คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สูงสุดคืนสู่สามัญ
สูงสุดคืนสู่สามัญ
เมืองฉงกวง เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ทางภาคกลางของประเทศ ห่างจากกวางโจวซึ่งเป็นเมืองหลวงไม่ไกลเท่าใดนัก ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวน ทำไร่ ความเป็นอยู่ค่อนข้างยากจน ที่บริเวณใจกลางเมืองจึงจะเป็นแหล่งค้าขายของพวกมีอันจะกิน
ยามนี้เป็นฤดูร้อน อากาศตอนสายยังปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ ทอต้องกระทบบ้านเรือนดั่งฉาบด้วยเปลวทอง
ที่ตรอกเล็กๆในเมืองมีขอทานวัยรุ่นสองคนเดินสนทนากันมาตามทาง
คนทั้งสองเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบปี เสื้อผ้าสกปรกมอมแมมจนแยกแยะสีเดิมไม่ออก มีรอยปะชุนส่วนที่ขาดวิ่นนับสิบแห่งทั่วร่าง ขอทานหนุ่มคนแรกคิ้วหนา ตาโต ผิวคล้ำกร้านแดดลมร่างกายสูงใหญ่ อีกคนหนึ่งใบหน้าเรียว รูปร่างผอมบาง ดูอ่อนเยาว์กว่าคนแรกเล็กน้อย
ขอทานหนุ่มร่างสูงใหญ่ในมือถือชามใบเขื่อง ในชามเต็มไปด้วยอาหารหลายชนิดกองพูนจนสูง มันหัวร่อเสียงดัง แล้วกล่าวว่า
“เศรษฐีแซ่จ้าวนับว่าเป็นผู้มีน้ำใจยิ่งนัก งานเลี้ยงคล้ายวันเกิดปีนี้ของมัน นอกจากจะจัดเลี้ยงบรรดาแขกเหรื่อที่มาในงานแล้ว ยังเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาถึงพวกเราเหล่าขอทานอีกด้วย เซี่ยวเหวิน ท่านดู อาหารที่บ่าวไพร่ของสกุลจ้าวแบ่งปันให้มา ล้วนแต่เป็นของโอชะชั้นดี ชนชั้นเราท่านไหนเลยมีปัญญาหามารับประทานได้ง่ายๆ ในปีหนึ่งมีลาภปากเช่นนี้สักครั้งก็นับว่าไม่เลวนัก”
ขอทานหนุ่มร่างผอมบาง นามเซี่ยวเหวิน ก็ถือชามอาหาร คาดว่าคงได้รับแบ่งปันมาจากบ้านเศรษฐีแซ่จ้าวเช่นเดียวกับขอทานหนุ่มร่างใหญ่ มันผงกศีรษะ กล่าวว่า
“เศรษฐีแซ่จ้าวรุ่มรวยมหาศาล เลี้ยงผู้คนเป็นร้อยเป็นพันสักครั้งก็คงไม่จนลงสักเท่าไร”
จากนั้นถามว่า
“โค้วเล่ากอ พวกเราจะไปที่ใด?”
ขอทานหนุ่มที่เป็นพี่ใหญ่ยิ้มที่มุมปาก กล่าวว่า
“ย่อมต้องเป็นศาลเจ้าร้างท้ายเมือง นั่นเป็นถิ่นประจำของเราโค้วเกียฮั้ว
ท่านมีเงินติดตัวอยู่เท่าใด? แวะซื้อสุราสักป้าน นั่งดื่มกินให้สาสมใจ”
“ท่านล้อเล่นแล้ว เงินทองของข้าพเจ้าหมดสิ้นไปตั้งแต่สิบวันก่อน เป็นท่านนำไปเล่นพนันที่บ่อนของเถ้าแก่พั่ว ท่านก็ทราบดี”
“อึมย์...เราก็เนื้อตัวว่างเปล่าเช่นกัน อาหารเลิศรส แต่ไร้สุราแต่งแต้ม ช่างน่าเสียดาย”
คนทั้งสองเดินสนทนากันพักใหญ่ ก็บรรลุถึงศาลเจ้าร้างท้ายเมือง
ศาลเจ้าเล็กๆแห่งนี้ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี มีสภาพทรุดโทรม กำแพงบางส่วนสลักหักพัง ประตูหน้าต่างผุกร่อน ภายในศาลเจ้าเป็นห้องโล่ง มีเพียงซากแท่นบูชาที่ล้มระเนระนาด บนพื้นเต็มไปด้วยเศษใบไม้ใบหญ้ากลาดเกลื่อน
