คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
ตอนที่สอง
“ตื่น!”
“ฮื้อออ....”
“ผมบอกให้คุณตื่นเดี๋ยวนี้!”
จู่ๆก็มีมือแข็งแรงของใครบางคนกระชากไหล่ฉันดึงขึ้นมาจากความฝันแสนหวานของหญิงสาวทุกคนที่ปราถนาจนศีรษะฉันโยกคลอนไปมาตามแรงของคนหยาบคายเบื้องหน้า.ดวงตาที่ยังสะลึมสะลือเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ.
“ไรวะ?”
เสียงฉันขุ่นอย่างปิดไม่มิด.
“คุณเป็นใคร?”
เสียงห้าวตะคอกฉันซะแก้วหูแทบแตก.
“อ้าว? ฉันก็คือคนที่คุณลากมาเมื่อตอนเช้าตรู่ที่สนามบินอินชอนไงละ?”
“ผมรู้แล้วว่าคุณคือคนเมื่อเช้าแล้วคุณก็ไม่ใด้ชื่ออามีอย่างที่ผมเข้าใจในตอนแรก...คุณ...บิด...เบือน...คุณทำให้ผมเข้าใจผิด....พูดง่ายๆคุณไม่ใช่คนที่ผมทำสัญญาว่าจ้าง.”
ไอ้รูปหล่อนี่ท่าจะบ้าแฮะ ก็นายแหละเป็นคนลากฉันมา แถมยังบอกว่าเดี๋ยวกลับจากประชุมค่อยคุยกันแล้วนี่อะไรวะ จู่ๆก็พูดเรื่องอะไรอีกละ ฉันละงงจริงๆพับผ่าสิ.
“ใครกับคุณละจะไปรู้,ก็คุณเป็นคนบอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลังฉันเองนี่นา แล้วไงจู่ๆเป็นงี้”
ฉันพูดตะคอกเสียงดังไม่แพ้คนตรงหน้าใส่เขาเป็นชุดด้วยความโมโหแต่เขาคงฟังไม่เข้าใจที่ฉันพูดกระมังถึงได้ทำท่างงเป็นน้องพี(หลานตลกค่ะ)แบบนั้น.ฮึๆ คงอึ้งกับแกรมม่าภาษาเกาหลีเกรดซีของฉันละสิ...หึหึหึ..สมน้ำหน้า...(ฉันหรือเขากันแน่เนี๊ยะ)
“คุณพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ ช่วยพูดภาษาคนให้คนเข้าใจหน่อยได้ไหม?”
หนอยแหนะ....ใครกันพูดจาภาษาคนไม่รู้เรื่อง ถึงฉันจะได้เกรดซี แต่ได้เพราะสอบไม่เก่งหรอกยะ แต่ชั่วโมงสปีคกิ้งฉันสู้ตาย...ก็ใครใช้ให้มาปลุก
“ฉันบอกว่าฉันไม่รู้...ก็ คุณ เป็น คน ลากกกกก ฉัน มา เอง นี่นา...”
พอฉันพูดช้าๆและเน้นเสียงที่คำว่าลากกกกกปุ๊บชายหนุ่มตาชั้นเดียวที่ยื่นหน้ามาซะเกือบชิดจมูกลมหายใจเขาแทบจะเป่ารดหน้าฉันได้ทั่วเถึงกับผงะถอยห่างเกือบคืบพลางใช้สองมือกุมขมับราวกับโลกกำลังจะพังทลายตามคำทำนายของนอสตาดามุสซะงั้น.ให้ตายสิ.พอหายใจคล่องท้องเริ่มมีสติกลับคืนมาฉันก็สังเกตุเห็นว่าฉันกับเขานั่งอยู่บนเตียงสีชมพูหวานแหว๋วเหมือนคู่รักในนิยายที่เคยอ่านชะมัด บรื้อออ สยองงงง.
“ถะ...ถอย ถอยไปหน่อยได้ไหมคะ?.”
