คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : :: my doctor 。2
MY DOCTOR : 2
เชื่อว่ารักที่แท้ต้องมีที่มา ฉันเชื่อว่ารักทุกรักต้องมีเหตุการณ์
อาจจะดูเป็นบังเอิญเหมือนแค่ฝัน เธอเชื่อไหม หัวใจมีมากกว่านั้น
เรื่องแบบนี้ต้องคอยเวลาเท่านั้นจริงๆ
“ฮืออออออออออออออออออออออออ”
“คยองซู !!!”
“คยองซู !!!”
เสียงคยองซูร้องดังไปทั่วบริเวณผมและชานยอลรีบลุกขึ้นวิ่งไปยังที่เกิดเหตุในทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของเจ้าตัวเล็ก
........
เจ้าตัวเล็กที่กำลังนั่งร้องไห้เสียงดังลั่น กับหัวเข่าที่ดูช้ำจนน่ากลัวและรอยเลือดนั่นทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบ ผมรีบวิ่งเข้าไป แต่ชานยอลเร็วกว่า เขาวิ่งไปซ้อนตัวคยองซูไว้ในอ้อมกอด
ชานยอลรีบอุ้มเจ้าตัวเล็กวิ่งเข้าไปในตัวโรงพยาบาลในทันทีโดยไม่วายที่จะหันมาบอกผมว่าจะพาเจ้าตัวเล็กไปทำแผลที่ห้องฉุกเฉิน
ผมเห็นคยองซูที่ยังร้องไห้ไม่หยุดกับแผลที่ช้ำและมีรอยเลือดนั่นทำให้ผมอยากร้องไห้เสียดื้อๆ..
ผมรีบวิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินเมื่อเห็นว่าชานยอลกำลังทำแผลให้กับเจ้าตัวแสบอย่างเคร่งเครียด ผมไม่เคยเห็นเขาทำสีหน้าแบบนี้มาก่อน
“คะ..คยองซูจะเป็นอะไรมั้ย..” ผมเดินเข้าไปหาชานยอลที่กำลังทำแผลให้กับคยองซูก่อนจะเอ่ยถามเบาๆด้วยเสียงที่สั่น ผมไม่รู้ว่าควรจะควบคุมตัวเองยังไงดี ผมกลัวไปหมดทุกอย่าง
“ผมผิดเอง ผมพาเขาไปเล่นข้างนอกโดยไม่ได้ไปยืนตรงนั้นด้วย ล้างแผลแล้ว ฆ่าเชื้อแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแต่เราไม่ควรที่จะปล่อยให้เขาได้รับบาดแผลด้วยซ้ำ มันเสี่ยงมาก”
“เสี่ยงยังไง”
“ก็แผลจะติดเชื้อได้น่ะ เลือดก็ออกไม่หยุด ห้ามได้รับความกระทบเทือนมากถึงมากที่สุด”
ผมมองหน้าคยองซูที่ร้องไห้จนหลับไปแล้วน้ำตามันก็พานจะไหล ผมดูแลน้องไม่ดีเอง ผมเป็นพี่ที่แย่จริงๆ ถ้าเกิดคยองซูเป็นอะไรไปผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย
“แล้วคยองซูจะไม่ตายใช่มั้ย ฮึก”
ตาผมเริ่มพร่ามัว น้ำตาที่ผมพยายามฝืนไม่ให้ไหลออกมาด้วยความกลัวมันกำลังเอ่อล้นอยู่ที่ขอบตาของผม ภาพที่คยองซูนั่งร้องไห้กับบาดแผลที่น่ากลัวนั่นยังติดตาผมอยู่จนถึงตอนนี้
ผมกลัวจริงๆ ผมกลัวว่าคยองซูจะเป็นอะไรไป..
