คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9
ตอนที่เก้า
พอเปิดประตูห้องนอนได้ฉันก็รีบเดินเข้าไปล้มตัวฟุบคว่ำหน้าลงกับที่นอนตัวนุ่มราวกับนกปีกหักไร้ซึ่งเรี่ยวแรง อยากอยู่นิ่งๆอย่างนี้เพื่อสงบคลื่นอารมณ์บางอย่างที่แม้กระทั่งตัวของฉันเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ และไม่ต้องการที่จะรับรู้คำตอบ
ไม่รู้ว่าฉันได้นอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานเท่าใดแล้วแต่จู่ๆเสียงตืดดดด เป็นสัญญาณเตือนว่ามีเมลล์มาทำให้ฉันค่อยๆลืมตาพลิกตัวชูแขนขึ้นราวกับจะขอพลังจากบรรยากาสรอบๆก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นเดินไปทรุดตัวบนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับยกมือขึ้นลากเม้าท์คลิกเปิดหน้าจออีเมลล์
จาก ลีโฮจุน
ชื่อเรื่อง ลืมรึยัง?
เนื้อความ : สวัสดี ลืมผมรึยังเนี๊ยะ? ผมไม่ได้ทวงนะ แต่ถ้ามีเงินคืนเมื่อไหร่ก็รีบเอามาซื้อกาแฟซักถ้วยสองถ้วยคืนก็แล้วกันนะ นี่คือเบอร์โทรผม xxxxxxxxxxx ติดต่อมาได้เสมอ ผมว่างเพื่อคุณตลอด จากลีโฮจุนเพื่อนใหม่ของคุณ
เนื้อหาที่เขาเขียนมาสามารถเรียกรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของฉันได้ พร้อมกับมือที่เอื้อมไปหยิบมือถือในกระเป๋าที่ถูกโยนไปอยู่บนเตียงตั้งแต่แรกที่มาถึง กดหมายเลข ไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงนุ้มๆของอีกฝ่ายรับสาย
“ฮัลโหล”
“เอ่อ... ฉันแก้วนะคะ”
คำพูดตะกุกตะกักเพราะไม่คุ้นกับการพูดภาษาเกาหลีผ่านทางโทรศัพท์ซึ่งถือว่าเป็นการสนทนาขั้นสูงนี้เท่าใดนัก
“แก้วเหรอ? คุณว่างแล้ว?”
เสียงกระตือรือร้นที่ตอบกลับบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายยินดีที่จะสนทนากับหญิงสาว
“โฮจุน?”
“ใช่ คุณว่างมาเจอผมเมื่อไหร่ แล้วนี่เบอร์โทรคุณใช่ไหม? ผมสามารถติดต่อผ่านเบอร์ที่โชว์นี่ได้เลยใช่ไหม?”
เธอเพิ่งจะพูดได้แค่ชื่อของเขาเท่านั้นแต่ชายหนุ่มกลับรัวคำถามเป็นชุดซะฟังไม่ถนัด
“แหม โฮจุน พูดช้าๆหน่อยสิคะ อย่าลืมซิว่าฉันเป็นคนต่างชาติ”
“แฮะๆ ผมดีใจมากไปหน่อย เอาเป็นว่าคุณ ว่าง เมื่อไหร่?”
เสียงนุ้มๆพูดเน้นช้าๆให้อีกฝ่ายเข้าใจง่ายขึ้น
“พรุ่งนี้ได้ไหมคะ? ฉันว่างพรุ่งนี้ตอนบ่ายๆ เอาเป็นว่าเจอกันที่ร้านกุมเอเซซังดีไหม?แถวๆมยองดงอ่ะคะ”
ฉันเผลอพูดชื่อร้านที่เพิ่งไปมากับนายปาร์คจีซองออกไป คงเพราะการออกแบบและการตกแต่งร้านกระมังที่ทำให้ฉันติดใจจนอยากไปเป็นครั้งที่สองอีก
“โอเค ว่าแต่คุณรู้ได้ไง? ไหนว่าเพิ่งมาเที่ยวเกาหลีแต่กลับรู้ถึงร้านดังๆแถบนั้นด้วยแฮะ”
“เอ่อ...รู้ก็แล้วกัน แค่นี้นะคะ ฉันต้องวางแล้ว”
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ทักท้วงอะไรทั้งนั้นฉันก็รีบกดปิดสัญญาณทันที.