ฉันกลั้นลมหายใจพูดเสียงสั่น.
“อะ..อ้อ...อืม.”
เหมือนเขาจะเก้อๆเหมือนกันแฮะ.เขาค่อยๆเลื่อนตัวห่างจากฉันสักวากว่าๆเห็นจะได้.
“เอ่อ...แล้วทำไมเธอไม่บอกผมละ? ว่าเป็นการเข้าใจผิด.”
เออแฮะคนเรา.โทษกันซึ่งๆหน้าก็เป็น.ฉันขึงตาใส่เขาก่อนที่จะโต้ตอบไปอย่างที่ใจคิด(ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะทำตัวเหมือนนางเองในละครเศร้าฉันกลับแก่นกล้ายิ่งกว่าเดิมแทนที่จะทำตัวโศรกเศร้าจมอยู่กับความทุกข์เหมือนแรกขึ้นเครื่อง...เพราะหมอนี่คนเดียวทำให้สิ่งที่ฉันตั้งใจไว้ในช่วงต้นพังทลาย....ชิ).
“ก็พอจะพูด คุณก็เป็นคนจูบฉันเหมือนกับจะเป็นการปิดปากซะงั้นนี่นา.”
อุ๊บ...บ้าชะมัด.นี่ฉันลืมได้ไงนะ.หมอนี่,ไม่ใช่สิ...มันสุภาพไปแล้ว.ไอ้บ้านี่ขโมยจูบฉัน...พอนึกได้เลือดนักสู้ที่แฝงอยู่ในตัวก็พุ่งจี๊ดขึ้นมาทันที.ฉันไม่พูดพล่ามพุ่งตัวเข้าไปหาเขาพร้อมกับหมัดเล็กๆทุบไปบนหน้าอกของเขาไม่ยั้งด้วยความโมโห.
“เฮ๊ย...คุณ! คุ๊นนนน! หยุดเดี๋ยวนี้นะ จู่ๆก็เป็นบ้าอะไรขึ้นมา”
เขาพูดพลางบิดตัวหลบเป็นพัลวัน.แต่แค่นั้นคิดว่าฉันจะยอมยั้งง่ายๆงั้นเร๊อะ,เช๊อะ...เอาจูบแรกฉันคืนมาาาา....
“คนบ้า.....คนเลววววว”
ฉันด่าได้อ่อนโยนสุดๆ....ด่าเหมือนนางเองน้ำเน่าเวลาทะเลาะกับพระเอกชะมัด(ต้องเข้าใจนะคะว่า...ดิฉันชอบดูหนังน้ำเน่าอ่ะ).ก็แหม!คำศัพท์ที่อยู่ในหัวมันมีน้อยนี่หว่า.โดยเฉพาะคำด่า อาจารย์ไม่เคยสรรหามาสอดเลยซักนิดนี่นาแล้วอย่างนี้ฉันจะไม่ให้ฉันด่าเขาฉบับนางเอกหนังไทยได้ไงกัน.เขาคงทนไม่ไหวแล้วกระมังถึงได้ใช้สองมือของเขาจับสองมือของฉันแล้วใช้แรงที่มีมากกว่ากดฉันล้มลงนอนบนเตียงใหม่อีกรอบหลังจากที่ได้แงะตัวฉันขึ้นมาในตอนแรก.
“เฮ้ย....ปล่อยฉัน...ปล่อยฉันนะ”
ฉันออกแรงดิ้นและใช้สองขาที่เป็นอิสระอยู่นั้นทั้งเตะและต่อยไม่เว้นแต่ดูเหมือนมันจะยิ่งทำให้เขาหัวเสียยิ่งกว่าเดิม.คราวนี้เขาถึงกับใช้ตัวของเขากดทับตัวของฉันแทนมือที่ไม่ว่างนั่น.คิดรึว่าฉันจะยอม...ฉันชะโงกหน้าขึ้นแผดเสียงตะโกนใส่ใบหู.ได้ผลแฮะ...จากผิวแนบผิวที่สัมผัสดูเหมือนเขาจะตกใจถึงกับสะดุ้งหยุดชะงักไปเหมือนกัน.ฉันยิ้มที่มุมปากนิดพลางเริ่มปฏิบัติการตะคอกเสียงใส่คนตรงหน้าไม่ยั้ง.
