ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำหนักพรหมณ์พยศ

    ลำดับตอนที่ #6 : เมื่อความจริงเปิดเผย

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 48


    แสงแดดสีทองอันอบอุ่นของยามเช้าสอดส่องเล็ดรอดผ่านใบใม้นับหมื่นนับพัน

    ที่เบียดเสียดกันอยู่ใต้ท้องนภาสีครามกระทบร่างโปร่งบางในชุดกระทัดรัดเป็นเงาใบใม้เล็กๆ

    เคลื่อนไหวตามสายลมอ่อน..ภาพของคนตรงหน้าทำให้คนที่มาที่หลังซึ่งยืนกอดอกพิงต้นไม้ขนาดใหญ่

    ถึงกับเผลอมองได้โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว...



    คนตัวเล็กกว่านั่งกอดเข่าบนก้อนหินใหญ่ก้มหน้าเหม่อมองสายน้ำที่ตกทอดจากเบื้องบน

    ลงมากระทบกับน้ำใสที่อยู่ด้านล่างเสียงดังกังวาลประสานเสียงหรีดหริ่งเรไรก่อเกิดเป็นท่วงทำนองดนตรีธรรมชาติ...

    เริ่มขยับตัว...พลางหันหลังควับเมื่อรู้สึกว่าตนไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างที่คิดเสียแล้ว...

    และภาพที่ตนได้เห็นก็มีผลทำให้ถึงกับสะดุ้งโหยงขึ้น

    มาได้.



    “อ๊ะ...นายอนิก...”

    ร่างเล็กค่อยๆผ่อนลมหายใจเมื่อรู้ว่าไม่ใช่คนร้ายอย่างที่ตนคิดไว้ในตอนแรก

    เวลาผ่านไปซักครู่  ก่อนที่คนร่างสูงแข็งแรงกว่าจะขยับปากตอบทั้งๆที่ตนก็ไม่ได้เปลี่ยนท่ายืนใดๆเลย

    ไม่ต่างกันกับอีกฝ่ายเท่าใดนัก



    “องค์ชายหนีการฝึกซ้อมตอนเช้า...”

    น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างเนิบนาบนี้ไม่สามารถบอกได้เลยว่าคนพูดมีอารมณ์

    เช่นใดกันแน่..แต่มันก็มีผลทำให้ร่างที่นั่งอยู่ถึงกับลุกขึ้นยืนหันหน้ามาประสานตากับคนที่มาทีหลังคนนี้ได้



    “ใครบอกว่าเราหนี...เราไม่เคยหนีใคร...”

    คนพูดพลางเชิดหน้าตนขึ้นพร้อมกับเม้มปากเล็กๆนั่นอย่างคนไม่สบอารมณ์เท่าไหร่



    “พระองค์บอกว่าไม่เคยหนีใคร...” อนิกเลิกคิ้วหนาของตนขึ้นเป็นคำถาม ..

    “แล้วเหตุการณ์เมื่อเช้านี้...คืออะไรกันแน่พะยะคะ?”

    ปากที่เม้มไว้เล็กๆนั่นค่อยๆคลายออกเมื่อคิดคำตอบที่เหมาะสมออกมาได้แล้ว



    “ก็ยายน้องหญิงหน่ะสิ...เค้าอยากเรียน...แต่เสด็จพ่อทรงห้ามไว้...

    เราก็แค่อยากให้น้องหญิงทำตามแต่ใจต้องการ...ก็แค่นั้นเอง”



    อนิกมองร่างสมสวนตรงหน้าที่ทำท่ายักไหล่...แก้ตัว..อย่างรู้สึกหมั่นใส้นิดๆนั่น

    แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นการโต้ตอบออกมา...



    “เราจะกลับแล้ว” พลางสะบัดตัวลงมาจากโขดหินก้อนใหญ่...

    อยู่ๆความรู้สึกเจ็บแปล๊บก็แล่นตรงขึ้นมาจากท้องน้อยจนทำให้ร่างเล็กๆ

    เสียสูญตกลงมา..ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ร่างสูงของอนิกขยับตัวเคลื่อนมารับร่างเล็ก

    ก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บนั้นได้อย่างทันท่วงที...



    “องค์ชายไม่เป็นไรใช่ไหมพะยะคะ?” พลางก้มหน้ามองคนในอ้อมแขนอย่างเป็นกังวล

    “จะ..เจ็บท้อง..” พระพักตร์ซีดๆนี้เป็นหลักฐานได้ดีว่า..