“อย่าแช่งน้องตัวเองสิ ไม่เป็นอะไรหรอกน่า เชื่อมือหมอ แต่ครั้งหน้าอย่าให้มีละกันเนาะ อย่าร้องสิ”
ชานยอลเมื่อเห็นว่าผมเริ่มร้องไห้เขาก็ค่อยๆเดินเข้ามากอดผมก่อนจะลูบหลังเบาๆ ผมซุกหน้าเข้ากับแผงอกกว้างของเขาก่อนจะสะอื้น ความรู้สึกกลัวในตอนนี้ยังคงไม่หมดไป
ความอบอุ่นในร่างของคนตัวสูงทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจากความกลัวที่กัดกินหัวใจผมอยู่ ผมกลัวการสูญเสีย ผมไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง ความรู้สึกแบบนี้จะเกิดขึ้นกับผม ความรู้สึกที่เป็นความเสี่ยง ความกลัว ความไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเกิดการสูญเสียขึ้น
ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่พาคยองซูมารักษาทัน คุณหมอบอกว่าคยองซูโชคดีมากที่เป็นเด็กที่เขาพาตัวมารักษาทัน มีหลายรายที่พามารักษาไม่ทันและเกิดความสูญเสียขึ้น
ผมจำได้ว่าวันที่ผมพาเขามาที่รพ.คือวันที่เขาเป็นไข้อ่อนๆผมให้เขาทานยาแก้หวัดธรรมดาของเด็กไป คอยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดตัวเขาอยู่เสมอ แต่อุณหภูมิในร่างกายเขากลับไม่ได้ลดลงอย่างที่คิด ผมสังเกตเห็นจุดเล็กๆบนแขน มันลามขึ้นจนเป็นรอยช้ำกว้างอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นผมคิดได้อยู่อย่างเดียวคือต้องพาคยองซูมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด และหลังจากที่ผมพาเขามาได้ คุณหมอก็วินิจฉัยโรค เจาะเลือดไปตรวจจนในที่สุดก็พบว่าคยองซูเป็น ลูคีเมีย..
ในตอนนั้นสมองผมขาวโพลนไปหมด ผมไม่รู้ต้องทำยังไงต่อไป แต่คุณหมอบอกว่าสามารถที่จะรักษาหายได้เพราะเป็นในระยะแรก คุณหมอก็ถามถึงอาการของคยองซูว่าเป็นยังไงบ้างก่อนที่จะป่วยครั้งนี้
ผมสังเกตเห็นหลายครั้งที่เจ้าตัวแสบตัวขาวซีด ไม่มีแรง ป่วยง่าย เบื่ออาหารแต่ผมไม่เคยเอะใจเลยจนกระทั่งเขาล้มป่วยลงในคืนวันนั้นเอง ถ้าผมไม่พาเขามาโรงพยาบาลเพียงเพราะคิดว่าเขาเป็นแค่หวัดธรรมดา ตอนนี้คยองซูจะยังมีชีวิตอยู่ได้นานสักเท่าไร ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองมากที่พามารักษาทันเวลา ไม่อย่างนั้นผมคงต้องโกรธตัวเองไปตลอดชีวิต
ชานยอลย้ายตัวคยองซูให้ไปนอนในห้องเดี่ยวเป็นห้องปลอดเชื้อเพราะกลัวแผลที่หัวเข่านั่นจะติดเชื้อ ผมซึ่งได้แต่เดินตามอยู่ห่างๆกำมือแน่นไปหมด ผมกำลังโทษตัวเองอยู่ ผมปล่อยน้องไปเล่นโดยไม่ได้ตามไปด้วย ผมทำไปได้ยังไง
แต่แล้วกลับมีมืออุ่นมาจับมือผมไว้ก่อนจะค่อยๆแกะนิ้วที่กำจนแน่นของผมออกทีละนิ้ว ผมเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบาง ในใจผมอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ปากมันพูดไม่ออก
“ไม่ต้องห่วงน่า อยู่ในมือหมอชานยอลเชียวนะ”
“......................”
“นี่ ร่าเริงได้แล้วคุณแบคฮยอน” ชานยอลเดินไปนั่งที่โซฟารับแขกภายในห้อง ก่อนจะตบมือลงบนเบาะปุๆตรงที่ว่างเพื่อให้ผมไปนั่งด้วย
ผมเดินไปนั่ง ความกลัวของผมยังไม่หายไปง่ายๆหรอกนะ สายตาของผมยังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคยองซู คราบน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าเจ้าตัวแสบนั่นทำให้หัวใจผมเจ็บไปหมด
ผมทำน้องร้องไห้...
“เดี๋ยวเจ้าตัวเล็กก็ตื่น คงร้องไห้จนเพลียหลับไปน่ะ หายกลัวได้แล้วน่า คยองซูไม่ป็นอะไรหรอก” เสียงทุ้มของชานยอลปลุกผมจากภวังค์ความกลัว
“อื้ม ขอให้เป็นอย่างนั้น”
.......