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก.....อุ๊บ”
ให้ตายสิ.นี่นายไม่มีมุกใหม่เล่นเลยรึไงนะ...ริมฝีปากร้อนๆของเขาปิดปากฉันทันที..นานแค่ไหนฉันก็ไม่แน่ใจแต่กว่าเขาจะถอนริมฝีปากนั่นได้ก็เล่นเอาฉันแทบหอบทีเดียว.
“อึก...นาย...นาย..ไม่มีวิธี...วิธีอื่นแล้วรึไง...คนบะ...บ้า.”
ฉันพูดพลางหันหน้าหนีไปด้านอื่นไม่ยอมมองหน้าคนตรงหน้า.บ้าจริง..หยุดสิ...เลิกเต้นตึกตักๆอย่างนี้ได้ไหม.อยู่ใกล้กันแค่นี้เดียวคนตรงหน้าก็ได้ยินหรอก.ฉันพยายามบังคับหัวใจตัวเองให้สงบ.แต่มันกลับไม่ยอมเชื่อฟังสมองบ้างเลย.พับผ่าสิ.
“ก็เธอนั่นแหละ.เป็นบ้าไปแล้วรึไง.พูดกันอยู่ดีๆ ก็ร้องกรีดๆ.”
ชายหนุ่มคนนั้นมองหน้าฉันที่ห่างกันแค่คืบลมหายใจร้อนๆปนกลิ่นบุหรี่เป่ารดหน้าโดยที่ฉันไม่อาจเลี่ยงถึงแม้จะพยายามหันหน้าหนีเขาแล้วก็ตาม.ให้ตายสิ...ผู้ชายอะไรใส่น้ำหอมด้วย...อย่างนี้มันก็ยิ่งทำให้ฉันหวั่นไหวสิ.อ๊ากกกกกกกกกกก....ไม่นาาาาาาาาา...............
“หลบทำไม?หันมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน?”
ทำตามนายก็กลัวสิ.ฉันยังคงดื้อเงียบไม่ยอมหันไปตามที่สั่งพร้อมกับใจเจ้ากรรมที่เต้นแทบจะปะทุออกมาข้างนอกเสมือนอยากจะกระโดดไปหาหัวใจเขาที่เต้นอยู่แนบหัวใจฉันกระนั้น.
“ทำแบบนี้ แสดงว่าไม่อยากเห็นหน้าผมงั้นสิ?”
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดเสียงเข็มดูดุมีอำนาจแต่อย่าคิดนะว่าฉันจะทำตาม.ฉันยังคงหันหน้าไปด้านข้างเหมือนเดิม.เขาก็ไม่ยอมแพ้กลับยื่นหน้าชิดเตียงนอนหันหน้าเข้าหาฉัน.ตาเรียวบอกยี่ห้อหนุ่มตี๋จ้องตาโตบอกยี่ห้อสาวไทยแท้ไม่ใช่ลูกผสม.
“ว่าไง? เธอเป็นบ้าอะไร?ทำไมถึงทำแบบนั้น?”
“ก็...นายจูบฉัน.......”
“แค่จูบเนี๊ยะนะ?”
หนอยแหนะ..แค่จูบงั้นเรอะ?ยี่สิบห้าฝนอดีตไร้แฟนของฉันกลับโดนคนไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามอย่างนายเนี๊ยะนะขโมยจูบ.ไม่พอ...นายยังกล้าพูดดูหมิ่นสาวนัยตาคมลูกอีสานซึ่งดูแลตัวเองตามคำสอนของผู้ใหญ่ไม่ให้ชิงสุกก่อนหามแบบนี้อีก(จริงๆแล้วก็ไม่ได้เคร่งอะไรหรอกนะแต่เผอิญไม่มีเวลาชายตาคบใครต่างหาก.สถิติผู้ชายในลิสต์ถึงได้โล่งยิ่งกว่ากระดาษข้อสอบที่ได้ศูนย์คะแนน)...ต้องสั่งสอนด้วยหัวโหม่งพิฆาต.
