ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : มหานครเลโอนิเซ่
              แสงสีส้มอ่อนๆที่สาดส่องออกมาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งยังขึ้นไม่สูงนัก มันทำให้มหานครเลโอนิเซ่ดูอบอุ่นยิ่งนัก ลำแสงนั้นฉาบไปทั่วทุกหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนที่ราบกลางหุบเขาใหญ่ หมูบ้านต่างๆเวลานี้ ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง หลังราตรีอันมืดมิดได้ผ่านพันไป และด้วยแสงแรกแห่งวันใหม่ ทำให้หลายชีวิตดำเนินเรื่องราวของแต่ละคน แต่ต่างร้อยเรื่องราวเข้ากันจนเป็นบทละครเรื่องใหญ่
              สายตาจากดวงตาใสสีทองแต่แฝงด้วยนัยน์แห่งความเศร้า มองลงมาจากระเบียงชั้นสามของพระราชวังวินเทอร์ ที่ตั้งอยู่บนที่ราบกว้างริมภูเขา อาร์โทดอล์ยืนผินหน้ามองดูหมู่บ้านเบื้องล่าง มือทั้งสองเท้าอยู่กับระเบียงมุขล้ำค่า ในความคิดแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามหาสงครามระหว่างเหล่ามนุษย์และอมนุษย์จะอุบัติขึ้น ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ท้ายสุดทุกสิ่งในมหานครแห่งนี้จะเหลือทิ้งไว้เพียงเศษซากของความทรงจำอันงดงาม ทุกชีวิตจากนี้หนึ่งเดือนต้องระหกระเหินไปอย่างไร้จุดหมาย และไร้ขอบเขตของกาลเวลา เขาหันตัวกลับ ผ้าคลุมสีดำด้านหลังพลิ้วไหวเปิดให้เห็นฝักดาบเล่มยาวข้างลำตัว ความคิดล่องลอยกลับไปหาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ก่อนเดินหายเข้าไปในชั้นสามของตัวพระราชวัง    
************************************************************
              สองปีก่อนมหาสงครามอุบัติ ณ สวนดอกไม้นานาพันธ์ ในพระราชวังวินเทอร์ 
              “อาร์โทดอล์ หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าทำนิสัยแบบนี้นะ เจ้าไม่สมควรทำ” เสียงเรียกอันแข็งกร้าวของอารีน่าที่กำลังเรียกอาร์โทดอล์ลูกชายของตนเองหลังจากรู้ว่าลูกชายของตนขโมยดาบและชุดอัศวินมาเล่น
              “ไม่หยุดหรอก ถ้าหยุดข้าก็โดนทำโทษน่ะสิ” อาร์โทดอล์ตอบกับมาพร้อมกับวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
              “อย่าให้แม่จับได้นะ จะลงโทษให้หลาบจำทีเดียว” อารีน่าตะโกน พร้อมกับหยุดวิ่งแล้วยืนหอบอยู่ข้างแปลงกุหลาบป่าสีแสดที่มีหมู่ภมรตอมดมอยู่ สายตายังไม่ละจากลูกชายตัวดีของเธอ จนกระทั่งร่างนั้นวิ่งลับสายตาเธอหายเข้าไปในมุมหนึ่งของพระราชวัง เธอจึงเดินกลับมายังห้องครัวด้านใน
              อารีน่าเข้ามาอาศัยในพระราชวังแห่งนี้เป็นเพราะติดตามสามีเธอเข้ามา เมื่อเธอเข้ามาอยู่ในพระราชวังแห่งนี้เธอก็ได้รับตำแหน่งแม่ครัวหลวงในวัง คอยปรุงอาหารถวายเชื้อพระวงค์ทั้งหมด โดยเธอเป็นแม่ครัวหลวงคนเดียวเท่านั้นที่ได้สิทธิ์เข้าออกในทุกส่วนของพระราชวัง ไม่เว้นแม้แต่เขตหวงห้ามด้านใน เธอกับครอบครัวได้เข้ามาอาศัยร่มฉัตรของราชวงค์มาร์กกว่าสิบห้าปีแล้ว นับตั้งแต่จากแผ่นดินอันไกลโพ้นมากับสามีของเธอ สามีของอารีน่าเป็นอัศวิน นามว่าแอทลอน 
