ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝันรักกรุงโซล - Oh-my daring

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 1 มิ.ย. 50


    ตอนที่สี่.

    หนึ่ง สอง สาม สี่...หนึ่ง สอง สาม สี่...

    เสียงห้าวชวนให้คนฟังเคลิบเคลิ้มดังเป็นจังหวะนานเกือบเป็นชั่วโมงไม่มีทีท่าเหนื่อยหรือลำคาญกับการที่ต้องพูดอะไรซ้ำๆซากๆอย่างนี้เท่าใดนักทำให้นักเรียนอย่างฉันพยายามเรียนในสิ่งที่เขากำลังสอนอย่างเต็มที่(เท่าที่ตัวเองคิดว่าทำได้ดีที่สุดอ่ะนะ)

    ปลายเท้าเล็กก้าวตามเท้าที่ใหญ่กว่า,ถ้าเขาถอยหลังซ้ายฉันก็ใช้เท้าขวาก้าวหน้า...ถ้าเขาใช้เท้าขวาก้าวเดินมาด้านหน้าฉันก็ใช้เท้าซ้ายถอยหลัง.มือบอบบางของฉันถึงกับไต่ขึ้นไปอยู่เหนือบ่าแข็งแรงชวนให้ลามไปลูปต้นคอขาวนั่นนัก.ส่วนมืออีกข้างของฉันทำเป็นจับแค่ชายเสื้อเชิ๊ตสีขาวสะอาดตาทั้งๆที่ใจอยากจะโอบกอดเขาให้แน่นๆเหมือนกับที่เขากำลังโอบกอดฉันจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่อย่างนี้แต่ด้วยมารยาทสาวไทยทำให้ฉันไม่กล้าหน้าด้านอย่างคนทะเล้นตรงหน้านี่หรอก.

    อุ๊ย

    มือแข็งแรงที่โอบอยู่รอบเอวแอบหนานิดของฉันแน่นขึ้นราวกับจะแกล้งให้ฉันใจตุ๊บๆต่อมๆเล่นกระนั้น.ให้ตายสิ...แล้วทำไมฉันจะต้องบ้าจี้ตามคนบ้านี่ด้วยนะ.

    ไม่ต้องกอดแน่นขนาดนี้ก็ได้นี่คุณ...

    เสียงฉันแกล้งบีบให้ตึงที่สุดเท่าที่จะทำได้,ก็แหม...จะพูดกันตามตรงคนตรงหน้าก็เป็นเสป็คชายในฝันที่ฉันต้องการพอดิบพอดีเลยนี่นะ...มันยากแค่ไหนที่จะต้องทำเป็นเคืองเขาทั้งๆที่ในใจแสนจะปลื้มปิติไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะได้เจอราวกับสวรรค์ส่งมาเป็นของขวัญฉันกระนั้น.

    ก็ผมกลัวคุณจะเต้นไม่ถนัดนี่นา...เห็นเต้นเกร็งๆตัวแข็งๆอย่างนี้มาเกือบชั่วโมงแล้วไม่เห็นจะดีขึ้น.

    บ้า...ก็เพราะฉันไม่อยากเต้นชิดกับคุณหน่ะสิ...ถึงต้องพยายามกันตัวให้ห่างๆเอาไว้

    พุทธโธๆ...ท่องรอบที่ร้อยแล้วมั้ง...แต่ใจเจ้ากรรมดันเต้นรัวเป็นกลองเพลไม่หยุด.หน้าอกฉันเฉียดหน้าท้องเขานิดเดียวใกล้จนฉันแทบหายใจไม่ออก.

    คุณต้องทำตัวให้ชินกับผมเอาไว้ให้มากๆ...จะได้ไม่เขินเวลาเราออกสู่สาธารณชนด้วยกัน...เราเป็นคู่หมั้นกันไม่ใช่แค่คนรู้จักกันธรรมดา.คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม?