“โอ๊ยยยยย...”
เสียงดังกึกกกกกกก...อย่างให้รู้ว่าคนชนและคนถูกชนเจ็บแค่ไหน.พอคนตรงหน้าผงะไปด้านหลังปล่อยฉันหลุดออกจากพันธนาการที่แน่นเนียวยิ่งกว่ากระดาษชำระยี่ห้องดีออกปุ๊บฉันก็รีบกระโดนลุกขึ้นออกจากเตียงสีหวานพลางยกมือขึ้นลูกหน้าผาก.ให้ตายสิ.เจ็บชะมัด...ไม่น่าเชื่อเห็นหน้าตี๋ๆหน้าผากบางๆอย่างนี้หัวแข็งมันกันนี่นา(เกี่ยวไรกับหน้าตี๋ละเนี๊ยะ)
ฉันมองคนตรงหน้าด้วยสายตาสาแก่ใจถึงแม้ฉันจะเจ็บด้วยก็เหอะ.แต่พอเห็นแบบนี้แล้วหายเจ็บเป็นปลิดทิ้ง.
“นี่เธอ,เราจะคุยกันรู้เรื่องไหมฮึ?”
“ก็ใครให้นายอยากลวนลามฉันก่อนเล่า”
เสียงฉันตะคอกลั่นจนป้าแม่บ้านเดินมาเคาะประตูถาม.แต่พูดอะไรฉันก็ฟังไม่ค่อยถนัดนัก.เขาลูบหน้าผากตัวเองปอยๆพลางส่งสายตาคาดโทษมายังฉันก่อนที่จะหันหน้าไปที่ประตูเอ่ยตอบป้า.
“!@#$%^&*(_)(*&^%$#”
คนอะไร!พูดเร็วชะมัด.เออแฮะ...พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วทำให้ฉันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้.เวลาเขาพูดกับฉัน,จะพูดช้าๆเนิบๆถึงแม้บางครั้งแทบจะกินหัวฉันก็ตาม.พอเขาพูดจบก็หันหน้ากับมาจ้องหน้าฉันวาววับราวกับกำลังขำอะไรบางอย่างทั้งๆที่ใบหน้าเขายังนิ่งสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าเขากำลังยิ้มเยาะฉัน.อาจเป็นเพราะแววตาที่พราววิบวับนั่นกระมัง...ให้ตายสิ...ไม่อยากจะชมเขาหรอกนะแต่ว่าคนอะไรตาสวยดูระยิบระยับชะมัด...จ้องทีเล่นเอาใจละลาย.
“นายยิ้มอะไร?”
ฉันพูดเสียงเขียวอย่างคนที่ไม่ชอบเห็นใครมายิ้มเย้ย(รึเปล่าก็ไม่แน่ใจแต่คนมันหาเรื่องนี่นา)ฉันแบบนี้.ให้ตายสิ..สาบานได้ว่าฉันไม่เคยเห็นหน้าของใครกวนอารมณ์คนได้สุดๆแบบนี้มาก่อนในชีวิต.
“ผมป่าวนะ.”
คนตรงหน้าพูดพลางยกสองมือขึ้นเหนือศีรษะทำท่ายอมแพ้.ให้ตายสิ...เขายังไม่ได้ทำอะไรซักนิดแต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกหมั่นใส้แบบนี้นะ.ฉันพยายามทำเป็นไม่สนใจเมินหน้าหนีภาพกวนลูกตานั่น.
