ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝันรักกรุงโซล - Oh-my daring

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 50


    ตอนที่ แปด

    “พี่ชาย...ซื้อกระเป๋าหนังให้หน่อยสิคะ...นะคะ...นะ...”
    “พี่..เราเข้าไปกินกาแฟร้อนๆในสตาร์บัคกันเถอะ...อู๊ยย...หนาวชะมัด...”
    เสียงคู่รักดังกระหนุงกระหนิง,ความแออัดและเบียดเสียดบนถนนเส้นเล็กๆแต่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยชื่อดังของเกาหลีที่ถูกเรียกว่ามยองดงซึ่งถ้าจะนำมาเปรียบเทียบกับประเทศไทยก็คงคล้ายๆกับสยามและก็เป็นแหล่งแฟชั่นที่มักจะมีพวกวัยรุ่นพากันมาเดินกันขวักไขว่โชว์ความเป็นผู้นำด้านแฟชั่นของตน.ตามที่พยายากรณ์อากาศได้บอกเอาไว้ว่าวันนี้กรุงโซลได้หนาวถึงลบสิบองศาแต่ทว่าที่แห่งนี้กลับเต็มไปด้วยมินิสเกิร์ตกระโปรงสั้นทับด้วยเสื้อโค้ทสีสันสดใสของเหล่าสาวงามท้าลมหนาวกันว่าเล่นราวกับเดินบนแคทวอร์คก็ไม่ปาน.
    ในบรรยากาศที่ครึกครื้นกลับมีคนคู่หนึ่งที่ไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่ปนอยู่ด้วย.หนึ่งเดินทอดน่องชมร้านรวงรอบข้างราวกับมาเพียงลำพัง,หนึ่งกลับเดินตามต้อยๆจ้องตรงไปยังคนที่ทำเป็นไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของอีกคนด้วยสายตาละห้อยแต่กลับไม่มีแววสำนึกผิดปนอยู่ซักนิด.
    “แก้ว!”
    ยังคงมีแต่เสียงรอบข้างดังจ๊อกแจ๊ก.ไร้เสียงตอบจากคนที่เดินเยื้องไปยังด้านหน้าห่างเพียงแค่เอื้อมมือ.
    “แก้ว!!!”
    เสียงห้าวนุ่มทุ่มหูเพิ่มระดับเสียงของตนมากกว่าเดิมแต่ทว่าเจ้าของชื่อยังคงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดังเดิม.ชายหนุ่มคงจะไม่ชินที่ให้คนอื่นเป็นคนเดินนำกระมังเขาถึงได้เอื้อมมือไปฉุดมือเล็กๆของหญิงสาวกระตุกรั้งเอาไว้นิดๆก่อนที่จะก้าวมาเดินเคียงข้าง.
    หญิงสาวพยายามรั้งมือออกแต่มือใหญ่กลับติดหนึบยิ่งกว่าตังเม.สะบัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุดก็เลยปล่อยให้อีกคนจับมือเอาตนเอาไว้แต่โดยดี.ไม่นานนักถนนเล็กๆสายนี้กลับค่อยๆทวีความเบียดเสียดมากขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะพัดหลงกันได้ง่ายๆ.มือใหญ่ที่เพียงแค่จับมือเอาไว้ในตอนแรกกลับค่อยๆเลื่อนขึ้นมาโอบรอบไหล่แสดงความเป็นเจ้าของถึงแม้ร่างที่ถูกโอบจะเงยหน้าขึ้นทำตาเขียวแต่นึกรึว่าอีกคนจะกลัวยังคงวางเฉยทำเป็นไม่รู้กับความรู้สึกขุ่นเคืองของหญิงสาว.ในบรรยากาศที่เย็นยะเยือกกลับมีกระแสความร้อนของกันและกันไหลผ่านให้ความอบอุ่น.พอคนทั้งคู่เดินผ่านร้านเดอะเฟซช๊อป,ในขณะนั้นเองเสียงแหลมๆของพนักงานเชียร์ให้คนมาซื้อเครื่องสำอางค์ก็ดังขึ้นทำลายความเงียบระหว่างคนทั่งคู่.
    “เชิญดูเชิญชมเครื่องสำอางค์แพ็คเกจใหม่ล่าสุดได้นะคะ...ไม่ต้องซื้อก็ได้ค่ะ...เรามีของแจกเพียงคุณแวะชมสินค้าของเราฟรีนะคะ...เชิญค่ะ...เชิญ...”
    ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าของเสียงกลับยัดตระกร้าที่มีใยใหมสำหรับอาบน้ำสีชมพูสดใสใส่มือของหญิงสาวพร้อมกับผลักให้เธอเข้าไปในร้านซึ่งแน่นอนชายหนุ่มที่ทำตัวติดอยู่ด้านข้างก็ต้องถูกผลักให้เข้าไปข้างในโดยปริยาย.

    เสียงของเขาอุทรขึ้นมาทันทีเมื่อฉันสะบัดไหล่หลุดออกมาจากการเกาะกุมของเขาได้เมื่อเขาเผลอ.
    “แก้ว!”
    ฉันแกล้งทำเป็นให้ความสนใจกับเครื่องสำอางค์หลากสีสรรที่ถูกจัดเรียงอย่างสวยงามดึงดูดใจลูกค้าของร้านมากกว่าใบหน้าหล่อๆที่สามารถกวนอารมณ์ได้เหลือร้ายอย่างนายปาร์คจีซอง.ถึงแม้ว่าบางแวบฉันจะแอบมองเขาไม่ให้รู้ตัวก็เหอะ.แต่พอเขาหันมามอง,ฉันก็ทำเป็นหลบสายตาไปทางอื่น... ชิ...ใครจะกล้ามองหน้าเขาเล่า...คนบ้า..เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาทำให้ฉันรู้สึกอับอายผู้คนไปทั่วสถานีรถไฟแล้วยังมีหน้ามาทำหน้าเหลอหลาว่าตัวเองผิดอีก.. แค่ฉันเป็นคนต่างชาติก็สามารถดึงดูดสายตาคนเกาหลีให้หันมามองฉันได้มากพออยู่แล้ว, แล้วนี่คนบ๊องกลับทำให้ฉันรู้สึกอยากจะแทรกแผ่นดินเกาหลีหนีกลับเมืองไทยมากกว่าเดิมเสียอีก. บ้าจริง...แล้วคราวหน้าฉันยังจะมีหน้ากล้าไปแถวนั้นได้อีกรึไง? ให้ตายสิ... พอฉันต่อว่าเขา,เขากลับบอกหน้าตาเฉยว่าไม่ต้องขึ้นรถไฟฟ้า ให้ขึ้นรถที่เขาเป็นคนขับก็ได้เสียอีกแหนะ... บ้าจริง...มันใช่ประเด็นที่ฉันจะพูดที่ไหนกัน... พอฉันงอนไม่ยอมพูดกับเขา,เขากลับทำเป็นลูกแมวเชื่องเดินตามต้อยๆจนฉันแทบใจอ่อน...ไม่อยากจะเชื่อ... ลูกแมวที่คิดว่าเชื่องกลับแผลงฤทธิ์มือไม้ยั้วเยี๊ยะยิ่งกว่าปลาหมึกเสียอีก.สะบัดก็ไม่หลุด.
    “ไม่ต้องมาเรียก”
    ฉันพูดลอดไรฟันเบาๆอย่างคนไม่อยากจะเสวนาด้วยแต่นายปาร์คจีซองกลับยิ้มหน้าแป้น. บ้าชะมัด... คนอะไร ไม่รู้จักสำนึก...เมื่อเห็นทีท่าอย่างนั้นของเขามันยิ่งกระตุ้นให้ฉันอยากจะกระโดดเข้าไปงับส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกายของเขาให้ได้เขียวเป็นจ้ำๆชะมัดยาด... เขาคงอ่านสายตาของฉันออกกระมังถึงได้ฉีกยิ้มกว้างเน้นดวงตาให้หยีเล็กยิ่งกว่าเดิม.
    “หึหึหึ...ไม่ต้องมองผมด้วยสายตาอย่างนั้นหรอก.และผมไม่ขอโทษคุณหรอกนะแก้ว...เพราะว่าผมไม่เห็นจะรู้สึกว่ามันผิดตรงไหน.การที่ผมแสดงความรักมันก็เป็นเรื่องปกติของคู่รัก. คนที่เขามองก็เพราะว่าเขาอิจฉาเรา. แล้วจะให้ผมทำอย่างไร ก็คนมันอยากจูบนี่นา...”
