ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝันรักกรุงโซล - Oh-my daring

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 50


    ตอนที่สาม

     

    อึก......เฮ้อ.....ร้องจนเหนื่อย

    ฉันมองฝาผนังฝากหนึ่งของห้องน้ำที่ปูด้วยพื้นกระจกทั้งด้าน.ในนั้นมันสะท้อนภาพหญิงสาวคนหนึ่ง,หน้าตาท่าทางคล้ายฉันแต่ไอ้ตาบวมตุ่ยกับใบหน้าซีดเผือดที่ไม่ได้ผ่านน้ำสะอาดชำระล้างเกือบทั้งวันนี่สิ.บ้าชะมัด...ถึงฉันจะหน้าตาไม่สวยแต่ฉันก็ไม่เคยโทรมอะไรสุดๆแบบนี้มาก่อนในชีวิต.ด้วยจิตสำนึกที่ยังรักสวยรักงามของสาวไทยวัยไม่กระเตาะทำให้ฉันรีบเปิดก๊อกน้ำ(ขนาดก๊อกน้ำยังแอบเป็นสีเงินวาวแซมด้วยลายดอกสีชมพูอีกแหนะ...อีคุณแก้วแทบบ้าเจ้าค่า)บนอ่างล้างหน้าที่ถูกสร้างติดกับกระจกเงานั่นพร้อมใช้สองมือรองน้ำที่แย่งกันไหลทะลักซู่ๆออกมาผิดกับก๊อกน้ำของหอพักสมัยยังทำงานอยู่ชะมัด.แต่ละหยดกว่าจะค่อยๆกระมิดกระเมี้ยนออกมาได้ฉันแทบหาฆ้อนหรืออะไรก็ได้ซักอย่างมาทุบมันให้หายอึดอัด.เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาน้ำใสๆเต็มอุ้งมือน้อยๆของฉันก็ถูกกวักใส่หน้าเสมือนตัวเองเป็นนางเอกในโฆษณาโฟมล้างหน้ากระนั้น.สายน้ำนั้นมันยังไม่สามารถชะล้างความอึดอัดที่ปะทุขึ้นจุกลิ้นปี่ได้กระมังฉันจึงได้เงยหน้าขึ้นเอื้อมมือไปหมุนก๊อกสายบัวที่อยู่ใกล้ๆกับอ่างน้ำนั้นทันที.ขณะที่น้ำเย็นช่ำกำลังชะโลมกายฉันอยู่นั่นเองหูของฉันก็ดั้นได้ยินเสียงแกร๊กๆราวกับมีใครเปิดประตูห้องที่อยู่ฝั่งซ้ายมือฉันกระนั้น.ด้วยความตกใจฉันจึงยืดตัวขึ้นหันควับไปยังต้นตอของเสียงทันที.

    โอ๊ะโอ....ที่รัก......โทษทีนะ.ผมเคาะประตูแล้วแต่คุณเล่นไม่ตอบผมก็นึกว่าคุณคงหนีไปแล้วก็เลย........

    ให้ตายสิ.พระเจ้าช่วย.คนบ้า....ถึงในใจจะต่อว่าต่อขานเขาแต่ความเป็นจริงฉันกลับทำแค่ยักไหล่เลียนแบบพวกฝรั่งตาน้ำข้าวแกล้งทำเป็นไม่แคร์กับการมาของเขาสักนิด.

    อ๋อหรอ?พอใจแล้วสินะ.ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังฉันยังอยู่ดีมีสุข.ไม่ได้หนีไปไหน.ถ้าเห็นชัดเต็มสองตาตี่ๆของคุณแล้วละก็...กรุณาออกไปรอข้างนอกได้ไหม?