“โอเค...ผมผิด...ก็ผมไม่รู้นี่นาว่าคุณไม่ใช่คนที่ผมว่าจ้างเอาไว้ตอนแรก.ผมนึกว่าคุณกำลังจะเปลี่ยนใจ ผมก็เลยจูบปิดปากคุณไม่ให้ปฏิเสธผมหน่ะสิ.”
พอได้ยินเสียงห้าวๆของเขาดังเข้าหูปุ๊บฉันก็รีบหันหน้าไปจ้องหน้าเขาเขม็งทันที.แล้วก็ดูเหมือนเขาจะรู้ใจฉันถึงได้รีบพูดประโยคต่อไปทันใจโจ๋อย่างฉันมากมาย(ยังกล้าเป็นโจ๋อีก โตจนเรียนจบมหาลัยขนาดนี้แล้ว)
“อย่าคาดคั้นผมด้วยสายตาอย่างนั้นสิ,ก็หน้าตาคนต่างชาติ มันก็เคลือๆเดียวกัน เหมือนกันยังกับแกะ.ใครจะรู้ว่าไม่ใช่คุณ”
เขาพูดน้ำเสียงละห้อยชวนให้คนฟังสงสาร.แต่อย่าคิดนะว่าฉันจะบ้าจี้ตาม.
“แล้วไง?หน้าคนที่คุณว่าจ้างเหมือนฉันงั้นรึไง?”
ฉันทำปากเบ้ทีท่าไม่เชื่อ.
“ก็...เหมือนมั้ง...”
ให้ตายสิ,หลบสายตาฉันอย่างนี้.ท่าทางมีพิรุธแฮะ.ถึงแม้เราจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ไอ้ท่าทางแบบนี้มันเป็นภาษากายที่เหมือนกันทั่วโลก.
“หมายความว่าไง?”
“ก็....ผมก็ดูแค่รูปจากประวัติสัญญาที่ว่าจ้างเท่านั้นแหละ....แหม..คุณ...ใครจะไปแยกออกละ?ไม่เคยรู้จักมักจี่กันมาก่อน.พอผมเห็นคุณ ผมก็นึกว่าคนคนเดียวกันหน่ะสิ.”
“โอเค...ฉันจะพยายามเข้าใจคุณ...ว่าแต่ว่าคุณช่วยเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นให้ฉันได้ประดับสมองน้อยๆนี้ของฉันได้ไหม? แบบว่าตอนนี้บอกตรงๆฉันงงมากกกกกกกกกก.”
ฉันพยายามเค้นสมองเลือกคำศัพท์หรูที่สุดเท่าที่มีอยู่ในกรุหัวขี้เรื่อยเรียงเป็นประโยคเพื่อให้เขาเข้าใจสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อพร้อมกับลากเสียงประชดเขาสุดชีวิต(ไม่รู้เขาจะเข้าใจรึเปล่าแฮะ).
“อืม...เรื่องมันค่อนข้างยาวอ่ะนะ.”
“โหย...ขอร้อง.อย่าอารัมภบุท(ภาษาเกาหลียังไม่คล่องก็เลยกลายเป็นเพี้ยนๆแบบนี้แหละ)หน่อยได้ไหม?”
ฉันทำตาค้อนทั้งๆที่ก็ค้อนใครไม่เป็นแหละแต่แหม...เอาแต่เนื้อๆมาก็ไม่ได้ต้องให้ประชด.
“ก็ได้...สั้นๆแต่ได้ใจความ...ปีนี้ผมอายุสามสิบสอง,พ่อแม่อยากให้แต่งงาน.แต่ผมยังไม่พร้อม.ก็เลยจ้างเอเจนซี่ให้หาผู้หญิงให้หน่อยช่วยแกล้งเป็นแฟนสามเดือนไม่ให้พ่อแม่มาตอแย.จบ.”
