ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาปลูกผักในวันสิ้นโลกกันเถอะ

    ลำดับตอนที่ #3 : ปลูกครั้งที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 67






    คีริณจำไม่ได้แล้วว่าในตอนนั้นเขาได้รับข้อความนี้หรือไม่ ในเมื่อตอนนั้นด้วยความรีบที่จะไปสถานีรถไฟทำให้โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้หาย เขาเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าหลังจากที่เขาวางสายจากคิมหันต์ได้มีข้อความนี้เข้ามา เขาได้สร้างเส้นทางที่แตกต่างจากครั้งก่อน หวังว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ดีของเขา

    แม้ว่าโลกที่เขาอยู่ตอนนี้ หลังจากการย้อนกลับมาจะไม่สดใส แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาทำให้ได้เลือกเส้นทางสายใหม่ที่จะก้าวเดินต่อไป

    คีริณถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ จากนั้นก็ยัดมือถือลงในกระเป๋ากางเกง เขาดึงกระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นที่อยู่ไว้ใต้เตียงขึ้นมาแล้วเริ่มเก็บข้าวของของเขา

    หากเหตุการแพร่เชื้อไวรัสมาถึงตามที่คาดไว้ ในตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกเพียงสองเดือนเท่านั้น  ทุกวินาทีคือการนับถอยหลัง 


    เมื่อละทิ้งความคิดมากมายในในหัวออก คีริณรู้ว่าอย่างแรกที่เขาควรทำคือออกจากเมือง G เมืองนี้คือเมืองที่เขามาเรียน ตอนนี้เขาต้องการย้ายกลับบ้านเกิดของตัวเองที่เมือง S ต่อไปเมืองนี้จะเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่รุนแรง ทำใหผู้คนในเมืองนี้เสียชีวิตจำนวณมาก


    นอกจากนี้ยังมีจุดสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจไปที่เมือง S เพราะตอนเริ่มต้นของการจัดตั้งฐาน   ฐานในเมือง S นั้นทางกองทัพเป็นผู้จัดตั้งขึ้นและได้ดำเนินการจัดการอย่างดี เช่นผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการแพร่เชืัอไวรัสสามารถเป็นเจ้าของบ้านของตนเองได้ และที่อยู่อาศัยสัยที่กองทัพครอบครองอยู่ก็ไม่กีดกันบุคคลภายนอกมากมากเกินไป

    หลังจากที่คีริณและคิมหันต์เข้ามาอาศัยที่ฐานในเมือง S ในตอนนั้นได้ เป็นเพราะคีริณได้พบกับเพื่อนบ้านเก่า อีกฝ่ายสามารถให้เขาเช่าห้องใต้ดินในราคาที่ถูกกว่าค่าเช่าของฐานมาก และบ้านหลังนี้ก็อยู่ภานในฐานจึงเป็นการรับรองว่าเขาและคิมหันต์ปลอดภัยแน่นอน อีกทั้งการหางานและอาหารได้ไม่ยาก เพวกเขาจึงได้ตั้งรกรากและอยู่ที่ฐาน S ก่อนที่ตัวเขาจะย้อนกลับมา


    ครอบครัวของคีริณอาศัยอยู่ในเมือง S ในวัยเด็กของเขา เขาได้อาศัยอยู่ในบ้านของคุณยายที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของเมือง S แม้ว่าพ่อของเขาจะเคยเจ้าชู้ แต่พ่อได้หยุดนิสัยนี้หลังจากที่ได้เจอกับแม่ของเขา

    ทั้งสองได้ทำงานหนักมากเพื่อสะสมทรัพย์สินแต่น่าเสียดายที่พ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตเร็ว

    เมื่อคีริณอายุสิบห้าและสิบแปด พ่อและแม่ก็เสียชีวิตลงทีละคน ทั้งสองทิ้งบ้านหนึ่งหลังเงินฝาก 2 ล้านกว่าและโรงงานขนาดเล็กในเขตชานเมืองให้กับคีริณในเมือง S โรงงานเป็นโรงงานขนาดเล็กที่สร้างขึ้นมานานมากกว่าสิบปีแล้ว ผลิตสิ่งทอโดยจ้างคนงานในหมู่บ้านและพื้นที่ใกล้เคียง