    กึก...ตุ๊บ...เสียงรองเท้าหยุดชะงักตามด้วยหน้าคมๆของฉันกระแทกหน้าอกบึกๆที่ไม่นึกว่าจะบึกได้กว่าจะรู้ก็กระแทกไปซะเต็มหน้าเล็กๆของฉันเสียแล้ว.บ้าจริง...จะหยุดก็บอกกันก่อนสิ...ดั้งน้อยๆยิ่งไม่ค่อยมีกับใครเขาด้วยสิเรา.มันน่าแกล้งเหยียบเท้าให้เจ็บนัก.ฮึมๆ.

    ก็แหม...

    เสียงอ่อยเพราะไม่รู้จะหาเหตุผลใดไปเถียงเขาดี.ทำไมคนอย่างฉันต้องตกเป็นเบี้ยล่างให้กับเขาด้วยละเนี๊ยะ.นี่ถ้าฉันมารยาททรามกว่านี้หน่อยละก็จะกัดหูเขาให้แว่งเชียว.ดีนะที่ทางบ้านฉันยังสั่งสอนมาแบบผู้ดีนิดหนึ่งพอไม่ให้อายชาวบ้านเขา.

    เอาหล่ะ...วันนี้พอแค่นี้...ผมเจ็บคอแล้วหล่ะ...นึกว่าคุณจะหัวดีกว่านี้เสียอีก...สอนมาสองชั่วโมง...กว่าจะจำได้...

    ให้ตายสิ...นี่เขาจะกัดฉันไปถึงไหนกัน.ก็คนมันก็ต้องมีเผลอบ้างนี่นา...ปกติฉันออกจะหัวเร็วแต่ที่มันไม่แล่นก็เพราะคุณนั่นแหละชอบแตะนู้นโดนนี่ให้คนเขาใจเต้นไม่เป็นส่ำจะเอาหัวสมองที่ไหนไปจำท่าเต้นเล่า...คนบ้า.

    ชายหนุ่มตรงหน้ารีบเมินหน้าหนีเมื่อโดนสายตาพิฆาตของสาวไทยลูกอีสานอย่างฉันเข้าทันที.ใช่ว่าเพราะกลัวหรอกนะ...ไอ้ไหล่ที่มันสั่นๆบอกอาการว่าเขากำลังแอบหัวเราะท่าทางฉันไม่ได้มีท่าทางสำนึกเลยสักนิดว่าเขากำลังกวนอารมณ์ฉันให้ขุ่นอยู่.

    เท้ายาวๆของเขาก็ค่อยๆก้าวไปยังด้านหน้าประตูห้องของฉันเนิบนาบดูสบายๆพลางพูดทิ้งท้ายโดยไม่ยอมหันมาสบตาฉันอีก.

    ฝึกซ้อมคนเดียวก็แล้วกันนะ...เดี๋ยวผมลงไปทำธุระข้างล่าง...

    เมื่อร่างสูงของเขาลับหลังประตูไปปุ๊บมือที่ถือหมอนเตรียมเอาไว้ก็ขว้างตามหลังเกิดเสียงดังตุ๊บตามมาทันที.จริงๆแล้วฉันก็อยากเอาหมอนนี่โยนใส่หน้ายียวนของหมอนั่นอยู่หรอกนะ...แต่ใจยังไม่กล้าพอก็เลยต้องลงกับประตูแทนซะงั้น.

    เฮ้อ...

    ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มสีหวานแหว๋วอย่างคนหมดอารมณ์ตายอยากนอนนิ่งอยู่เกือบสิบนาทีกว่าจะหยิบเจ้าไดอารี่สีแดงคู่ใจที่ซื้อเอาไว้ก่อนมาเกาหลีเพื่อบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น.

    อืม...เขียนเป็นภาษาไรดีละ?....

    อุตส่าห์หยิบปากกากับสมุดขึ้นมาเตรียมตั้งท่าเต็มที่....แต่ดันสองจิตสองใจขึ้นมาอีกแหนะ...

