ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผู้กล้าหาญกับความรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : พบโฉมสะคราญที่หนึ่งแห่งแผ่นดิน

    • อัปเดตล่าสุด 6 ส.ค. 51




    โอ้วชังลิ้ว เป็นบุรุษหนุ่มอายุสิบเก้าปี ใบหน้าสามัญธรรมดา ร่างผอมบาง เป็นชาวเมืองอู้หยางโดยกำเนิด อู้หยางเป็นเมืองไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่มีการค้าคึกคัก ตั้งอยู่ค่อนไปทางภาคเหนือของจีน ฤดูหนาวมีหิมะตก ฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น เป็นแหล่งศิลปะวัฒนธรรม และมีประวัติศาสตร์มายาวนาน

    โอ้วชังลิ้ว อาศัยอยู่กับมารดา ในบ้านพักหลังเล็กๆ ย่านชุมชนผู้ใช้แรงงานภายในเมือง  ส่วนบิดาป่วยเป็นโรคร้ายเสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุสิบห้าปี เมื่อครั้งที่บิดายังมีชีวิต ได้ทำงานที่ร้านขายข้าวสารของเถ้าแก่แซ่อุ้ย ในตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลร้าน บิดาของเขามีฝีมือในทางธุรกิจ ประกอบกิจการให้เถ้าแก่แซ่อุ้ย จากร้านขายข้าวสารเล็กๆ จนขยายเป็นร้านใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง  เถ้าแก่แซ่อุ้ยเห็นแก่หน้าบิดาของเขา ประกอบกับเขาเคยได้รับถ่ายทอดชี้แนะวิชาความรู้จากบิดามาบ้าง จึงรับเขาเข้าทำงานที่ร้านในตำแหน่งผู้ช่วยเสมียน มีหน้าที่ตรวจนับสินค้า และช่วยลงรายการบัญชี แต่เถ้าแก่แซ่อุ้ยตระหนี่ถี่เหนียวยิ่ง โอ้วชังลิ้วได้รับเงินเดือนเพียงน้อยนิด ความเป็นอยู่ของสองแม่ลูกจึงค่อนข้างขัดสน

    โอ้วชังลิ้ว มีนิสัยคึกคะนอง ปล่อยตัวตามสบาย ใช้ชีวิตเรียบง่าย เขามีสหายสองคน คนแรกคือ ปึงเพ้ง เป็นบุรุษหนุ่มอายุสิบแปดปี ใบหน้ากลม ตาเล็กหยี รูปร่างอ้วนท้วน นิสัยเหมือนทารก แต่มีจิตใจดีงาม     มักคล้อยตามโอ้วชังลิ้วอยู่เสมอ ปึงเพ้งเป็นเด็กวัดกวงไท้ยี่ ซึ่งเป็นวัดใหญ่ใจกลางเมือง ทั้งสองเติบโตมาพร้อมกัน จึงมีความสนิทสนมกันยิ่ง

    สหายอีกคนหนึ่งคือ อี่ชุนซิ่ว เป็นดรุณีอายุยี่สิบปี ผิวคล้ำ ใบหน้าพื้นเพเหมือนหญิงสาวชาวชนบททั่วไป อี่ชุนซิ่วกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเล็ก นางกับย่าของนางอพยพหนีภัยสงครามจากชายแดนเข้ามาที่เมืองอู้หยางเมื่อสิบปีก่อน พักอาศัยอยู่ใกล้เคียงกับบ้านของเขา ย่าของนางกับมารดาของเขา มักไปมาหาสู่สนิทสนมกัน ชายหนุ่มจึงพลอยสนิทสนมกับนางไปด้วย ต่อมาย่าของนางเสียชีวิตด้วยโรคชรา อี่ชุนซิ่ว จึงอยู่ตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร นางทำงานเป็นหญิงรับใช้อยู่ที่หอหยกจันทร์กระจ่าง ซึ่งเป็นสถานเริงรมย์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอู้หยาง ยามว่างนางมักจะมาคอยดูแลมารดาของเขาอยู่เสมอ มารดาของเขารักใคร่นางเหมือนบุตรคนหนึ่ง โอ้วชังลิ้วกับอี่ชุนซิ่ว แม้สนิทสนมกัน แต่ก็เป็นไม้เบื่อไม้เมา เมื่อพบหน้ากันมักจะทะเลาะทุ่มเถียงกันเสมอ