    ปาร์คจีซองพูดยิ้มๆพร้อมกับยักไหล่แบมือทั้งสองข้างราวกับในหนังฝรั่งที่ฉันเคยดูไม่ผิดเพี้ยน. รักเริกอะไรกัน...คนเห็นแก่ตัว...คนชอบเอาเปรียบ... แค่เจอหน้ากันไม่นานเท่าไหร่ฉันก็เสียจูบให้เขาไปกี่ครั้งแล้วนะ... ชิ...
    “คนหน้าด้าน.”
    ฉันสะบัดหน้าที่เริ่มมีสีแดงกระจายตามผิวแก้วไปอีกทางพลางสาวเท้าเดินไปมุมลิปสติกที่อยู่ห่างออกไปเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา.แต่ทว่าปาร์คจีซองกับเดินตามติดราวกับเงาตามตัวพร้อมกับใช้มืออีกข้างของเขามาแย่งตระกร้าในมือของฉันไปถือซะงั้น.
    “นายก็อยากได้เครื่องสำอางค์กับเขาบ้างรึไง?”
    “เปล่า”
    “งั้น...เอาคืนมา.”
    ฉันรีบแบมือขอสิ่งที่เคยเป็นของฉันกลับคืนด้วยน้ำเสียงที่ดัดให้แข็งที่สุดเท่าที่จะทำได้.
    “คุณอยากได้อะไรก็หยิบมาสิ...เดี๋ยวผมถือให้.”
    ขณะที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่นั่นเองจู่ๆพนักงานที่ใบหน้าถูกแต่งแต้มเอาไว้อย่างสวยงามก็เดินเข้ามาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหวานช่ำยิ่งกว่าน้ำเชื่อม.
    “คุณผู้ชายนี่...น่ารักจังเลยนะคะ...มาช่วยแฟนเลือกเครื่องสำอางค์ด้วย....เดี๋ยวดิฉันช่วยเลือกอีกแรงนะคะ...”
    พนักงานสาวสวยมองปาร์คจีซองด้วยสายตาเป็นมันแต่ยังไม่ลืมหน้าที่พนักงานดีเด่น,พอเธอรั้งสติได้ก็หันกลับมาพูดกับฉันราวกับไม่ให้ดูน่าเกลียด....
    “ไม่ใช่แฟน...”
    น้ำเสียงของฉันกลับบึ้งตึงขึ้นอัตโนมัติโดยที่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจ.ถ้าฉันไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไปสาบานได้ว่าฉันแอบเห็นสายตาของเจ้าหล่อนมีประกายวูบขึ้นมาแต่ทว่ามันกลับหม่นลงในวินาทีต่อมา.
    “ขอโทษครับ...เธอไม่ใช่แค่แฟนแต่เธอคือคู่หมั้นและจะกลายเป็นเจ้าสาวในอนาคตของผมในอีกไม่ช้านี้แหละครับ...”
    ตอแหล... ฉันไม่กล้าพูดออกไปดังๆหรอกก็ได้แต่คิดเท่านั้น... ถ้าสมองฉันไม่ได้เสื่อมละก็...ฉันยังจำได้ว่าตอนแรกเขาทำสัญญาอะไรกับฉันเอาไว้... คนอะไรแสดงเก่งชะมัด... รู้งี้ฉันน่าจะให้ช่างที่เมืองไทยทำตุ๊กตาสุวรรณหงษ์เตรียมเผื่อเอาไว้ก่อนมาเกาหลี...
    “อ๋อ...เหรอคะ? แฮะๆ...”
    เธอคงสำนึกได้แล้วกระมังว่าตัวเองเขามาเป็นส่วนเกินในโลกสีชมพูของเราสองคน...ถึงได้ทำหน้าเจื่อนพลางหัวเราะแฮะๆก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้พร้อมกับอธิบายสรรพคุณของเครื่องสำอางค์เจื่อยแจ้วอย่างคนคล่องงาน.ฉันที่ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างก็ได้แต่พยักหน้าเออออไปตามเรื่องแต่คนที่ช่วยถือตระกร้านี่สิกลับตั้งใจฟังคำอธิบายเต็มที่.เท่านั้นไม่พอเขากลับจ้องหน้าฉันเขม็งก่อนจะหันไปสั่งเครื่องสำอางค์ที่เขาคิดว่าสรรพคุณตรงกับใบหน้าฉันจนฉันรู้สึกอาย... ให้ตายสิ เป็นใครจะไม่อายเล่นจ้องหน้ากันพร้อมกับวิเคราะห์ว่าฉันเหมาะกับครีมบำรุงผิวอันนี้... ครีมกันแดดอันโน้น อายเชโดสีนั่น บรัชออนสีนี้...ฯลฯ  จนตระกร้าเปล่าๆในตอนแรกกลับกองเผนินแทบจะล้นออกมา.