    อาคารโรงงานไม่ใหญ่นักเป็นอาคารสองชั้นที่มีพื้นที่ไม่ถึง 1,000 ตารางเมตร แต่พื้นที่นอกโรงงานล้อมรอบด้วยกำแพงมีประมาณ 1,500 ตารางเมตรต่อมาไม่ชัดเจนว่าอาคารใช้เพื่อจุดประสงค์ใด ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่ทั้งหมดนั้นอยู่ในขอบเขตศูนย์กลางของฐานเมือง S หากเขาสามารถกลับบ้านได้ในตอนนี้และใช้ประโยชน์จากพื้นที่โรงงานไห้ดี เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่พักและที่ปลูกผักผลไม้

    นอกจากนี้คุณยายญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของคีริณ อายุ 67 แล้วในปีนี้ แต่เธอร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่เธอเกิด ห่างจากโรงงานประมาณสิบกิโลเมตร หลังจากเกิดการแพร่เชื้อไวรัสครั้งนั้น คีริณยังฝึกงานอยู่ที่เมือง A

    ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปที่เมือง S ได้ทันเวลาและคลาดกับคุณยาย เขารู้จากเพื่อนบ้านเก่าที่ให้เขาเช่าห้องใต้ดินบอกว่าคุณยายของเขาไม่ได้รับเชื้อหลังจากการระบาดของไวรัส เธอมีชีวิตอยู่ได้อีกสองปีก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุให้เธอเสียชีวิตกะทันหัน คุณยายยังคงรอคีริณกลับบ้านจนกระทั่งเธอเสียชีวิตลง

    เมื่อนึกถึงคุณยาย คีริณก็กลับมามีสติทันที เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดเบอร์โทรที่เลือนลางในความทรงจำของเขา

    หลังจากรอไม่นาน ก็มีเสียงจากอีกฝั่งหนึ่งของสาย

    โทรศัพท์บ้านถูกหยิบขึ้นมา

    “สวัสดี” เสียงของผู้หญิงที่ดูอบอุ่นดังขึ้น “ใครเหรอ”

    หมายเลขที่แสดงอยู่มันเล็กมากคุณยายเลยมองไม่เห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาจึงไม่รู้ว่าเป็นคีริณ

    คีริณกำโทรศัพท์แน่น กลั้นความรู้สึกที่เจ็บในใจแล้วพูดออกไป “คุณยาย ผมเอง”

    “น้องริณ” คุณยายเรียกชื่อเขาอย่างมีความสุข และแปลกใจเล็กน้อย “เมื่อวานหนูเพิ่งโทรกลับมาบอกยายว่าจะไปฝึกงานไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงโทรมาตอนนี้ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นั่นหรือเปล่า”

    ที่ปลายสายอีกด้าน นอกจากเสียงของคุณยายคีริณแล้ว ยังได้ยินเสียงอื่นๆ ที่แทรกมาในโทรศัพท์ด้วย

    คีริณสูดหายใจตอนได้ยินเสียงด่าที่จับใจความได้คลุมเครือ และถามว่า “คุณยายมีใครเป็นอะไรรึเปล่า” คุณยายหัวเราะออกมาและคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้น่าสนใจมาก

    เธอจึงเล่าให้คีริณฟัง “ไม่มีอะไรหรอกไก่ที่บ้านป้าจันของหนูตายไปสองตัวเมื่อวาน ถ้าเป็นไก่ยาย ยายคงฝังไปแล้วเพราะไม่รู้ว่ามันตายยังไงจริงไหม"