    ฉันมองตามลูกตาที่แฝงแวววิบวับประหลาด...โอ้มายก๊อดดดดดดดดดดดด.......เสื้อผ้าที่ใส่มาตอนขึ้นเครื่องของฉันบัดนี้มันเปียกลู่แนบลำตัวแทบจะเห็นสัดส่วนสามสี่ยี่สี่สามห้า(เว่อร์ไป)ของฉันหมดดดดดด...หมด...หมดกัน...แต่ความทนงที่ซ่อนอยู่กับความดื้อรั้นในตัวถึงแม้ว่าฉันจะอายแทบเอาหน้ามุดโถชักโครกในห้องน้ำหนีหน้าเขาแต่ฉันก็ไม่อยากทำตัวเหมือนนางเอกทั่วๆไปที่มักจะต้องทำเขินแกล้งให้พระเอกเอ็นดูจึงยืดหน้าอกขนาดมินิ๊รุ่นพกพาโชว์ให้เขาเห็นเต็มตาพลางส่งสายตาเป็นทำนองว่าอยากมองก็เชิญ.อีนางแก้วคนนี้ไม่กลัวดอกจะบอกให้ท้าทายเขาซะงั้น.พอเห็นท่าทางก๋ากั่นสไตล์ลูกสาวกำนัลอย่างฉันเข้า,มุมปากสองข้างของเขายกขึ้นเล็กน้อยพร้อมๆกับคิ้วเหนือนัยตาขี้เล่นถูกเลิกสูงขึ้นข้างหนึ่ง.

    โอเค...ผมรอข้างนอกละกันคนสวย...อย่าให้ผมรอนานรีบๆทำธุระให้เสร็จเร็วๆนะคร๊าบบ...

    พอหางตาฉันเห็นบานประตูถูกปิดลงปุ๊บขาของฉันก็อ่อนระทวยร่างทั้งร่างค่อยๆรูดลงกับพื้นพร้อมๆกับเสียงหัวเราะราวกับคนถูกใครจี้ดังลอดผ่านช่องประตูแง้มนิดๆเพราะปิดไม่สนิทนั่น.ให้ตายสิ.ไม่เคยฟังเสียงหัวเราะใครแล้วเกิดอารมณ์อยากเป็นฆาตรกรแบบนี้มาก่อน....ฮืมๆๆๆ...อยากระบายความแค้นที่ฝั่งแน่นในอกทุบพื้นดังปึงปังแต่ก็ไม่กล้ากลัวคนข้างนอกรู้.เสียฟอร์มที่ทำเป็นไม่แคร์เมื่อกี้หมด.ชิ......ฉันที่ได้แต่ฟึดฟัดทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ดึงเอาหัวสายฝักบัวเคาะศีรษะตัวเองดังโป๊กๆ(เคาะเบาๆกลัวคนข้างนอกได้ยิน...แฮะๆ...จริงๆแล้วกลัวเจ็บต่างหาก)

    ฉันยังอ้อยอิ่งอาบน้ำประชดซะเลยทั้งๆที่ตอนแรกแค่อยากจะล้างหน้าให้สดชื่นแต่ไหนๆก็เปียกขนาดนี้แล้วอาบน้ำแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่ายังมีหนุ่มหล่อหน้าตาตี๋ๆชวนให้คนสาวไทยอย่างฉันหลงไหลรออยู่ด้านนอก.

    คุ๊นนนน......บ้านผมน้ำท่วมแล้ว!!!”

    เออแหะ...คนอะไรใจร้อนชะมัด...รอสาวๆหน้าตาดีๆ(?)อย่างฉันแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงจะเป็นไรยะ(ก็แค่ครึ่งชั่วโมงเอง.พูดซะเว่อร์เชียว)...ฉันที่อาบน้ำจนแทบซีดไปทั้งตัวเดินไปคว้าผ้าขนหนูสีชมพูอ่อนที่ถูกพับเรียบร้อยในชั้นเก็บของอีกฝากห่างประมาณสองเมตรเห็นจะได้เช็ดตัวให้แห้งทันที.ชิ...ลืมไปสนิท...ฉันไม่ได้ตังใจจะอาบน้ำนี่นา...เสื้อผ้าก็อยู่ข้างนอก...แล้วทีนี้จะทำไงดีละ...นี่ถ้ารูปร่างฉันอวบอิ่มเหมือนพวกนางสาวไทยละก็...คอยดูสิ...ฉันจะเดินออกไปข้างนอกโทงๆทั้งๆที่ยังใส่ผ้าขนหนูผืนเดียวเชิดหน้าเหมือนพวกนางแบบให้ดู....ฮึมๆ...

