัดไว้ด้วยยางรัดผมและรัดไว้ด้วยมาลัยดอกมะลิอีกชั้น ลูกผมหล่นระใบหน้านวลและต้นคอ ที่ใบหูไร้เครื่องประดับใดๆ เพราะหญิงสาวไม่นิยม เธอมักจะบอกเสมอว่า ไม่ได้หูเบา ไม่ต้องเจาะหูหรอก สวยหรืองาม ผู้หญิงที่นั่งคุกเข่ารอรับคำสั่งจากลูกค้าคนนี้ เธอเหมาะกับคำไหนกัน และทั้งสองคำนี้มันต่างอย่างไรกัน ชายหนุ่มที่เป็นลูกค้าเอาแต่นั่งจ้องหน้าแม่ค้าหน้าหวาน จนลืมไปแล้วว่าเธอกำลังรอคำตอบจากเขาอยู่
“คุณค่ะ รับอะไรดีค่ะ” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อถามอีกครั้ง แต่พอเห็นหน้าลูกค้า เธอถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว
“มาทำไม” นี่คือประโยคแรกที่หญิงสาวพูดเมื่อเห็นหน้าของลูกค้ารายนี้ ผู้ชายร่างสูงใหญ่ เพราะออกกำลังกายเป็นประจำ ใบหน้าที่ไม่ใช่ไทยแท้ แต่มีกลิ่นอายของชาวจีนปะปนอยู่บนใบหน้าด้วย ส่วนผสมระหว่างสายเลือดคนจีนและสายเลือดคนไทย คิ้วเข้ม ตาคม จมูกโด่ง และปากแดงราวกับทาสีไว้ตลอดเวลา ผิวสีขาวราวกับหยวกกล้วย มองดูไกลๆนึกว่าดาราเกาหลีเสียอีก
“มาส่งความคิดถึง” ชายหนุ่มเอ่ยคำตอบที่ตรงกับใจมากที่สุด และตามด้วยอีกเหตุผลที่ของร้านต้องส่ายหน้า
“แล้วก็มาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟ รับมั้ย ผมไม่ชอบประโยคปฏิเสธนะ”
“ไม่รับ มาอยู่ได้ทุกวัน กลับไปเลยนะ” หญิงสาวคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่เธอจะนั่งต่อไป เสียเวลาเปล่า เธอจึงจะลุกขึ้นไปทำงานที่หลังร้านต่อ เพราะตอนนี้ทั้งร้านมีแค่ผู้ชายคนนี้เป็นลูกค้าเพียงคนเดียว
“จะรีบไปไหน ยังไม่ได้สั่งอะไรเลยนะ”
“ก็รีบๆสั่งมาสิ มีงานค้างอยู่หลังร้าน”
“งานเยอะละสิ งั้นไป ไปหลังร้านกัน ให้ผมช่วยงานนะ นี่ไงล่ะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมต้องมาสมัครงานที่นี่ ผมเป็นห่วงจันทร์นะ” ชายหนุ่มกุมมือหญิงสาวไว้แน่นพร้อมทั้งทำตาปริบๆ คงจะน่าเอ็นดูไม่น้อย ถ้าคนทำเป็นเด็ก ไม่ใช่เจ้าตี๋หน้าเกาหลีคนนี้
“เยอะไปแล้วๆ ปล่อยมือฉันเลยนะ ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ ฉันเป็นพี่นายนะ”
“แล้วไงล่ะ ก็จันทร์เป็นแฟนผม ทำไมผมจะจับมือจันทร์ไม่ได้ ให้ผมหอมแก้มยังได้เลยนะ”
“อี๋ หยุดเลยนะ แล้วฉันไปเป็นแฟนนายเมื่อไหร่กัน นายเป็นแค่เพื่อนของน้องสาวฉัน อย่ามาลามปามนะ” หญิงสาวใช้มือดันใบหน้าของชายหนุ่มให้ออกไปไกลๆใบหน้าเธอ เด็กอะไรก็ไม่รู้ ปากยังไม่ว่าแต่มือถึงเสียแล้ว
“ไม่เป็นแฟนวันนี้ เดี๋ยววันข้างหน้าก็เป็นเองแหละ จันทร์ไม่เคยได้ยินเหรอ มีแฟนเด็กเหมือนมียาชูกำลัง”
“ไปเอามาจากไหน คำพูดแบบนี้”
“คิดได้ตอนเห็นหน้าจันทร์นี่ล่ะ” ชายหนุ่มสบตาหญิงสาว พร้อมทั้งดึงมือของเธอขึ้นมาประทับจูบ