“เฮ้อ...”
ฉันถอนหายใจไร้ซึ่งสาเหตุแหละเหตุผลที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกหนักอกยิ่งนัก.ขอให้แต่ล่ะวันผ่านไปได้ด้วยดีด้วยเถอะนะ พระเจ้า... (ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่คริสเตียน คริสตังที่ไหน แต่ก็เชื่อในพระเจ้าทุกองค์ ไม่ว่าจะชาติไหนทั้งนั้น)
ด้วยความที่วันนี้เหนื่อยล้ามาทั้งวันทำให้ฉันผล่อยหลับทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำ(จริงๆแล้วฉันไม่ใช่คนสกปรกนะ สาบานได้) ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วแต่ไอ้ความรู้สึกแปลกๆเหมือนไอ้ป๊อกกี้(หมาที่บ้านที่ฉันเป็นคนเอามาเลี้ยงแต่มันไม่เคยฟังคำสั่งฉันเลยนอกจากแม่คงเพราะเป็นคนที่ให้อาหารมันล่ะมั้ง)มาเลียแถวๆหน้าผากพอฉันเบือนหน้าหนีเท่านั้นแหละก็ได้ยินเสียงหึหึหึของใครบางคนที่คุ้นหูฉันเหลือเกินทำให้ฉันถึงกับขมวดคิ้วทั้งๆที่หลับตาด้วยความขี้เซาจึงสามารถเรียกเสียงหัวเราะเบาๆคล้ายกับเกรงว่าฉันจะตื่น พอสติสัมปชัญญะได้ที่ปุ๊บไอ้อาการง่วงงุนก็หายไปทุนที ฉันรีบลืมตาปริบๆสองสามทีพลางหันขวับไม่กลัวคอเคล็ดไปที่ต้นตอทันที
“โอ๊ย”
“แก้วเป็นอะไรไป?”
ปาร์คจีซองนั่งลงพร้อมกับชะโงกหน้าจนจมูกคมๆแทบจะกดจมูกได้รูปนิดๆของฉันแบบจมไปกับปฐภีเลยทีเดียว การที่ฉันร้องเสียงหลงก็ไม่ใช่เพราะเจ็บอะไรนักหนาแต่นั่นเป็นเพราะคนตรงหน้าต่างหากเล่า ช่างไม่รู้ตัวเลยตัวเองน่ะ หล่อร้ายกาจขนาดไหน ความหล่อ(ในสายตาฉันนะ คนอื่นเห็นเป็นไงฉันไม่รู้หรอก แต่ไอ้หน้าตาแบบนี้น่ะ มันเสป็คของฉันเลยนี่นา)แบบไม่เกรงใจใครของเขาทำให้ฉันเห็นภาพหลอนของดอกกุหลาบสีชมพูที่เข้ากับห้องเป็นอย่างดีแถมยังมีวงแหวนเหนือศรีษะได้รูปนั่นอีก และก็เพราะภาพนั้นเองที่ทำให้ฉันถึงกับตาเกือบบอดจนต้องเผลอร้องอุทานออกมาให้คนตรงหน้าตกใจจนแทบเผลอเขย่าตัวฉันให้หัวสั่นหัวคลอน นี่ถ้าไม่คิดว่าฉันป่วยหรือบ้าล่ะก็เขาคงทำไปแล้ว
“แก้ว? คุณตอบผมมาสิ”
พอเขาเอาหน้าผากกลมเกลี้ยงไร้สิวให้รำคาญใจของเขาสัมผัสกับหน้าผากฉันเท่านั้นแหละ ความร้อนที่มีในร่างกายของฉันมันเหมือนถูกสูบขึ้นมาจากปลายเท้าวิ่งสู่หน้าผากทันใด ร้อนยิ่งกว่าหม้อที่ใช้ต้มน้ำเดือดจนปรอทวัดแทบแตก
“มะ ไม่เป็นไร”
ฉันรีบตอบเขาอย่างตะกุกตะกักพลางเบี่ยงหน้าหนีทั้งๆที่ขัดกับความรู้สึกภายในยิ่งนัก แต่ฉันก็ต้องพูดออกมาก่อนที่เขาจะทำอะไรไปมากกว่านี้ให้ฉันได้หัวใจวายไปเฝ้าพระยายม
“จริงนะ?”