    ออกมาได้รึยังงงงง.........

    เสียงห้าวกวนอารมณ์ของเขาดังขึ้นเป็นรอบที่ร้อยแปด...เอาก็เอาวะ...สาวน้อย(?)เลือดอีสานสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกก่อนที่จะเปิดประตูเดินกระมิดกระเมี้ยนสองมือจับปมผ้าไว้ไม่ให้หลุด.ทันทีที่เหลือบไปเห็นสายตาที่เต้นระริกนั่นมันก็ยุให้ฉันต้องยืดอกเดินหลังตรงแต่ทว่ามันก็ทำได้เพียงสามสิบวินาทีเท่านั้น...เพราะพอเวลาผ่านไปฉันก็เดินหดๆผ่านหน้าชายหนุ่มไปยังกระเป๋าเดินทางใบย่อมของฉันทันที.

    เอาหล่ะ...เรามาคุยกันใหม่.เอาแบบดีๆนะคุณ...ไม่ชวนทะเลาะ.

    เขาชูสองมือยกขึ้นสูงเหมือนผู้ร้ายทำท่ายอมแพ้ตอนถูกตำรวจต้อนกระนั้น.ชิ...อยากจะบ้า...แล้วทำไมต้องมาคุยตอนนี้ด้วยเล่า.ขอฉันแต่งตัวก่อนไม่ได้รึไง.

    กะ...ก็ได้...แต่ขอให้คุณออกไปจากห้องนี้แล้วค่อยเข้ามาใหม่ได้ไหม?..คะแค่สิบนาทีเอง.

    ฉันรีบพูดประโยคต่อไปทันทีที่เห็นเข้าหลี่ตาเหมือนไม่อยากจะยอมรับข้อเสนอของฉัน.เฮ้อ...ทำไมฉันต้องมาเปลืองตัวกับคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันไม่ถึงสิบชั่วโมงอย่างนายด้วยเนี๊ยะ...ค่าดอง(ค่าตัว)ของฉันตกหมด...พอเขาหันหลังเดินเปิดประตูออกไปปุ๊บฉันก็รีบวิ่งแจ้นตามไปกดล๊อคประตูทันที.แหม....ก็รู้อยู่หรอกนะว่าห้องนี้...บ้านนี้...มันเป็นของเขา...แต่ฉันก็อยากป้องกันตัวเองอีกชั้นี่นา.เพื่อความสบายใจ.ขณะที่ฉันกำลังจะหมุนตัวกลับไปยังกระเป๋าใบเดิมหูฉันก็ได้ยินเสียงอีตาบ้าคนเดิมดังผ่านหน้าประตูห้อง.

    หนึ่งนาทีผ่านไป.........

    อีตาบ๊อง!!!”

    เขาคงได้ยินเสียงสบถของฉันที่ไม่ได้เบาเลยซักนิดนั่นกระมัง.วินาทีต่อมาฉันจึงได้ยินเสียงระเบิดหัวเราะของอีตาบ้านั่นที่ดังลั่นราวกับกลัวว่าฉันจะไม่ได้ยิน,และมันยังได้ทวีความดังขึ้นเรื่อยๆ.....คนบ้า!ไปลงนรกซะไป๊!ให้ตายสิ...ฉันไม่ใช่คนหยาบคายและด่าคนได้บ่อยขนาดนี้ซักนิด.แล้วความตั้งใจของฉันที่จะทำตัวให้จมอยู่กับความเศร้าและเดียวดายก็ต้องพังทลายเพราะหมอนั่นคนเดียวแท้ๆ.ฉันได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว.

