ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ปลูกครั้งที่ 4
ทิวทัศน์นอกหน้าต่างเคลื่อนตัวไปข้างหลังอย่างช้า ๆ จนกระทั่งพวกเขาขับรถออกไปจากย่านใจกลางเมือง คีริณที่ตอนนี้ถือขนมอยู่ที่เบาะหลังไม่เข้าใจว่าเขาถูกคณินชักจูงได้อย่างไร
ภายนอกของคณินจากที่คีริณเห็นอยู่ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและมุ่งมั่น คำพูดเขาเต็มไปด้วยความสุภาพและน่าเชื่อถือในทุกประโยค เขาเชื่อว่าไม่มีใครสามารถปฏิเสธคำพูดของคณินได้
บางทีนี่อาจเป็นคุณสมบัติของผู้นำ? คีริณคิดว่าเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสไม่ได้ทำให้เขาเครียดมากได้เหมือนตอนแรกแล้ว แต่ยังเกิดเรื่องราวแปลก ๆ ในทุกวัน
เมื่อได้เดินทางไปกับคณิน ว่าที่บอสในอนาคตของเรื่องนี้ที่แทบจะถูกกำหนดมาแล้ว ทำให้คีริณรู้สึกว่าการเดินทางตอนนี้นั้นสบายใจมากขึ้น
เขาถึงกับรู้สึกผิดในใจตัวเองที่ทำแบบนี้ เขาคิดว่าคณินแค่พูดตามมารยาทเลยเอ่ยชวนเขามาด้วย แต่เขาก็ถือโอกาสนี้มาด้วยอย่างหน้าหนา
แต่คีริณไม่คิดว่าสิ่งที่คณินชวนเขาให้มาด้วยกันจะเป็นการขับรถกลับจากเมือง Gไปยังเมือง S ทั้งสองเมืองนี้ที่มีระยะห่างมากกว่าพันกิโลเมตรต้องใช้เวลามากกว่าสิบชั่วโมงในการขับรถ
"การขับรถมาเองมันสะดวกในการทำสิ่งต่างๆมากขึ้น" คณินมองไปที่คีรินจากกระจกมองหลังและพูดเน้นย้ำถึงเหตุผลที่เขาบอกไว้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง "ตอนนี้มีเหตุการณ์ไม่สงบ เกิดการจลาจลในที่สาธารณะและในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ตอนนี้ไม่ปลอดภัยนัก "
สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเพียงเหตุผลรองเท่านั้นแต่เหตุผลหลักคือคณินต้องการอยู่สอต่อสองกับคีริณ และจะดีมากถ้าเขาได้ใช้เวลาอยู่กับคีริณมากขึ้นอีกต่อจากนี้
อะไรจะดีไปกว่าการนั่งรถที่มีเพียงเราสอง ที่ไม่มีคนอื่นขึ้นลงหรือเดินผ่านให้เสียอารมณ์ และเขาควบคุมความเร็วรถได้ ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว
คีริณนอนทับกระเป๋าสองใบใหญ่ของตัวในตอนนี้กำลังคิดว่าเขาจะกอดต้นขาทองคำอย่างคณินอย่างไรดีถึงจะเหมาะสมและไม่รบกวนมากเกินไป แต่เมื่อเมื่อได้ยินคณินพูดเรื่องนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับคณินในกระจกมองหลัง "เหตุการณ์ความไม่สงบ ? ”
“ครับ” คณินรีบละสายตาจากคีริณ ปลายนิ้วที่จับพวงมาลัยอยู่ของคณินก็กลายเป็นสีขาวซีดเนื่องจากเขากำพวงมาลัยแน่นมาก และตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรงจนมันแทบที่จะทะลุออกมานอกอกของคณิน
คณินรีบยืดตัวตรงและพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “น่าจะเกิดการจลาจลประมาณห้าหรือหกครั้ง แต่เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่คนทั่วไป สื่อจึงได้รับคำสั่งไม่ให้ออกข่าวเหล่านี้”