    มารดาของโอ้วชังลิ้ว อายุเกือบห้าสิบปี สุขภาพยังแข็งแรง มักชอบเก็บตัวอยู่ในบ้าน รับจ้างเย็บปักถักร้อยเล็กๆ น้อยๆ เป็นรายได้บางส่วนจุนเจือครอบครัว ยามว่างชอบปลูกต้นไม้ ตัดแต่งดอกใบ บ้านของชายหนุ่มแม้หลังเล็ก แต่ก็เต็มไปด้วยสีสันของไม้ดอกนานาพันธุ์ สองแม่ลูกอยู่กันด้วยความอบอุ่น เขามักจะซื้อต้นไม้ดอกไม้มาฝากมารดาอยู่เสมอ

    โอ้วชังลิ้วหลงไหลคลั่งไคล้โฉมสะคราญจูเม่ยหงส์ ทั้งที่ยังไม่เคยพบเห็นหน้ามาก่อน   จู่เม่ยหงส์เป็นดาวดวงเด่นที่สุดของหอหยกจันทร์กระจ่างและของเมืองอู้หยาง ร่ำลือว่าความงามของนางหยาดเยิ้มปานเทพธิดา ความสามารถทางศิลปะการดนตรีของนางก็เลิศล้ำหาผู้ใดเสมือเหมือนมิได้ นางขายศิลปะการแสดงมิได้ขายเรือนร่าง และในหนึ่งเดือนจะเปิดการแสดงเพียงคราเดียวเท่านั้น

    ฐานะศักดิ์ศรีของจูเม่ยหงส์สูงส่งยิ่ง ค่าตัวของนางยิ่งมิต้องเอ่ยถึง นางมิได้สังกัดหอหยกจันทร์กระจ่างโดยตรง เจ้าของหอทั้งกริ่งเกรงและเอาอกเอาใจนางเป็นพิเศษ ฟังว่าลูกค้าที่ต้องการยลโฉมชื่นชมการแสดงของนาง นอกจากจะต้องจับจองล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ยังเป็นนางคัดเลือกด้วยตนเอง หากนางไม่พอใจแม้มีเงินทองร่ำรวยเพียงใดก็ถูกนางปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย

    น้อยคนนักที่มีโอกาสพบเห็นนาง นอกจากในเวลาเปิดการแสดงที่หอหยกจันทร์กระจ่างแล้ว นางมักเก็บตัวเงียบในสถานที่พิเศษเพื่อหลีกหนีผู้คนรบเร้าพัวพัน ใช้ชีวิตอย่างสันโดษยิ่ง

    โอ้วชังลิ้วใฝ่ฝันที่จะได้ร่ำเรียนวิทยายุทธกับจอมหมัดห้าบรรพต สือจิ้นแซ เจ้าสำนักมวยห้าบรรพต ซึ่งมีชื่อเสียงระดับปรมาจารย์ของยุทธจักรภาคเหนือ เขามักจินตนาการถึงวีรบุรุษผู้กล้าเคียงคู่โฉมสะคราญ ท่องทะยานทั่วแผ่นดิน หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีชื่อเสียงสะท้านเกริกไกร ได้รับการเหลือบแลจากจูเม่ยหงส์

    เขามักพร่ำเพ้อละเมอถึงจูเม่ยหงส์ให้ปึงเพ้ง และอี่ชุนซิ่ว ฟังอยู่เสมอ ปึงเพ้งพลอยหลงใหลได้ปลื้มต่อจู่เม่ยหงส์ไปด้วย ส่วนอี่ชุนซิ่ว ก็มักจะย้อนเอ่ยถึงเอี้ยเซ่งเทียน หัวหน้านักบู๊ผู้คุ้มกันภัยแห่งสำนักคุ้มกันภัยพยัคฆ์เหิร ซึ่งเป็นชายในดวงใจที่นางแอบหลงรักเปรียบเทียบกับเขาบ่อยครั้ง