     

    สิบนาทีต่อมาร่างหนาๆของชายตัวโตที่เข้ามานั่งอยู่บนเตียงสีชมพูหวานแหว๋วนั่นแบบไม่มีอาการขัดเขินแต่ก็ไม่ทำให้ขัดตาฉันซักนิด.อาจเป็นเพราะผิวขาวๆอมชมพูอย่างคนมีสุขภาพดีของเขากระมังที่ทำให้ดูกลมกลืน,เขาคนนั้นกำลังกอดอกเอียงคอนั่งนิ่งจ้องหน้าฉันกว่าห้านาทีโดยที่ไม่เอ่ยปากพูดอะไรซักนิด.และมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดจนแทบจะนั่งบนเก้าอี้หน้าคอมฯที่ห่างจากเขาประมาณหนึ่งเมตรไม่สงบ.

    บ้าจริง! คุณจะมองหน้าฉันทำไมนักหนาฮึ?

    น้ำเสียงหงุดหงิดปกปิดความขัดเขินที่ปะทุอยู่ภายในก้นบึ้งของเสียวหัวใจ.แหม...จะไม่ให้ฉันรู้สึกอย่างนี้ได้ไง.ตั้งแต่แตกเนื้อสาวเปรี๊ยะๆ...ยังไม่เคยมีชายใดนั่งมองหน้ากันอย่างนี้มาก่อนนี่นา...

    คุณก็...ขอผมดูคุณให้ละเอียดๆหน่อยไม่ได้รึไง?ถ้าผมยังไม่ประทับตัวคุณไว้ในความทรงจำของผมละก็...ผมอาจเข้าใจผู้หญิงคนอื่นเป็นคุณอีก...เหมือนที่ผมเคยเข้าใจผิดมาก่อน...คราวนี้ก็แย่สิคุณ.

    ชายตรงหน้าพูดพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉันเป็นเชิงล้อเล่นพร้อมกับยังจ้องหน้าฉันนิ่งไม่เลิก.

    ก็ช่างคุณสิ...ยิ่งคุณจำคนผิดคนอีก...ฉันก็จะได้ไปที่ชอบๆของฉันซะที.

    ฉันเชิดหน้าพร้อมกับพูดเสียงขึ้นจมูกนิดๆบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่แคร์ซักนิด.

    แต่ข้อเสนอของผมมันก็เป็นประโยชน์กับคุณไม่ใช่หรอ?อย่างที่คุณบอก...คุณต้องการมาเที่ยวพักผ่อนที่เกาหลีสามเดือน...ไหนๆก็เป็นการประหยัดค่าที่พักสำหรับคุณ,คุณก็อยู่ที่นี่...ช่วยผมแสดงละคร...ผมก็ช่วยคุณ,พาคุณไปเที่ยวถ้าผมมีเวลาไง...แค่สามเดือน,สามเดือนเท่านั้น...แล้วค่าใช้จ่ายตลอดสามเดือนผมก็จะเป็นสปอนต์เซอร์ให้คุณเอง

    ให้ตายสิ,สมกับเป็นนักธุรกิจจริงๆ....คงเดาได้ละสิว่า...นั่นคือจุดอ่อนของฉัน...ถ้าเขากำลังตกเบ็ดอยู่ละก็...ขอบอกว่ามันใช้ได้ผลเชียวหล่ะ.ก็ใช่ว่าฉันไม่มีเงินหรอกนะ...ฉันมี...มีพอสามเดือนด้วย...แต่แหม...ความโลภของมนุษย์ปถุชนเดินดินธรรมดา...ใครๆก็ต้องเอาละน้า...ของฟรีนี่นา...ยิ่งคนอย่างฉันยิ่งชอบไปใหญ่...เฮ้อ...

    อะแฮ่ม...ก็...ก็ได้...ตกลง...ว่าแต่ว่าฉัน อุ๊บ!”

    ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค,คนบ้าตรงหน้าก็ใช้มือแข็งแรงกว่าฉุดมือที่ใช้รองคางมองเขาตาปริบๆของฉันดึงกระชากเข้าหาเขาฉันต้องสละเก้าอี้ตัวน้อยนั่งสบายถลาชนกับหน้าอกกว้างอย่างแรง.

    อู๊ยยยย...ชิ,คุณทำบ้าอะไรกันฮึ?

    ทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นตะหวาดเขาเสียงดัง.เขาก็ก้มหน้ามองริมฝีปากฉันนัยตาพราว.

    ฮึๆ...คุณตกลงแล้ว...เพราะฉะนั้น...จากนี้ไปสามเดือนคุณคือแฟนผม.กฏข้อแรกของการเป็นแฟนกัน.ต้องอยู่ใกล้ชิดกันตลอดเพื่อไม่ให้คนอื่นที่เห็น,ไม่ว่าในที่ลับหรือที่นอกเราต้องแนบเนียนเสมอ.สอง,การถึงเนื้อถึงตัวเป็นเรื่องธรรมดาของคู่รัก.และสาม...ผมเป็นคนขี้หนาวดังนั้นคุณต้องให้ความอบอุ่นผมเสมอ.

    ขณะที่เขาพูดอธิบายกฏบ้าบออะไรอยู่นั่นเองฉันก็พยายามใช้แรงน้อยๆที่มีอยู่กับตัวของตนให้ลุกขึ้นมาจากหน้าตักอุ่นที่ฉันนั่งเกยอยู่และมันอดทำให้ฉันใจเต้นตูมตามตามจังหวะหัวใจที่ได้ยินของคนตรงหน้าไม่ได้,มันเสียงดังจนทำให้ฉันไม่อาจฟังเสียงแหบทุ้มของเขาที่มีชื่อว่าปาร์คจีซองได้ถนัด.

    บ้า! ฉันตกลงจะแกล้งทำ...ไม่ใช่จะให้คุณมาเอาเปรียบฉันได้ง่ายๆแบบนี้นะ!”

    ฉันแว๊ดเสียงดังทำให้เขาผงะหน้าหนีออกไปนิดก่อนจะหันหน้าส่งสายตาเข้มดูดุนิดๆให้กับฉัน.

    ถ้าขืนคุณยังพูดเสียงดังทำลายประสาทหูของผมอย่างนี้อีกต่อไปละก็....ผมจะจูบคุณ...

    บ้า!”

    ฉันรีบพูดใส่หน้าเขาแต่ทว่าไม่กล้าทำเสียงดังเหมือนเดิม.

    ก็แหม~ ผมไม่มีวิธีอื่นนี่นา...คุณก็รู้

    ปาร์คจีซองยกตัวฉันขึ้นพลางเดินนำไปด้านประตูไม่ยอมปล่อยมือฉัน,ทำให้ต้องรีบสาวเท้าตามคนบ้าเอาแต่ใจ.

    เฮ้...คุณจะพาฉันไปไหน!”

    เขาเดินดุ่มๆไม่หยุดชะงักเท้าพลางเอ่ยตอบคำถามฉันเบาๆ.

    ก็แม่บ้านผมบอกว่าคุณยังไม่ได้ทานข้าวเลยไม่ใช่รึไง?ผมก็กำลังจะพาคุณไปทานเข้าหน่ะสิ

    ปล่อยมือฉันนะ,ฉันเดินของฉันเองได้.

    ฉันพูดเบาน้ำเสียงขุ่นไม่ค่อยกล้าหือกับคนตรงหน้ามากนักเดี๋ยวเขาหันมาจูบฉันอีกหล่ะ...คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน....ดีไม่ดีอาจคิดว่าฉันให้ท่าละจะแย่....ฮึมๆ.

    อะไรนะ?