สุดยอดดดดดด......อย่างกับนิยายน้ำเน่าช่องหลายสีจริงๆ.ให้ตายสิพระเจ้า.ไม่น่าเชื่อว่าโลกใบนี้ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่อีก.แต่ฉันเหมือนเคยได้ยินจากใครซักคนหนึ่งนี่แหละว่าส่วนใหญ่ละครน้ำเน่าที่สร้างขึ้นมาทั้งหลายแหล่ก็นำมาจากชีวิตจริงทั้งนั้น.เออแฮะ...พิลึก.ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาเจอกับตัวเอง.โอ้มายก๊อดดดดดดด...นี่ฉันฝันไปใช่ไหม?ใครก็ได้ช่วยปลุกฉันที.
“เน่าชะมัด”
“คุณได้กลิ่นอะไรเน่าๆหรอ?”
เขาพูดพลางทำจมูกฟุดฟิดหากลิ่น.
“ไม่เห็นมีอะไรนี่นา!”
“จะบ้าตาย...คุณไม่เข้าใจรึว่าคุณประชดกันฮึ?”
ฉันยกมือกุมศรีษะทำท่าปวดหัวพลางทรุดลงนั่งเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ข้างเตียงเหมือนคนหมดแรง.
“ผมไม่เห็นได้กลิ่นอะไรนี่นา?”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น.........ให้ตายสิ.ช่างเถอะ!มุกคนไทยที่เขาชอบเล่นเมื่อได้ยินเรื่องทำนองนี้อ่ะนะ...สงสัยมุกเราคงเล่นไม่เหมือนกัน”
“อ๋อออ...คุณเป็นคนไทยเหรอ?”
“อ้าวคุณ...นี่คุณจ้างเอเจนซี่ ให้หาคนให้.ไม่ใช่คนไทยหรอกเหรอ?”
“แฮะๆ...ฟิลิปปิน...แต่แหม...คุ๊นนนนน...ใครจะไปรู้หล่ะคนไหนไทยคนไหนฟิลิปปิน? หน้าออกจะโซนเดียวกันขนาดนี้.เฮ้...อย่ามองแบบไม่เชื่อที่ผมพูดสิ.ผมมีรูปเป็นหลักฐานนะ?”
พอเขาควักรูปออกจากกระเป๋าเสื้อด้านหน้ายื่นมาให้ฉันปุ๊บฉันถึงกับสะดุ้งเฮือกกระโดดโหยงออกจากเก้าอี้ถอยห่างเขาอีกสามเก้าทันที.
“อย่าเข้ามาใกล้ฉันนะ.”
“อ้าวคุณ...ผมแค่จะยื่นรูปให้คุณดูต่างหาก.ไม่ได้คิดจะทำอะไรซักหน่อย.อ๋อ...คุณกลัวผมจูบคุณอีกละสิ?ไม่ต้องกลัวหรอก...ผมก็ไม่ได้บ้ากามขนาดนนั้น.ก็คุณดันดิ้นจนผมไม่รู้จะทำยังไงถึงจะหยุดคุณได้นี่นา....เฮ้...อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้นสิ..ชากียา(ที่รัก)...โอเค...ผมจะโยนรูปไปให้ก็แล้วกัน.”
รูปใบเล็กลอยละลิ่วมายังเบื้องหน้า,ฉันพยายามเอื้อมมือออกไปคว้าแต่ทว่ามันก็ร่วงลงตรงเท้าฉันจนได้.ชิ!เสียฟอร์มชะมัด.ฉันแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก้มหลงหยิบภาพขึ้นมาดู.โอโห!หน้าตาจิ้มลิ้มแฮะ.ปากนิดจมูกหน่อย...ผมยาวสลวย(ก็คงจะมีแค่ผมนี่แหละที่ดูเหมือนกัน....)รู้สึกภูมิใจนิดๆที่เขาเข้าใจผิด.นี่ถ้าหน้าตาไม่ดีละก็ฉันกัดหูนายไม่เลี้ยงแน่.
“ว่าไง?เหมือนไหม?ปากนิดๆจมูกหน่อยๆเหมือนกันเลย.”