    ถ้าเขียนเป็นภาษาไทย...ก็ให้ทางบ้านอ่านได้...แต่ถ้าเขียนเป็นภาษาเกาหลี...ก็จะได้ให้เขาคนนั้นได้อ่าน...

    เอ๊ะ...นี่ฉันทำไมต้องไปนึกถึงอีตานั่นด้วยหล่ะ...จริงๆแล้วฉันมาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตให้คุ้มแล้วเขียนประสบการณ์กลับไปฝากทางบ้านไม่ใช่เหรอ...แล้วทำไมฉันจะต้องนึกถึงเขาด้วย...

    ซอกเล็กๆของหัวใจมันเหมือนมีเสียงอะไรดังกังวาลก้องสั่งให้ฉันเขียนเป็นภาษาเกาหลี...บะ..บ้าจริง...นี่ฉันเริ่มชอบเขาคนนั้นแล้วรึเนี๊ยะ...ไม่ได้นะ...ฉันจะรักใครไม่ได้นะ...ไม่ได้...ให้ตายสิ...ทำไม...ทำไมเขาจะต้องมาทำดีกับฉัน...ทำไมฉันจะต้องรู้สึกดีๆกับเขา...แล้วทำไม...ทำไม...มือที่ถือปากกาเลื่อนมากุมหน้าอกตรงที่หัวใจน้อยๆของฉันมันเต้นเป็นจังหวะช้าๆแต่ทิ่มแทงอารมณ์ราวกับหนามแหลมที่พร้อมจะทำลายได้ทุกเมื่อ...หยาดน้ำใส..เริ่มคลออยู่ปลายตา....นานเท่าใดนะ...ที่มือน้อยๆค่อยๆเริ่มเขียนตัวหนังสือภาษาเกาหลีอย่างบรรจงบนหน้าสมุดโน๊ตบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฉันตั้งแต่ก่อนมาเกาหลีจนถึงเดี๋ยวนี้...

     

     

    แชะๆ.ฉันยกมือที่ถูกสวมด้วยถุงมือสีขาวสะอาดประดับด้วยลูกไม้โปร่งขึ้นบังแสงแฟล๊ชที่วูบวาบสะท้อนเข้าตาจนแทบไม่อาจลืมตาโชว์ลูกตากวางดำขลับ(อันนี้คิดเอาเอง)ได้แต่หยีตาเพื่อไม่ให้เหยียบนักข่าวที่มะรุมมะต้อมอยู่เต็มหน้าเต็มหลังยั้วเยี้ยยิ่งกว่ามดในรังส่วนมืออีกข้างก็โดนคนตัวโตที่เดินอยู่ด้านข้างจับยัดควงแขนเขาโดยที่ฉันไม่เต็มใจซักนิด(?).ขายาวๆของคนที่ได้ชื่อว่าที่คู่หมั้นก้าวฉับๆไม่เห็นใจช่วงขาสั้นๆที่ต้องเดินบนรองเท้าส้นสูงยิ่งกว่าตึกใบหยกอย่างฉันซักนิดว่ามันแสนจะทรมาณแค่ไหน.ปกติก็เป็นคนเดินช้าจนเพื่อนๆเรียกว่าน้องเต่าอยู่แล้วพอมาสวมไอ้รองเท้าแก้วสูงประดับด้วยไข่มุกล้อมเพชรปลอมอย่างที่พวกไลโซอย่างฉันไม่มีวันได้เจอะเจอ...โอ้แม่เจ้า...นังแก้วรับไม่ได้....ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ใส่นี่แหละ...ฝึกเดินกับรองเท้าแก้วบ้าๆนี่สองวันเต็มๆเพราะไม่อยากให้คนบ้ารู้ว่าฉันไม่เคยใส่รองเท้าเดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงหน่ะสิ(ใครจะกล้าคิดออกจะสวยขนาดนี้?)...เท้าบางๆของฉันบวมปูดเหมือนใครเอาสำลีมายัดในรองเท้าจนมันบวมออกมาด้านนอก.นี่ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะกระโปรงสุ่มบานราตรีสีขาวช่วยบังเอาไว้หล่ะก็เนื้อเขียวๆม่วงๆคงชะแว๊บออกมาอวดโฉมนักข่าวให้ได้อายเป็นแน่(ยังดีที่ไม่เป็นแบบช้ำเลือดช้ำหนองคงได้อายกว่านี้).แม้จะเจ็บแค่ไหนฉันก็ต้องฝืนใจกัดริมฝีปากแกล้งเดินฉับๆตามแรงฉุดของคนด้านข้างพลางส่งยิ้มเหยเก(ไม่ตั้งใจแต่มันเจ็บเท้านี่นา)ให้กับกล้องราวกับตัวเองเป็นซุปเปอร์โมเดลก็ไม่ปาน.

