ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาปลูกผักในวันสิ้นโลกกันเถอะ

    ลำดับตอนที่ #5 : ปลูกครั้งที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 67








    ทั้งสองทานข้าวและพักผ่อนเสร็จก็เดินออกไปขึ้นรถที่จอดอยู่ริมถนน คีริณเดินไปนั่งฝั่งข้างคนขับในมือมีข้างหนึ่งถือห่อขนมและกอดถุงแอปเปิ้ลว้ในอ้อมแขน และใช้อีกมือพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์เก้ๆ กังๆ อยู่

    ในเว็บไซต์ประกาศขาย มีข้อความปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

    "ขายด่วนบ้าน 3 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น 2 ห้องน้ำ ถนนวงแหวน 3 เขต S พื้นที่ 120 ตร.ม ราคา 25,000 เหรียญ "

    นายหน้าซื้อขายบ้านที่นกดเข้ามาดูแปลกใจมากเลย ถึงจะมีคำว่า"ขายด่วน" ที่เขาติดป้ายไว้

    ถึงเมือง S ไม่ใช่ตลาดซื้อขายบ้านที่คึกคัก แต่ราคาบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 150,000 เหรียญ อย่างไรก็ตามบ้านที่คีริณจะขายตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ถ้ายืดเวลาออกไปอีกเพียงเล็กน้อยก็สามารถขายได้ราคาสูงกว่านี้

    ด้วยราคาที่คีริณประกาศขายแม้แต่นายหน้าก็ยังคิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นหรือคนประกาศขายคงว่างมาก ชั่วขณะหนึ่ง บ้านหลังดังกล่าวอยู่ตรงหน้าเขา และเขาไม่กล้าที่จะกดหมายเลขที่เหลือบนนั้นอีก

    คีริณเปิดโหมดเครื่องบินในโทรศัพท์ และยกแอปเปิ้ลขึ้นมากัด ทำให้แก้มข้างหนึ่งของเขาป่องขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนหนูแฮมที่กำลังกินอาหาร

    สิ่งที่ขาดหายไปมากที่สุดในช่วงชีวิตที่ผ่านมาคืออาหาร

    อาหาร!

    อาหารอร่อย!

    อาหารที่อร่อยกินได้ตลอด!

    ท้องที่แต่ก่อนไม่เคยได้กินอิ่ม มีเพียงอาหารที่เย็น แข็งและจืดชืดที่เพื่อใช้ประทังเอาชีวิตรอดไปวันๆเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาได้ฟื้นคืนชีพตัวเองอย่างสมบูรณ์หลังจากได้กินมื้ออาหารร้อนๆที่มีรสชาติ ทำให้ชีวิตนี้รู้สึกกระปรี้กระเป่าขึ้นมา

    ในเมื่อตอนนี้เขาย้อนกลับมาและมีทางเลือกอื่นเขาต้องเลือกทางที่ดีที่สุด เพื่อที่จะสามารถกินอิ่มและนอนหลับได้อย่างสบายและไม่ต้องคิดมากในอนาคต สองเดือนนี้จะต้องวางแผนให้ดี

    ควรทำอย่างไรหากไม่มีอะไรจะกิน

    ปลูกเอง เขาต้องปลูกให้เพียงพอต่อความต้องการของตนเอง

    คีริณไม่รู้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง แต่เขายังคงรู้ว่าตัวเองควรปลูกอะไร ในฐานะที่เขาต้องดูแลแปลงเพาะปลูกในฐานเมือง S เป็นเวลาห้าปี

    เขาคิดว่าโรงงานในเขตชานเมืองก็เพียงพอแล้ว และพื้นที่ลานโล่งด้านข้างที่เหลืออยู่สามารถใช้ทำการเกษตรได้ แต่จากเหตุการในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หากคุณต้องการมีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัยเพิ่มขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีป้อมปราการที่แข็งแกร่งในตอนนี้


    หากเราเสริมกำแพงเพิ่มและนำสิ่งอำนวยความสะดวกเข้ามาข้างในโรงงาน ที่นี่ก็จะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยหลังเกิดการแพร่เชื้อไวรัส

    เขตชานเมืองของเมือง S ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ โดยมีโรงงานตั้งอยู่ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ทุ่งนา ที่เหลืออีกส่วนเล็กเป็นคนในพื้นที่สร้างบ้านอยู่อาศัยกระจัดกระจายกันไป ซึ่งมีเป็นที่ดินของตัวเองตน