    " ยายบอกแกให้ฝังแกก็ไม่ทำ เมื่อวานนี้ไก่เพิ่งลวกเสร็จกำลังจะถอนขนออก ไก่สองตัวนั้นก็กระโดดขึ้นมาจิกแกอย่างเร็ว เกือบจะโดนตาของป้าจัน แกโกรธมากเลยตัดหัวไก่ทิ้ง แต่หัวไก่ยังขยับอยู่เลย! แม้แต่ในทีวีก็ไม่มีเรื่องแบบนี้ให้เห็น”

    ในสายตาของคนเฒ่าคนแก่และชาวบ้านที่นี้เหตุการแบบนี้เป็นเพียงเรื่องที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้น พวกเขาไม่เอะใจเลย แต่ในใจของคีริณรู้สึกกังวลเล็กน้อย

    เพราะสิ่งนี้ถือเป็นลางร้าย

    “คุณยาย คุณไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ อยู่ดูละครทีวีที่บ้าน ผมจะกลับบ้านพรุ่งนี้" คีริณพยายามทำเสียงให้ปกติมากที่สุด คุณยายได้ยินก็ตกใจ “หนูไม่ต้องไปฝึกงานเหรอ”

    “ครับ ผมไม่ไปแล้ว”

    คีริณไม่ได้บอกสาเหตุ และคุณยายจึงไม่ได้ถามต่อ เธอไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ให้กวนใจคีริณเลย กลับกัน เธอดีใจที่หลานชายจะกลับบ้าน “นั่นแหละดีที่สุด พรุ่งนี้หนูจะกลับเมื่อไหร่ ทางรถไฟหรือเครื่องบิน”

    “ผมยังไม่รู้ คุณยายไม่ต้องรอเปิดประตูบ้านให้ผม แล้วก็ล็อคประตูและหน้าต่างให้ดีหามเปิดตอนกลางคืน ผมจะเปิดประตูบ้านเองผมมีกุญแจอยู่”

    “รู้แล้ว รู้แล้วหนูระวังตัวเองด้วยนะ”

    "ครับ"


    คีริณวางสาย ก่อนที่เขาจะได้ถอนหายใจโล่งอก ประตูห้องนอนก็ถูกเคาะโดยไม่ได้เตือนล่วงหน้า ทำลายความเงียบสงบในห้อง

    "ใช่ห้องของคีริณหรือเปล่าครับ” เสียงเคาะประตูเบาๆและเสียงเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของห้อง

    ตอนนี้ทั้งชั้นแทบจะว่างเปล่า ใครจะมาหาเขาตอนนี้

    คีริณเดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวังและถามออกไป


     “ใครครับ”


    “ที่ข้างหลังอาคารดนตรีเมื่อกี้ ผมเห็นคุณเดินอย่างรีบร้อนและลืมถุงขนมไว้” เมื่อคน้างนอกพูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น ทำให้คีริณจำได้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินอาย ขนมนั้นเขาชอบรสชาติของมันมากจริงๆ

    คีริณแง้มเประตูออกเล็กน้อย ด้วยรอยแยกเล็กๆ ของประตูห้องทำให้แสงส่องออกไปทำให้ที่ทางเดินเกิดแสงสลัว แสงที่ส่องจากประตูกระทบที่หน้าผากและดวงตาของคณิน ปรากฏใบหน้าที่เรียบเฉยให้ความรู้สึกปิดกั้นคนอื่น

    บรรยากาศรอบตัวที่กดดัน ริมฝีปากของเขาเป็นเส้นตรงแสดงให้เห็นว่าผู้มาเยือนอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียด

    จากมุมมองของคณิน ดวงตาของคีริณที่เผยออกมาตรงรอยแยกของประตูกำลัวมองสำรวจมาที่เขา และเมื่อดวงตาทั้งสองข้างของคีริณจ้องไปที่ไหล่ของตัวเอง คณินอดไม่ได้ที่จะยืดตัวขึ้น เมื่อดวงตาของคีริณจ้องมองไปที่ดวงตาของตัวเอง เขากังวลว่าเขาได้เก็บซ่อนอารมณ์ที่ร้อนแรงได้หมดหรือไม่

    เพื่อนของมากกว่าหนึ่งคนเคยเอ่ยว่า: แววตาของคุณตอนที่มองคีริณมันร้อนแรงจนน่าตกใจ!