เขาเว้นคำพูดไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวปลอบใจคีริณ “แต่ไม่น่าจะมีอะไร เจ้าหน้าเพิ่มการตรวจสอบและความปลอดภัยในสถานที่ต่างๆ มากขึ้น และเหตุจลาจลคงหยุดลงอย่างรวดเร็ว”
คณินอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่กระจกมองหลังอีกครั้ง เขาเห็นคีริณหันมองข้างทางและกำลังครุ่นคิดอยู่
คณินกลั้นใจไว้แล้วบังคับพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้าง ตอนนี้คณินขับรถเข้าสู่เส้นทางหลักแล้ว การอยู่ในพื้นที่จำกัดกับคีรินสองต่อสองเป็นเวลาหลายชั่วโมงถือเป็นรางวัลอันแสนหวานที่คุ้มค่ามากสำหรับคณิน เขารู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้ให้ความรู้สึกมึนเมาในใจเขา
ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าตอนคีริณอยู่ในห้องไม่ได้เครียดหรือร้องให้เพราะเขา ตอนนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะส่งข้อความที่มาจากส่วนลึกของหัวใจตัวเองออกไป เขาเหมือนคนงี่เง่าคนหนึ่งที่ตอนนั้นห้ามใจตัวเองไม่ได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมคณิณถึงเครียด แต่มันก็ทำให้คณินรู้สึกกังวลและหงุดหงิดมาก
ถ้าสิ่งที่คีริณเครียดและเศร้านั้นเป็นเพราะเขา เขาก็จะแก้ไขตัวเองให้คีริณเห็น แต่ถ้าเป็นเพราะคนอื่นเขาจะจัดการมันแน่นอน
มันแย่มาก
บางครั้งคณินตื่นจากความฝันของตัวเองในตอนกลางดึก และมีอาการนอนไม่หลับตอนใกล้รุ่งสาง และตอนตื่นเขาจะต้องเรียกสติตัวเองให้กลับมา ความปั่นป่วนและพลุ่งพล่านในชีวิตตอนนี้มันกลืนกินความมีเหตุและผลของเขาไปสาเหตุจากคีริณ
ก่อนที่เขาจะรู้จักคีริณเขาเป็นคนที่เจ้าระเบียบต่อการใช้ชีวิตของตัวเองมาก คณินไม่มีทางปล่อยให้ผู้คนรอบตัวและสิ่งของรอบข้างมีผลต่อการตัดสินใจและอารมณ์ของตัวเอง
ความน่าดึงดูดของคีริณที่ส่งผลต่อเขา เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน การเจอหน้าครั้งแรกของเราทั้งสองคนเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย
เมื่อสองปีก่อน เขาได้กลับไปที่มหาวิทยาลัยที่เขาเคยเรียนของเขา เพราะเขาไปติดต่องานที่นั้น บังเอิญเป็นช่วงเวลาที่กำลังรับนักศึกษาใหม่ คณินเลยหลีกเลี่ยงที่ผู้คนที่พลุกพล่าน ด้วยการเดินไปทางหลังห้องสมุด และเขาก็เหลือบไปเห็นคณินที่กำลังงีบหลับอยู่ตรงหน้าต่าง นี่เป็นภาพที่ออกมาจากความทรงจำในส่วนลึกที่คณินนึกถึง
สุดท้ายแล้ว คีริณเป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษพิเศษ มีความเป็นวัยรุ่นและมีนิสัยเด็กๆในบางครั้ง ในผู้คนที่เดินผ่านเขาไปมา จริงๆ แล้วมีคนที่เหมือนคีริณจำนวนมากในช่วงอายุใกล้เคียงกัน ความประทับใจแรกเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจว่าเกิดจากอะไร