    แม้แต่คุณยายของเขา เธอเคยเป็นชาวนาที่อยู่กับทุ่งนามาเกือบจะทั้งชีวิต แต่เมื่อห้าหรือหกปีก่อนเธอขายที่ดินของตัวเองเกือบทั้งหมด ที่แปลงเดียวที่เหลืออยู่ใช้ทำสวนคือแปลงผักเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่หน้าบ้านของเธอ

    คีริณแกะลูกอมแล้วอมไว้ในปาก ความคิดเขาค่อยๆ คิดถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของการทำสวน

    สิ่งที่จำเป็นอย่างแรกที่สำคัญสำหรับการทำสวนที่ดีคือ การมีป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่เพียงแแค่ต้องสามารถป้องกันการโจมตีของซอมบี้เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือสามารถป้องกันผู้คนที่มีชีวิตรอดซึ่งกำลังหลงระเริงไปกับพลังที่ตื่นหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัส พวกเขาส่วนมากมักจะแข็งแกร่งและชั่วร้ายกว่าซอมบี้

    กำแพงของโรงงานดูเหมือนว่าจะสูงไม่ถึงสองเมตรและไม่มั่นคงแข็งแรงเท่าไร ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ก็สามารถปีนเข้าไปในกำแพงได้อย่างง่ายดายหากต้องการ นี่คือสิ่งที่ต้องทำเป็นสิ่งแรก

    กำแพงจำเป็นต้องได้รับการเสริมความแข็งแกร่งและยกระดับให้สูงขึ้นอีก

    กำแพงคุกสูงแค่ไหนกันนะ ? คีริณขมวดคิ้วคิดเรื่องนี้ มันสูงสี่หรือห้าเมตร



    คณินขับรถอย่างผ่อนคลายและเพลิดเพลิน เขารับรู้สิ่งที่คีริณกำลังทำ การมีคีริณนั่งอยู่ข้างๆรู้สึกเหมือนความฝัน เขาเห็นคีริณหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดเครื่อง แล้วกัดแอปเปิ้ล แกะห่ออมยิ้มมาอม เขารับรู้ทุกการเคลื่อนไหวของคีริณ แม้กระทั่งคีริณำลังอ้าปากงับ

    คีริณดึงอมยิ้มในปากออกมา การทำแบบนั้นมันทิ้งคราบน้ำหวานไว้ที่ริมฝีปากของคีริณ เขาได้กลิ่นหวานหอมของผลไม้ที่ลอยเข้ามาในจมูกของตัวเอง ตอนนี้แทบจะไม่ใช่เพียงความหอมหวานของกลิ่นผลไม้เท่านั้นที่ลอยเข้าจมูก

    การรับรู้ของคณินไม่สามารถละออกจากภาพของคีริณ เขามองอมยิ้มในมือของคีริณ ที่เจ้าตัวเขาหมุนไปมาในปาก


    ตอนนี้เขารู้สึก แย่มาก...

    คณินกำพวงมาลัยแน่น ลมหายใจของเขาหนักขึ้น เขาพยายามตั้งสมาธิเพ่งมองถนนที่ถนน รถเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ความคิดในใจเขาปั่นป่วนมาก

    เขารู้สึกอิจฉาอมยิ้มในมือของคีริณ

    คีริณไม่รู้ว่าตัวเองถูกคณินแอบมองอยู่เขาก็เอื้อมมือไปจับอมยิ้มที่อยู่ในปาก จากนั้นก็ดูดอมยิ้มเสียงดัง

    คีริณได้ยินเสียงหายใจหนักของคณินที่อยู่ข้างๆ

    เขาหันหน้าไปมองด้วยความมึนงง และถามด้วยความเป็นห่วง "รุ่นพี่ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า"

    คีริณต้องการเอาใจและทำให้คณินึงพอใจในตัวเขา เขามองดูคณินด้วยความกังวลใจ สังคมที่เกือบจะบิดเบี้ยวหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสทำให้เขากังวลมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ตอนนี้ซึ่งอาจทำให้คณินรู้สึกคกลัวเขา

    ลึกๆ ในใจของคีริณตอนนี้ เขาต้องการกอดต้นขาทองคำที่ใหญ่นี้ และขอร้องให้รับเขาไว้ สายตาที่คีริณมองคณินใสซื่อเกินไป

    ดวงตาที่ใสซื่อและบริสุทธิ์ของคีริณเขาดึงคณินออกจากจินตนาการตัวเอง คณินขยับตัวไปมาที่เบาะนั่ง ดึงเสื้อที่ยัดอยู่ในกางตังเองออกมาปิดต้นขาของเขาไว้