โค้วเกียฮั้วเมื่อเข้ามาภายในศาลเจ้า ขณะจะชักชวนเซี่ยวเหวินร่วมรับประทานอาหารที่ได้รับบริจาคมา พลันเหลือบไปเห็นที่มุมห้องด้านในมีร่างคนผู้หนึ่งนอนขดตัวอยู่
โค้วเกียฮั้วนึกประหลาดใจ ค่อยๆเดินไปใกล้ ก้มลงมองดู คนผู้นั้นนอนก้มศีรษะซุกกับพื้น ยังไม่เห็นใบหน้าชัดเจน แต่ยังพอดูออกว่าเป็นชายหนุ่มเยาว์วัย อายุไม่เกินสิบแปดปี แต่งกายแบบชาวบ้านพื้นเมืองด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ทั้งสกปรกทั้งเหม็นอับ สารรูปเหมือนกับขอทานเช่นเดียวกับตน
โค้วเกียฮั้วไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน จึงยกมือเท้าสะเอว แค่นหัวร่อ กล่าวว่า
“ที่แท้เป็นเด็กน้อยต่างถิ่น เข้ามายึดถือศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่นอนโดยไม่ขออนุญาตจากบิดา สถานที่นี้บิดาครอบครองเป็นเจ้าของมานานแรมปี ไหนเลยให้เจ้าทอดกายพักผ่อนได้อย่างสบายอารมณ์”
มันใช้เท้าเขี่ยที่ลำตัวของชายหนุ่มที่นอนอยู่ค่อนข้างแรงสอง สามครั้ง
ชายหนุ่มผู้นั้นพลันรู้สึกตัวสะดุ้งตกใจ ทะลึ่งลุกขึ้นยืนทันที เบิ่งตามองดูขอทานทั้งสองที่เบื้องหน้า กล่าวเสียงสั่นสะท้าน
“พวกท่านเป็นใคร?”
โค้วเกียฮั้วค่อยมองเห็นใบหน้าคนผู้นี้ได้ถนัด ใบหน้าของมันแม้สกปรกมอมแมม แต่แฝงแววคมคาย องคาพยับทุกสัดส่วนเข้ารูปเหมาะเจาะ ร่างกายผอมเพรียวสะโอดสะอง ดูไปคล้ายบุตรหลานของผู้ดีมากกว่า ขัดกับสภาพการแต่งกายของมัน
โค้วเกียฮั้วรู้สึกคนผู้นี้อ้อนแอ้นบอบบาง ไร้ความเข้มแข็ง มีกลิ่นอายเยี่ยงนักศึกษา
“เด็กน้อยบังอาจถามชื่อบิดา บอกต่อเจ้า บิดานามโค้วเกียฮั้ว สังกัดพรรคกระยาจก เป็นผู้ปกครองดูแลศาลเจ้าแห่งนี้”
พลางชี้นิ้วไปที่เซี่ยวเหวิน แล้วกล่าวต่อ
“ส่วนมันคือน้องร่วมสาบานของเรา นามเซี่ยวเหวิน”
มันถลึงตาใส่ชายหนุ่มต่างถิ่น ขู่คำรามว่า
“เจ้าเข้ามาหลับนอนในสถานที่ของเรา ถือว่าลบหลู่ไม่ให้เกีรยติเราที่เป็นงูเจ้าถิ่น ทราบหรือไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นประการใด?”
ชายหนุ่มต่างถิ่นพอฟังว่าคนทั้งสองสังกัดพรรคกระยาจก ค่อยคลายใจลง
“เรา...เรา...ไม่มีเจตนา ไม่ทราบว่าศาลเจ้ารกร้างแห่งนี้เป็นถิ่นของท่าน”
“ไม่ทราบถือว่าไม่ผิด เอาเถอะ ครั้งนี้บิดาจะละเว้นให้สักครา แต่เด็กน้อยเจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทนมาบ้าง” กล่าวจบแบมือยื่นออกไปเบื้องหน้า
ชายหนุ่มงงงันวูบ คล้ายไม่เข้าใจท่าทีของขอทานหนุ่ม
โค้วเกียฮั้วกล่าวอย่างหงุดหงิดรำคาญ
“เจ้ามีเงินทองติดตัวมาเท่าใด แบ่งปันให้บิดาเป็นค่าสุราบ้าง”
ชายหนุ่มต่างถิ่นล้วงมือไปที่อกเสื้อ พบกับความว่างเปล่า
“เราไม่เคยพกเงินทอง...”
