ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาปลูกผักในวันสิ้นโลกกันเถอะ

    ลำดับตอนที่ #2 : ปลูกครั้งที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 67







    จู่ๆ ก็ได้กลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน ไม่ต้องระแวงคนรอบข้างและระมัดระวังทุกสิ่งรอบตัว ทำให้รู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่

    คีริณที่ยืนมองเงาตัวเองที่สะท้อนอยู่กระจกในห้องน้ำ เขาค่อยถอดเสื้อตัวเองออก ปรากฏให้เห็นชายหนุ่มร่างผอมบางคนหนึ่ง หน้าท้องส่วนล่างมองเห็นลอนกล้ามได้เลือนลาง ไม่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวที่เคยเห็นแบบในฝัน แม้แต่ตอนที่เขามองหน้าตัวเองในกระจก เขารู้สึกประหลาดใจที่ไม่ได้เห็นความเหนื่อยล้าที่มันสะสมมานานบนใบหน้านี้ มันหายไปแล้ว

    หากไม่ใช่จุดจบของโลก คีริณก็ยังคงเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา แต่ถ้าสิบปีนั้นเป็นเพียงฝันร้ายที่ยาวนาน ทำไมทุกอย่างในความฝันจึงได้ฝังลึกในใจเขามากขนานนั้น ความสิ้นหวังและความเจ็บปวดจากแรงกดดันที่ต้องการเอาชีวิตลอดเวลา ความรู้สึกชืดชาจากความตาย และความสิ้นหวังในชีวิตแทบจะสูบพลังชีวิตของคนๆ หนึ่งให้หายไปจากโลกใบนี้

    ในช่วงห้าปีให้หลังวันสิ้นโลก ทั้งเขาและคิมหันต์ต่างก็ต่อสู้ดิ้นรนและเกือบเสียชีวิตก็หลายครั้ง

    หลังจากที่อารยธรรมสมัยใหม่เกือบจะล่มสลาย ความเท่าเทียมและศีลธรรมในใจที่ผู้คนยึดถือเป็นเรื่องปกติเกือบจะหายไปหมดแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ที่มีอำนาจและคนที่แข็งแกร่งจะตั้งตนเป็นใหญ่

    คนแก่ คนที่อ่อนแอ คนป่วย และเด็กที่ไม่มีใครคอยคุ้มครองช่วยเหลือก็ต้องตกเป็นทาสและผู้หญิงหรือผู้ชายบางก็ถูกบังโดยความไม่เต็มใจก็มี


    กองทัพทหารขนาดใหญ่หลายแห่งในประเทศที่ยังอยู่รอดได้จัดตั้งฐานผู้รอดชีวิตได้กระจายอยู่ตามที่ต่างๆและมีค่ายเล็กๆ ที่คนแข่งแกร่งจัดตั้งขึ้นกระจายอยู่ตามป่าแล้วแต่ผู้นำจะเลือกสถานที่

    สังคมเมืองได้เสื่อมลงเป็นสังคมทาสหรือสังคมชนชั้น ทุกคนเกือบจะสูญเสียตัวเองแต่เพื่อความอยู่รอดพวกเขาก็จำต้องทำแม้จะต้องเป็นทาสคนอื่น

    ในปีที่หกในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็ได้เข้าไปอยู่ในค่ายขนาดใหญ่ของกองทัพในเมือง S ซึ่งเมืองนี้คีริณเคยอยู่มาก่อน ที่นี้มีกองทัพทหารประจำการอยู่ตั้งแต่ก่อนที่จะมีซอมบี้ แม้ว่ามันจะวุ่นวายอยู่บ้างในตอนที่เกิดซอมบี้ในช่วงแรกๆแต่ในภายหลังก็ยังคงรักษาระเบียบได้ดีกว่าโลกภายนอก อย่างน้อยที่นี่ก็ห้ามฆ่าคนและผู้หญิงก็ไม่ถูกกดขี่

    เขาทั้งสองคนได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ในพื้นที่ปลูกและเพาะพันธุ์ของฐาน S ซึ่งถือว่าโชคดีมากแล้ว เพราะที่นี่พวกเขาจะไม่เป็นอันตรายและยังสามารถกินอาหารได้ครึ่งอิ่มทุกวัน


    คีริณหยิบเสื้อยืดจากราวแขวนมาใส่ เขาเดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ในตอนนี้มหาวิทยาลัยปิดเทอมอยู่เลยทำให้ในตอนนี้ในมหาลัยมีคนไม่มากนัก ยกเว้นคนที่จะย้ายเข้าหอพักใหม่

