ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝันรักกรุงโซล - Oh-my daring

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 11 มิ.ย. 50


    ตอนที่ห้า.

    แกร๊ก....แกร๊ก...เสียงเข็มนาฬิกาเดินดังก้องกังวานเป็นพิเศษเพราะความเงียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในห้องแห่งนี้ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วมีสองชีวิตที่ในอริยาบถแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง.หนึ่งหญิงหนึ่งชาย,หนึ่งนั่นกับอีกหนึ่งนอน.ชายหนุ่มนั่งหน้าเครียดอยู่ท่ามกลางกองเอกสารที่มากมายจนแทบล้นโต๊ะทำงาน.ตรงกันข้ามกับหญิงสาวที่ตอนแรกก็ดูเหมือนจะสนใจกับสิ่งของทุกอย่างภายในห้องนี้จนอดใจไม่ไหวยกนู่นรื้อนี้ขึ้นมาดูด้วยความพิศวงแต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปจากวินาทีเป็นนาทีจากนาทีกลายเป็นชั่วโมงจากหนึ่งชั่วโมงกลายเป็นหลายชั่วโมงผ่านไปท่าทางกระตือรือร้นของเธอที่แสดงออกในตอนแรกกลับกลายเป็นความเบื่อหน่ายและในที่สุดก็ล้มตัวลงนั่งรอบนโซฟาสีน้ำเงินตัวใหญ่หนาหนุ่มตั้งเด่นอยู่มุมด้านหนึ่งของห้องสีเปลือกไม้.ความเงียบประหลาดที่เข้าปกคลุมทำให้ชายหนุ่มที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานในตอนแรกเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งฉงนกับความผิดปกติในครั้งนี้จนอดเงนหน้าขึ้นมองหาตัวการของความผิดปกตินี้ก่อนจะแอบอมยิ้มเงียบๆเมื่อมองเห็นหญิงสาวที่เดินป้วนเปี้ยนไปมานอนหลับอุตุราวกับแมวเหมียว.ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางโยกตัวไปมาไล่ความเมื่อยล้าและความง่วงงุนก่อนจะนั่งลงสะสางงานที่อยู่ตรงหน้าของตนต่อไป.

     

    แกร๊ก...แกร๊ก...

    อืม...

    ร่างเล็กๆเริ่มขยับตัวยุกยิกเนื่องจากความเมื่อยขบเพราะนอนอยู่ในท่าเดิมมากว่าหลายชั่วโมงก่อนจะกระพริบตาปริบๆปรับภาพไม่คุ้นตาเรียกความทรงจำว่าเธอกำลังอยู่แห่งหนใดกันแน่.

    ขี้โกง

    ฉันเอ่ยขึ้นมาลอยๆไม่เจาะจงจะว่าใครเป็นพิเศษแต่ทว่าที่แห่งนี้มีเพียงฉันกับเขาแค่สองคนเท่านั้นไม่ว่าเขาแล้วจะว่าใคร.แต่ดูเหมือนว่าคนที่ถูกฉันเอ่ยกระทบจะยังไม่รู้สึกตัวคงขยับมือเซ้นต์เอกสารไม่สนใจสิ่งรอบข้างซักนิดว่ายังมีฉันอยู่ในห้องนี้อีกคน.

    นี่!คุณ!...ได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า

    นายปาร์คจีซองเงยหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าด้ายที่เอามาพันกันเสียอีกมองฉันด้วยสายตาที่ราวกับจะเอ่ยถามฉันได้กระนั้น.

    ไหนคุณสัญญาแล้วว่าจะพาฉันไปเที่ยว?

    ฉันอดเผลอพูดเสียงกระเง้ากระกอดราวกับตัวเองเป็นคนรักของเขาจริงๆ.

    อืม...รอผมเคลียร์งานอีกหน่อย.เสร็จแล้วเดี๋ยวจะพาไป.

    พลางก้มหน้าสนใจเอกสารที่ถือค้างอยู่ในมือต่อไป.ให้ตายสิ.ไม่ว่างแล้วมาสัญญากับคนอื่นเขาทำไม.ทำให้เสียวแล้วเลี้ยวจากนี่หว่า.ฉันอยากทำตัวเป็นเด็กๆตะคอกเสียงแว๊ดๆตอกกลับไปแต่ทว่าฉันก็ยังมีเลือดผู้ดีฝังอยู่ในตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อยทำให้ฉันเม้มปากตัวเองแน่นก่อนที่จะหันไปหยิบเสื้อกันหนาวตัวโตขึ้นมาสวมพร้อมกับหันไปคว้ากระเป๋าสะพายด้านข้างลุกขึ้นยืนช้า.ขณะที่กำลังจะหันหลังเดินไปเปิดประตูออกจากห้องเขาก็เงยหน้าทักฉันอย่างรวดเร็ว.