แต่คณินยังคงสังเกตเห็นสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนที่เจอหน้ากับคีริณในช่วงหลัง เช่นในบางครั้งที่เขากลับไปติดต่องานหลังจากนั้น แม้ว่าเขาจะไม่สนใจใครแต่เสียงของคีริณก็จะกลายเป็นสิ่งแรกที่เขาได้ยินและใส่ใจอย่างไม่รู้ตัว
เสียงนี้ดังขึ้นในใจที่เหมือนสัญญาณเตือน แม้แต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา หรือเพื่อนๆที่อยู่ข้างๆกันกำลังคุยเสียงดัง เสียงและรอยยิ้มของคีริณจะถูกเขามองเห็นเป็นอย่างแรก ส่วนคนอื่นๆพวกเขาถูกจัดเป็นที่สอง
อย่างที่สอง เขาเริ่มติดตามคีริณอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาให้ความสำคัญกับคีริณมากขึ้น เมื่อมีคีริณอยู่ที่นั่น มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะสังเกตเห็นสิ่งอื่น
หลังจากความคิดที่มีต่อคีริณรุนแรงขึ้น เขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากละทิ้งงานที่อยู่ตรงหน้าแล้วติดตามคีริณอย่างเงียบๆ ในที่สุดเมื่อเขาตระหนักว่าสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเขามากขึ้น เป็นความหลงใหลที่แทบจะไร้เหตุผล ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่อและตัวตนของคีริณมีน้ำหนักในใจเขามากขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน
เขาเริ่มทำสิ่งแปลกๆ ในมุมมองตัวเองและเพื่อนๆ อย่างเช่น การถามเกี่ยวกับตัวตนและภูมิหลังครอบครัวของคีริณอย่างลับๆ การขับรถกลับมาที่มหาวิทยาลัยอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งเพื่อแอบดูคีริณ
เขาเฝ้าดูคีริณอยู่อย่างนั้น ซึ่งคีริณที่นั่งอยู่แถวหน้ากำลังหัวเราะกับเพื่อนๆ ในช่วงที่มหาวิทยาลัยมีงาน ตอนที่เห็นภาพนี้เขารู้สึกอิจฉาเพื่อนของคีริณมาก
บางครั้งคณินก็เข้าไปในห้องเรียนรวมของคีริณเพราะเขารู้ตารางเรียนจึงได้ไปนั่งดูคีริณหลับในมุมหนึ่งของห้อง ในตอนกลางคืนคณินจมอยู่กับความฝันที่มีแต่คีริณ
การกระทำที่แอบซ่อนเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกมีความพึงพอใจ คณินตำหนิตัวเองและสับสนมากขึ้น เขาดูเหมือนจะเสพติดคีริณ
เพราะเหตุนี้เขาจึงต้องเข้าพบจิตแพทย์นานถึงครึ่งปี เขากลัวว่าแรงกระตุ้นและความปรารถนาที่มีต่อคีริณจะควบคุมไม่ได้ จะส่งผลเสียต่อคีริณผู้ไม่รู้เรื่องนี้ด้วย แต่ว่าความพยายามทั้งหมดก็ไม่เป็นผลเมื่อเขาหลับ
คณินเคยสงสัยว่าพระเจ้าคงเห็นว่าชีวิตของเขาน่าเบื่อมากเกินไปในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา จึงได้ส่งคีริณเข้ามาทำให้ใจของเขาปั่นป่วนไม่หยุดและเหมือนมีของกินที่ตัวเองชอบมาก แต่ไม่สามารถเอาเข้าปากได้