    ป้านงนุชกำลังดูหนังในโทรศัพท์มือถือ เธอเหลือบไปเห็นคีริณที่กำลังเดินลงมาจากข้างบน เธอรีบกดหยุดชั่วคราวแล้วพูดกับเขาว่า “คีริณ คุณไม่ได้ไปมหาลัยเหรอ ทำไมคุณยังไม่ไปล่ะ แล้วพรุ่งนี้คุณจะไปหรือเปล่า ถ้าคุณขาดเรียนมหาลัยรู้เข้าพวกเขาจะโทษฉัน”

    “ครับ” คีริณตกอยู่ในความคิดตัวเองเมื่อมองไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าเขา สำหรับป้า คงคิดว่าเขาก็แค่เพิ่งตื่นและเดินลงบันไดมาหาของกินตามปกติ แต่สำหรับคีริณ เขาไม่ได้อยู่ที่นี้นานถึงสิบปีแล้ว

    “คุณป่วยเหรอ ทำไมคุณดูซีดๆ” ป้านงนุชพูดขึ้นพลางก้มตัวลงหยิบแตงโมครึ่งลูกจากใต้โต๊ะขึ้นมากินแล้วออกมาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าคุณป่วย คุณต้องไปหาหมอให้ทัน อย่าปล่อยให้ตัวเองป่วยหนัก” หน้าจอโทรศัพท์มือถือถูกกดเบาๆ และคลิปหนังที่ถูกหยุดก็ถูกเล่นซ้ำ ผู้ชายและผู้หญิงก็ปรากฏให้เห็นในจอ

    คีริณเดินไปข้างหน้าหอ ที่ด้านนอกตอนนี้แดดกำลังร้อน เพราะเป็นตอนเที่ยงทำให้บางครั้งคนที่เดินผ่านไปมาต่างก็รีบเร่ง

    ห้านาทีต่อมาเขาอยู่ในร้านสะดวกซื้อภายในมหาวิทยาลัย

    คีริณยืนอยู่หน้าชั้นวางสินค้าที่วางเรียงรายกันอยู่ แม้ว่าเขาจะถือเงินไว้ในมือแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร

    มีของกินมากมายเรียงรายอยู่ที่ชั้นวางของ น่าตาที่น่ากินของมันทำให้เขาเลือกไม่ถูก

    มีนักศึกษาเดินผ่านเขาไปหลายคนแล้ว จนในที่สุดเขาก็รู้สึกตัว ท้องของเขาไม่ได้หิว แต่ความหิวมาจากจิตใต้สำนึกของเขา

    การเห็นของกินที่มากมายแบบนี้ทำให้ไม่ค่อยคุ้นชินแต่เขารู้สึกมีความสุขมาก ในตะกร้าของเขาแทบจะกวาดเอาของที่กินได้ทุงอย่างลงในตะกร้า มันเป็นเรื่องยากที่จะลืมนิสัยเก่าๆ เพราะแต่ก่อนเขาต้องรีบหยิบทุกอย่างที่กินได้แม้ว่ามันเป็นแค่เศษอาหาร

    คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อยเมื่อเเห็นเขาทำอย่างนั้น สองสาวก้มหน้าและกระซิบกันเบาๆว่า "นั่นไม่ใช่คีริณจากคณะการโรงแรมเหรอ"

    "ทำไมเขาซื้อเยอะขนาดนั้น ว้าว... ฮ่าๆ..."

    พวกเธอรู้สึก... สงสัยมากอาหารมากขนาดนั้นเขาจะกินมันหมดเหรอ

    คีริณไม่ได้สนใจพวกเธอ ทีวีที่ร้านกำลังเปิดอยู่ลังแสดงภาพข่าวแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่กำลังร้องให้ที่แมวของตัวเองตาย พิธีกรในทีวีที่อ่านข่าวอยู่เขาใช้เสียงที่ฟังแล้วรู้สึกน่าเบื่อ ข่าวว่าพบซากสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าที่ตายมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนคาดว่าเกิดจากที่คนล่าสัตว์มากเกินไป และตามบ้านก็บพบสัตว์เลี้ยงที่ป่วยอยู่อีกจำนวนมาก

    ที่ทีวีกำลังแสดงภาพสัตว์ที่เน่าขึ้นอืดบนหน้าจอแม้ว่าถูกโมเสกไว้ แต่ยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยง

    ในตาของคีริณร้อนแรงขึ้น มันไม่ได้เกิดจากการที่คนล่าสัตว์มากขึ้น แต่มันเป็นลางบอกเหตุก่อนเกิดเหตุการซอมบี้ระบาด แต่จะทำอะไรได้