    คุ๊ณณณ...ควายหายรึไง?

    ฉันเกร็งแขนของตัวเองที่ถูกเขาควงอยู่ดึงเขาหาตัวเองพลางพูดเบาๆกลัวคนอื่นได้ยิน.แต่คนที่เดินล้ำหน้าฉันนิดหนึ่งกลับหันมาเลิกคิ้วเหมือนไม่เข้าใจมุกของฉันซักนิดพลางจ้ำอ้าวเดินไปข้างหน้าต่ออย่างไม่มีทีท่าสนใจกับฉันนัก.

    เอ่อ...ฉันหมายความว่าเดินช้าๆได้ไหม?ฉันก้าวตามไม่ทัน.

    เท้าบวมๆในรองเท้าแก้วชะงักปุ๊บรองเท้าหนังที่เดินนำอยู่ก็เป็นอันต้องหยุดตามไปโดยปริยาย.ริมฝีปากหนาได้รูปยื่นเข้ามาใกล้ใบหูฉันพร้อมๆกับกลิ่นหอมอ่อนๆของผู้ชาย.

    ที่รัก,เราสายแล้วนะ...ถ้าเราไม่รีบงานประกาศหมั้นของเราจะถูกเลื่อน...และเมื่อถึงตอนนั้นพวกผู้ใหญ่ที่เขาอุตส่าห์ไปหาฤกษ์มาให้เราคงโวยวายน่าดู.

    เสียงแหบๆที่เขาตั้งใจแกล้งทำให้มันพร่าเป็นพิเศษแทนที่ฉันจะรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ฉันกลับรู้สึกแปลกๆปนขนแขนแสตนด์อับขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ...อึ๋ยยย....จั๊กจี้ชะมัด...

    แต่แหม...ปวดขานี่นา...กว่าจะซ้อมเดินให้เป็นสง่าบนรองเท้าแก้วนี่ได้ก็เกือบจะวิ่งรอบสนามฟุตบอลได้หลายรอบแล้วมั้ง.เมื่อคืนอาการก็ยังดีแต่พอเช้าวันนี้กลับจะงอแงนี่นา...เขาคงเห็นสีหน้าเบ้ๆของฉันกระมังถึงได้หันมามองหน้าฉันค้นคว้ามากขึ้นราวกับกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง.

    ก็...ฉันตื่นเต้นขาสั่นไม่มีแรงเดินต่อนี่นา...

    ให้ตายสิ...ฉันไม่อยากเล่นมุกนี้เลยพับผ่า.เสี่ยวสุดๆ.แต่ทำไงได้ไม่อยากให้เขารู้ความจริงมันก็ต้องเฉไฉกันบ้างสิ.ฮึ..แหนะ...อย่ามาทำตารู้ทั้นอย่างนั้นได้ไหม.ฉันไม่ปลื้ม.

    ถ้าคุณไม่เดินช้าลงละก็...แน่จริงก็อุ้มฉันไปสิ?

    ฉันปลดมือที่ควงแขนเขาออกพลางยกขึ้นทำท่ากอดอกกวนโมโหคนตรงหน้าแทน.