    คราวนี้พระองค์คงไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเป็นแน่แท้...คิ้วเข็มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย



    “ทรงอดทนหน่อยนะพะยะคะ...หม่อมฉันจะรีบพาพระองค์กลับที่ประทับ”

    “มะ..ไม่..วางเราลง...เรา..เดินไปเองได้...”

    ร่างเล็กกว่าเม้มริมฝีปากบางพลางค่อยๆดิ้นนิดๆเมื่อทรงตั้งตัวได้...

    “หน้าที่ของกระหม่อม...กระหม่อมจะอุ้มไปส่งพระองค์เอง..”

    ไม่พูดพล่ามทำเพลงร่างแข็งแรงรีบก้าวเดินมุ่งตรง

    ไปด้านพระตำหนักขององค์ชาย..ไม่สนใจร่างเล็กๆที่คอยแต่จะประทวง...



    ........................



    ภายในพระตำหนัก ห้องบรรทม คงเหลือไว้เพียงแค่ผู้ป่วยและองค์ราชินีไว้เพียงเท่านั้น...

    ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบหลังจากหมอหลวงได้ถวายยาแล้วทูลลากลับไปซึ่งก็กินเวลาเกือบชั่วโมงแล้ว...

    มือบอบบางขององค์ราชินีค่อยๆลูบมือแบบบางกว่าที่นอนนิ่งไม่ไหวติงราวกับวิญญาณล่องรอยไปจากพระองค์



    “ลูกแม่...ทูลหัว...พูดอะไรหน่อยสิจ๊ะ”

    คนที่เรียกตนเองว่าแม่นั้นพลางใช้มืออีกข้างหนึ่งของตนหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมาโดยไร้เสียง...

    ในที่สุดร่างเล็กๆก็ค่อยๆเริ่มเงยหน้าซีดๆเหลือบตากลมโตประกายเลื่อนลอยขึ้นมองฝ่ายตรงข้าม พลางขยับโอษฐ์

    บาง...



    “เสด็จแม่...”เสียงแผ่วๆราวเสียงกระซิบเปิดฉากพูดหลังจากที่เม้มสนิทอยู่นาน..

    “หมายความว่าอย่างไร?...ลูกไม่เข้าใจ...ลูก...อุลป(ประจำเดือน)”

    พระราชินีก้มพระพักตร์กลั้นเสียงสะอื้น



    “ลูกเป็นผู้หญิง...องค์หญิง...ลูกหญิงของแม่...”

    คำพูดยืนยันของอีกฝ่ายทำให้ร่างบางที่นอนสงบนิ่งอยู่กับเตียงราวกับถูกสายฟ้าฟาด

    ร่างกายชาไม่รับรู้ถึงสัมพัสอันอ่อนโยนที่ส่งผ่านมาจากพระหัตรที่แสนจะอบอุ่นนั้นมารดา..

    โอษฐ์เล็กๆค่อยๆขยับเอ่ยอีกครั้งหลังจากค่อยๆสงบสติของตนได้แล้ว



    “หมายความว่า...ชาย...ไม่ใช่องค์ชาย...ชายเป็นองค์หญิงอย่างนั้นหรือเพคะ?”

    องค์ราชินีได้แต่พยักหน้าไม่สามารถพูดใดๆขึ้นมาได้อีก...

    ได้แต่มองดวงหน้าเล็กๆที่เด็ดเดี่ยวไม่มีน้ำตาไหลออกมาให้เห็นซักเพียงนิดเดียวนั้น...



    “ทำไม...ทำไม ลูกไม่เข้าใจ”

    พระราชินีทรงถอนหายใจก่อนที่จะผินหน้าเหม่อมองออกไปทางหน้าต่าง

    รำลึกเรื่องราวในอดีต ค่อยๆถ่ายถอดออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้..



    “สมัยก่อน...ลูกทั้งสองเกิดมาร่างกายอ่อนแอมาก...จะเป็นจะตายมีค่าเท่ากัน...

    แต่ในตอนนั้นเอง...โหรหลวงได้เข้ามาทำนายว่า...ถ้าสลับวิธีเลี้ยงดูเจ้าสองพี่น้อง...

    หญิงเลี้ยงเป็นชาย..และก็ชายเลี้ยงเป็นหญิง...ละก็...ลูกทั้งสองจะสามารถ

    เจริญเติบโตขึ้นมาได้โดยมิมีใครเป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น..”