    วันสิ้นโลกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะตอนนี้ ไวรัสได้แพร่กระจายอยู่ในอากาศทำให้ทั้งมนุษย์และสัตว์ได้รับเชื้อมาระยะเวลาหนึ่งแล้วและยังไม่มีใครรู้ตัว เมื่อเชื้อสะสมในร่างกายมากขึ้น มันจะทำให้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งมันได้

    แม้ว่าคีริณจะรู้ว่าเขาได้ย้อนกลับมาในช่วงเวลาก่อนเกิดเชื้อไวรัสระบาดครั้งใหญ่แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว วันสิ้นโลกก็คงจะเกิดขึ้นเหมือนเดิม

    สิบนาทีต่อมา คีริณได้จ่ายเงินค่าของกินที่ซื้อมาภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของแคชเชียร์ เขาเดินออกจากร้านสะดวกซื้อพร้อมกับถุงสี่ใบที่ของกินเกือบจะล้นออกจากถุง ตอนนี้เขากำลังเดินอยู่ริมถนน เพราะเขารอไม่ไหวที่จะกลับไปกินที่หอพักเขาจึงต้องหาที่กิน

    เนื่องจากติดนิสัยที่ผ่านมา คีริณจึงไม่กล้ากินอาหารโดยมีคนอื่นมองอยู่ เขากลัวสายตาทุกคนที่มอง เขาจึงจึงเดินไปที่ลานโล่งเล็กๆ ด้านหลังอาคารดนตรีของมหาวิทยาลัยที่ไม่ค่อยมีคน

    เขาคิดว่าต้องวางแผนอย่างดีเพื่อใช้เวลาสองเดือนที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด คีริณไม่อยากใช้ชีวิตอย่างอยากลำบากอย่างน้อยก็เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะมีที่อยู่ที่ปลอดภัยและเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่หิว

    ความคาดหวังสองอย่างก่อนแพร่เชื้อของไวรัสของเขาดูเหมือนจะง่ายมาก แต่หลังจากเกิดการแพร่เชื้อความคาดหวังของเขาถือว่าเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่เหมือนกัน

    อาคารดนตรีมีงานเมื่อสองวันก่อนตอนนนี้จึงว่างเปล่าไม่มีคน และแทบไม่มีใครมาที่นี่ถ้าไม่มีการจัดงาน ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังของคีริณเกี่ยวกับความปลอดภัยหลังจากเกิดการแพร่เชื้อไวรัส

    ตราบใดที่ไม่ใช่ของเน่าเสีย ก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นมื้ออาหารที่ดี แต่หากคุณใส่เกลือและเครื่องปรุงเล็กน้อย ก็เทียบเท่ากับงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ และของกินที่เขาถืออยู่ตอนนี้แทบจะทำให้เขากัดลิ้นตัวเอง!

    หลังจากกินไปสองคำ คณิณเกือบจะหลั่งน้ำตา

    มองจากที่ไกลๆ จะเห็นคนๆหนึ่งกำลังนั่งเคี้ยวขนมอยู่ท่ามกองกล่องใส่อาหารมากมาย เขาใช้ปากกัดอีกคำและร้องไห้ออกมาโดยก้มหน้าอยู่ เป็นภาพที่แปลกประหลาดของคนที่พบเห็น

    โทรศัพท์มือถือของคีริณส่งเสียงแจ้งเตือนขึ้นสองครั้ง และมีข้อความเข้ามา แต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจต่อข้อความนั้น


    “ฉันกลับมาที่นี้เพียงเพื่อมาพบเด็กผมสีเหลืองคนนั้นเหรอ” ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้ชายดังขึ้นฟังจากน้ำเสียงดูดื้อรั้น จากที่ได้ยินเสียงพูดพวกเขาน่าจะเดินมาจากมุมถนนและมุ่งหน้ามาทางนี้ เขาไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใครถึงเดินมาในที่ห่างไกลแบบนี้ ตอนนี้คีริณรีบวางห่อขนมแล้วรีบซ่อนตัวอย่างรวดเร็ว

    นิสัยที่ติดตัวมาหลายปีไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วขณะหนึ่ง

    เสียงผู้ชายอีกคนดังขึ้น ด้วยความจนใจเล็กน้อย เสียงเขาแหบและดูมีเสนห์ที่ไม่สามารถปกปิดได้ “ฉันตั้งใจจะพบมาเขาอีกครั้งในวันนี้ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะไปฝึกงานวันนี้"

    “ดีมาก” อีกคนเขายังพูดด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยอีกว่า“ระวังคำพูดที่เหลวไหลของนายไว้ คนรอบข้างรู้ว่านายเป็นใคร ถ้านายฟังฉันตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ตอนนี้คงพาคนไปด้วยกันได้แล้ว และนี้นายก็สามารถไปต่างประเทศได้ถ้านายทนรอไม่ไหว ฉันได้ใบรับรองมาแล้ว”