“เมฆ!! อีกแล้วนะ ฉวยโอกาสตลอดเลย” ใบหน้างามบึ้งตึง พร้อมทั้งดึงมือให้หลุดจากการเกาะกุม แล้วเธอก็เดินเข้าหลังร้านไปทันที เพราะยิ่งอยู่ยิ่งเปลืองตัว
ส่วนคนที่ได้สูดดมกลิ่นหอมๆจากมือสาวก็เอาแต่มองตามหญิงสาวไปจนเธอหายลับเข้าไปในห้องครัว ชื่อของเขาคือ เมฆ ชื่อที่อยู่ในบัตรประชาชนก็คือ ชลัท ปีนี้เป็นปีที่ ๒๓ ที่ลืมตามาดูโลก ส่วนหญิงสาวที่เดินงอนตุ๊บป่องเข้าไปหลังร้าน เธอชื่อ จันทิมา หรือจันทร์ ปีนี้หญิงสาวจะอายุ ๒๘ ปีบริบูรณ์ ไม่แปลกเลย ที่พระจันทร์ดวงนี้จะไม่ยอมคบหากับเขา แต่คนอย่างไอ้เมฆ อยากได้อะไรก็ต้องได้
“กรุ้งกริ้ง กรุ้งกริ้ง”
“เดอะมูนส์สวัสดีครับ เชิญเลือกที่นั่งเลยครับ” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะก้าวขาตามหญิงสาวเข้าไปในครัว ลูกค้าก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน เขาจึงต้องทำตัวเป็นว่าที่แฟนเจ้าของร้านที่ดี ต้อนรับลูกค้าไปพลางๆ
“รับอะไรดีครับคุณผู้หญิง” ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าข้างๆโต๊ะของลูกค้า แล้วถามถึงรายการขนมและเครื่องดื่มที่ลูกค้าต้องการรับประทาน
“เอ....ไม่ทราบว่าร้านนี้รับพนักงานเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะ เราสองคนไม่คุ้นหน้าคุณเลย” ลูกค้าหนึ่งในสองเอ่ยถาม สงสัยจะเป็นลูกค้าประจำ ชายหนุ่มนึกในใจ
“ผมมาทำงานวันนี้วันแรกครับ”
สองสาวผู้เป็นลูกค้าจ้องหน้าชายหนุ่มพนักงานเสิร์ฟตาไม่กะพริบ ในใจของทั้งคู่มีลางสังหรณ์เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ เขาต้องเป็นคนที่เข้ามาเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างในร้านนี้เป็นแน่ เพราะไม่เช่นนั้น มีรึเจ้าของร้านสุดสวยอย่างจันทิมา จะยอมให้ลูกจ้างหน้าหล่อคนนี้เข้ามาทำงาน
“ไปบอกเจ้าจันทร์ทีสิว่าเพชรกับพลอยมา” หญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมทั้งปิดสมุดเล่มเล็กลง
“ไม่สั่งอะไรเหรอครับ”
“ไม่ล่ะ แค่คุณไปบอกเจ้าจันทร์ว่าเพชรกับพลอยมา แค่นี้เจ้าจันทร์ก็รู้แล้วว่าเราสองคนต้องการทานอะไร”
“ครับ รอสักครู่นะครับ” ชายหนุ่มเดินตรงไปยังห้องครัวของร้าน และเมื่อไปถึงเขาก็เจอกับแม่ครัวที่สวยที่สุดในโลก ชลัทยืนยิ้มอยู่ที่ประตูห้องครัว สายตาจ้องไปยังจันทิมาที่กำลังนำคุ้กกี้ออกมาจากเตาอบ
“จันทร์ไม่สนที่จะไปเป็นแฟนผมจริงๆเหรอ” เมื่อเห็นว่าเธอจัดการกับคุ้กกี้เรียบร้อย โดยการนำใส่โหล เขาก็เอ่ยถามและเดินเข้าไปหาเธอในครัว
“ฉันไม่ชอบกินเด็ก โดยเฉพาะเด็กอย่างนาย” หญิงสาวถอดถุงมือกันความร้อนออกจากมือ แล้วเดินตรงไปเทน้ำใส่แก้วสองใบ สำหรับตัวเธอเองและชายหนุ่มรุ่นน้อง
“ทำไมเหรอครับเด็กอย่างผมมันทำไมเหรอ” ชายหนุ่มยื่นมือไปรับแก้วน้ำแล้วถามคำถามที่เขาข้องใจ เด็กแล้วยังไงล่ะ รักไม่เป็น? ชอบไม่เป็น? อย่างนั้นเหรอ?