    “ท่าทางจะสันทัดเรื่องผู้หญิงมากนะคะ...”
    เผลอประชดออกมาโดยอัติโนมัติ.และมันก็ต้องทำให้ฉันแทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย...
    “แหม~คุณ... ไม่...ต้องหึงมากมายขนาดนั้นหรอก... ผมไม่อยากจะโกหกคุณหรอกนะ...อายุขนาดผมมันก็ต้องผ่านอะไรมาบ้างแหละ...ไม่อยากจะพูดเดี๋ยวคุณหาว่าผมขี้โอ่แต่หน้าตาดีๆ ฐานะทางบ้านก็ไม่เลวอย่างผมก็มีสาวมาติดหนึบเป็นขบวน... ผมไม่ใช่ผู้ชายบริสุทธิ์ไร้เดียงสาหรอก.. มันก็มีบ้างที่จะต้องไปเดินซื้อของกับแฟน...”
    “ไม่ต้องสาธยายมากมายขนาดนั้นหรอก...ชิ...รู้อยู่หรอกน่าว่าคุณหล่อ...รวย..เพอเฟค..ฮึ...แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยละ...แค่สงสัยเท่านั้นเอง.”
    พนักงานสาวยืนฟังบทสนทนาของเราด้วยสีหน้างุนงงนิด...ยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าเนื้อฉันรีบสะบัดหน้าขณะที่กำลังจะเดินหนีออกไปหน้าร้านมือข้างที่ว่างของเขาก็รีบคว้าข้อมือฉันเอาไว้หนึบพลางลากไปยังหน้าเคาท์เตอร์เก็บเงิน.
    “ฉันไม่ใช่คนเลือกเพราะฉะนั้นฉันไม่จ่าย.”
    “ใครให้คุณจ่ายกัน...คุณก็เป็นคู่หมั้นผม...แค่นี้ผมมีปัญญาจ่ายให้หรอกน่า...”
    พอจ่ายเงินเสร็จมือหนาของเขาก็เลื่อนจากข้อมือเปลี่ยนมาเป็นกุมกระชับมือฉันแทน.อยากสะบัดหนีหรอกนะแต่บรรยาศหนาวๆอย่างนี้ได้ไออุ่นของใครซักคนช่วยให้อบอุ่นมันก็ทำให้ดีเหมือนกัน.และตอนนี้ฉันก็เริ่มชินกับมือนี้ซะแล้วสิจึงปล่อยให้เขาจับเอาไว้เฉยๆ.
    “เราไปร้านกาแฟกันเถอะ...”
    ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากแสดงความคิดเห็นของตัวเองเลยซักนิดเขาก็ลากฉันไปยังร้านคอฟฟีช๊อปร้านแรกที่เห็นทันที.
    โห...นี่มันอะไรกันเนี๊ยะ....โต๊ะกาแฟที่ถูกจัดไว้เป็นสัดส่วนกั้นด้วยตู้ปลาซึ่งมีปลาหลากสีว่ายไปมา...ผนังด้านข้างที่ติดกับถนนก็ทำด้วยกระจก...มีต้นไม้คล้ายๆต้นด่างพรูสีเขียวสดใสเลื้อยไปกับเชือกที่ผูกติดกับเพดานทำเป็นชิงช้าที่มีเบาะรองนั่งสีเหลืองอมน้ำตาลขนาดสองคนนั่งได้สบายๆ.หางตาของฉันกระทบเข้ากับอะไรบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ใต้เท้า.ด้วยสัญชาตญาติของลูกผู้หญิงฉันรีบกระโดดถีบตัวสูงไปอีกฝั่ง(ซึ่งก็ใกล้ๆกับนายจอมขี้เก็กที่ลากฉันเข้ามาในนี้นี่แหละ)เพราะความตกใจทันที.