    เมื่อคีริณมองไปที่คอของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ คณินก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า คงไม่สังเกตุเห็นว่าเขากลืนน้ำลายอยู่ใช่มั้ย   อารมณ์ของคีริณตอนนี้สงบลงมากแล้วเมื่อเทียบกับตอนที่เขาอยู่ข้างอาคารดนตรี

    หลังจากทบทวนดีๆ แล้ว เขาหายจากความกังวลในตอนแรกที่ได้ยินเสียงเคาะห้องแล้ว

    เขาเชิญคณินเข้ามาในห้องพร้อมกับขอบคุณเขา " เชิญเข้ามาเลยครับ แล้วก็ขอบคุณเรื่องที่คุณเอาถุงขนมมาคืนให้ผมด้วยครับ" เดิมทีเขาคิดว่าคงเป็นคนที่เรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่เมื่อมองไปที่ชุดของคณิน เขาไม่น่าจะเรียนอยู่ที่นี้

    เรื่องที่คณินรู้จักชื่อและหอพักของเขา คีริณไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย ถึงแม้ว่าเขาจะคิดดูแล้วคงจะเงป็นป้านงนุชที่บอกเลขที่ห้องของเขา คีริณคงคาดไม่ถึงว่าเป็นเพราะคณินที่คอยสอดส่องเขาอย่างลับๆ มาเป็นเวลานานแล้ว

    เมื่อคีริณเชิญคณินเช้ามาในห้อง เขาก็ก้าวเข้าไปในห้องพักอย่างมีความสุข ตอนนี้ดวงตาของคณินมองไปที่เตียงที่วางอยู่อย่างรวดเร็ว สามในสี่เตียงด้พับผ้าห่มเรียบร้อย มีเพียงเตียชั้นล่างเพียงเตียงเดียวในมุมห้องที่ยังมีผ้าห่มกองอยู่ เห็นได้ชัดว่าคนเพิ่งตื่น เจ้าของเตียงนี้น่าจะเป็นคีริณที่เพิ่งตื่น

    เมื่อคณินคิดว่าคีริณยินยอมที่จะให้เขาเข้ามาในห้อนนอนตัวเอง เขาต้องกำมือแน่นเพื่อไม่ให้แสดงอาการที่ตื่นเต้นสุดๆแสดงออกมาที่ใบหน้า เขาอยากโยนถุงในมือออกไป แล้วกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงของคีริณกลิ้งไปมาและตามกอดผ้าห่มที่มีคีริณนอนอยู่ข้างๆ ตอนนี้รู้สึกว่าลมหายใจของเขาแรงขึ้น

    เพียงแค่จินตนาการว่าได้นอนกอดกันกับคีริณ คณินรู้สึกมีความสุขมากแล้ว

    คีริณไม่รู้ความคิดในใจของคณิน เมื่อเขาหันกลับมาและเห็นว่าคิ้วของคณินขมวดอยู่และกำลังมองไปที่เตียงที่มีกองผ้าห่มอยู่ คิดว่าอีกฝ่ายคงต่อว่าตัวเองในใจเเรื่องที่ผ้าห่มไม่เรียบร้อยและไม่อยากอยู่ในห้องกับเขา

    ท้ายที่สุดแล้วมันเป็นเพราะการแสดงออกภายนอกของคณินที่ทำให้คีริณเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนเจ้าระเบียบ

    แต่ในตอนนี้เขาขี้เกียดเกินไปที่จะเก็บเตียง เพื่อให้ดูดีในสายตาคนนอกอย่างคณิน คีริณขี้เกียจเกินกว่าจะทำเรื่องแบบนี้ เมื่อเทียบกับคณินที่ยืนอยู่ข้างๆแล้ว คีรินสนใจถุงขนมสี่ถุงที่คณินถืออยู่ในมือของเขามากกว่า

    "ผมขอถุงคืนด้วยครับ" เมื่อเห็นว่าคณินไม่มีท่าทางที่จะส่งถุงมาให้ คีริณจึงเอื้อมมือออกไปดึงถุงออกมาจากมือของคณิน เลี่ยงไม่ได้ที่มือทั้งสองคนจะแตะกัน

    คณินรีบดึงมือของตัวเองออกและมองไปที่คีริณ


     คีริณ "???"


