คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่1
ฝันรักกรุงโซล.
อารัมภบท.
“เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดด........โครม”
ร่างเล็กบอบบางของหญิงสาววัยยี่ปีสิบเสษในชุดเสื้อยืดสีขาวที่บัดนี้ถูกย้อมไปด้วยเลือดแดงฉานจนแทบหาสีเดิมไม่ได้กับกางเกงจีนย์ขากระบอกทันสมัยถึงกับกระเด็นไปอีกฝากตามแรงกระแทกที่พุ่งชนของรถยนต์ที่ขับรถผ่าไฟแดง.
“กรีดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
เสียงดังอึกทึกของคนรอบข้างไม่อาจปลุกหญิงสาวคนนั้นจากนิทราที่น่าพิศมัยและไม่ยอมลืมตาขึ้นมารับรู้กับเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น.
ตอนที่หนึ่ง
“ขณะนี้เครื่องโดยสารหมายเลข XXX กำลังทยานขึ้นสู่อากาศ ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน รัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อยด้วยนะคะ.ขอบคุณค่ะ”
เสียงหวานของแอร์โฮสเตสสาวประกาศผ่านลำโพงตัวจิ๋วที่ติดทั่วเครื่องบินปลุกฉันที่กำลังจมอยู่ในความคิดให้เคลื่อนไหวตามคำบอกนั่น.ไม่นานหลังจากสายตาของฉันที่ติดหนึบกับหน้าต่างเครื่องบินก็ค่อยๆมองเห็นสีขาวของก้อนเมฆที่เพิ่งเคยเห็นใกล้ๆเป็นครั้งแรกตั้งแต่ลืมตาดูโลก.ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรู้สึกยินดี ตื่นเต้น หรืออะไรกันแน่ เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ฉันยังคงเป็นคนร่าเริงแจ่มใส อัธยาศัยดี เป็นที่รักของพี่ๆในบริษัทที่ฉันเพิ่งสมัครเข้าทำงานได้ประมาณครึ่งปีหลังจากฉันได้จบการศึกษามาแบบไม่ได้น่าเกลียดนักแต่ก็ไม่ได้ถึงกับดีเลิศสามารถอวดใครได้แต่นั่นมันก็เพียงพอแล้วกับตัวฉันที่ไม่ค่อยได้มีเวลาไปเรียนซักเท่าไหร่ แต่ฉันกลายมาเป็นคนเฉยเมย ไม่พูดไม่จา เอาแต่เหม่อมลอย คิดนู้นคิดนี่คนเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ไม่พอใจอะไร ฉันก็ชักสีหน้าทันที ฉันไม่ชอบหรอกนะที่ตัวเองเป็นเช่นนี้ แต่ทว่าฉันก็ไม่รู้ว่าตัวฉันต้องทำตัวยิ้มแย้มไปทำไม ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นด้วยละ ตอนนี้ฉันไม่ต้องแคร์ใครแล้วนี่นา ขอฉันเป็นตัวของฉันเอง ขอฉันเป็นใครอีกคนที่ฉันเคยอยากจะเป็น ขอฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน
ฉันคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้จนได้ยินเสียงผู้ประกาศคนเดิมดังจากเสียงตามสายกล่าวอำลาผู้โดยสาร.ประสบการณ์การขึ้นเครื่องครั้งแรกของฉัน แทบจะจดจำอะไรไม่ได้ ในสมองมันว่างเปล่า นึกอะไรไม่ออก. ฉันค่อยๆลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กสีดำบนที่วางของเหนือศีรษะออกจากเครื่องแทบจะเป็นคนสุดท้าย.เดินผ่านพนักงานที่ยืนยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อยให้กับผู้โดยสารที่จากไปเพื่อสร้างความประทับใจแต่ฉันไม่มีอารมณ์ที่ยิ้มตอบพวกเธอจึงได้แต่ผงกศีรษะรับน้อยๆเท่านั้น.
ถึงแม้หัวใจของฉันในขณะนี้มันจะด้านชาแต่ทว่าสายลมเย็นยะเยือกที่แทบฆ่าคนได้ของประเทศเกาหลีในฤดูหนาวเยี่ยงนี้ก็แทบทำให้ฉันถอยหลังก้าวเข้าไปในสนามบินอินชอนอีกครั้ง.ฉันหยิบถุงมือในกระเป๋าถือใบเล็กขึ้นมาสวมพลางลากกระเป๋าเดินทางเดินออกมาจากสนามบินมุ่งหน้าไปยังช่องประตูที่มีรถแท็กซี่ที่รอรับผู้โดยสารอยู่ด้านนอก.