“ก่อนออกมาผมโทรหาคุณยาย และเธอบอกว่าไก่ของเพื่อนบ้านถูกตัดหัวแล้วและยังไล่จิกคนอื่นได้” คีริณพูดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้คณินต้องหยุดความคิดตัวเแง
ในมุมมองของคีริณ คณินจะกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นหลังจากที่มีการแพร่ระบาดเชืัอไวรัส และเขาคงจะมีความคิดที่ต่างจากคนอื่น บางทีตอนนี้คณินอาจรู้อะไรบางอย่างแล้วก็ได้ ดังนั้นเขาจึงได้เกริ่นออกไป
คณินต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหลุดพ้นจากพวังแห่งความสุขที่คีริณชวนเขาคุยก่อน
แต่หลังจากที่เขาตั้งสติและคิดตามสิ่งที่คีริณพูดออกมา ใบหน้าของเขาก็ปรากฏถึงความแปลกใจ “แล้วฉันยังจิกคนอื่นได้ไหม..?ถ้าฉันตัดหัวตัวเอง”
คีริณยังคงมองใบหน้าของเขาและเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุยอีกครั้ง “รุ่นพี่ คุณไปเมือง S เพื่อทำงานกับทางการหรือเปล่า”
เหลียงจินเฉิงยิ้ม “ใช่”
สังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าอารมณ์ของคีริณไม่ค่อยสดใส เมื่อรวมกับดวงตาของคีริณที่แดงก่ำก่อนหน้านี้ เขาจึงค่อยๆคิดและถามว่า “คุณมีแผนที่จะไปฝึกงานในปีนี้หรือไม่”
แม้ว่าจะรู้ว่าคีริณได้ที่ฝึกงานที่ดีแล้ว แตบางทีบริษัทนั่นอาจเปลี่ยนคนทำให้คีริณจึงเลือกที่จะกลับไปที่เมือง S
คณินรู้สึกว่านี่เป็นการคาดเดาของตัวเองสมเหตุสมผลมาก เขาจึงพูดอีกว่า “เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ บริษัทของเรากำลังรับนักศึกษาฝึกงานด้วย และสาขาที่คุณเรียนก็สามารถเข้าได้พอดี”
เฝคณินโกหกด้วยสีหน้าเรียบเฉยคิดว่าหลังจากนี้เขาจะหาทางโทรหาฝ่ายทรัพยากรบุคคลเพื่อขอให้เธอช่วยจัดหาตำแหน่งที่สามารถฝึกงานได้โดยอิงจากประวัติของคีริณ
คีริณส่ายหน้า “ขอบคุณรุ่นพี่ แต่ผมไม่คิดที่จะหางานที่ฝึกงานในตอนนี้” เขาคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับคำพูดของตัวเอง
ถ้าไปฝึกงานตอนนี้ก็คงจะเตรียมตัวไม่ทันก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส แม้ว่าตอนนี้มันยังคงเงียบสงบ แต่อีกไม่นานก็ต้องเกิดขึ้นแน่ตอนนี้สิ่งที่คีริณอยากทำมากที่สุดคือการกอดต้นขาทองนี้ไว้ให้ได้ แต่เขาลืมวิธีที่จะประจบและอ้อนคนอื่นแล้ว
“ไม่เป็นไร” คณินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่แน่นอนว่าจะต้องปกปิดเรื่องในอดีตของเขาและใช้โอกาสนี้ขอเบอร์โทรศัพท์ของคีริณ “เรามาแลกเบอร์กัน หากคุณต้องการหางาน ฉันยินดีช่วยเสมอ”
“ครับ” คีริณรีบตอบตกลงทันที เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ปลดล็อคโทรศัพท์และใส่เบอร์ของคณิน หลังจากคิดครู่เขาก็พิมชื่อ "รุ่นพี่"
ทำให้ระยะห่างจาก คณินและคีริณใกล้ชิดเข้ามา คีริณยิ้มอย่างยินดี