    อุ๊ย!”

    ท่าทางฉันมันคงไปกระตุ้นต่อมอะไรบางอย่างของเขากระมั้ง.พอฉันหลิ่วตาขึ้นไม่ถึงสองวินาที.มือขวาของขาก็ช้อนมาที่ขาพับฉันพร้อมกับมือซ้ายโอบมายังด้านหลัง,มือทั้งสองข้างทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม.โอ๊ยมายก๊อด...ใครจะนึกว่าหน้าตี๋ๆอย่างนี้จะเอาจริงกับเขาด้วยเล่า.บ้าจริง...

    ปล่อยสิคุณ!ไม่เห็นแสงแฟชรึไง?

    ฉันแว๊ดเสียงพร้อมกับตะหวัดขาไปมาเพื่อให้เขาหนักแล้วจะได้วางฉันลง.

    อยู่เฉยๆได้ไหม?ถ้าอายนักก็มุดหน้าลงกับอกผมซะ!”

    บ้าชะมัด...ถ้าฉันหน้าหนาละก็คงไม่ต้องทำตามที่คุณพูดหรอกแต่เผอิญหน้าฉันยังพอมียางบ้าง.ไม่งั้น...ไม่งั้น...ฉันก็ได้แต่คิดเท่านั้นแหละเพราะหลังจากที่เขาพูดฉันก็ซุกหน้าเข้ากับอ้อมอกกรุ่นน้ำหอมผู้ชายของเขาทันทีราวกับกำลังรอคอยคำสั่งจากสวรรค์กระนั้น.นานเท่าใดฉันก็ไม่แน่ใจนักพอรู้ตัวอีกทีร่างฉันก็ถูกวางลงบนเก้าอี้บนเวทีขนาดกว้างที่ถูกเตรียมอย่างหรูหราด้วยดอกกุหลาบบานสะพรั่งหลากสีไว้สำหรับให้สัมภาษณ์นักข่าวเสียแล้ว.

    เนื้อเรื่องสัมภาษณ์เป็นมาอย่างไรแบบไหนฉันแทบไม่รับรู้ทั้งสิ้น.ไหนจะเพราะภาษาที่ยังไม่แตกฉาน.ไหนจะอาการวูบวาบที่ร้อนไปทั่วหน้าฉันไม่กล้าเงยหน้าสบตากับใครได้แต่ก้มหน้างุด.หูอื้อตาลาย.พอมีใครถามถึงฉันหรือได้ยินชื่อของตัวเองเท่านั้นแหละฉันก็ได้แต่หันไปมองคนที่นั่งข้างๆด้วยสายตาเหรอหราและเขาก็เป็นฝ่ายตอบคำถามแทนฉันเป็นข้อๆอย่างฉะฉานน่าให้ตุ๊กตาทองคำซักโหล.มีครั้งหนึ่งที่สายตาเจ้ากรรมดันสบตาเข้ากับคนที่เขาเคยแนะนำฉันให้รู้จักในวันที่ลงจากเครื่องบินครั้งแรก,สายตาที่มองมายังฉันมันเป็นสายตาของคนที่ปลาบปลื้มยินดีจนฉันไม่กล้าปะทะจึงได้แต่ส่งยิ้มแบบนางสาวไทยให้พร้อมกับรีบดึงสายตามาอยู่ที่หน้าตักตัวเองและเป็นที่ที่ฉันคิดว่ามันปลอดภัยที่สุดสำหรับฉัน.ยังไม่ทันได้สงบจิตสงบใจเท่าใดนักจู่ๆฉันก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เย็นปนชื้นนิดๆสัมผัสแก้มที่เต็มไปด้วยแป้งเครื่องสำอางค์ยี่ห้อดี.ฉันรีบหันไปหาเจ้าสิ่งนั้นโดยอัตโนมัติ.ทำให้ไอ้เจ้าชื้นๆเปียกๆนั่นปะทะเข้ากับริมฝีปากฉันเรียกเสียงเฮได้จากคนเกือบทั้งฮอลล์.บ้าจริง...นี่เขาคิดว่าฉันเป็นอะไรถึงได้คิดจูบฉันอวดประชาชีแบบนี้(จริงๆก็คงแค่หอมแก้มแต่ฉันดันเป็นนางเอกขี้ตกใจนี่นา).แต่ก่อนที่ฉันจะได้สติส่งสายตานางสิงกินหัวคนทะเล้น,เขาก็หันกลับไปยิ้มรับแสงแฟชแก้มแทบปริ.