    เอี้ยเซ่งเทียน เป็นชายฉกรรจ์อายุสามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าเหี้ยมหาญ ฝึกเพลงดาบประจำตระกูล เขาเข้าสู่สำนักคุ้มกันภัยพยัคฆ์เหิร เมื่ออายุสิบเจ็ดปี ไต่เต้าตั้งแต่ระดับผู้รับใช้ แสดงฝีมือที่เด่นล้ำ มีความก้าวหน้าเรื่อยมา ที่สร้างชื่อเสียงแก่เขาที่สุดเมื่อครั้งเดินทางคุ้มกันอัญมณีล้ำค้าของเศรษฐีแซ่เฮ้งซึ่งจัดส่งไปยังเมืองหลวง ระหว่างทางกลับเผชิญกับสามโจรทมิฬแห่งไป่เซี้ยะที่อื้อฉาวคิดปล้นชิงสินค้า เอี้ยเซ่งเทียนหนึ่งต้านรับสามยังสามารถปลิดชีวิตสองโจรทมิฬ ส่วนที่เหลืออีกคนรับบาดเจ็บหลบหนีไปอย่างทุลักทุเล นั่นเป็นเรื่องของเมื่อสองปีที่แล้ว

    จนกระทั่งห้าเดือนก่อน เจ้าสำนักคุ้มกันภัยแซ่เตียตัดสินใจแต่งตั้งให้เอี้ยเซ่งเทียนดำรงตำแหน่งหัวหน้านักบู๊ผู้คุ้มกันภัย แทนหัวหน้าคนก่อนที่ลาออกไป นับเป็นหัวหน้าผู้คุ้มกันภัยที่หนุ่มที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็นเกียรติประวัติที่น่าภาคภูมิใจ เหล่าดรุณีน้อยใหญ่แห่งเมืองอู้หยางต่างชม้ายชายตาทอดเสน่ห์ให้ด้วยความลุ่มหลง แต่ฟังว่าเอี้ยเซ่งเทียนไม่สนใจเรื่องราวระหว่างบุรุษสตรี ยังคงครองตัวเป็นโสด ยามว่างจากการคุ้มกันขบวนสินค้า จะหมกมุ่นฝึกปรือเพลงดาบอยู่เสมอ อี่ชุนซิ่วมักพูดดูแคลนว่าโอ้วชังลิ้วไม่อาจเปรียบเทียบกับเอี้ยเซ่งเทียนได้แม้สักหนึ่งในร้อย สร้างความอิจฉาริษยาแก่โอ้วชังลิ้วนัก

    โอ้วชังลิ้วแม้ใบหน้าผอมซีดไม่หล่อเหลา แต่คิ้วหนา จมูกโด่งเป็นสัน โดยเฉพาะที่นัยน์ตาเป็นประกายลุ่มลึก คล้ายกับมีรอยยิ้มงอกเงยขึ้นก็ปาน ขับเน้นให้มีความพิเศษเฉพาะตัว เป็นเสน่ห์ชวนให้ผู้คนสนิทสนมด้วย ที่เหนือแก้มข้างซ้ายมีรอยแผลเป็นจางๆ เล็กๆ เส้นหนึ่ง  อี่ชุนซิ่วเคยถามถึงที่มาของแผลเป็นนั้น ชายหนุ่มยืดอกตอบว่า เมื่อครั้งเยาว์วัยเคยมีเรื่องวิวาทกับเด็กอันธพาลท้องถิ่นที่ตัวโตกว่า อันธพาลนั้นใช้ไม้ท่อนใหญ่ตีที่ใบหน้าของเขาจนหลั่งเลือดชโลม แต่เขาก็ใช้มือเปล่าทุบตีจนอันธพาลนั้นหนีเตลิดไป เมื่อแผลหายเกิดริ้วรอยแผลเป็นขึ้น โชคดีที่เมื่อโตขึ้นแผลค่อยๆ จางเลือนไป

    ยิ่งนานวันเข้า กิตติศักดิ์ความงามและความสามารถของจูเม่ยหงส์ยิ่งขจรไกล โอ้วชังลิ้วยิ่งอยากจะยลโฉมหญิงงาม ในคืนหนึ่งที่นางจะเปิดการแสดงที่หอหยกจันทร์กระจ่าง โอ้วชังลิ้ววางแผนการโดยลงทุนรบเร้าอ้อนวอนอี่ชุนซิ่ว ให้ช่วยเปิดประตูเล็กด้านหลังของหอหยกจันทร์กระจ่าง ซึ่งเป็นที่ใช้สำหรับขนถ่ายขยะปฏิกูล แล้วชักชวนปึงเพ้งลักลอบเข้าไปในหอหยก   เพื่อจะได้แอบชมโฉมสะคราญแห่งเมืองอู้ หยาง