    ร่างเล็กที่ได้แต่กำมือแน่นนั่งนิ่งฟังมาตลอดค่อยๆผินพระพักตร์งาม

    ที่บัดนี้ค่อนข้างหม่นหมองมองเลยออกไปทางด้านหน้าต่าง..

    ภาพเห็นการณ์สมัยเยาว์วัยในอตีตต่างๆค่อยๆผุดขึ้นมาราวกับแผ่นจิ๊กซอ

    ที่เชื่อมกันทีละนิดทีละน้อยจนเป็นรูปภาพด่นชัดขึ้น...



    เสียงหัวเราะลั่นอย่างเบิกบานที่ดังลอดเข้ามาเป็นระยะๆทำให้ร่างเล็กๆ

    ที่กำลังเคร่งเครียดอยู่กับหนังสือกองโตเกินวัยและกำลังของตนที่จะทนอ่านได้นั้นเงยหน้าขึ้น

    เท้าเรียวสะอาดคู่บางค่อยๆเดินมาจับขอบหน้าต่างชะเง้อมองภาพตรงหน้าซึ่งณ…

    ตอนนั้นก็ได้มีเด็กที่ตัวโตกำลังเล่นสงครามกวักน้ำสาดใส่เด็กตัวเล็กๆกว่าประมาณสองสามคน

    ทั้งๆที่ดูจากมือและแรงดันที่ผลักน้ำใส่ฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ใช่เบาๆเลยแต่ก็ไม่มีใครทำท่าเจ็บปวด

    ในทางกลับกันต่างฝ่ายต่างแข่งกันตะโกนโวกเวกหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน..



    ด้วยคำพูดที่มักจะได้ยินอยู่เสมอมาว่าตนผู้เป็นลูกหลานกษัตริย์...

    ตนผู้ซึ่งมีเลือดสีน้ำเงิน...ตนผู้ซึ่งแบกรับหน้าอันยิ่งใหญ่ที่ฟ้าเป็นผู้กำหนด...

    ตนจึงไม่สามารถทำตามใจตนเองได้...ทั้งๆที่พระองค์ก็คิดอยู่เสมอว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอเลย

    ที่จะห้ามไม่ให้ทรงน้ำนอกพระตำหนัก...ซึ่งก็หมายถึงห้องหับที่มิดชิด

    ทั้งๆที่ตนก็เคยเห็นญาติสนิทลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ออกไปร่วมวงกับเด็กๆเหล่านั้นมาก่อน.....

    มือบางกำเข้าหากันตามอารมณ์ความรู้สึกปวดร้าวในอกซึ่งตนไม่สามารถเปลี่ยนแปลง

    หรือแก้ไขความเป็นจริงได้จนเส้นเลือดเล็กๆที่ผุดขึ้นมาอย่างเด่นชัด



    “บัดนี้..ลูกควรทำอย่างไรละเพคะ?...ลูกควรจะต้องทำตัวเป็นหญิง..รึว่า...ชายดี...”

    น้ำเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางที่เม้มอยู่นั้นสั่นเครือ

    จนคนฟัีงรู้สึกได้ทั้งๆทื่เจ้าตัวก็พยายามบังคับเต็มที่แล้ว

    และคำถามขององค์หญิงนรินทร์พรนี่เองถึงกับทำให้องค์ราชินีดึงร่างทีั่สั่นระริกนั่นเข้ามากอดพร้อมกับส่งเสียงโฮออกมาดังๆ....



    ร่างเพรียวในชุดชาววังสีขาวโปร่งประดับประดาด้วยลวดลายดอกไม้เล็กๆยาวกล่อมเท้า

    ค่อยๆละมือระหงจากบานประตูใหญ่ที่ตนตั้งใจว่าจะเปิดเข้าไปเยี่ยมคนข้างในถึงกับรูดลงไปนั่งกองกับพื้น

    อย่างคนหมดเรี่ยวแรงหลังจากได้รับฟังเรื่องทุกอย่างจนหมดสิ้นกระบวนความ..



    \"เรา...เรา...เรา..ไม่ใช่องค์หญิง?...\"

    พลางยกมือน้อยๆของตนเองขึ้นมาดูราวกับไม่อาจเชื่อสิ่งที่ตนได้ยินมานั้นจะเป็นความจริง...

    \"มะ..ไม่หน่า...มือ..เล็กๆของเรา..มือเล็กๆของเรา..จะ..จะเป็นมือ..ผู้ชายไปได้อย่างไร?..

    เราไม่เชื่อ...\"

    องค์ชายตัวจริงถึงกับครางแผ่วๆอยู่ในรำคอ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×