    คนตัวโตที่เดินจูงมือฉันอยู่ด้านหน้ายกมือแนบหูเอียงคอยื่นเข้ามาใกล้ริมฝีปากฉันราวกับจะให้ฉันพูดกระซิบที่ริมหูเขากระนั้น.เชอะ...ถ้าไม่เกรงใจละก็...เกรงใจนะ...เกรงใจไม่ใช่กลัว...ฉันคงตะคอกใส่แก้วหูเขาแล้วหล่ะ...แต่ในความเป็นจริงฉันกลับทำได้เพียงแค่พูดซ้ำประโยคเดิมด้วยน้ำเสียงเดิมให้คนทะเล้นนี้หัวเราะหึหึชอบใจ...ทีใครก็ทีมัน...ฮืมๆ...อย่าให้ถึงตาฉันบ้างก็แล้วกัน.แต่แทนที่เขาจะเอ่ยตอบแบบธรรมดาๆทั่วไปเขากลับเอี้ยวหน้ามาจ้องตาฉันพร้อมกับกระซิบตอบด้วยเสียงแหบ,ริมฝีปากเขาห่างจากริมฝีปากฉันแค่ไม่กี่เซนต์.รมหายใจร้อนๆเป่ารดจมูกจนฉันแทบจามออกมาด้วยความรู้สึกขันนิดๆ.

    ไปกินข้าว

    คิ้วของคนบ้าปาร์คจีซองเลิกขึ้นพร้อมกับรอยบุ๋มที่แก้มเมื่อมองเห็นเลือกฝาดที่ปรากฏบนใบหน้าฉัน.ให้ตายสิ...ก็เล่นหันหน้ามาชิดซะขนาดนี้,ไอ้เราก็นึกว่ามีเรื่องลับลมคมในอะไร...ที่ไหนได้...แค่กินข้าวเนี๊ยะนะ...ฮึมๆ...เชิญ...เชิญ...เชิญหัวเราะให้เต็มที่เลย...คนบ้าอะไร...แกล้งได้แกล้งเอา.

    ฉันมัวแต่โกรธคนตรงหน้าจนแทบไม่รู้ว่ามาถึงโต๊ะอาหารได้อย่างไร,พอรู้สึกตัวอีกทีมือที่จูงฉันอยู่เมื่อกี้ก็เปลี่ยนมากดไหล่ฉันให้นั่งลงซะแล้ว.

    โอ้โฮ...โต๊ะกินข้าวบ้าอะไร...ยาวโคตร...

    ฉันอดอุธานออกมาเป็นภาษาไทยไม่ได้ด้วยความลืมตัวพอเงยหน้าอีกทีก็เห็นคนที่เดินไปนั่งตรงข้ามฉันกำลังขมวดคิ้วเข้มมองหน้าฉันอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก.อะไรหว๋า....ฉันไปทำอะไรขัดใจท่านเทพตั้งแต่เมื่อไหร่เนี๊ยะ.

    ผมขอเตือนกฏข้อต่อไป....ห้ามพูดภาษาไทยต่อหน้าผม...

    คราวนี้ถึงรอบคิ้วฉันผูกโบบ้าง.ให้ตายสิ...ปากฉัน...ภาษาแม่ของฉัน...ทำไมนายต้องบังคับกันขนาดนั้นด้วย...ฉันทำปากยื่นแสดงให้คนตรงหน้ารู้ว่าฉันไม่ก็ไม่พอใจเป็นเหมือนกัน.

    ทำไมฉันจะพูดไม่ได้?...

    ตาเล็กเรียวหลี่ลงพลางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบผิดกับตอนที่อยู่ด้วยกันข้างบน.

    คุณมาที่นี่....เพื่อท่องเที่ยว...และคุณก็เป็นนักเรียกเอกภาษาเกาหลี...คุณพูดภาษาเกาหลีได้...ถึงจะไม่คล่องนักแต่ก็ถือว่าใช้ได้ไม่เลว...การที่คุณพูดภาษาที่คนอื่นไม่เข้าใจ...สำหรับคนที่นี่แล้วถือว่าเป็นการไร้มารยาท.เพราะเราไม่รู้ว่าคุณแอบด่าเราหรือเปล่า.ถ้าคุณจะด่าก็ให้ด่าเป็นภาษาเกาหลี...คนที่นี่รับความจริงได้.แล้วมันก็เป็นผลดีสำหรับคุณเพราะมันจะทำให้คุณได้ฝึกพูดภาษาที่คุณได้เคยร่ำเรียน.และมันจะทำให้คุณเก่งขึ้น.