“อันยนอง ชากียา (หวัดดีที่รัก)”
เสียงห้าวๆของชายคนหนึ่งดังแว่วมาจากด้านหลัง.อิจฉาชะมัด คนมีแฟน.ไฟริษยาของฉันค่อยๆประทุขึ้นทีละนิดๆ ก็เพราะตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยมีแฟนกับใครเขาหน่ะสิ.ใช่ว่าหน้าตาฉันจะขี้ริ้วนัก แต่เป็นเพราะว่าทางบ้านฉันมีพี่น้องหลายคน แม่รับภาระในการส่งเสียไม่ไหว ฉันจึงต้องทำงานพิเศษส่งตัวเองเรียน.แต่ฉันก็ไม่เคยน้อยใจในวาสนา และไม่เคยมีปมด้อย แค่ได้เกิดมาเป็นคน ฉันก็พอใจแล้ว.ฉันก้าวเดินต่อพยายามสะกดความรู้สึกนั้นให้สงบ.แต่ทว่าจู่ๆก็มีมือใหญ่ให้ความรู้สึกกระด้างกระชากต้นแขนฉันอย่างแรง.
“ชากียา ออดีคาเกจซอ? (ที่รักจะไปไหน?) มานี ฮวากา นันนาพา(ท่าทางคงโกรธมากน่าดูสิท่า)...”
ให้ตายสิ.ฉันรู้สึกโมโหขึ้นมานิด.กำลังจะหันไปด่าให้เห็นฤทธิ์สาวไทยอย่างฉัน.โอ้ มายก๊อด ชายที่คว้าแขนฉันคนนี้ รูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดาเลยซักนิด แค่เห็นแวบแรก ก็เล่นเอาหัวใจฉันแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยทีเดียว.เขาคงจะเห็นตาสองชั้นข่อนข้างกลมโตอย่างสาวไทยทั่วไปเบิกกว้างและปากที่เคลือบด้วยลิปกลอสเพื่อให้มันแห้งเป็นขุยอ้าเหวอกับหน้าตาไร้ซึ่งสีสรรจากเครื่องสำอางค์แต่งแต้มนั้นถึงกับยิ้มกว้างขึ้นทั้งปากและดวงตาเป็นประกายระยิบที่แทบทำให้ฉันละลายเข่าอ่อนทรุดลงไปด้วยความหล่อกระชากใจสาวของเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันเลยทีเดียว.
“ออมอนิม,อาบอจี.(แม่ครับ,พ่อครับ) อี ยอจา เช ยอจาชินกู อิมนีดา(ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนผมเองครับ)”
เสียงห้าวๆปลุกฉันให้ตื่นจากมนต์สะกดอันน่าหลงใหลนั่นให้กลับคืนสู่ความเป็นจริง.เฮ้ย...ท่าทางจะมีการเข้าใจผิดอย่างแรงแล้วสิ.ฉันไม่ใช่แฟนเขาซักหน่อย.ฉันสะบัดแขนที่ถูกเกาะกุมนั่นออก.และดูเหมือนการกระทำอย่างนั้นของฉันจะทำให้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย.
“ชอ (ฉัน)......อุ๊บ”
ขณะที่ฉันกำลังจะอ้าปากเอ่ยปฏิเสธ.ริมฝีปากอุ่นๆของคนตรงหน้ายื่นเข้าประกบทันใด.ฉันถึงกับผงะออกด้วยความตกใจแต่ทว่าชายหนุ่มก็เขยิบตัวเข้ามาตามติดไม่ปล่อยแถมยังใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวฉันให้กระชับเข้ามาพร้อมกับใช้มืออีกข้างช้อนศีรษะฉันดันเข้าไปให้แนบกับริมฝีมากเข้าเหมือนเดิม.
“ปละ...”
ฉันพยายามดิ้นพลางบอกให้เขาปล่อยฉัน.แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล.ชายหนุ่มยิ่งใช้แรงมากขึ้นพลางแทรกลิ้นของเขาเข้ามาทันที.นานเท่าใดกันนะ เขาถึงได้ถอนริมฝีปากออก.พลางส่งสายตาดุๆมองฉันที่อ่อนละทวยซบหน้าอกเขาราวกับสั่งให้ฉันอยู่นิ่งๆห้ามหนีไปไหนงั้นแหละ.
เขาหันไปพูดกับคนที่เขาเรียกว่าพ่อกับแม่อีกซักครู่ก่อนที่จะลากฉันที่กำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตกจนลืมกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่ลากติดมือมาด้วยซะสนิท.พอเดินออกมาด้านนอกของสนามบินปุ๊บ เขาก็ยัดตัวฉันให้เข้าไปในรถเบนซ์สีดำคันหรูที่วิ่งมาจอดด้านหน้าทันทีที่เรามาถึง.แรงผลักของเขามันทำให้สติที่กระจัดกระจายของฉันกลับคืนสู่ภาวะปกติทันที.