    นายนั่นคงจะเห็นท่าทางตื่นกรุงของฉันเข้ากระมังถึงได้ทำท่าส่ายหัวนิดๆพลางถืออภิสิทธิคว้ามือฉันลากเดินตามไปยังชิงช้าน่านั่งที่สามารถมองทะลุกระจกใสเห็นบรรยากาศอันพลุกผล่านด้านนอกได้อย่างชัดเจน...แต่ด้วยความแคลงใจว่าสิ่งมีชีวิตที่กระดุกกระดิ๊กนั่นคืออะไรกันแน่ทำให้ฉันต้องเพ่งตามองให้ชัดๆ...ให้ตายสิ...เป็นใครจะนึก...ว่าสิ่งที่ฉันเห็นอยู่นั่นคือปลา.มันคงเคยชินกับการอยู่ด้านล่างเท้าของเรากระมังถึงได้ว่ายไปมาท่าทางมีความสุขไม่เดือดเนื้อร้อนใจที่ถูกจับมาไว้อยู่ในตู้ให้เราเดินผ่านไปผ่านมาอย่างนี้. และเพราะความตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น.. นายจีซองถึงได้สั่งเมนูให้ฉันโดยที่ไม่ถามความสมัครใจของฉันอีกรอบเมื่อพนักงานสาวเสริฟหน้ามวยที่ส่งตาหวานเยิ้มให้กับคนที่นั่งด้านข้างอย่างไม่เกรงใจคนที่มาด้วยซักนิด.
    “โห...ราวกับอยู่ในโลกบาดานยังไงก็อย่างนั้นเลยแฮะ...”
    “ร้านนี้ชื่อว่ากุมเอเซซัง”
    “กุมเอเซซัง?”
    เขาคงเห็นฉันเอียงคอสงสัยกับชื่อร้านกระมังถึงได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมให้...
    “โลกแห่งความฝัน...”
    “โลกแห่งความฝัน...อืม....ชื่อเพราะเหมาะกับสถานที่จริงๆแฮะ....”
    พอรู้สึกตัวอีกทีฉันก็รู้สึกถึงไออุ่นของคนข้างๆที่วางมือไว้บนพนักพิงซึ่งก็เป็นพนักพิงตัวเดียวกัน.ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เอามือวางไว้ที่ไหล่ของฉันแต่ไออุ่นที่แผ่ของมาจากแขนนั่นกลับทำให้ใจฉันตุ๊บๆต่อมๆจนฉันต้องแกล้งไปแว๊ดเสียงเขียวบอกให้เขาเอามือออกนั่นแหละ...ฉันถึงหายใจได้โล่งคอ....
    “ข้าว? ข้าห่อสาหร่ายของป้าละ?”
    “อ๋อ...ก็มัวแต่ฟัดกันกับเธอนะสิ...เลยลืมทิ้งไว้ในรถไฟใต้ดิน...”
    คนบ้า....ช่างมีความสามารถพิเศษที่ทำให้คนรู้สึกหน้าม้วนได้ตลอดเวลาสิน่า...
    “ใครฟัดกับนาย? พูดให้ดีๆนะ...”
    “ไม่ฟัดก็ไม่ฟัด....ไม่อยากเถียงกับเธอ...ว่าแต่ว่าหิวรึไง?”
    ฉันในขณะนี้ทำได้แต่ส่ายหน้า...ไม่ต้องมาทำเสียงอบอุ่นเหมือนกำลังห่วงใยกันอย่างนี้นะ...รู้ไหมว่านายทำอย่างนี้...มันจะทำให้ฉันหลงรักนายเข้าจริงๆจะทำไง? ทั้งๆที่ฉันไม่สามารถทำอย่างนั้นได้... เป็นไปไม่ได้.... ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวจนฉันต้องเซหน้าหันไปทางอื่น กระพริบตาปริบๆไม่ให้เขาได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหันนั่นของฉัน... ทำไมฉันถึงได้อ่อนไหวแบบนี้นะ..ปกติแล้วฉันไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา...อาจเป็นเพราะบรรยากาศของร้าน...เพลงหวานที่ฟังไม่ค่อยออกนักแต่ก็พอเดาได้ว่าเป็นเพลงรัก... คงเพราะเพลงแน่ๆ... เพราะเพลงนั่นแหละที่ทำให้ฉันหวั่นไหว... ไม่ใช่เพราะเขาหรอก... ไม่ใช่.. ไม่ใช่แน่ๆ....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×