    เมื่อรู้ว่าการแสดงออกของเขานั้นแปลกเกินไป คณินก็เปลี่ยนเรื่องทันทีหาเรื่องคุยเหมืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผมชื่อคณินและผมก็จบการศึกษาจากภาควิชาภาษาจีนมหาลัยเดียวกันกับคุณ”

    คีริณเบิกตากว้างราวกับว่าเขาตกใจมาก เขาจับไปที่แขนของคณินโดยไม่รู้ตวทันที คีริณยังไม่อยากจะเชื่อจึงถามยืนยันอีกครั้ง “คณิน คณินที่จบปี 2013 เหรอ”

    การแสดงออกของคีริณเกินกว่าที่คณินคาดไว้ ในใจของเขาตอนนี้เหมือนจะมีพายุน้ำผึ้งพัดจนท่วมตัวของเขา มือและเท้าของเขาหวานจนแทบจะสูญเสียความรู้สึก

    “ใช่ครับ ผมเอง” ใบหน้าของคณินยังคงราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ออกมาเลย แต่นัยตาของเขาเต็มไปด้วยความปั่นป่วน

    ความประหลาดใจของคีริณไม่ได้มาจากที่รู้ว่าเขาจบจากที่ไหนหรือจบแล้วเขาได้ทำงานอะไระ พูดตามตรงนี้มันสิบปีผ่านไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงเขาลืมไปแล้วว่ามีใครเข้ามากี่คนในชีวิตและเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยเมื่อครั้งนั้น

    เหตุผลที่เขายังคงจดจำคณินได้ในตอนนี้เป็นเพราะคณินมีชื่อเสียงในฐาน S มากหลังการแพร่เชื้อไวรัส

    ฐานที่มั่นของเมือง S แทบจะครอบครองไปแล้วเกือบครึ่งของประเทศ หลังจากอยู่ที่ฐานในเมือง S มานานหลายปี สิ่งเดียวที่เขารู้เกี่ยวกับคณินคือเราเคยอยู่ในเมือง G เหมือนกันและเรียนที่มหาลัวเดียวกันอีกแต่คนละชั้นปี

    เขาไม่รู้ว่าทำไมคณินถึงไปที่เมือง S เมื่อผ่านไปครึ่งปี หลังจากเกิดการแพร่เชื้อไวรัส และอยู่แต่ที่นั้นมาตลอด คุณไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในใจของคณิณที่มีต่อคณินเป็นแบบไหน

    คิมหันต์ก็เคยถอนหายใจไปกับเขาด้วยเรื่องความผันผวนของชีวิต รุ่นพี่ของพวกเขาตอนแรกอาจเป็นคนธรรมดาเหมือรพวกเขาเรียนจบแลวก็แล้วก็ทำงาน แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นชะตากรรมสุดท้ายของพวกเราแตกต่างกันมาก

    คีริณไม่คาดคิดว่าเขาจะย้อนกลับมาในเวลานี้ และได้พบกับคณินก่อนเกิดการแพร่เชืัอไวรัส มันดูไร้เหตุผลในเรื่องนี้

    ตอนนี้คณินรู้สึกได้ถึงมือของคีริณที่จับแขนของเขาผ่านเสื้อเชิ้ตบางๆ ร่างกายของเขาทั่วร่างราวกับถูกไฟช็อต เขาแทบจะเป็นลมและล้มทั้งยืนด้วยความตื่นเต้น มีเพียงความคิดเดียวในใจว่า

    โอ้ว %@#$5!!!. เขาแทบทนไม่ไหวแล้ว อยากกอดคีริณมากจริงๆ





    .
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×