    ปาร์คจีซองพูดจบก็ยกมือขึ้นทำสัญญาณอะไรบางอย่างให้กับป้าแม่บ้านคนเดิมที่ฉันเคยเห็นหน้ายืนอยู่ด้านข้างของเขาอย่างสงบเตรียมรับคำสั่ง.ปล่อยให้ฉันทำปากขมุบขมิบเลียนแบบคนตรงหน้าโดยที่เขาก็ไม่ได้เอ่ยประท้วงซักนิด.คนบ้า...อยู่ๆก็ลมเพลมพัด...สงสัยจะเป็นลมบ้าหมูกำเริบ.

    ไม่นานนักอาหารที่ถูกทยอยมาตรงหน้าฉันก็ส่งกลิ่นหอมหวนชวนลิ้มจนท้องว่างๆของฉันแย่งกันร้องประทวงโครกครากเสียงดังทำลายบรรยากาศอันชวนอึดอัดที่คนตรงหน้าสร้างขึ้นทันที.

    แฮะๆ....ก็ฉันยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้านี่นา....

    ชายหนุ่มหน้าตี๋เสป็คสาวไทยยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือที่เข็มสั้นชี้เลขหกเข็มยาวชี้เลขสิบสองพร้อมกับขมวดคิ้วมุ้นไม่ได้หัวเราะเสียงท้องของฉันที่ดังยิ่งกว่าตลาดสดราวกับมีใครซักคนไปแหย่ให้อารมณ์ขุ่นกระนั้น....ฉันป่าวนา....

    สีสันและกลิ่นของอาหารตรงหน้ามันยั่วน้ำลายฉันจนแทบลืมมารยาทผู้ดีที่อยู่ในตัวฉัน,หยิบช้อนได้ปุ๊บฉันก็ตักน้ำสีส้มๆปนแดงขึ้นใส่ปากทันที.

    อุ๊บ!”

    ด้วยความตระกะเล่นเอาลิ้นฉันแทบพิการ...ให้ตายสิ...แกงอะไรร้อนชิบ...ฉันแอบเหลือบมองคนตรงหน้าแต่ก็เห็นเขารับประทานอาหารด้วยความเรียบร้อยไม่สนใจกับท่าทางหิวโหยราวกับขอทานผู้หิวโซของฉันแม้แต่หางตาเรียวๆก็ไม่เหลือบแลมา....เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว...กว่าฉันจะพูดกับเขาอาหารก็หมดจานพอดี...

    เอ่อ...คุณปาร์คจีซอง....ไอ้นี่มันเรียกว่าอะไรคะ?อร่อยดี....รสชาดคล้ายแกงส้มอาหารไทยเลยอ่ะ...

    บูแดจีแก

     (มันมีรูปร่างหน้าตาแบบในภาพนี่แหละค่ะ...แต่รสชาดเหมือนแกงส้มจริงๆนะ...ถ้าใครได้ไปเกาหลีหล่ะก็..เชิญลองชิมได้ค่ะ.)

    คนบ้า...คราวนี้หล่ะทำเป็นขรึมเชียว...ไม่ชวนพูดก็ได้ถ้านายไม่อยากพูดนักหล่ะก็...ขณะที่ฉันกำลังใช้ซ่อมจิ้มสตอร์เบอรี่ผลไม้ฤดูหนาวทีป้าเอามาให้เมื่อเห็นฉันทานข้าวหมดจาน,นายปาร์คซีซองก็เอ่ยถามขึ้นมาทำให้ฉันถึงกับชะงักอริยาบทของตัวเองพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย.

    เต้นรำเป็นรึเปล่า?

    ทำไมคะ?....ทำไมจะไม่เป็นโอย...รำวงอ่ะ...ขอให้บอกอีแก้ว....เท้าไฟเบอร์หนึ่งเลยหล่ะคุ๊นนนน....พูดแล้วจะหาว่าคุย...งานวัดจัดที่ไหนต้องมีอีแก้วคนนี้พ่วงด้วยตลอดเดี๋ยวจะไม่หนุก...คิกๆๆ.