รู้สึกเมื่อยต้นคอชะมัด ผมขยับตัวเพื่อที่จะนอนให้สะดวกขึ้น มีอะไรบางอย่างที่ศีรษะของผมตั้งอยู่ขยับยุกยิกเพื่อที่จะให้ผมนอนได้สะดวกน่ะเหรอ ใครกันนะ
ผมหรี่ตาเพราะแสงสว่างจ้าในห้อง ผ้าห่มที่คลุมตัวผมอยู่ถูกเลิกออกด้วยมือของผมเอง ความเมื่อยล้าจากการนอนบนโซฟาทำให้ผมเปล่งเสียงออกมาเบาๆ
“โอย เมื่อยชะมัด”
“อ๊ะ โทษทีทำให้ตื่นเหรอ” ชานยอลที่กำลังนั่งเขี่ยโทรศัพท์เล่นหันมาบอกแบคฮยอนเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กตื่นแล้ว
“ไม่หรอก เมื่อกี้นี้... ฉันนอนหนุนตักนายเหรอ”
“อาฮะ สบายกว่านอนบนโซฟาอีกนะ”
น่าอายชะมัดเลย
“เอ่อ ขอโทษนะที่รบกวน”
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นดิ ไม่มีน้ำลายติดหรอกน่า ฮ่ะๆ ไม่เป็นไรหรอก” ชานยอลส่งยิ้มกว้างมาให้ก่อนจะกดนั่นกดนี่ในโทรศัพท์ของตัวเองต่อไป
ผมรีบจับบริเวณข้างปากตัวเองแต่ก็พบว่าไม่มีอะไร เหอะ นายนี่เป็นคนยังไงกันนะ ชอบแกล้งอยู่เรื่อยเลย
ผมซึ่งไม่มีอะไรทำก็นั่งดูมือ ดูเท้ารอคยองซูตื่นไปเรื่อยๆ ส่วนอีกคนกลับนั่งเขี่ยโทรศัพท์ไปยิ้มไปมีอะไรสนุกงั้นเหรอ
ชักอยากจะขอดูบ้างแล้วสิ
“ยิ้มอะไร ดูหน่อยสิ”
ผมชะเง้อคอมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์ของชานยอลแต่เขากลับยกสูงขึ้นไม่ให้ผมมองเห็นซะงั้น
“อ๊ะ ไม่ให้ดูหรอก”
“เหอะ ทำเป็นหวงไปได้ ไม่ดูก็ได้”
ผมยู่หน้าใส่คนตัวสูงเบาๆ ทำไมถึงงกแบบนี้นะ ไม่ดูก็ได้ #งอน
“พ..พี่แบคฮยอน..” เสียงเล็กของคยองซูดังขึ้นเรียกความสนใจให้กับแบคฮยอนทันที แบคฮยอนรีบเดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กที่กำลังเรียกเขาอยู่
“ว่าไง ยังเจ็บแผลอยู่รึเปล่า พี่ขอโทษ”
“อื้อ เจ็บนิดหน่อยละ ไม่เป็นไรหรอก คยองซูซนเอง” เจ้าตัวเล็กพยายามยันตัวจากการนอนให้เป็นท่านั่งเพื่อที่จะคุยได้สะดวก แต่แบคฮยอนกลับส่งสายตาดุๆให้ และบอกให้นอนต่อไป
“นอนต่อเถอะคยองซู ถ้าลุกแผลจะช้ำเอาได้นะ”
“....พี่แบคฮยอนกลัวมั้ย”
“กลัวสิ”
“คยองซูก็กลัว...”
คยองซูพูดอะไรออกมาน่ะ ประโยคที่เจ้าตัวเล็กเพิ่งบอกทำให้ผมอยากร้องไห้อีกครั้ง ผมกลัวและเขาก็กลัวเหมือนกัน...