“แว อี รอเค ฮาเซโย? อาพือจันนาโย...(ทำอย่างนี้ทำไมคะ? คนเค้าเจ็บนะ...)”
ฉันหันหน้าถลึงตาแวววับใส่เขาทันทีที่เขาตามเข้ามานั่งด้านเบาะหลังข้างๆฉัน.
“อ้อ..พูดภาษาเกาหลีได้ด้วย? ไม่เห็นบอกในประวัติ...อืม...ก็ดี พูดได้ก็ยิ่งดี. แล้วเธอนึกบ้าอะไร ทำเป็นไม่รู้จักผม ทั้งๆที่เราสัญญากันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าจะแสดงให้แนบเนียน.”
เออแหะ...เขากลับส่งสายตาดุๆที่แทบทำให้ฉันนึกถึงครูฝ่ายปกครองสมัยเรียนมัธยมต้น.แต่นึกรึว่าฉันจะกลัว...ถึงแม้จะกลัวก็เหอะแต่ฉันสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะเป็นฉันคนใหม่นี่นา...เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ฉันยอมง่ายๆหรอก.
“คุณพูดบ้าอะไร...ฉันไม่รู้เรื่อง..แล้วนี่จะพาฉันไปไหน.ฉันไม่รู้จักคุณทั้งนั้น.”
เพี๊ยะ.
ฝ่ามือใหญ่ตบหน้าฉันเบาๆเหมือนกับจะเป็นการสั่งสอน.แต่มันก็ทำให้ฉันถึงกับอึ้งไปได้ชั่วครู่ถึงแม้จะไม่เจ็บก็เหอะ.
“เราตกลงกันแล้วนะ.อามี.แล้วเธอก็โอเคแล้วด้วยนี่นา.เกิดนึกจะมาขอค่าตัวเพิ่มละสิ.ผมไม่มีเวลามาล้อเล่นกับคุณหรอกนะ.ผมมีประชุมต่อ.เดี๋ยวจะให้คนขับไปส่งที่บ้าน.แล้วผมจะรีบกลับมาคุยกับคุณต่อ.ผมไม่อยากจะคุยต่อหน้าบุคคลที่สาม.โอเคนะ.”
ขณะที่ฉันกำลังงงงวยอยู่นั่นเอง.จู่ๆเขาก็เปิดประตูสาวเท้าออกไปจากรถเดินดุ่มๆไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมามองฉันอีกซักนิด.พอรู้สึกตัวอีกทีรถที่จอดนิ่งเมื่อครู่ก็เริ่มแล่นสู่ท้องถนนกว้างเหมือนเดิม.
ให้ตายสิ...ทำไมฉันถึงบ้าอย่างนี้นะ.ทำไมไม่เถียงเขาให้สุดใจขาดดิ้น.ทำไมไม่ถามเขาให้รู้เรื่องแล้วทำไมฉันต้องทำตามที่เขาสั่งต้อยๆๆด้วยละเนี๊ยะ.ฉันคิดวนไปวนมาด้วยความแค้นที่ค่อยๆปะทุขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ.ไม่นานนักหลังจากนั้นรถที่ฉันนั่งโดยสารที่ขับได้นิ่งมากจนแทบฉันไม่รู้สึกว่านี่คือรถไม่ใช่โซฟานุ่มที่ฉันฝันว่าอยากจะมีไว้ประดับที่บ้าน.
“ถึงแล้วครับ,คุณผู้หญิง.”
ฉันได้ยินเสียงเปิดประตูด้านข้างถึงกับสะดุ้งเฮือกรีบมุดออกมาจากรถทันที.
“เอ่อ......”
แล้วฉันจะต้องพูดอะไรกันละ.ในเมื่อตัวฉันยังรู้นึกงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวฉันอยู่เลยนี่นา.ฉันยืนมองรถที่สตาร์ทออกไปทันทีที่ฉันเด้งตัวออกมาอย่างเก้ๆกังๆไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิต.อะไรวะ...คนบ้านเมืองนี้เขาแปลกๆอย่างนี้ทุกคนรึไงกัน.ไม่พูดไม่จา ทำอะไรรวดเร็วอย่างกับจรวดเลยแฮะ.ขณะนั้นเอง ป้าแก่ๆท่าทางใจดีก็เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับลากกระเป๋าใบเล็กที่ไม่รู้มาอยู่ข้างตัวฉันเมื่อไหร่เดินเข้าไปในบ้านทันที.