“ประเสริฐแท้ เจ้าเดินทางมาจากที่ใด? ใยไม่พกเงินทองติดตัวมาเลย”
“เรา...เรา...” มันอ้ำอึ้งอยู่ชั่วขณะ ขบคิดแล้วกล่าวว่า “เราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลางป่าห่างไกล เมื่อเดือนก่อนหมู่บ้านเราเกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายหมด หลงเหลือแต่เราเพียงผู้เดียว เราไม่กล้าอยู่ที่หมู่บ้านอีก จึงเดินทางร่อนเร่มาถึงที่แห่งนี้”
โค้วเกียฮั้วผงะถอยห่างอย่างรังเกียจ
“เจ้าติดโรคใดมาด้วยหรือไม่?”
ชายหนุ่มสั่นศีรษะ
“ญาติพี่น้องเจ้าเสียชีวิตหมดสิ้น?”
ชายหนุ่มผงกศีรษะอย่างซึมเซา ขบคิดว่ายามนี้เรานับว่าไร้ญาติขาดมิตรจริงๆ
โค้วเกียฮั้วเพ่งพินิจชายหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้ง เด็กน้อยผู้นี้หน้าตาคมคาย บุคลิกมีสง่า แม้มีกิริยาค่อนข้างไว้ตัวอยู่มาก แต่ไม่คล้ายคนชั่วร้าย พอฟังว่าครอบครัวของมันประสบชะตากรรม มันต้องร่อนเร่พเนจรตัวคนเดียว รู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่บ้าง
“เจ้าตั้งใจเดินทางไปที่ใด?”
“เรา...ไม่ทราบ เราไม่เคยออกมาจาก...จากหมู่บ้าน”
เซี่ยวเหวินเอ่ยแทรกว่า
“เล่ากอ เด็กน้อยผู้นี้น่าสงสารนัก หากมันไม่มีที่ไปก็รับมันเป็นพวกพ้องกับพวกเราเถอะ”
โค้วเกียฮั้วยังวางท่าที
เซี่ยวเหวินรีบกล่าวอีก
“ท่านผู้เฒ่าซุนเรียกให้พวกเราไปจัดเตรียมสถานที่ประชุมในเย็นนี้ ให้เด็กน้อยนี้มาช่วยงานด้วย คงเบาแรงไปไม่น้อย”
โค้วเกียฮั้วฟังว่าตนไม่ต้องทำงานหนัก จึงเริ่มคล้อยตาม ผงกศีรษะรับคำ
เซี่ยวเหวินลิงโลดยิ่ง หันไปกล่าวกับชายหนุ่มต่างถิ่น
“นี่ โค้วเล่ากอยินยอมให้ท่านติดสอยห้อยตามเป็นพวกพ้องเดียวกันแล้ว ท่านยังไม่รีบขอบคุณโค้วเล่ากอ”
ชายหนุ่มต่างถิ่นมีสีหน้างงงัน ขบคิดในใจว่า เราอยู่ในระหว่างถูกตามล่า เมืองนี้อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงเท่าใดนัก นับว่ายังอยู่ในเขตอันตราย หากเราซ่อนตัวปะปนอยู่กับพวกขอทานเหล่านี้ คงไม่มีผู้ใดคาดคิดถึง อย่างน้อยคงปลอดภัยชั่วระยะหนึ่ง เมื่อเรื่องสงบลงค่อยเดินทางต่อ
“ขอบคุณท่าน”
โค้วเกียฮั้วได้ลูกน้องเพิ่มอีกคน ต้องหัวร่อฮาฮา อย่างภาคภูมิใจ มันเดินเข้ามาลูบตบที่ศีรษะชายหนุ่มเบาๆ ถามว่า
“เจ้าชื่อแซ่ใด?”
ชายหนุ่มถูกลูบตบศีรษะถึงกับตัวแข็งทื่อ ร่างสั่นสะท้านด้วยความโกรธ ขณะจะอ้าปากตวาด พลันฉุกใจยั้งคิดได้ทัน
โค้วเกียฮั้วเห็นชายหนุ่มมีท่าทีแปลกๆ ต้องสงสัย
“เป็นไร?”