“อ้าว อย่ามัวดราม่ากันสิ คอมเมดี้กันหน่อย คยองซูเป็นไงบ้างเนี่ย” ชานยอลเดินไปยืนที่เตียงอีกฝั่งซึ่งตรงข้ามกับผม เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มสดใส นี่ล่ะมั้งสัญชาตญาณของคนเป็นหมอที่ต้องทำให้ผู้ป่วยและญาติมีกำลังใจอยู่เสมอ
“อ๋า พี่ยอล คยองซูขอโทษนะครับที่ซนจนได้แผลมาแบบนี้” คยองซูหันหน้ามาบอกชานยอลในความซนของตัวเองที่ทำให้ได้แผลมา ทั้งๆที่หมอชานยอลห้ามนักห้ามหนาแล้วว่าให้ระมัดระวังอย่าเล่นซนเพราะแผลจะรักษาลำบาก
“พี่ผิดเองแหละ อย่าโทษตัวเองกันเลย ทั้งสองคนนั่นแหละ คยองซูหิวรึยัง”
“หิวแล้ว หิวมากเลยยยยย”
ผมยิ้มให้กับความร่าเริงของชานยอล คยองซูก็ยิ้มตามไปด้วย ความรู้สึกที่หดหู่เมื่อกี้ได้ถูกทำลายลงไปด้วยการพูดคุยและรอยยิ้มจากคุณหมอชานยอล
ผมรู้สึกขอบคุณเขาจริงๆ
“กินแล้วอ้วนนะ จะกินเหรอ”
“อื้อ ถึงอ้วนก็จะกิน พี่หมอเอามาให้หน่อยนะ นะๆ”
ถ้าในอนาคต ผมจะไม่ได้ยินเสียงอ้อนของเจ้าตัวแสบนี่อีก ผมจะเป็นยังไงนะ
โป๊ก
“โอ๊ย ทำไรเนี่ย” ผมลูบหัวตัวเองป้อยๆเมื่อรู้สึกถึงของแข็งเข้ามาเคาะอย่างจังที่หน้าผาก ชานยอลเอาปากกามาเคาะหัวผมทำไมน่ะ มันเจ็บนะ
“ยืนเหม่ออยู่ได้ ไปเอาข้าวมาให้เจ้าตัวเล็กสิ”
“ช่าย คยองซูเรียกตั้งนาน พี่แบคฮยอนไม่ฟังกันเลย บู่ๆ”
“อ่า ขอโทษ เดี๋ยวไปเอามาให้ละกัน เล่นกันไปก่อนนะ”
หลังจากแบคฮยอนเดินออกไปจากห้อง เจ้าตัวแสบก็พูดจ้อขึ้นมาทันทีอย่างกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่หมอ เมื่อกี้คยองซูเห็นนะว่าพี่หมอทำอะไร”
“หือ เห็นอะไร หมอเปล่านะ”
“แน่ะ ไม่ต้องมาปฏิเสธเลย คยองซูเห็นนะ”
“เห็นอะไรเล่า”
“ก็พี่แบคฮยอนนอนตักพี่หมอไง พี่หมอแอบถ่ายรูปไว้ใช่มั้ยล่ะ”
“ก็แค่แบล็กเมล์น่า ตอนหลับแบคฮยอนหน้าฮาดีออก”
“เหรออออออออออออ คยองซูไม่เชื่อหรอก ถ้าตลกแล้วพี่หมอจะถ่ายรูปไปยิ้มไปทำไม แถมยังดูรูปในโทรศัพท์ละบอกน่ารักอีก นี่น่ะเหรอแบล็กเมล์”
“เจ้าตัวแสบเอ้ยยยยยยยยย”
“หลอกควายซะเถอะพี่หมอ แก้ตัวยังไงก็ไม่เชื่ออออออออออออออ”
“โห ปากเก่งขึ้นนะเรา มานี่เลย”
“โอ๊ย ฮ่าๆ หยุดนะพี่ยอลหูกาง ฮ่ะๆ ฮ่าๆ โอ๊ยพอแล้ว”
“นี่แน่ะ จะจั๊กจี้ให้หัวเราะจนท้องแข็งเลย”
“ฮ่าๆ คยองซูยอมแล้ว พอแล้ว ฮ่ะๆ ฮ่าๆ”
“ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะของหนึ่งหมอหนึ่งผู้ป่วยทำให้คนอีกคนที่กำลังยืนหันหลังพิงให้บานประตูยิ้มออกมา เมื่อกี้ที่ชานยอลเล่นโทรศัพท์ตอนเขาตื่นคือดูรูปที่แอบถ่ายเขาตอนหลับงั้นเหรอ
แล้วที่เขาไปขอดูก็ไม่ให้ดูเพราะกลัวเขาจับได้ว่าแอบถ่ายรูปไว้น่ะเหรอ
ถ้าเขาไม่ได้เดินกลับมาถามว่าคยองซูอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย เขาจะได้รู้อะไรแบบนี้มั้ยนะ : )
ความคิดเห็น