หลังจากขับรถมากกว่าหนึ่งชั่วโมงและมาถึงที่พักรถที่แรกซึ่งบังเอิญเป็นเวลาเที่ยงวัน ทั้งสองจึงตัดสินใจกินอาหารกลางวันที่นี้เลย
รสชาติของอาหารที่นี้นั้นธรรมดามาก สำหรับคนที่จู้จี้เรื่องการกินอย่างคณินนั้นแทบจะกลืนไม่ลง เขาตักกินไปคำหนึ่งแล้วหยุดและกำลังจะพูดว่าจะเปลี่ยนร้านดีหรือไม่ แต่เห็นว่าคีริณหยิบจานข้าวขึ้นมากินและกินหมดไปครึ่งชามแล้ว
จากนั้นก็ใช้มือหยิบมันฝรั่งที่ทอดทีนานเกินและเกือบใหม้ขึ้นมากินต่อ การกินอาหารของคีริณเหมือนกับนักกินที่กำลังตั้งใจไลฟ์สด
ถ้าถามคีริณว่าอาหารอร่อยมั้ยเขาจะตอบว่า
อร่อย! อร่อย! และอร่อยมาก ของแพงอย่างเกลือที่ถูกขายไปในราคาสูงลิบลิ่วในฐานเมือง S และไม่ต้องพูดถึงเครื่องปรุงอื่นๆ เช่น ซอสถั่วเหลือง น้ำตาล เมื่อทุกคนยังคงยุ่งอยู่กับการหาอาหารและเอาชีวิตรอด ไม่มีใครที่จะเสียเวลาสวยแปรรูปสิ่งที่ไม่จำเป็นเหล่านี้
ตอนนี้มันฝรั่งที่ทอดนานเกินไป ใส่เกลือมากเล็กน้อย และเปรี้ยวเกินไป ในปากที่คีริณกำลังเคี้ยวอยู่อร่อยที่สุดในใจเขาแล้ว นานแล้วที่ไม่ได้กินแบบนี้
"อร่อยมากไหม" คณินผลักจานอาหารไปให้คีริณจากนั้นมองดูคีริณที่ทานแล้วดูน่าอร่อย เขารู้สึกอิ่มและมึนเมาในใจ ดูแล้วน่าจะเลี้ยงง่าย
คีริณพยักหน้า หายใจติขัดเล็กน้อยเพราะเขากินเร็วเกินไป เขาวางช้อนและจานในมือลงแล้วลุกขึ้นพร้อมพูดว่า "จะไปเอาน้ำ คุณอยากดื่มน้ำด้วยไหม"
คณินที่กำลังมองคีริณกินข้าวอยู่ เขาหยุดการกระทำของเขาแล้วพยักหน้าและลุกขึ้น "เอาครับ ขอบคุณ"
คีริณหันหลังแล้วเดินไปเอาเหยือกน้ำที่วางอยู่ที่มุมหนึ่งของร้าน คณินรีบหยิบช้อนที่คีริณวางบนจานคู่กับช้อนของตัวเอง รู้สึกตื่นเต้นและหวานไปถึงใจ
หลังจากที่ดื่มน้ำเข้าไปครึ่งแก้ว คีริณรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยและกำลังจะหยิบแก้วอีกใบ แต่เขาเมื่อมองดูแล้วแก้วที่เขาถืออยู่คือใบสุดท้ายแล้ว
เขาไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่มองดูใช้แก้วที่ตัวเองใช้แล้ว คีริณหันไปบอกกับพูดกับคณินด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย "ไม่มีแก้วใบอื่นแล้ว และแก้วนี้ผมใช้แล้ว ผมจะซื้อน้ำขวดให้คุณ"
คีริณพูดจบก็หันจะเดินไปซื้อน้ำ คณินรีบลุกขึ้นและจับมือของคีริณไว้และมองเขาด้วยดวงตาที่ร้อ นแรง "ไม่เป็นไรครับ"
คณินปล่อยมือของคีริณ หยิบแก้วที่เขาวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาและดื่มอีกครึ่งที่เหลืออย่างรวดเร็ว
คีริณไม่สงสัยในตัวของคณินเลย แค่คิดว่าคณินอาจจะหิวน้ำมากๆ และใบหน้าของเขามีสีแดงแต้มเล็กน้อย
คีริณขยับมือและดูเหมือนมือของคณินจะร้อนมากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงถือเหยือกและเทน้ำให้อีกแก้วหนึ่ง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น