    อ้าว?คุณจะไปไหน?

    ออกไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอกหน่อยน่ะ.

    ขาที่ได้มาตรฐานหญิงไทยแท้ที่มีความอวบอัดพอสมควรเริ่มก้าวเดินแต่ก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของคนด้านหลังที่พูดราวกับจะแสดงความเป็นเจ้าของ.

    อย่าออกไปไกลนะ.เดี๋ยวหลงทาง.อ้อ...อีกชั่วโมงก็จะเที่ยงแล้วกลับมาให้ทันด้วย.เดี๋ยวกินข้าวเที่ยงด้วยกัน.

    ฉันเหลือบมองนาฬิกาลูกตุ้มขนาดสูงเท่าตัวคนด้านข้างแว๊บก่อนจะก้าวออกจากห้องไปเงียบ.

    เฮ้!คุณ...ได้ยินที่ผมพูดรึเปล่า.

    เสียงตะโกนไล่หลังทำให้ฉันพูดตอบกลับเขาไปอย่างขอไปที.

    โอเค....รู้แล้ว...เดี๋ยวจะรีบกลับ.

    ฉันอยากกระแทกประตูปิดดังปังแต่ก็เกรงใจเลขาหนุ่มหน้าห้องจึงได้แต่คิดในใจคนเดียวพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินไปกดลิฟท์เพื่อลงไปด้านล่าง.ปุ่มสีเหลืองที่กระพริบในตอนแรกหยุดนิ่งที่ชั้นสิบสี่ก่อนจะเปิดอ้าออกต้อนรับฉันเข้าไปภายใน.ไม่นานนักลิฟท์แก้วก็พาฉันมาถึงชั้นหนึ่งได้อย่างปลอดภัย.

    เฮ้อ....สดชื่น~”

    เมื่อก้าวออกจากตึกสูงที่ส่วนบนทำเป็นออฟฟิสและด้านล่างเป็นห้างสรรพสิ่งค้าเลิศหรูฉันก็สูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดยกสองแขนขึ้นชูเตาอวดสายตาประชาชนชาวเกาหลีเต็มที่(ก็สวมเสื้อแขนยาวแถมยังทับด้วยเสื้อกันหนาวอีกชั้นจะกลัวอะไรหล่ะ)ก่อนจะรีบหดเต่าเอามือกอดอกตัวสั่นจนเผลอร้องบลื้อ...ด้วยความหนาวไม่ได้.

    บรื้อออ....หนาวอะไรขนาดนี้เนี๊ยะ.อืม...ยิ่งกว่าตู้เย็นที่บ้านอีกแฮะ.

    นึกถึงตู้เย็นที่บ้านที่ตั้งอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่เลขศูยน์แต่ในทางปฏิบัติแล้วพอฉันเอาเครื่องวัดอุณหภูมิไปวัดเล่นแต่ว่าเส้นสีแดงมันกลับขึ้นสูงหยุดที่เลขสิบ...นั่นหมายความว่าตู้เย็นบ้านฉันไม่ใช่ตู้เย็นทั่วไปธรรมดามันกลับเป็นตู้เย็นสะบายต่างหากไม่ใช่ตู้เย็นยะเยือกอย่างบ้านคนอื่นเขามีไว้เก็บของ.พอนึกถึงตู้เย็นอีแก่ที่บ้านมุมปากของฉันถึงกับยกขึ้นยิ้มอย่างไม่รู้ตัว.

    เอาไงดีเนี๊ยะ...ไปทางไหนดีละ?

    ฉันหันรีหันขวางก็เห็นแต่ตึกสูงทั้งซ้ายและขวา.ฉันยกมือขึ้นเกาหัวแกร๊กด้วยความลังเลแต่ยิ่งเกามันก็ยิ่งมันจนฝืนใจยกมือกอดอกเหมือนเดิม.ไม่ใช่ว่าเพราะฉันไม่ได้สระผมหรอกนะแต่เพราะอากาศมันหนาวและแห้งต่างหากทำให้หนังศีรษะติดมันของฉันสมัยที่อยู่เมืองไทยกลับแห้งแทบเกิดหิมะสะเก็ดโตๆบนนี้แทนที่จะร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าอย่างที่ควรเป็น.ก่อนจะตัดสินใจก้าวเดินไปตามถนนเรื่อยๆอย่างไม่กำหนดเป้าหมาย.ทางซ้ายก็ไม่เคยไปทางขวาก็ไม่เคยเห็นไปทางไหนก็แปลกตาเหมือนกัน.

    ถนนสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ไร้ใบดูเหมือนคนหัวโกรนให้ความรู้สึกอ้างว้างดูโดดเดี่ยวยิ่งนักปลุกอารมณ์ศิลปินที่อยู่ในซอกลึกของจิตใจน้อยๆของฉันกลับกลายเข้าสู่โหมดสาวเหงาช่างฝันโดยอัตโนมัติ.ใบหน้าที่หัวเราะคิกคักเรื่องตู้เย็นเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นเดียวดายอย่างฉับพลัน.ถ้าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาเมื่อกี้สังเกตุเห็นหน้าฉันที่แปรเปลี่ยนราวกับสั่งได้อย่างกับนักแสดงมืออาชีพแบบนี้เข้าละก็คงหาว่าฉันบ้าตามหมอเอาตัวเข้าโรงพยาบาลแทบไม่ทันเป็นแน่.ใบไม้สีน้ำตาลกรอบบ้างเหลืองบางถูกสายลมฤดูหนาวพัดปริวไปมาเหมือนในหนังที่เคยดูทำให้ฉันถึงกับเผลอนึกว่าตัวเองเป็นนางนิยายโรแมนติกส์กำลังรอคอยใครบางคนกระนั้น.สองมือของฉันยื่นออกไปด้านหน้าหวังรับใบไม้แห้งที่ค่อยๆหล่นลงมาอย่างช้าๆแต่ทว่าในเวลาเดียวนั้นเองจู่ๆก็มีมือหยาบของใครบางคนกระชากกระเป๋าสุดหวงดึงออกทางศีรษะอย่างรวดเร็ว.เพราะความตกใจทำให้ยืนอึ้งนิ่งอยู่นานกว่าจะสตาร์ทตัววิ่งตามขโมยตรงหน้าได้.

    ขโมย...ขโมย...ช่วย..ดะ....

    ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคด้วยความที่ออกวิ่งทั้งๆที่ยังตกใจทำให้ร่างกายที่อ่อนแอของฉันไม่อาจต้านทานรับความกดดันนี้ได้.โลกที่สว่างไสวในตอนแรกจึงมืดลงเหมือนมีใครมาแกล้งดับไฟในดวงตาฉันกระนั้น.แต่มันก็เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้นเพราะสติที่ดูเหมือนจะริบหรี่ก็กลับคืนมาเหมือนเดิมแต่ทว่าไอ้หัวขโมยเจ้ากรรมมันกลับลับตายิ่งกว่าตัวแทนนักวิ่งทีมชาติเสียอีก.

    ชิบ...บ้าชะมัด.

    ฉันอดผรุสคำหยาบออกจากริมฝีปากบางได้รูปไม่ได้อย่างคนหัวเสียเต็มที่.พอแหงนหน้ามองดูถนนหนทางอีกทีกลับไม่ใช่ทิศทางที่เห็นในตอนแรกเสียแล้ว.

    ไอ้บ้าเอ๊ย....ให้ตายสิ...แล้วฉันจะไปทางไหนดีละเนี๊ยะ....โอ๊ย...ร้อนนนนน

    มือผอมบางยกขึ้นเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าพลางสาวเท้าเดินข้างหน้าช้าๆอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย.เม็ดเหงื่อแย่งกันผุดบนหน้าผาก,จมูก...รูขุมขุนโตๆที่สามารถผลิตเหงื่อได้...มันขึ้นหมดแทบไม่มีตารางบนใบหน้าให้ว่างได้สวยใสแต่ไม่ไร้สติเหมือนคนเร่ร่อนท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุทั้งๆที่ต้นไม้ข้างทางออกจะโกร๋นจ๋าไร้ใบบ่งบอกถึงฤดูหนาวอย่างเต็มที่.ช่างเป็นภาพที่ขัดกันอย่างชัดเจน.ไม่รู้ว่าได้เนินเป็นระยะทางไกลเท่าใดแต่เสียงหัวเราะสดใสราวกับระฆังเงินระฆังทองที่ดังลอดออกมาจากสวนสาธารณะด้านข้างกลับปลุกสติที่กำลังหัวเสียของฉันให้คืนกลับมาได้.เสียงคิกคักนั่นชักจูงฉันให้เดินเข้าไปหา.