    คนหน้าไม่อาย,คนหน้าด้าน,คนผีทะเล ฯลฯ

    ฉันทำปากขมุบขมิบด่าเขาเบาๆแต่ดูเหมือนคนข้างๆจะไม่สะดุ้งสะเทือนนักนิด.ขณะที่ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวมือแข็งแรงก็ฉุดฉันให้ลุกขึ้น.

    ปะ...ไปไหน?

    ห้องกินเลี้ยง.

    เย้....ได้กินแล้ว....หลังที่อดข้าวมาตั้งแต่เช้าเพราะกลัวใส่ชุดไม่สวย.หิวจนแทบจะกินหมูได้ทั้งตัว.ให้ตายสิ...ขาเจ้ากรรมได้พักนั่งอยู่เก้าอี้เป็นเจ้าหญิงมาเกือบชั่วโมงพอถึงเวลาต้องเดินกลับเกงานไม่ยอมทำตามคำสั่งซะแล้วสิ.นายปาร์คจีซองคงจะรู้สึกถึงความผิดปกติครั้งนี้ที่ไม่อาจปิดให้มิดได้เพราะสายตาเขาดันเหลือบไปเห็นเท้าบวมๆที่โผล่ลอดกระโปรงซุ่มของฉันออกมาก่อนที่ฉันจะหาเรื่องแก้ตัวได้ทันหน่ะสิ.ชายหนุ่มตรงหน้าขมวดคิ้วพลางสบถออกมาเบาๆท่าทางไม่พอใจก่อนจะปล่อยมือฉันพร้อมกับก้มตัวลงนั่งขุกเข่าเอื้อมมือไปแตะเท้าฉันอย่างไม่รังเกียจ.แต่ทันทีที่มีสิ่งแปลกปลอมสัมผัสเท่านั้นแหละฉันถึงกับร้องโอ๊ยนั่งฟุบลงกับเก้าอี้ที่เพิ่งโดนคนตรงหน้าฉุดขึ้นเมื่อตะกี้ทันใด.ดีนะที่นักข่าวและแขกทั้งหลายเคลื่อนตัวไปรอที่ห้องงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้วไม่งั้นคงได้พาดหัวข่าวว่าดับอนาถคู่หมั้นสาวทายาทนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงหัวใจวายเพราะโดนพระเอกหนุ่มทิ้งเนื่องจากเป็นโรคเท้าช้าง...แบบนี้เป็นแน่.

    บะ..เบาๆหน่อยสิคุ๊ณณณ....เจ็บนะ!”

    คิ้วที่ขมวดมุ่นในตอนแรกดูเหมือนจะยุ่งจนผูกโบได้สวยเก๋เชียวแหละตอนนี้.

    คุณไปทำอะไรมา?

    ก็.....

    คงจะตอบไม่ทันใจวัยสะรุ่นอย่างเขากระมังถึงได้รีบเงยหน้าหรี่ตาตี่ๆให้ยิ่งเล็กลงไปกว่าเดิมอย่างคาดโทษ...บ้าชะมัด...ฉันไม่ใช่นักโทษนะจะได้มาคาดคั้นกันแบบนี้.

    ฝึกเดิน

    ฉันรีบตอบก่อนที่ตาเล็กๆของคนตรงหน้าจะเรืองแสงได้มากไปกว่าเดิม.

    ฝึกเดินห่าเหวประสาอะไร,ทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้?