พร้อมกับหรี่ตาตี๋ๆนั่นอย่างไม่ค่อยไว้ใจในคำพูดฟังไม่ขึ้นของฉันนัก
“อืม”
“แต่คุณตัวร้อนนะ ไปหาหมอไหม? ผมจะพาไป?”
เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ แต่มันกลับแล่นจี๊ดสู่หัวใจอันหงอยเหงาและโดดเดี่ยวไร้ซึ่งคนคอยดูแลมาตลอดยี่สิบห้าฝนยี่สิบห้าหนาว ราวกับเป็นเครื่องปั๊มหัวใจของหมอที่ช่วยให้หัวใจของคนใกล้ตายกลับฟื้นขึ้นมาเต้นตุบตับได้ แต่พอนึกได้ว่าเขาคงพูดเพราะความเป็นห่วงในฐานะคนรู้จักและคนร่วมงาน? เหมือนกับมีเข็มนับพันทิ่มหัวใจพองโตนั่นให้แฟบลงภายในพริบตา
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไร? ทำไมพูดด้วยน้ำเสียงอย่างนั้นล่ะ?”
“แบบไหน?”
ฉันรีบสวนคำถามนั้นอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติแต่กลับฟังแล้วระคายหูเหลือเกิน”
“ก็ฟังแล้วรู้สึกเหมือนคนห่างเหินยังไงไม่รู้ เมื่อวานผมทำอะไรผิดรึเปล่า? แต่ที่นึกๆ ก็เป็นปกติดีทุกอย่างนี่นา”
“เมื่อวาน?”
ฉันทวนคำพูดด้วยน้ำเสียงสูงปรี๊ดอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อนักกับคำพูดนั้นของเขาพลางเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียมพร้อมกับก้มมองสภาพตัวเองที่ยังในเครื่องแบบเมื่อวานครบชุดทุกประการ
“ทำไม?”
ดูเหมือนว่าปาร์คจีซองจะยังไม่เข้าใจกับพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของฉันที่จู่ๆก็ทำตัวอย่างกับผีเข้าซะงั้น
“เปล่า....ว่าแต่คุณเถอะ เข้ามาในห้องฉันทำไม”
ฉันรีบปรับสีหน้าพร้อมกับนึกได้ว่านี่มันห้องนอนส่วนตัวของฉันนี่นาแล้วคนตัวตัวที่นั่งมองฉันราวกับเห็นสัตว์ประหลาดจากนอกโลกนี่มาอยู่ในอาณาจักรส่วนตัวของฉันอย่างนี้ได้ไงกัน
“ผมก็แค่อยากเข้ามาเอ่ยอรุณสวัสดิ์กับคุณก็แค่นั้นเอง รอคุณอยู่ที่ห้องอาหารตั้งนานจนผมกินอิ่มแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววของคุณซักนิด เลยขึ้นมาหาคุณก็เท่านั้น”
“เห็นแล้วก็รีบไปทำงานซะสิ”
เมื่อเห็นสภาพของเขาที่สวมชุดสูทเต็มขั้นก็พอจะเดาได้ว่าเขาคงกำลังออกไปทำงานและการที่เขาเข้ามาในห้องของฉันโดยที่ฉันยังไม่ได้อาบน้ำแต่งหน้า สภาพแบบว่าธรรมชาติลงโทษสุดๆแบบนี้ทำให้ฉันไม่อาจทนสู้หน้าเขาได้ จึงเสไล่เขาออกจากห้องแทนความเขินที่รุมเร้าพร้อมกับเอามือปิดปากกลัวว่าเขาจะได้กลิ่นขี้ฟัน(พูดไปตั้งหลายประโยคแล้วเจ้ กว่าจะปิดมันไม่สายไปหน่อยเหรอ)