    ฉันนั่งแหมะลงบนเก้าอี้ไม้ด้านข้างลานทรายที่มีสไลด์เดอร์หรือเครื่องเล่นตะลูด(ภาษาที่บ้านฉันเรียก)ที่พวกฉันเคยเล่นยามสมัยเด็กๆวางอยู่ตรงกลางพร้อมกับมองพวกเด็กๆสองสามคนแข่งกันสไลด์เดอร์ลงมาอย่างรวดเร็วว่าใครจะเป็นคนสไลด์ได้ไกลที่สุด.ภาพน่ารักของพวกเขาทำให้อารมณ์ที่ไม่ค่อยจะชื่นบานเท่าไหร่นักของฉันดีขึ้นเรื่อยๆ.เมื่อเห็นเด็กทะโมนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มแอบโกงเพื่อนๆโดยการสไลด์ลงมาอย่างรวดเร็วแต่มันก็ไม่อาจไกลกว่าพวกเพื่อนๆจึงแกล้งกลิ้งตัวไปอีกสองสามรอบเพื่อจะเอาชนะให้ได้แต่พอเด็กคนนั้นยืนขึ้นกลับไม่อาจทรงตัวได้จึงต้องโงนเงนเป็นไอ้หนุ่มหมัดเมาอีกสามตลบเรียกเสียงหัวเราะจากพวกเพื่อนๆและตัวฉันเองได้โดยไม่รู้ตัว.และการที่ฉันแอบเผลอตัวทำให้พวกเด็กๆล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของฉันจึงพากันพุ่งความสนใจมาที่ฉันกันเป็นแทบๆ.

    ในเวลาเดียวกันนั่นเองเสียงหัวเราะประสานเสียงที่ดังอย่างสนุกสนานนั่นกลับสะกิดความสนใจของชายหนุ่มสวมชุดกีฬาเสื้อวอร์มแขนยาวขายาวสีน้ำเงินเข้มที่ยืนเช็ดเหงื่ออยู่บนลานวิ่งใกล้ๆกันนั่นให้หันมอง.และบทสนทนาของหญิงสาวกับเด็กๆกลับรั้งฝีเท้าที่กำลังจะออกวิ่งของเขาให้ชะงักแอบฟังต่ออย่างน่าสนใจไม่ได้.

    อาจุมมา(ป้า)...อาจุมมามาจากโลกไหน?

    เด็กตัวกะเปี๊ยกสุดเอียงคอเอ่ยถามฉันด้วยท่าทางหวาดระแวงทำท่าราวกับกลัวว่าฉันจะเข้าไปเอาตัวเขาไปทำการวิจัยที่โลกอื่นก็ไม่ปาน.แต่แทนที่ฉันจะขำกับคำพูดไร้เดียงสานั่นฉันกลับสะดุดคำว่าป้าที่เด็กน่ารักคนนั้นเรียกฉันจนหัวเราะไม่ออก.

    ให้ตายสิ...เจ้ยังไม่แก่ขนาดเรียกอาจุมมาซักหน่อย...เรียกแค่พี่สาวก็พอมั้งเด็กๆ...

    แต่ภาพลักษณ์นางสาวไทยทำให้ฉันไม่อาจเอามะเหง็กเขกหัวเด็กคนนั้นได้นอกจากฉีกยิ้มจนแก้มจะปริแต่ถ้าจ้องดีๆดวงตาฉันกลับไม่มีรอยยิ้มซักนิดพร้อมกับภาวนาพุทธ-โธๆในใจข่มโทสะที่แล่นมาเป็นริ้วๆภายใน.

    “Are you a foreigner?”

    บ๊ะ...ไอ้เด็กคนโตที่สุดในกลุ่มกลับสปีคเป็นภาษาอังกฤษที่ฉันใส่กรุล๊อคกุญแจส่งคืนอาจารย์ตั้งแต่เรียนจบแล้วพร้อมกับยิ้มแหยๆให้กับเด็กคนนั้นก่อยจะตอบเขาเป็นภาษาเกาหลีเช่นเคย.ก็แหม...ถ้าขืนฉันพูดภาษาอังกฤษกลับคืนไปละก็เด็กๆก็ต้องรู้แน่เลยว่าความสามารถของฉันมันยอดเยี่ยมแค่ไหน.