    โอ้วชังลิ้วบอกว่า หากได้เห็นใบหน้าของจูเม่ยหงส์สักครั้ง แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต อี่ชุนซิ่วด่าว่าเพื่อนชาย เป็นปีศาจราคะขวัญเทียมฟ้า หอหยกจันทร์กระจ่างมีกฎเข้มงวด หากมิใช่แขกเหรื่อผู้มาเที่ยว เจ้าของหอจะไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปเด็ดขาด ทั้งยังมียามคอยตรวจตราอยู่ภายใน แต่เมื่อทนรบเร้าพัวพันไม่ไหว นางจึงใจอ่อนยอมช่วยเหลือ

    หอหยกจันทร์กระจ่าง มีพื้นที่กว้างขวาง ประกอบด้วยตึกน้อยใหญ่สิบหลัง รอบๆ ตึกแต่ละหลังมีสวนดอกไม้ สระน้ำ และภูเขาจำลอง ตกแต่งอย่างโอ่อ่างดงาม ทุกค่ำคืนมีแขกเหรื่อชั้นสูงมาเที่ยวดื่มกิน หาความสำราญคับคั่ง

    “ตึกซ่อนวสันต์” นับเป็นตึกใหญ่ที่สุดของหอหยกจันทร์กระจ่าง ตัวตึกแม้มีเพียงสองชั้น แต่สูงและกว้างขวางยิ่ง ตึกแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับเปิดการแสดงของจูเม่ยหงส์ โดยเฉพาะ

    บริเวณด้านข้างตึกซ่อนวสันต์ ปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้ต้นหนึ่ง แผ่กิ่งก้านไพศาล โอ้วชังลิ้วกับปึงเพ้ง แอบเข้ามาในหอหยกได้ พากันปีนต้นไม้ใหญ่นั้นไปจนถึงยอดพอดีอยู่ในระดับเดียวกับชั้นบนของตึก ลอบมองออกไป จนใจที่ห้องโถงชั้นบนกว้างขวางยิ่ง นอกจากบริเวณใกล้หน้าต่างแล้ว ไม่สามารถเห็นสภาพภายในได้

    คืนนี้เศรษฐีแซ่เฮ้ง เป็นเจ้าภาพเชื้อเชิญขุนนางผู้ใหญ่แซ่บุ้นและเหล่าคนสนิทมาชมการแสดงของจูเม่ยหงส์ ผู้คนที่มามีประมาณยี่สิบคน นั่งรายล้อมดื่มสุรารอคอยการแสดงด้วยใจจดจ่อ

    ปึงเพ้งยังมีจิตใจขลาดเขลา พึมพำว่า

    “หากบรรดาซือแป๊ะ ซือเจ้ก ในวัดรู้ว่าเราลอบเข้ามายังสถานที่นี้ คงต้องถูกฟาดจนขาหักแน่แล้ว ลิ้วน้อย ท่านกลับฉุดลากเรามาเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้”

    โอ้วชังลิ้วหัวร่อฮาฮา กล่าวว่า

    “เมื่อมาแล้วยังคงพิร่ำพิไรไปใย โอกาสเยี่ยงนี้ยิ่งมิใช่หาได้ง่าย  หากท่านไม่มาจะสำนึกเสียใจไปตลอดชีวิต“

    “อยู่บนยอดไม้นี้ก็ยังไม่สามารถมองเห็นด้านในห้องโถงได้ เกรงว่าวันนี้มาเสียเที่ยวเปล่าแล้ว”

    “ไม่เห็นก็ไม่เห็น จะเป็นไร ขอเพียงได้มองสถานที่ที่นางนั่งอยู่ รับรู้ถึงความใกล้ชิดที่เบื้องหน้า ก็เป็นความสุขที่อิ่มเอิบแล้ว”

    “เฮอะ ท่านกลับงมงายถึงปานนี้”