    "ไม่  ไม่ได้เป็นไร" คณินส่ายหน้าแล้วทำทีตั้งใจมองไปที่ถนน มีเพียงใบหูที่แดงก่ำเท่านั้นที่เผยให้เห็นอารมณ์ของเขา

    คีริณคิดว่าเขาร้อนจึงรีบหยิบเสื้อแจ็คเก็ตของคณินที่พาดอยู่เบาะรถมาใส่เอง คีริณไม่ได้เตี้ยในกลุ่มเพื่อนผู้ชาย เขาสูง 176 ซม.และขาที่ยาวของเขา ทำให้เด็กผู้หญิงบางคนต้องแหงนหน้ามอง แต่เสื้อแจ็คเก็ตของคณินที่คีริณใส่อยู่ตัวใหญ่มาก มันปิดใบหน้าของเขาไปครึ่งหนึ่ง

    คีริณที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตเรียบร้อยแล้ว เพิ่งสังเกตเห็นว่าคณินชำเลืองมองเขาอยู่ด้วยตวามแปลกใจและสับสน

    "ผมไม่ชอบอากาศที่เย็นผมขอยืมเสืัอแจ็คเก็ตรุ่นพี่มาใส่น่ะ รุ่นพี่ถ้าคุณร้อนมากคุณก็ลดแอร์ลงได้เลย"

    คีริณบอกอธิบายอย่างจริงจัง จากนั้นก็เลือกนั่งท่าทางที่สบายที่สุดและนำอมยิ้มเข้าปากอีกครั้ง ความคิดของเขาล่องลอยออกไป

    คีริณสวมเสืัอแจ็คเก็ตของเขา นี่ไม่ใช่จินแค่ตนาการแต่เป็นความจริง

    โอ้... คณินเหงื่อออกที่หน้าผาก แน่นอนว่าตอนนี้ตัวเขารุ้มร้อนยิ่งขึ้น

    คีริณกำลังคิดถึงสิ่งตัวเองต้องเตรียมต่อไป รายละเอียดสิ่งของต่างๆที่เขาจะต้องใช้

    กำแพงที่ล้อมด้านนอกต้องแข็งแรงและสามารถบังสายตาคนที่อยู่นอกเขตได้ นอกจากนี้แล้วพื้นที่ด้านข้างโรงงานแล้วยังมีลานโล่งขนาดใหญ่ข้างในกำแพงที่สามารถใช้เพาะปลูกได้ จะมีประโยชน์มากหากสามารถปลูกผัก ผลไม้ตรงนั้นได้ทั้งหมด

    เครื่องมือก็จำเป็นสำหรับการเพาะปลูก ประสิทธิภาพของการเพาะปลูกของฐานในเมือง S ไม่เพียงพอต่อประชากรในฐานมีเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งคือเครื่องมือที่ต้องใช้มีไม่เพียงพอ

    ความน่ากลัวของการแพร่ระบาด คือมันได้พรากความเป็นมนุษย์ของคนบางคนไป ที่สำคัญกว่านั้นสภาพแวดล้อมที่ทุกคนคุ้นเคยไม่เหลืออยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิบปีให้หลังจากการแพร่ระบาด ยังมีผู้คนจำนวนหนึ่งในฐาน S ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาด้านอาหารและเครื่องนุ่งห่ม

    หากไม่สามารถแก้ปัญหาด้านอาหารและเครื่องนุ่งห่มได้ พวกจะไม่สนใจฟื้นฟูวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้ความรู้ขาดหายไป

    คีริณได้เห็นเด็ก ๆ ที่เกิดและเติบโตในฐานสี่หรือห้าขวบแล้วไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต และอีกหลายปีให้หลัง แม้ว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้เรียนหนังสือทำให้ขาดความรู้ ทำให้ความรู้ที่เคยมีมาขาดหายไป สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์นับไม่ถ้วนซึ่งใช้เวลาทั้งชีวิต  ทั้งกลางวันและกลางคืนได้ศึกษาวิจัยกันมายาวนานถูกลืมเลือนหายไป

    มนุษย์ก็เหมือนกับสัตว์ที่ถูกตีแล้ววิ่งหนีหายในชั่วข้ามคืน

    เมื่อคึดถึงเรื่องนี้ คีริณขมวดคิ้วแน่น อมยิ้มที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งไม่สามารถทนต่อแรงของฟันได้ และมันแตกออกเป็นสองส่วนได้ยินเพียงเสียงแตกดังเปาะในปากของเขา

    ลมหายใจที่รุณแรงของคณินหยุดนิ่ง ไหล่ของเขากำลังสั่น





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×