นี่จะไม่มีใครพูดอะไรกับฉันเลยรึไง.ไม่พูดพล่ามทำเพลง จู่ๆก็มาลากของคนอื่นไปง่ายๆได้ไง.ฉันลากเท้าเดินตามป้าเข้าไปในบ้าน.เออแหะ...พอหันมามองดูรอบตัวถึงรู้ว่าบ้านหลังนี้กว้างขวางน่าดูผิดกับที่เคยเรียน.จากคำบอกเล่าของอาจารย์ที่สอนฉันในมหาลัย,ท่านเคยบอกเสมอว่าคนเกาหลีมักจะอยู่แฟล๊ต คอนโด ออฟฟิสเทล ฯลฯ อะไรเถือกนั้น เพราะค่าครองชีพที่เป็นรองญี่ปุ่นอยู่ไม่เท่าไหร่ แต่นี่ชายคนนั้นกลับมีบ้านใหญ่โตเหมือนในละครที่ฉันเคยชอบดูบ่อยๆ.อืม...หมอนี่ ท่าทางรวยชะมัด มีบ้าน มีรถ ไม่พอยังมีคนดูแลบ้าน คนขับรถให้อีกต่างหาก.ถ้าฉันเป็นแฟนเขาจริงๆอย่างที่เขาแนะนำพ่อแม่เขาจะดีแค่ไหนกันนะ..ฉันรีบยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตนเองแรงๆจนป้าคนที่เดินนำฉันขึ้นบันได้บ้านเพื่อพาไปยังห้องข้างบนถึงกับหันขวับมองฉันด้วยสายตางงๆไม่ค่อยเข้าใจกับหญิงไทยอย่างฉันเท่าไหร่นักก่อนจะเดินนำหน้าต่อไปหยุดอยู่หน้าห้องใกล้บันได้พลางเปิดนำกระเป๋าเข้าไปวางให้เรียบร้อยแล้วก็เดินจากไปเงียบๆ ไม่สนใจฉันซึ่งยืนเอ๋ออยู่หน้าห้องซักนิด.
“เออแหะ...ท่าทางจะรีบไปไหนกันนะ”
ฉันยกมือเกาหัวตัวแองแกร๊กก่อนที่จะพาร่างอันหนักอึ้งด้วยความงุนงงราวกับฝันของตัวเองเดินเข้าห้องตามเจ้ากระเป๋าใบย่อมเข้าไป.
“โอโฮ...นี่มันโรงแรมรึไงเนี๊ยะ? ผ้าม่านสีชมพู ผ้าคลุมเตียงสีชมพู ผ้าห่มสีชมพู โต๊ะหนังสือ เบารองนั่ง ตู้ เตียง ฯลฯ เครื่องประดับสารพัดชนิดต่างก็เป็นสีชมพู...ไม่พอยังประดับลูกไม้อีกแหนะ. ให้ตายสิ อะไรมันจะแหว๋วอย่างกับเจ้าหญิงขนาดนั้น.”
ฉันอุทานออกมาโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวนัก.ก็แหม...ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนฉันก็ไม่เคยประดับห้องหรือตกแต่งสิ่งของที่เป็นของฉันด้วยสีชมพูขนาดนี้มาก่อนเลยนี่นา.ก็เคยได้ยินหรอกนะว่าคนเกาหลีชอบสีชมพูเพราะว่าคนส่วนใหญ่อยากเป็นเจ้าหญิง ชอบฝันหวานถึงเจ้าชาย.แต่ก็ไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะโดนกับตัวเองแบบนี้.มุมปากของฉันยกขึ้นยิ้มขันกับสิ่งทีปรากฏอยู่ตรงหน้า.
“เอาก็เอาวะ...สู้ๆ ไฟท์ติ้ง”
ท่าจะบ้าแฮะเรา...จู่ๆก็ยกไม้ยกมือทำท่าสู้ๆอยู่กลางห้องนอนที่ชวนสยองขวัญอย่างนี้คนเดียวก็ได้แฮะ.แล้วฉันจะสู้ๆหาพระแสงอะไรเนี๊ยะ.
“เฮ้อ...”
ฉันล้มตัวลงบนเตียงนุ่มที่ทำท่าเชิญชวนฉันให้สัมผัสมัน.พอฉันโน้มตัวลงปุ๊บฟูกก็ยุบไปตามน้ำหนักของฉันราวกับที่เคยเห็นในโฆษณาก็ไม่ปาน.หนังตาของฉันมันค่อยๆหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆจนฉันไม่อาจต้านทานได้จึงหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนหวาน.
“อืมมมม....ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้กันเนี๊ยะ...ฝัน...เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันคงเป็นเพียงความฝัน...ฝัน......ฝัน...”
ความคิดเห็น