    จ๊ะ...พี่สาวเป็นคนต่างชาติ...แล้วรู้ได้ไงเอ่ย?

    “Because you’re Korean pronunciation is not good.”

    เด็กบ้า...ยังสปีคไม่เลิกอีก...เดี๋ยวพูดผิดแกรมม่าแม่จะขำให้..ฮึ.

    อ๋อ...พี่สาวคนสวยคนนี้พูดเกาหลีได้นะจ๊ะ...ไม่ต้องพูดภาษาอังกฤษกับพี่ก็ได้...

    ไม่อยากจะบอกว่าปีสุดท้ายเกือบได้ดี(ด๊อก)มากิน.จึงได้แต่ล่อให้เด็กๆหันกลับมาพูดภาษาแม่ของเขา.

    “My mother said I must speak English which foreigner even though I’m not good at English but I must try to my best so you should speak English to me too.”

    เฮ๊ย...อุ๊บ๊ะ...ไอ้เด็กเปรต...เด็กผีทะเล...พูดซะยาวยืดเชียว.แล้วนี่ฉันจะทำไงดีละเนี๊ยะ...สมัยเรียนมหาลัยปีหนึ่งก็พอจะเก่งอยู่หรอกนะแต่พอเริ่มเรียนภาษาเกาหลีอย่างจริงจังเมื่อตอนปีสองก็เริ่มทิ้งภาษาอังกฤษจนในที่สุดก็ลืมสนิทไปแล้วนี่นา.แล้วจะให้ฉันทำไงนอกจากฝืนสร้างประโยคซักสองสามประโยคแล้วหาทางกู๊ดบายให้เร็วที่สุด.

    เอ่อ...อืม...Ok…I understand but….now I… I have something to do….thank you good bye โล๊ด.

    ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคก้นที่นั่งแหมะกับเก้าอี้ในตอนแรกก็รีบเด้งขึ้นมาราวกับถูกไฟลวกอย่างรวดเร็วพร้อมกับโบกมืออำลาแต่ก่อนที่ฉันจะได้หันหลังจากไปอย่างที่ใจปราถนามือน้อยๆของเด็กที่ไม่สูงไม่ต่ำอีกคนก็ฉุดมือฉันเอาไว้.

    โฮ...ป้าขี้โกงนี่นา...ให้เพื่อนผมฝึกพูดภาษาอังกฤษคนเดียว...ไม่เห็นพูดกับผมบ้างเลย...ขอผมฝึกด้วยคนสิครับ...นะครับ...นะ...

    ฉันไม่อาจใจร้ายสะบัดมือเล็กๆของเขาออกได้เมื่อมองเห็นสายตาวิงวอนราวกับได้ของเล่นชิ้นใหม่.

    แหะๆ...พี่สาวจ๊ะ...พี่สาว...ไม่ใช่ป้านะ...ขืนเรียกอย่างนี้ละก็พี่สาวคนนี้จะไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษด้วยนะ...อุ๊บ.

    แต่กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอพูดเรื่องคอขาดบาดตายออกไปก็เป็นอันได้ยินเสียงเฮจากพวกเด็กๆที่บาดลึกจิตใจราวกับมีใครบางคนเอามีดมาเฉือนกระนั้น.แต่ทว่าด้วยสปิริตที่มีอยู่ในใจเต็มเปี่ยมทำให้ฉันเค้นรอยยิ้มเหยเกดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะนี้ให้พวกเด็กๆให้ยลโฉม.

    งั้น...ตาผมพูดภาษาอังกฤษนะครับ.

    ฉันผงกศีรษะเป็นเชิงตอบรับอย่างเซ็งชีวิตสุดขีดพร้อมกับนั่งลงบนม้านั่งตัวเดิม.

    “Where are you from?”

    เฮ้ย...แหงะ...ถามแบบนี้แล้วฉันจะตอบยังไงดีละ...คุณมาจากไหน...หรือคุณเป็นมาจากไหนกันเนี๊ยะ...รึว่าเด็กมันพูดผิด...แหงะ....ฮือๆ...อาจารย์ขา...รู้งี้หนูน่าจะตั้งใจเรียนวิชาที่อาจารย์อุตส่าห์สอนสั่งให้มากกว่านี้...ถ้าใครถามหนูจะไม่บอกเด็ดขาดว่าอาจารย์โจดี้เป็นคนสอนนะคะ...ฮือๆ...

    เอ่อ..อืม...ไอ...ไอ...