    ฉันก็พูดยั่วโมโหเขาเล่นเท่านั้นแหละ...ใครจะบ้าเต้นรำวงกันหล่ะเดี๋ยวนี้...แต่ท่าทางเขาจะไม่เข้าใจมุกฉันแฮะ...คิ้วเข้มๆบนใบหน้าขาวขมวดเข้าหากันราวกับกำลังใช้ความคิดตามคำพูดติดมุกตลกของฉัน.

    ผมไม่เข้าใจหรอกนะว่าคุณหมายความว่าไง.แต่คงเพราะยังไม่ค่อยชินกับภาษาเกาหลีนัก...สรุป...คุณเต้นรำได้?

    คนบ้า...ทีอย่างนี้หล่ะ...อารมณ์ขันไม่มีเชียว...

    เปล่า...ฉันเคยเต้นแต่แบบเย้วๆ ดิ้นไปดิ้นมาที่ดิสโก้เธคแถวๆบ้านเท่านั้นเอง...ถ้าคุณหมายถึงเต้นรีลาศละก็...เหอๆ...ขอบอกตามตรงถึงแม้มันจะไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่...ฉัน.....เต้น......รำ.....ไม่เป็น...จบ.

    ฉันเห็นเขาอึ้งไปนิดพร้อมกับมองมาด้วยสายตาที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองผุดมาจากหลังเขากระนั้น.ให้ตายสิ...คนอะไร....เหมือนกับที่เขาพูดๆกันมาชะมัด...ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ...แสดงสายตาเก่งชิบ...

    ก็แหม...คุ๊นนนน...จะให้ฉันเต้นรำเก่งได้ไง....เคยเรียนลีลาศสมัยม.ปลายแค่เทอมเดียว...นี่ก็ผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว...ใครจะจำได้เล่า...

    ไม่ได้พูดแก้ตัวนะ...แต่นี่คือความจริงแบบสุดๆแล้วโว้ย...อย่ามามองหน้ากันแบบไม่เชื่ออย่างนั้นสิ.ฉันเห็นเขาแอบถอนหายใจพลางมองหน้าฉันด้วยดวงตาพราวเหมือนมีเลศนัย....ให้ตายสิ...แสดงว่าไอ้อาการขรึมๆเมื่อกี้...นายแกล้งฉันให้อึดอัดเล่นใช่ไหม....ฮืมๆ...

    งั้นเดี๋ยวเราคงต้องเข้าครอสกันหน่อยหล่ะ....อาทิตย์เดียวพอไหม?

    บ้า!”

    ฉันจ้องตาเขาเขม็งไม่ยอมหลบ.

    เรื่องอะไรฉันต้องเรียนเต้นด้วย?ฉันมาเที่ยวนะไม่ได้มาเรียนเต้น....

    คำตอบต่อมาของคนตรงหน้าเล่นเอาฉันทำตาโตอ้าปากหว๋อเลยทีเดียว.

    เตรียมงานหมั้น,อีกหนึ่งอาทิตย์ที่จะถูกจัดขึ้นหน่ะสิ.

    หมั้น???

    หมั้น..........หมั้น......บ้าไปแล้ว........ตอนที่ตกลงกันไม่เห็นบอกซักนิด.......หมั้น???? โอมายก๊อด...อกอีแก้วจะแตก........หูฉันฝาด...หูฝาด...หูฝาดแน่ๆ.......

    ................
    ปล.คนเขียนอยากเอามาลงบ่อยๆอยู่นะคะ...แต่คอมฯที่บ้าน เก่ามาก...ต่อเน็ตไม่ค่อยติดหน่ะคะ...ก็เลยรำคาญ...โทษทีนะคะ...แงๆ
    ขอบคุณที่ติดตามค่ะ...ตอนแรกกะว่าจะไม่เอามาลงแล้ว...เพราะกลัวไม่มีคนอ่าน...กะว่าแต่งเสร็จจะลองส่งสำนักพิมพ์ทีเดียวเลย...แต่เห็นมีคนอ่านอย่างนี้...สู้ตาย....จะพยายามต่อเน็ตให้ติดนะคะ..จะได้เอามาลงเรื่อยๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×