                แอทลอนเป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพราชวงศ์มาร์ค มีอำนาจและสิทธิขาดในการบันชาการกองกำลังทั้งสองแสนห้าหมื่นนาย โดยอำนาจทางการทหารนั้นเขาเป็นรองเพียงแค่คนคนเดียวเท่านั้นคือกษัตริย์แมกนิสที่หก  แอทลอนได้นำทัพออกรบกว่าหนึ่งร้อยครั้งและทุกครั้งเขานำชัยชนะมาสู่มหานครเลโอนิเซ่โดยตลอด ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่เขาจะพ่ายแพ้ในสงคราม จนทำให้เขาได้รับฉายาว่าอัศวินสงคราม เพราะเหตุนี้นี่เองจึงทำให้ครอบครัวของแอทลอนได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้ามาอยู่ภายในพระราชวัง ในฐานะขุนพลคู่ราชวงค์
   
                แอทลอนและอารีน่ามีบุตรชายคนหนึ่งนามว่าอาร์โทดอล์ เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปี จมูกของอาร์โทดอล์โด่งได้รูปกับใบหน้ารูปไข่ของเขา อาร์โทดอล์ได้ปากที่งดงามและได้สัดส่วนกับใบหน้าของเขาจากอารีน่า ดวงตาของอาร์โทดอล์ส่องประกายตาสีทองแววยิ่งนักยามต้องกับแสงอ่อนๆ ของพระอาทิตย์ ผมสีดำของเขาทำให้ทุกส่วนของใบหน้าเด่นชัดขึ้น
                บัดนี้อาร์โทดอล์อายุได้สิบห้าปีแล้ว อาร์โทดอล์ดีใจมาก เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็จะได้เข้ารับการฝึกยังแบทเทิลฟิลด์ ซึ่งเป็นสถานฝึกทหารที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในมหานครแห่งนี้(มหานครเลโอนิเซ่มีกฎอยู่ว่าเด็กชายชาวเลโอนิเซ่คนใดมีอายุได้สิบห้าปีเต็มต้องเข้ารับการฝึก ณ แบทเทิลฟิลด์ทุกคนเป็นระยะเวลาสองปีโดยไม่มีข้อยกเว้น) อาร์โทดอล์สนใจการฝึกต่อสู้มากถึงขนาดที่ว่าที่ผ่านมาเขาแอบอารีน่า และแอทลอนไปยังแบทเทิลฟิลด์เพื่อแอบดูการฝึกของเหล่าทหารอยู่เสมอ เขาฝันที่จะเป็นอัศวินแบบแอทลอนพ่อของเขา
    กษัตริย์แมกนิสที่หก กษัตริย์องค์ที่ยี่สิบสองแห่งราชวงศ์มาร์ค พระองค์เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ อีกสองปีข้างหน้าเขาจะถูกลอบปลงพระชนม์โดยข้ารับใช้คนสนิทของเขาและหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนมหาสงครามก็อุบัติขึ้น กษัตริย์แมกนิสที่หก เป็นโอรสของกษัตริย์มาร์คที่สี่
                กษัตริย์แมกนิสที่หกเป็นคนที่เชื่อคนง่าย และมักจะให้ความสำคัญกับสภาเหนือ โดยเฉพาะผู้นำแห่งสภาเหนือ เซอร์อาโทนี่แห่งลาโทย่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมเท็จทูลแห่งสภาทั้งสี่
                ทุกครั้งที่เซอร์อาโทนี่ไม่พอใจใคร เขามักจะเท็จทูลให้กษัตริย์แมกนิสที่หกทราบ และจัดการคนๆนั้นเสียโดยใช้อำนาจแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ทำให้บางครั้ง(อาจเรียกได้ว่าแทบทุกครั้ง)แอทลอนต้องทำตามรับสั่งด้วยความลำบากใจ เพราะพระองค์ทรงเชื่อทุกอย่างที่ข้าราชการฝ่ายการเมืองเท็จทูลโดยไม่ตรวจสอบก่อน(โดยเฉพาะเซอร์อาโทนี่) ดังเช่น ครั้งหนึ่งที่เซอร์อาโทนี่แห่งสภาเหนือของเมืองลาโทย่าขณะนั้นมีข้อพิพาทกับเซอร์จอห์นบราวน์ เซอร์อาโทนี่จึงหาวิถีทางที่จะกำจัดเขาออกไปให้พ้นทาง  เซอร์อาโทนีจึงเข้ามาเท็จทูลกับกษัตริย์แมกนิสที่หกว่าขณะนี้เซอร์จอห์นบราวน์แห่งสภาใต้ของเมืองโคโบนีเกนกำลังจัดตั้งกองกำลังเพื่อที่จะมาแย่งชิงราชบัลลังก์  ทำให้พระองค์มีรับสั่งกับแอทลอนให้นำทัพกว่าห้าหมื่นนายบุกเข้าไปยังเมืองโคโบนีเกน และจับกุมตัวเซอร์จอห์นบราวน์กลับมา จนเป็นเหตุในเซอร์จอห์นบราวน์ถูกประหารโดยกิโยตินในที่สุด และเซอร์อาโทนี่ก็ได้แต่งตั้งคนของตนเข้าไปดูแลแทน เรื่องนี้ได้สร้างความแค้นใจให้กับชาวเมืองโคโบนีเกนเป็นอย่างมาก แต่ชาวเมืองก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องก้มหน้ารับเคราะห์ไป
   
                กษัตริย์แมกนิสที่หกทรงมีพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว พระนามว่าเจ้าชายเนเวอร์ มาร์ค เจ้าชายเนเวอร์ ทรงมีพระชนม์วายุได้สิบหกปี โดยพระองค์ประสูติในวันเดียวกันกับที่อาร์โทดอล์เกิด ต่างกันแค่เวลาประสูติ พระองค์ทรงประสูติก่อนอาร์โทดอล์หนึ่งปี ทรงประสูติในเวลาเที่ยงคืน ส่วนอาร์โทดอล์นั้นเกิดยามเช้าเมื่อแสงแรกแห่งวันเริ่มจับที่ขอบฟ้า เจ้าชายเนเวอร์มีพระนิสัยเกเร และชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า เพราะนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้แหละทำให้พระองค์ต้องกลายเป็นกษัตริย์ที่ไม่มีประชาชนชื่นชอบ และต่อมาในช่วงมหาสงครามพระองค์ก็ถูกเชิดโดยเหล่ากองทัพอสูร
    มหานครเลโอนิเซ่มีรูปร่างสัณฐานคล้ายถั่ววอลนัทเม็ดใหญ่ ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทรสีน้ำเงินเข้มและมีหมู่เกาะบริวารอยู่ห้าเกาะทางด้านทิศใต้ 
                มหานครเลโอนิเซ่มีการปกครองแบบแบ่งเขตใหญ่สี่เขต โดยที่ในแต่ละเขตก็มีการปกครองแบ่งย่อยออกไปอีกสิบเจ็ดเขต มหานครเลโอนิเซ่เรียกการปกครองของตนว่าการปกครองแบบสี่สภา สิบเจ็ดเขตปกครอง โดยแบ่งออกเป็น สภาเหนือ หรือดินแดนตอนบนของมหานครเลโอนิเซ่ มีอยู่ห้าเขตการปกครองย่อย คือเขตปกครองลาโทย่า ภายใต้การนำของเซอร์ อาโทนี่ แบดฮาร์ท เขตปกครองราร่า ภายใต้การนำของลอร์ด นิโครัส บราวน์ เขตปกครองเมืองลาฟ ภายใต้การนำของเซอร์ลอนสัน วินเนอรี่ เขตปกครองเมืองโอเทนน่า ภายใต้การนำของอัศวินลูเออร์ คิงห์ เขตปกครองเมืองเอเดน ภายใต้การนำของเซอร์นีโอ วาฟฟราย
โดยมีเซอร์อาโทนี่ แบดฮาร์ท เป็นผู้นำในสภาเหนือ สภาเหนือเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญของมหานครเลโอนิเซ่ เพราะมีแหล่งเหมืองทองคำ แร่เงิน ทองแดง อยู่มากมาย ภาษีที่เก็บได้จากเขตปกครองนี้รวมแล้วมากกว่าทั้งสามสภารวมกันเสียอีก จึงทำให้กษัตริย์แมกนิสที่หก ทรงเกรงใจสภาเหนือเป็นพิเศษ
 
    สภากลางและตะวันตกตะวันออก หรือดินแดนตอนกลาง ที่รวมเอาดินแดนทางด้านตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วย สภานี้มีอยู่หนึ่งเมืองกับอีกสามเขตปกครอง ได้แก่ เมืองเลโอนิเซ่ อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังวินเทอร์ แห่งราชวงศ์มาร์ค ที่มีอายุกว่าสองร้อยหกสิบปี มีผู้สำเร็จราชการคือ เซอร์ ฟรานซิส มาร์ค ผู้เป็นอาของกษัตริย์แมกนิสที่หก เขตปกครองราฟาเอลา ภายใต้การนำของเซอร์ วินแอม มาร์ค ผู้เป็นนัดดาของกษัตริย์แมกนิสที่หก เขตปกครองไครานิน ภายใต้การนำของเซอร์ เทวนสัน มาร์ค และเขตปกครองเมืองเฮเรนีว่า ภายใต้การนำของ อัศวินเนโร เบลอน