    แต่ก่อนที่ฉันจะทันได้ตอบไปจู่ๆก็มีเสียงสวรรค์ระฆังช่วยชีวิตดังขัดยกขึ้นมาเสียก่อน...เป๊ง...

    เด็กๆ....กินไอติม? ไอติมฟรี...พี่เลี้ยงเอง.

    เสียงนุ่มทุ้มเรียกร้องความสนใจได้เป็นผลสำเร็จ(ซึ่งก็ไม่มียกเว้นตัวฉันด้วย).ฉันรีบหันควับไปมองพระเจ้าของฉันในทันใด.ให้ตายสิคนเกาหลีประเทศนี้มีแต่คนหล่อๆรึยังไงกันนะ.เจ้าของเสียงที่ดังขึ้นมาได้จังหวะพอดีคนนี้พกพาใบหน้ารูปไข่ประดับด้วยริมฝีปากหนารับกันอย่างเหมาะเจาะกับจมูกโด่งเป็นสันนัยตากลมโตแฝงแววระยิบให้คนเห็นเป็นต้องเผลอมองตามแล้วไหนจะรูปร่างสูงเพรียวมีกล้ามนิดๆในสาวๆที่ได้เห็นอยากมุดเข้าไปหาไออุ่นในอ้อมกอดนั่น.ให้ตายสิ.ช่างเป็นคนหน้าหวานยิ่งกว่าผู้หญิงแดนต้มยำกุ้งอย่างฉันให้ได้อายจนหน้าม้วนนัก.

    ปากอ้าจนแทบแมลงวันบินเข้าไปไข่(ถึงแม้ฤดูหนาวในประเทศเกาหลีจะไม่มีก็เหอะ)พร้อมกับอาการคันยิบๆที่ข้างปากเนื่องจากน้ำลายที่เอ่อเต็มเตรียมย้อยรอเวลาอันเหมาะสมและไอ้เสียงเพลงที่เคยได้ยินในโฆษณาที่ร้องว่า..โอ้...มายเลิฟ...มายดาร์ลิ่ง...ฯลฯ....เด็กๆวิ่งไปไหน.ทำอะไร.ฉันแทบไม่มีสติจะไปรับรู้เรื่องราวใดๆทั้งสิ้น.ในสายตาของฉันกลับบรรจุเพียงใบหน้าหวานๆราวกับนักร้องญี่ปุ่นขวัญใจชาวสยามที่ดูเหมือนกับจะล้อมรอบด้วยภาพดอกกุหลาบแรกแย้มเป็นกรอบเหมือนในการ์ตูนกระนั้น.

    อ้าวคุณ?เป็นไรมากรึเปล่า?

    ฉันรีบส่ายหน้าตอบปฏิเสธอย่างตื่นเต้นยินดีทันทีเมื่อได้ยินเสียงนุ่มๆนั่นเอ่ยถามฉันอย่างเป็นห่วงเป็นใยหลังจากที่เขาซื้อไอศครีมให้กับพวกเด็กๆจากร้านขายขนมภายในสวนสาธารณะที่อยู่ห่างไปเพียงแค่สองสามร้อยเมตรด้านข้างเสร็จแล้ว.

    หรือว่าคุณอยากกินไอติมเหมือนเด็กๆ...อ้าว...แล้วทำไมไม่ไปซื้อด้วยกันละ?

    ฉัยยังคงส่ายหน้าดิกด้วยความตื่นตะลึงกับภาพชายในเสป็คจนไม่อาจเรียงคำพูดเป็นภาษาเกาหลีออกมาจากปากได้.

    เอ...เมื่อกี้ผมยังเห็นคุณพูดภาษาเกาหลีต้อยๆอยู่เลยนี่นาหรือว่าผมเข้าใจผิด.

    โอ้...มายก๊อด...ลูกชิ้นปิ้งแม่หนู(ชื่อมารดาที่รักของฉันค่ะ)ช่วยลูกด้วย.คนอะไรหล่อชะมัด....ฉันยังคงไม่อาจกู้ขวัญที่โบยบินของฉันกลับคืนมาได้.

    เอ...รึว่าไอ้การที่ผมคิดว่ามาช่วยคุณให้รอดพ้นจากวิฤตจากพวกเด็กๆจะทำให้คุณโกรธ?แต่ไม่น่า...ท่าทางที่ผมสังเกตุคร่าวๆ...ดูแล้วคุณไม่น่าจะเก่งภาษาอังกฤษเลยนี่นา.