    ก็ไอ้รองเท้าบ้าๆของคุณที่เอามาให้หน่ะสิ,สูงโคตร...รู้บ้างไหมว่าฉันต้องฝืนใจสวมมันเดินไปเดินมาในห้องเป็นร้อยๆรอบนานเกือบวันละสองชั่วโมงตั้งแต่ได้มันมา...คนยิ่งไม่เคยใส่พอใส่ก็โดนมันกัดแบบนี้แหละ....ใช่สิ...ฉันมันดันหาเรื่องใส่ตัวเองเองแหละ...ทำไงได้ก็คนมันอยากเดินเหมือนพวกโมเดลบนเวทีนี่นา.ถึงคุณไม่สั่งฉันก็อยากฝึกของฉันเอง...ชิ...เป็นไง...ได้รู้อย่างนี้พอใจรึยัง?

    ความรู้สึกนึกคิดข้างในถูกพรั่งพูเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากด้วยความอึดอัดที่ถูกเก็บกดมานานหลายวันตลอดช่วงระยะการฝึกเดินให้ดูสง่าอยากจะเป็นหงษ์แต่ดันกลายเป็นเป็ดเสียนี่.แต่แทนที่จะเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่น่าสงสารอย่างฉันเขากลับคลี่ยิ้มออกมาได้อีกแหนะ...คนบ้า.ฉันมองเขาตาเขียวปัด,เขากลับไม่สำนึก.มือที่แตะเท้าฉันอยู่นิ่งๆในตอนแรกเลื่อนไปดึกรองเท้าแก้วที่เขาเป็นคนหามาให้ถอดออกอย่างเบามือแต่กระนั้นฉันก็ยังแอบทำหน้าเบ้ด้วยความเจ็บไม่ได้.

    ถอดออกทำไมคะ?เรายังต้องไปห้องกินเลี้ยงอีกไม่ใช่เหรอ?

    ไป

    เขาพยักหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืนช้อนตัวฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่แทบทำให้ฉันคลั่งตายด้วยความหลงไหลเมื่อก่อนหน้านี้อีกครั้ง.

    คุณทำอะไรหน่ะ?

    พอฉันเงยหน้าปุ๊บก็เจอลูกคางมนที่ถูกเครื่องโกนหนวดจัดการซะเกลี้ยงเกลาทันที.ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยนัยตาพราวที่ก้มลงมาตอบฉัน.มันใกล้มากซะจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆที่เปล่ารดใบหน้าทำให้ฉันต้องก้มหน้าซุกอกอีกรอบ.

    ผมไม่ยอมให้มายสวีทฮาร์ทของผมต้องเจ็บตัวหรอกนะ

    นี่ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องละก็จะมีความสุขมากมายขนาดไหนนะ...

    พอพวกเราเข้าไปในห้องงานเลี้ยงปุ๊บเสียงปรบมือต้อนรับก็ดังสนั่นทั่วทุกทิศทางเปรียบประหนึ่งเปิดโฮมเทียเตอร์ไว้ทั่วบ้าน.เขาคงไม่เห็นแปลกกระมังถึงไม่มีใครทักท้วงที่คู่หมั้นหนุ่มอุ้มคู่หมั้นสาวมาแบบนี้.ไม่แน่อาจคิดว่าพวกเราเป็นคู่รักที่หวานชื่นปานจะกลืนกินก็ได้...เหอๆ...ขำตายหล่ะ.

    เอาหล่ะนะครับ,แขกผู้มีเกียรติ์ในที่สุดตัวเอกของงานในวันนี้ก็ได้มาถึงแล้ว.เชิญปรบมือต้อนรับพวกเขาทั้งคู่อีกครั้งนะครับ.

    เสียงตรบมือซา,ชายคนเดิมก็เริ่มทำหน้าที่พิธีกรต่อ.

    เอาหล่ะขอเชิญพระเอกนางเอกของเราเปิดฟอร์ได้ ณ บัดนี้....