ยังมีหน้ามาพูดอีกแหนะ.ถ้าไม่เห็นว่ารูปนี้น่ารักนะ.ฉันคงไม่ยอมรับแน่ว่าเหมือน.
“อะแฮ่ม...ก็..มะ..ไม่เหมือนเท่าไหร่หรอก.”
ฉันรีบพูดตอบแต่ทว่าพระเจ้าคงไม่ค่อยเข้าข้างเท่าไหร่ฉันถึงได้รู้สึกคันคอจนอดกระแอมออกไปไม่ได้.
“ผมเล่าจบแล้ว.”
เขายกมือขึ้นสองข้างเหมือนทำท่ายอมแพ้.
“จบอะไร...คุณยังไม่ได้บอกเลยว่าทำไมจ้างสาวต่างชาติ.แล้วพ่อแม่คุณยอมง่ายๆด้วยหรอ?ทำไมไม่หาทางขัดขวาง...ฉันเคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า.คนเกาหลีส่วนใหญ่รักชาติและก็ต้องการแต่งงานกับคนชาติเดียวกันเท่านั้น.ประมาณว่าเลือดสีเดียวกันไม่ให้ปนเปื้อน...มั้งนะ...”
ฉันเสมองไปด้านอื่นก่อนค่อยพูดยาวๆ.ก็แหม...ถ้ามองหน้าคนตรงหน้านี่ละก็ฉันคงพูดไม่ออกหน่ะสิ.
“ท่าทางคุณจะดูหนังมากไปหน่อย.เฮ้ย...อย่ามองค้อนอย่างนั้น...โอเคๆ..ตอบก็ได้.หนึ่งพ่อแม่ผมไม่ใช่พ่อแม่ในละครเพราะฉะนั้นท่านไม่ว่า.ขอให้ผมได้แต่งงานมีทายาทสืบทอดให้ท่านก็พอ.สองที่จ้างคนต่างชาติก็เพราะง่ายดีเวลาแยกทางกัน.ไหนๆเราก็ทำสัญญาตกลงกับทางเอเจนซี่แล้วว่าขอจ้างพวกนางแบบหรือดาราเอาที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงแต่แสดงเก่งๆซักปีแล้วก็เลิก.เวลาผมมีแฟนหรือมีคนที่อยากแต่งงานด้วยจะได้ไม่ยาก.”
ขณะที่เขาพูดฉันก็ผงกหัวงึกๆคล้อยตามทุกคำพอเหลือบไปมองหน้าเขาปุ๊บก็เห็นสายตาวิบวับที่ฉันไม่ค่อยกล้าสู้หน้าด้วยจ้องมายังฉันเล่นเอาฉันแทบขาสั่นทีเดียว.
“มะ..มอง...มองอะไร?”
“ที่นี้ตาคุณ.ลองพูดประวัติให้ฟังหน่อยสิ?”
อย่ามาเอียงคอแบบนี้นะ.ฉันไม่ชอบ(?)
“ฉันชื่อกัลยาภรณ์ แก่นกระท้อน.จบเอกภาษาเกาหลี ที่ม.บูรพา.มาที่นี่เพื่อพักผ่อนสามเดือน.จบ.”
ฉันเห็นเขาพยายามท่องชื่อฉันไปมาหลายรอบจนลิ้นพันกันแต่ก็ดูท่าทางยังไม่อาจท่องจำแม้กระทั่งชื่อแรกของฉัน.ฉันจึงตัดบทด้วยความรำคาญ.
“เรียกสั้นๆว่า แก้ว ก็ได้.”
“แกอู? แกอู้?”
“บ้า....ฉันชื่อแก้ว...ไม่ใช่แกอู...แกอู้อะไรทั้งนั้น!...ถ้าออกเสียงไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียก.”
“อย่าเพิ่งโกรธสิ แกว(เสียงที่พยายามพูดให้คล้ายที่สุดแล้ว).ชื่อคุณมันยากนี่นา.”
เขาทำท่าขอลุแก่โทษให้ฉันเห็นใจ.