       
    ทั้งสองรอคอยอยู่ครู่ใหญ่ เสียงพูดคุยสนทนากันที่ดังมาจากห้องโถงพลันหยุดลง ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัด ในที่สุดการแสดงของจูเม่ยหงส์เริ่มขึ้น ไม่ทราบว่าจูเม่ยหงส์เข้ามาในตึกซ่อนวสันต์ทางด้านใด และมาตั้งแต่เมื่อใด โอ้วชังลิ้วกับสหาย ยังคงไม่สามารถเห็นโฉมหน้าของนาง แต่กลับได้ยินเสียงบรรเลงพิณโบราณ สลับกับเสียงร้องเพลงของนางแว่วลอยมาในสายลม แม้จับใจความไม่ได้แต่ก็ยังรับรู้ถึงบรรยากาศความไพเราะ โศกเศร้าแห่งท่วงทำนอง จิตใจของโอ้วชังลิ้วล่องลอยไม่อยู่กับตัว ปรารถนาจะโบยบินไปยังห้องโถงเพ่งพิศใบหน้านางให้ตราตรึง

    ได้ยินเสียงปรบมือดังกึกก้องทุกครั้งที่การแสดงแต่ละชุดจบลง ผู้คนในห้องโถงต่างก็ถูกสะกดให้เคลิบเคลิ้ม

    โอ้วชังลิ้วถอนหายใจกล่าวว่า

    “เราไม่เคยได้ยินบนเพลงที่ไพเราะและโศกเศร้าเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ความสามารถของนางเลิศล้ำเกินจะบรรยายได้ โอ..หากแม้นได้ฟังอย่างถนัดชัด วิญญาณเราคงออกจากร่างไปแล้ว”

    เมื่อการแสดงจบ จูเม่ยหงส์ไม่ยอมรั้งอยู่ดื่มกินเป็นเพื่อนแขกเหรื่อ  นางล่าถอยออกจากตึกโดยประตูพิเศษทางด้านหลัง เช่นเดียวกับขาเข้า

    โอ้วชังลิ้วกับสหายจึงปีนลงจากต้นไม้ โอ้วชังลิ้วยังซึมเซาราวกับคนไร้วิญญาณ กลับพลาดพลั้งพลัดตกจากต้นไม้เสียงดังโครม 

    พลันมีเสียงฝีเท้าสับสนมุ่งตรงมาทางโอ้วชังลิ้วกับสหาย ผู้นำหน้าเป็นชายฉกรรจ์วัยประมาณสามสิบปี ใบหน้ากร้าน ตาโปนโตดุร้าย ริมฝีปากไว้หนวดเรียว ที่แท้คือฉั้งกวงอันธพาลผู้ดูแลหอหยกกับบริวารอีกสี่คนเดินผ่านมาพบเห็นเข้า โอ้วชังลิ้วกับฉั้งกวงเป็นคู่อริกันมาเนิ่นนานแล้ว 

    ฉั้งกวงตวาดถามว่า

    “เด็กแซ่โอ้ว เจ้าเข้ามาลับๆล่อๆในหอหยกทำไม?”

    โอ้วชังลิ้วพาลเถียงอย่างดื้อด้านว่า

    “เราพอใจเข้ามาเดินเล่น”



    ฉั้งกวงแค่นเสียงว่า

    “หอหยกแห่งนี้ ไหนเลยมีไว้เป็นที่ให้ชนชั้นมุสิกเช่นเจ้ามาเดินเล่นได้ น่ากลัวพวกเจ้ามีเจตนาเข้ามาขโมยของมากกว่า”

    ปึงเพ้งพูดตะกุกตะกักว่า

    “เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย… พวกเราจะออกจากที่นี้ในบัดดล ขอฉั้งเฮียอย่าได้ถือสา”

    ฉั้งกวงแสยะยิ้มว่า

    “เข้ามาแม้ง่ายดาย แต่ไหนเลยออกไปอย่างปลอดโปร่งได้ คืนนี้เราต้องสั่งสอนเจ้าลูกเต่าน้อยสองตัวนี้ให้สำนึกบ้าง”