    เท้าแข็งแรงที่ต้องแบกน้ำหนักของฉันเดินด้วยท่าทางมั่นใจไม่เข้าใจจิตใจสาวเหลือน้อยอย่างฉันซักนิดว่าขาฉันไม่อาจทำงานหนักได้อีกต่อไป.

    คุ๊ณณณณ.....จะบ้ารึไง?รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่อาจเต้นรำได้...ขาบวมจนนกกระปูดเรียกแม่....แล้วคุณยังจะใจร้าย...อยากให้ฉันขาพิการเลยรึไง?

    พิการได้ยิ่งดี...คุณจะได้อยู่กับผมได้ตลอดไปไงละ?

    แหนะ..ยังมาเลิกคิ้วหลิ่วตาทำเสียงแหบพร่า...นึกว่าเซ็กซี่ตายหล่ะ...น่าควักลูกตาวับๆนั่นเสียจริง.

    เฮ๊ย...ฉันพูดจริงนะ...

    อ้าวคุณ...แล้วผมพูดเล่นซะทีไหน....

    มือของเขาที่ค่อยวางฉันลงกับพื้นพร้อมๆกับเสียงดนตรีอ่อนหวานค่อยๆดังกังวาล.

    อ๊ะ!...คุณ....

    ฉันรีบเงยหน้าเอียงคอมองชายคนที่วางเท้าของฉันเหยียบบนเท้าของเขาแทนที่จะวางไว้บนพื้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเขานัก.

    อยู่เฉยๆเถอะ...ไม่ต้องขยับไปไหนทั้งนั้นแหละ...

    แล้วจะเต้นยังไง?เท้าฉันเล่นเหยียบคุณเอาไว้แบบนี้?

    คนตรงหน้ายิ้มขี้เล่นนิดๆใส่ดวงตาพิศวงงงงวยของฉัน.

    ก็อยู่นิ่งๆ...เดี๋ยวผมพาคุณเต้นเอง...

    อย่าบ้าได้ไหม? ฉันหนักตั้งเกือบห้าสิบกิโลเชียวนะคุณ...

    ให้ตายสิ...ยัยแก้ว...ทำไมตัวเองถึงได้เป็นคนดีห่วงว่าเขาจะหนักกับความเจ้าเนื้อของเจ้าหล่อนด้วยเล่า...เขาอยากเต้นก็ให้เขาพาเต้นไปสิ...อยากขาบวมเป็นเท้าช้างเหมือนฉันก็ให้เขาทำ...นี่ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ล่ะก็...มันน่าลดน้ำหนักตั้งแต่ก่อนมาเกาหลีแฮะ...

    ขณะที่ฉันกำลังมัวคิดนู่นคิดนี่สไตล์คนช่างฝัน.เท้าที่อยู่ด้านล่างฝ่าเท้าฉันก็เริ่มก้าวเป็นจังหวะเข้ากับเสียงดลตรีห้วงทำนองชวนหวั่นไหวภายในใจยิ่งนักจนฉันอดเผลอยกวงแขนกอดคอเขาพร้อมกับใบหน้าก็ซุกหน้าอกกว้างที่ให้ความอบอุ่นจนไม่อยากจะผละไปไหน.กระโปรงบานทรงซุ่มสมัยนิยมของเจ้าสาวทั่วๆไปปิดเท้าของฉันทำให้คนภายนอกไม่อาจรู้ได้ถึงความน่าอัศจรรย์ใจของการเต้นรำของเราในครั้งนี้.ช่วงขาเรียวของเขาแนบช่วงขาที่สั้นกว่าของฉัน.ความร้อนใต้ร่มผ้า,กลิ่นน้ำหอมและบรรยากาศโรแมนติก...ให้ตายสิ...ถ้ามันเป็นความฝันละก็...ฉันก็อยากจะขออยู่อย่างนี้ตลอดไป.

    .............................
    เย้ๆๆๆๆๆๆๆ เอามาลงแล้ว....เฮือก...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×