“โอเค...ตาผม...ผมชื่อปาร์คจีซอง...เป็นนักธุรกิจ.โสด...ไม่มีแฟน...และยังไม่ต้องการหาแฟนตอนนี้แต่อนาคตไม่แน่.”
แหนะ...ยังทำทะเล้นยักคิ้วหลิ่วตาให้ฉันอีก.ชิ.ไม่สมกับคนอายุสามสิบกว่าเลยแฮะ.
“ยินดีที่ได้รู้จัก...ไหนๆเราก็เคลียร์เรื่องทุกอย่างกันแล้ว...ฉันขอบายละกัน...”
ฉันเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่บริเวณหน้าประตูห้อง.ขณะที่กำลังจะเปิดลูกบิดประตูออกนั้น.มือหยาบที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยรั้งต้นแขนฉันให้หันกลับไปหาเขาอีกครั้ง.
“เอ๊ะ!คุณ....มาจับฉันไว้อีกทำไม?”
ฉันมองเขาตาเขียวพลางพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นบอกให้รู้ถึงอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะโสภานัก.
“ก็คุณจะไปไหน?”
คนตรงหน้าบีบต้นแขนฉันแน่นเมื่อฉันพยายามสะบัดออกให้หลุด.
“ก็ไปตามทางของฉันไง?ก็ฉันบอกคุณแล้วนี่นาว่าฉันมาพักผ่อนสามเดือน.”
“คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
สายตาขี้เล่นที่เคยมองฉันเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาทันใด.
“อ้าว...ทำไมละ?”
ฉันมองเขาด้วยสายตาสงสัย.
“ผมแนะนำคุณให้พ่อแม่รู้จักและก็แคนเซิลสัญญาที่ทำไว้กับเอเจนซี่เรียบร้อยแล้วหน่ะสิ”
“บ้า........คุณทำอย่างนี้ได้ไง?ไหนคุณบอกว่าเธอคนนั้นหน้าเหมือนฉัน?คุณก็จ้างเธอต่อสิ.อย่ามาลากคนไม่รู้เรื่องอย่างฉันได้ไหม?”
เสียงฉันค่อยๆดังขึ้นๆด้วยความโมโห.
“ผมตัดสินใจแล้วไม่เคยเปลี่ยน.”
“ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ปล่อยยยยยยยยยยยยยยยย”
คราวนี้ฉันถึงใช้แรงทังหมดที่มีอยู่ดิ้นพลางพยายามเอื้อมมืออีกข้างที่เหลืออยู่เปิดประตูห้องออกเพื่อหนีไปจากเหตุการณ์บ้าๆอย่างนี้ซะที.แต่เขากลับฉุดฉันให้ห่างออกจากประตูพร้อมกับเปิดประตูดันตัวเองออกไปข้างนอกพลางปิดลงภายในเวลาอันรวดเร็วจนฉันไม่อาจวิ่งถลาตามออกไปได้.
“คุณอยู่ในห้องนั้นอีกซักพักก็แล้วกัน.รอให้อารมณ์เย็นกว่านี้....แล้วผมจะเข้ามาคุยกับคุณใหม่นะที่รักกกก”
เสียงเขาค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ
“ไอ้บ้าาาาาาาาาาาาาาาา! ปล่อยฉันนนนนนนนนนนน!”
เสียงประตูถูกทุบดังโครมๆราวกับจะใช้แรงทั้งหมดพังมันพร้อมกับคำด่าที่ขุดมาจากสมองในสมัยเรียนที่เคยรู้มาทั้งหมด.แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจเลยซักนิด.แม้กระทั่งป้าคนเดิมที่เคยแวะมาตอนที่เราพูดกันเสียงดัง.ให้ตายสิ..............ถ้าเป็นฝัน...มันก็คงเป็นฝันดีที่กลายเป็นร้ายไปในที่สุด...ปล่อยฉันออกไปนะ...ฮือออออออ
ความคิดเห็น