    ฉั้งกวงกับพวกใช้ข้ออ้างว่าโอ้วชังลิ้วบุกรุกเข้ามาขโมยของในยามวิกาล จึงตรงเข้าทำร้ายโอ้วชังลิ้วกับปึงเพ้ง คนพวกนี้เป็นอันธพาลท้องถิ่น แม้ไม่ได้ร่ำเรียนวิทยายุทธ แต่เคยชกต่อยทะเลาะวิวาทเป็นประจำ มือเท้าจึงหนักยิ่ง ซ้ำยังใช้พวกมากเข้ากลุ้มรุม

    โอ้วชังลิ้ว กับปึงเพ้งถูกรุมทุบตี  จึงวิ่งหนีไปทางประตูเล็กด้านหลังหอ ที่เคยแอบใช้เป็นทางเข้า แต่ไปจนมุมอยู่ที่กำแพง ขณะฉั้งกวงกับพวกจะเข้ามารุมทำร้ายอีก พลันมีเสียงร้องห้าม เป็นเสียงสตรีที่ไพเราะยิ่ง

    ห่างออกไปเล็กน้อย มีชายฉกรรจ์สี่คนกำลังแบกเกี้ยวหลังงาม ที่ด้านข้างยังมีหญิงรับใช้ยืนอยู่อีกสองนางถือโคมไฟส่องทางคนละดวง แสงไฟสะท้อนม่านแพรเบาบางที่หน้าต่างเกี้ยว เห็นเป็นเงาร่างสลัวของสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ภายใน

    ฉั้งกวงเมื่อเห็นเกี้ยวหลังนั้น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ร้องครางเบาๆ

    “คุณหนูจูเม่ยหงส์…”


    ที่แท้สตรีที่อยู่ในเกี้ยวคือจูเม่ยหงส์ที่เพิ่งปิดการแสดงลงไป และกำลังจะเดินทางกลับ นางหลบหนีแขกเหรื่อพัวพัน โดยแอบใช้ประตูเล็กด้านหลังหอเป็นทางเข้าออกเช่นกัน ผ่านมาประสบพบเห็นเข้า จึงร้องห้ามไม่ให้ฉั้งกวง กับพวกทำร้ายโอ้วชังลิ้ว กับสหาย

    โอ้วชังลิ้วเบิ่งตาค้างจ้องมองดูเกี้ยวหลังนั้นแทบจะทะลุเข้าไปภายใน

    จูเม่ยหงส์ยังคงนั่งอยู่ในเกี้ยวมีม่านปิดคลุม นางแหวกม่านเกี้ยวออกมาเล็กน้อย โอ้วชังลิ้วมองเห็นเพียงมือเรียวผุดผ่อง นางเรียกหญิงรับใช้ให้มาสอบถามเรื่องราว ค่อยทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้กับสหาย แอบลอบเข้ามาดูนางเปิดการแสดง หญิงรับใช้สองนางไม่พอใจยิ่งดุด่าคนทั้งสองหลายคำ จูเม่ยหงส์ยังเรียกหญิงรับใช้เข้าไปกระซิบบอกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหญิงรับใช้เดินมาที่เบื้องหน้ากลุ่มพวกของฉั้งกวง นางท้าวสะเอวกล่าวด้วยเสียงอันดัง

    “คุณหนูเม่ยหงส์มีคำขอร้องให้พวกท่านยุติเรื่องวิวาทนี้เสีย อย่าได้ทำร้ายเด็กน้อยทั้งสองอีกเลย”

    ฉั้งกวงได้แต่รับคำอย่างนอบน้อม มันมีความกริ่งเกรงต่อจูเม่ยหงส์อย่างยิ่ง

    เงาร่างของจูเม่ยหงส์ที่นั่งอยู่ภายในเกี้ยวพลันเคลื่อนไหวคล้ายกับหันหน้ามาจ้องมองโอ้วชังลิ้วอยู่


    หญิงรับใช้นางนั้นยังหันมาหาคนทั่งสองกระแทกเสียงกล่าวอีกว่า

    “คุณหนูยังมีคำสั่ง ภายหน้าห้ามมิให้พวกท่านแอบเข้ามาดูคุณหนู ในที่นี้อีก มิฉะนั้น…เฮอะ”

    จากนั้นนางขับไล่ให้โอ้วชังลิ้วและปึงเพ้งออกไปจากหอหยกในทันที









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×