    คีริณไม่อยากฟังสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกัน เขาย่อตัวลงอีกเมื่อชายสองคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาสว่างอยู่ เขาจึงก้มหน้ามองดูและถือมันไว้ในมือ

    ในเวลาเดียวกันเสียงเดินของทั้งสองบนถนนเล็กๆ ก็บังเอิญมาหยุดที่ข้างเขา มันไม่ยากที่จะสังเกตเห็นถุงสี่ใบในสนามหญ้าเล็กๆ ข้างพุ่มชาดัด

    ในสองคนนั้นที่คุยกันอยู่เขาย้อมผมเป็นสีเหลืองทองและเพราะผิวที่ขาวซีดของเขาเลยดูเหมือนชาวต่างชาติเมื่อมองแวบแรก อีกคนตัวสูงและแต่งตัวดี ในตอนที่ร้อนและอบอ้าวเขายังคงติดกระดุมเสื้อทุกเม็ด ซึ่งปิดคอไว้เล็กน้อย ผมของเขามีสีดำสนิท ดวงตาของเขาลึกและสันจมูกโด่งได้รูป

    ตอนนี้เขากำลังกลั้นยิ้มอยู่เมื่อคณินมองเห็นคีริณที่นั่งแอบอยู่พุ่มไม้ข้างทาง

    คีริณรืบยืนขึ้นแล้วก้าวถอยหลังไปก้าวใหญ่ในความเป็นจริง เพียงแค่มองดูการแต่งตัวก็สามารถแยกแยะนิสัยของทั้งสองคนได้

    "ว้าว ว้าว นี่มันพรมลิขิต " ภูริชรู้สึกตกใจมากที่เห็นคีริณอยู่ที่นี้

    "ถ้าไม่เรียกพรมลิขิตก็ไม่มีอย่างอื่นให้เรียกแล้ว"คนที่ใส่เสื้อเชิ้ตมองเขาอย่างตักเตือน "เงียบ"

    ตอนที่เขาพูดอยู่ มือเขาที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น

    "คุณครับ" เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นๆ เมื่อเห็นคีริณถอยกลับเพื่อป้องกันตัวเอง คนใส่เสื้อเชิ้ตหยุดความต้องการที่จะเดินเข้าไปหาคีริณอย่างใจคิด เขามองเข้าไปในดวงตาของคีริณ จ้องมองตามติดจนกระทั่งคีริณต้องก้มมองโทรศัพท์ตัวเองเขาถึงเลื่อนสายตาไปที่ปากกระจับสีแดงได้รูป ความคิดของเขาตอนนี้ไม่มั่นคงเท่าไหร่และอารมณ์ของเขาก็ต่ำลง

    แต่ว่าบรรยากาศรอบตัวเขาทำให้คีริณรู้สึกกลัวกับความรู้สึกกดดันที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา คีริณตกใจมากเขาหยิบห่อขนมที่กินไปครึ่งชิ้นขึ้นมาพูดติดขัด "ฉัน ฉันจะไปก่อนนะ" จากนั้นเขาก็หันหลังลุกขึ้น และวิ่งกลับหอ

    ภูริชตกตะลึงมองตามไปที่หลังของคีริณและหัวเราะออกมา เขาหันกลับมาและตบไหล่คนที่สวมเสื้อเชิ้ตและพูดด้วยเสียงออกติดตลก "ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทำไมฉันถึงไม่รู้ว่าเขาขี้ตกใจมากขนาดนี้ คณิน มุมมองของคุณ...มันยากที่จะบอกจริงๆ"

    คณินปัดมือของเขาออก ก้มตัวลงโดยไม่พูดอะไร เขาถือถุงใส่ของที่คีริณทิ้งไว้และเดินไปตามไปที่หอพักทั้งสองคน

    อีกด้านหนึ่ง

    คีริณวิ่งเข้าไปในหอพักด้วยความเหนื่อยหอบมันเป็น ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่อาจอธิบายได้วนเวียนอยู่ในใจของเขา และเขาก็โล่งใจเล็กน้อยจนกระทั่งเขากลับเข้าห้อวพักและล็อคประตู

    ตอนนี้คีริณมีเวลาที่จะก้มมองข้อความที่กระพริบอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์แล้ว

    เป็นเบอร์ที่เขาไม่รู้จักและมีข้อความสั้นๆว่า "ฉันอยากจูบคุณจริงๆ"

    เขาส่งผิดเบอร์หรือเปล่า คีริณปิดหน้าข้อความอย่างว่างเปล่า เหลือเวลาอีกเพียงสองเดือนสุดท้าย จูบคุณ จูบคุณ จูบกับ..... ไอ้....!







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×