“เมฆเป็นเพื่อนของน้องสาวพี่ มัน.....แปลกๆนะ พี่รู้สึกแปลกๆ มันเอ่อ นายเป็นน้องอ่ะ อายุน้อยกว่าพี่ตั้งสี่ห้าปี เอิ่มคือว่า...ถอยไปหน่อยได้มั้ย” จันทิมาอธิบายเหตุผลของเธอไปเรื่อยๆ แต่การอธิบายก็ต้องสะดุด เมื่อชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอเดินเข้ามาประชิดตัว สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไรนัก เพราะเธอยืนหันหลังให้ตู้เย็นขณะคุยกับเขา และตอนนี้ชลัทก็เดินเข้ามาใกล้เธอและใช้แขนทั้งสองของเขากักร่างของเธอไว้ในอ้อมกอดร้อนๆนี่ บ้าชะมัด คนแก่อยากจะเป็นลม
“พูดต่อสิครับเจ๊จันทร์” ชายหนุ่มก้มลงมาเกือบจะชิดกับใบหน้าของหญิงสาว แล้วเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกชื่อเธอเสียใหม่ ในเมื่ออยากเป็นพี่ เขาก็จัดให้ ไว้แต่งงานกันไปเมื่อไหร่ค่อยเรียก เจ้าจันทร์เหมือนที่พ่อกับแม่ของเธอเรียก
“ขยับออกไปหน่อยไม่ได้เหรอ” หญิงสาววัยยี่สิบปลายๆรู้สึกว่าใบหน้าของเธอเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ใจเต้นแรงผิดปกติ นี่เธอเป็นโรคหัวใจรึเปล่าเนี่ย
“ไม่ได้...ขยับไม่ได้ ถ้าอยากให้ผมขยับ เจ๊จันทร์ก็พูดต่อสิครับว่ามีเหตุผลอะไรอีก ดูเหมือนเจ๊จันทร์ยังพูดไม่จบนะครับ” ชายหนุ่มก้มลงมาจนชิดหน้าผากของหญิงสาวรุ่นพี่ กลิ่นหอมละมุนของเนย วนิลา และกลิ่นของอะไรอีกหลายอย่างที่เขาไม่รู้จักเป็นกลิ่นตัวประจำของหญิงสาวคนนี้ ยิ่งได้กลิ่น ยิ่งอยากชิม อยากสัมผัส อยากรู้นักว่าขนมหวานชิ้นนี้จะหวานกลมกล่อมสักแค่ไหน
“เฮ้ย!!!//เฮ้ย!!!” เสียงที่ดังมาจากประตูเป็นสิ่งที่ขัดจังหวะไม่ให้ชลัททำในสิ่งที่เขาอยากทำ และช่วยดึงสติของจันทิมาที่เริ่มล่องลอยให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
“เอ่อ//เอ่อ” หนุ่มสาวที่เป็นเหตุให้เกิดเสียง...เฮ้ย....ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา หญิงสาวยืนนิ่งแต่มือกำที่ผ้ากันเปื้อนสีสวยเสียแน่น ส่วนชายหนุ่มยืนนิ่งเช่นกันและใช้มือลูบที่ท้ายทอยของตัวเอง ส่วนผู้ชมทั้งสอง ตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่แปะอยู่ที่ใบหน้า......ไอ้จันทร์มีแฟน!!!???......
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ความคิดเห็น