    เลือดอีสานสูบฉีดทั่วใบหน้าเล่นไปทั่วร่างกายจนฉันไม่อาจนั่งอยู่กับที่ได้เหมือนเดิม.

    เปล่านะ!ฉันออกจะพูดภาษาอังกฤษคล่องปรือยิ่งกว่าวิ่งบนลานสเก็ตน้ำแข็งเสียอีก.

    ไอ้อาการตอบอย่างร้อนรนเหมือนคนมีเบื้องหลังกลับเรียกเสียงหัวเราะจากคนตรงหน้าได้ยืดยาวยิ่งกว่าขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯถึงภาคใต้เสียอีก.ให้ตายสิ...ขำอะไรนักหนา.

    หยุดได้แล้ว...มิทราบหัวเราะอะไร?

    ทั้งๆที่หัวใจไม่ได้เคืองคนที่ฟุบตัวนั่งด้านข้างนักแต่ไอ้อาการอับอาจที่ถูกเขาจี้ใจดำทำให้ต้องแกล้งเค้นเสียงให้ฟังขุ่นใจที่สุดเท่าที่จะทำได้.

    ขอโทษ...ฮะๆๆ...

    อืม...ก็ยังถือว่าเป็นคนดีอยู่หน่อยเหมือนกันนี่ถึงแม้จะยังไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักที่เขายังคงไม่ยอมหยุดขำแต่ก็พออภัยให้ได้.

    นี่ถ้าไม่หล่อฉันไม่ยกโทษให้หรอกนะ...อุ๊บ!”

    ฉันรีบเอามือปิดปากไม่ทัน.บ้าชะมัด...นึกว่าคิดคนเดียวอยู่ในใจกลับเผลอพูดออกมาให้เขาได้ยินจนได้.ฉันรีบเมินหน้าไปอีกฝั่งในที่ที่ไม่เห็นหน้าหวานๆของเขาทันที.

    โหย...คุณ...ขอบคุณที่ชมผมว่าหล่อ...ใครๆที่เห็นผมก็บอกว่าอย่างนี้กันทั้งนั้น..ผมชินซะแล้ว...ไม่ต้องเขินหลบหน้าหลบตากันอย่างนี้ก็ได้...คุณพูดถูกต้องทุกอย่างไม่เห็นต้องอาย.

    ฉันรีบหันหน้าทำตาเขียวใส่คนหลงตัวเองอย่างเขาทันที.จะว่าหลงตัวเองก็ไม่ถูกนักเพราะมันจริงอย่างที่เขาพูดทุกอย่างและมันก็เป็นเรื่องที่ฉันเห็นด้วยกับเขาในใจซะด้วยสิ.

    น้อยๆเถอะคุณ...

    ชายหนุ่มหน้าหวานยื่นนิ้วก้อยมาให้ฉันทำท่าราวกับจะง้องอนกระนั่น.ฉันมองอย่างช่างใจชั่วครู่ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยของตนให้กับเขา.

    หึหึ...งั้นเราก็เป็นเพื่อนกันแล้วนะ...ผมลีโฮจุน.

    พอได้ยินชื่อของเขาปุ๊บฉันก็ระเบิดเสียงหัวเราะขำดังลั่นเกือบทั่วสวนสาธารณะแห่งนี้ทันที.คิกๆ...จะไม่ให้ฉันหัวเราะได้ไง...คนอะไรหน้าหวานจนผู้หญิงอย่างฉันชิดซ้ายแต่ดันชื่อโฮจุน...เหมือนละครเกาหลีที่ทางช่องสามเอามาฉายให้ดูไม่ผิด...ฮะๆ...โฮจุน...โฮจุน...หมอโฮจุน...คนดีที่โลกลืม...คิกๆ...

    ชายหนุ่มด้านข้างเอียงศรีษะพร้อมกับส่งสายตาสงสัยจ้องมายังฉันอย่างงงงันไม่เข้าใจอาการหัวเราะแบบนอนสต๊อปที่ฉันเป็น.

    ชื่อผมมันตลกขนาดนั้นเชียว?

    พูดจบโฮจุนก็เมินหน้าหนีฉันไปอีกด้านทันที.ให้ตายสิ...ขี้งอนซะด้วย.เมื่อเห็นอาการอย่างนั้นของเขาฉันจึงใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้เกี่ยวก้อยกับเขาแอบหยิกก้นตัวเองให้เจ็บจะได้หยุดหัวเราะเสียทีแต่ดันเผลอหยิกแรงไปหน่อยจนชะงักเสียงหัวเราะและเรียกหยดน้ำตาด้วยความเจ็บแทนที่ได้อย่างรวดเร็ว.