“ก็ตอนแรกว่าจะออกไปเงียบๆแล้วล่ะ แต่พอดีคุณตื่น ไหนๆก็ตื่นแล้ว จูบให้กำลังใจผมก่อนออกไปทำงานหน่อยสิ”
คนหน้าไม่อายยื่นหน้าเข้ามาหา เล่นเอาฉันถึงกับรีบผง่ะไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
“บ้า”
“เร็วๆสิคุณ ถ้าคุณไม่จูบผมไม่ยอมไปทำงานด้วยเอ๊า”
บ้าไปกับเขาสิ ตัวโตซะเปล่า ทำเหมือนเด็กๆไปได้ ฉันได้แต่ส่ายหน้านิดๆแต่ก็ไม่ยอมเขาหรอก แค่คนทำงานร่วมกัน มีที่ไหน คิสกันบนเตียงเสียศักดิ์ศรีหมด
“ฉันยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟัน ปากเหม็น”
ฉันพูดพลางเขยิบตัวหนีเขาอีกนิด และดูเหมือนเขาจะเพิ่งสังเกตุเห็ตอาการปิดปากพูดของฉันได้จึงได้ ตาหยีๆนั่นจึงได้เล็กลงแต่ก็ยังไม่สามารถซ่อนนัยตาพราววิบวับนั่นได้
“ผมไม่ถือ”
พลางยื่นมือข้างหนึ่งดึงมือฉันออกพร้อมกับออกแรงกระตุกนิดแต่มันก็ทำให้ฉันถึงกับเซไปจุ๊บปากของเขาเบาๆได้
“บ้า!”
คงมีแต่คำนี้เท่านั้นที่สามารถออกมาจากปากฉันได้ เพราะในหัวมันว่างเปล่า ไม่สามารถสร้างเอาคำศัพท์มาสร้างเป็นประโยคได้อย่างเคย
“ผมไปทำงานก่อนละนะ ที่รัก เดี๋ยวกลับมาเจอกัน”
ปาร์คจีซองขยิบตาให้ก่อนจะเดินผิวปากออกจากห้องนอนฉันอย่างมีความสุขที่สามารถแกล้งฉันให้เขินได้
“บ้า บ้า บ้า!!!”
“ผั๊วะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
หลังเสียงบริพาษก็ตามด้วยเสียงผั๊วะๆของหมอนหนุนฝาดกระทบกับที่นอนด้วยแรงทั้งหมดที่ฉันมีจนในที่สุดฉันก็ต้องหยุดไปเองด้วยความเหนื่อย เพราะเริ่มสำนึกได้ว่าถึงแม้ฉันจะลงมือลงไม้กับหมอนและที่นอนมากแค่ไหน คนบ้า คนผีทะเลนั่นก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอย่างที่ฉันเริ่มรู้สึกปวดแขนตุ๊บเนื่องจากเขาที่เป็นสาเหตุนั่นได้
“คอยดูเถอะ ถ้ามีโอกาสล่ะก็...ฮื่มๆๆ”
ก็ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปเท่านั้นแหละ พอเจอตัวทีไรฉันกล้าทำอะไรที่ไหนล่ะ พอเหลือบมองนาฬิกาข้างฟาปุ๊บ เข็มนาฬิการาวกับทวนพุ่งเสียบก้นกบทำให้ฉันรีบเด้งกระโดดออกจากเตียงราวกับนั่งอยู่บนกองไฟ
“ว๊าย...บ้าจริง สายขนาดนี้แล้ว?”
อีกสองช.ม.จะถึงเวลานัดของฉันกับโฮจุน ไหนจะอาบน้ำแต่งตัวไหนจะใช้เวลาเดินทางอีก ฉันรีบคว้าผ้าขนวิ่งเข้าห้องน้ำทันที
ความคิดเห็น