ชายหนุ่มระงับอารมณ์ สุดท้ายค่อยกล่าวว่า
“ข้าพเจ้า...เรียกว่าเซี่ยวลิ้ง”
“ประเสริฐ เซี่ยวลิ้ง เจ้าเข้ามาหลังสุดนับเป็นน้องเล็ก เจ้าเรียกเซี่ยวเหวินว่ายี่กอ ส่วนเราคงเป็นเล่ากอของพวกเจ้า เจ้าหิวหรือไม่ มา...มา รับประทานอาหารกัน”
โค้วเกียฮั้วบอกให้เซี่ยวเหวินแบ่งอาหารให้เซี่ยวลิ้งครึ่งชาม ส่วนมันยังคงได้ส่วนแบ่งเต็มชาม
เซี่ยวลิ้งไม่ได้รับประทานอาหารมาสองวันแล้ว เมื่อเห็นชามอาหารที่เซี่ยวเหวินส่งให้อดไม่ได้ที่ท้องต้องร้องโครกคราก
“เซี่ยวลิ้ง เจ้านับว่ามาได้ถูกวัน อาหารเหล่านี้เป็นเศรษฐีแซ่จ้าวบริจาคในงานเลี้ยงวันเกิด ในหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว ล้วนแต่เป็นของโอชะหาได้ยากยิ่ง”
เซี่ยวลิ้งกวาดตามองกับข้าวในชาม ดูแล้วกลับเห็นว่าเป็นอาหารจัดอยู่ในชั้นเลว แต่ยามนี้มันหิวโหยสุดทานทน ต่อให้รสชาติเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ รีบคว้าชามมาพุ้ยอาหารเข้าปากอย่างมูมมาม
โค้วเกียฮั้วกล่าวว่า
“สักครู่หากรับประทานอาหารเสร็จ เราจะพาเจ้าไปพบท่านผู้เฒ่าแซ่ซุน ขอให้ท่านผู้เฒ่ารับเจ้าเข้าสังกัดพรรคกระยาจกอย่างเป็นพิธี”
“เข้าสังกัดพรรคกระยาจก?”
“มิผิด พรรคกระยาจกของพวกเรายิ่งใหญ่เกรียงไกรไปทั่วแผ่นดิน เจ้าไม่เคยได้ยินมาหรือ?”
“เหตุใดเราต้องเข้าสังกัดพรรคกระยาจกด้วย?”
โค้วเกียฮั้วมีสีหน้าไม่พอใจ
“เรากับเซี่ยวเหวินล้วนสังกัดพรรคกระยาจก จึงสามารถยืนหยัดมีชีวิตรอดอยู่ได้ในเมืองนี้ เจ้าเป็นคนต่างถิ่นอาศัยฝีมือใดจึงกล้าท้าทายกับบรรดาพวกนักเลงเจ้าถิ่นทั้งหลาย มารดามันเถอะ เจ้าคิดว่าเข้าเป็นศิษย์พรรคกระยาจกนั้นง่ายดายนักหรือ หากบิดาไม่สนิทสนมกับผู้เฒ่าซุนเป็นพิเศษ ต่อให้โขกศีรษะอ้อนวอนท่านทั้งวันทั้งคืน ก็อย่าหมายหวังว่าท่านจะรับเจ้าไว้”
เซี่ยวเหวินอธิบายต่อว่า พรรคกระยาจกเป็นพรรคใหญ่มีศิษย์ขอทานกระจายอยู่ทั่วทุกเมืองทั้งแผ่นดินนับหมื่นคน นับเป็นพรรคที่ทรงอิทธิพลที่สุดพรรคหนึ่งในยุทธจักร ผู้เฒ่าซุนเป็นขอทานระดับกระสอบหกใบของพรรคกระยาจกประจำเมืองฉงกวง มีศักดิ์ศรีอาวุโสสูงที่สุดในบรรดาขอทานที่อยู่ในเมืองนี้
ที่แท้พรรคกระยาจกจัดลำดับอาวุโสตามจำนวนกระสอบที่พกติดกาย ประมุขพรรคกระยาจกมีจำนวนกระสอบมากที่สุดถึงเก้าใบ โค้วเกียฮั้วเข้าสังกัดมาก่อนหลายปีแล้ว เมื่อต้นปีนี้ได้เลื่อนชั้นเป็นขอทานระดับกระสอบสองใบ ที่สายรัดเอวของมันคล้องด้วยกระสอบป่านเล็กๆสีน้ำตาลผูกติดกันสองใบ สร้างความภาคภูมิใจแก่มันยิ่งนัก ส่วนเซี่ยวเหวินอยู่ชั้นต่ำสุดระดับกระสอบหนึ่งใบ
เซี่ยวลิ้งลอบส่ายศีรษะ หากเราเข้าสังกัดพรรคกระยาจก นอกจากเราจะกลับกลายเป็นขอทานเต็มตัวแล้ว ยังนับเป็นขอทานระดับต่ำสุดอีกด้วย...
ความคิดเห็น