    โอ๊ย...ปะเปล่านะ...โฮจุน...ชื่อนายไม่มีอะไรให้ขำหรอก...เพียงแต่ว่าจู่ๆฉันก็นึกเรื่องน่าอายของตัวเองออกมาตอนนั้นพอดีหน่ะ...ขอโทษนะ.

    เรื่องอะไร?

    แหม...จะเอาเรื่องไหนมาอธิบายให้เขาฟังได้หล่ะ...ก็ในเมื่อที่ฉันพูดไปเมื่อกี้นี้เป็นการหาเรื่องแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆเท่านั้นเอง.ชิ...คิดคำแก้ตัวไม่ออกคงได้แต่เลี่ยงพระคำภียร์หน้าด้านๆสไตล์ยัยแก้วคนนี้แหละ.

    ฉันชื่อแก้วมาจากประเทศไทยนะ.

    แก-อู?

    สำเร็จ...ชื่อของฉันเบี่ยงเบนความสนใจของเขาได้(?)รึเปล่าก็ไม่รู้.แต่เขาก็ดูเหมือนจะไม่ติดใจทีท่าของฉันเมื่อกี้แล้ว.

    ไม่ใช่แก-อู....แก้ว...แก้ว...พูดตามนะ...แก้ว...

    แกว...

    ไม่ใช่...เอาใหม่...แก้ว.

    แก้ว?

    ในที่สุดชื่อพี้ยนๆของฉันก็ดูเหมือนจะเพี้ยนน้อยที่สุด..ฉันไม่ใช่มันแกวมันเผานะโว้ย.ให้ตายสิ...ชื่นน่ารักๆของฉันกลับเรียกซะเสียหมด.

    ผมคงไม่ได้มาขัดขวางความสนุกของคุณกับเด็กๆหรอกนะ?

    ไม่หรอก...เอ..แล้วเด็กๆไปไหนหมดแล้ว?

    โธ...แม่คุณ...กว่าจะรู้ตัวว่าเด็กๆหายไปก็เกือบสามสิบนาทีให้หลัง...นี่ถ้าเป็นไฟไหม้บ้านป่านนี้ได้วอดวายไม่เหลือเสาแล้วกระมัง.

    กลับหมดแล้วหล่ะ.ว่าแต่ว่าคุณมาทำอะไรที่นี่?

    แหะๆ...กะว่าจะมาเที่ยวซะหน่อยดันโดนชิงทรัพย์หมดตูดไปไหนไม่ได้หน่ะสิ...ก็เลยมานั่งทำใจกับเด็กๆอ่ะนะ.

    เอ...ผมเห็นท่าทางของคุณไม่เหมือนคนกำลังทำใจซักหน่อย...

    ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆให้กับเขาโดยไม่อาจโต้ตอบได้.ก็แหม...ฉันมันคนโกรธง่ายหายเร็ว...แถมยังขี้ลืมต่างหาก.ใครทำอะไรไม่ดีไว้กับฉัน,ฉันก็ไม่ค่อยอยากจะจดจำเท่าไหร่.อุตส่าห์จะมาสร้างความทรงจำดีๆในเกาหลีทั้งทีก็เลยไม่อยากเครียดกับเรื่องพวกนี้มากนัก.ไหนๆก็ไม่ได้เอาเงินติดกระเป๋ามาเยอะนัก.แค่นี้ถือว่าทำบุญก็แล้วกัน.

    อืม...เผื่อเป็นการไถ่โทษผมขออาสาเป็นไกด์พาคุณไปเที่ยวพระราชวังคยองบกกุงก็แล้วกัน?

    โฮจุนลุกขึ้นยืนพลางทำท่าโค้งตัวราวกับฉันเป็นเจ้าหญิงจากแดนไกลจนฉันอดยิ้มผงกศีรษะตอบรับคำชวนที่แสนหวานของเขาเสียไม่ได้.

    ..............................................
    ได้กำลังใจดีจากคนที่มาเฝ้ารอแทบทุกวัน....หุหุหุ
    เน็ตที่บ้านไม่ดี...ก็ยังกระสน...มาส่งไฟล์ที่ร้านเน็ตให้ได้อ่านตอนต่อไป...
    ขอบคุณมากมายคับป๋ม ^_^;

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×