                สภากลางและตะวันตกตะวันออกเป็นศูนย์กลางการบังคับบัญชาทางการทหาร และที่นี่ยังมีจำนวนทหารมากที่สุดในสี่สภาอีกด้วย โดยรวมแล้วมีทหารประจำการอยู่ที่นี่กว่าสองแสนห้าหมื่นนาย โดยมีผู้บัญชาการทหารคือ อัศวิน แอทลอน ทวินเทอร์ (บิดาของอาร์โทดอล์) นอกจากนี้ที่สภากลางและตะวันตกตะวันออกแห่งนี้มีสนามฝึกรบที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเลโอนิเซ่ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ แบทเทิลฟิลด์ โดยจะรับเด็กชายอายุตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไปเข้ารับการฝึกโดยเรียกว่าทหารฝึกหัดใหม่
ผู้นำของสภากลางได้แก่เซอร์วินแอม  ซึ่งมีความสามารถทางการทูตเป็นอย่างมาก เพราะเขานี่เองทำให้สภาทั้งสี่ปรองดองอยู่ได้
    สภาใต้หรือดินแดนทางใต้ ที่นี่ประกอบไปด้วยสามเขตปกครอง ได้แก่ เขตปกครองลูนีเซีย ภายใต้การนำของบาทหลวงเอลาโน่ ทรอย์ เขตการปกครองโคโบนีเกน ภายใต้การนำของเซอร์ลอนตัน เซลลาร์ (ได้รับการแต่งตั้งหลังจากเซอร์จอห์นบราวน์ถูกประหาร) เขตปกครองโดม ภายใต้การนำของนิโครัส แบล็คสกิน (สามัญชนคนเดียวในสี่สภา ด้วยความสามารถทำให้เขาได้รับตำแหน่ง เพราะเขาเป็นผู้พบ นครโรเซ่ นครวาติฟาริฟ นครฟรานย่า นครแอร์ธิน่า ในครั้งที่เขานำเรือแล่นผ่านสภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้ลงไปกว่าสองหมื่นไมล์ และภายหลังเป็นเหตุให้กษัตริย์มารค์ที่สี่ได้กรีธาทัพเข้ายึดครองเมื่อสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผู้นำสภาใต้ได้แก่นิโคลัสซึ่งได้รับการแต่งตั้งต่อจากเซอร์จอห์นบราวน์
                สภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้ เรียกอีกอย่างว่าการปกครองพิเศษห้าเกาะทางใต้ ประกอบไปด้วยห้าเขตปกครอง ที่นี่เป็นเขตทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดของมหานครเลโอนิเซ่ มีเขตปกครองต่างๆ คือ เขตปกครองเกาะคีฟ ภายใต้การนำของเซอร์โทนี่ พากินตัน เขตปกครองเกาะมัลดาเหนือภายใต้การนำของอัศวินแมคม่าน มาร์ทินี่ เขตปกครองเกาะมัลดาใต้ ภายใต้การนำของอัศวินมาร์ติน มาร์ทินี่ (แฝดผู้น้องของอัศวินแมคม่าน)  เขตปกครองเกาะลาซอนย่าภายใต้การนำของเซอร์กิโยติน ลาฟร่า และเขตการปกครองเกาะเลอนอน ภายใต้การนำของลอร์ด แมคอาธี คลินสัน โดยมีเซอร์ กิโยตินเป็นผู้นำสภาใต้
                นอกจากนี้แล้วมหานครเลโอนิเช่ยังมีเมืองขึ้นอีกสี่เมืองได้แก่ นครโรเซ่ ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ฮาเรมนิส นครวาติฟาริฟ ภายใต้การปกครองของกษัตริย์การูต้า นครฟานย่า ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พาธา และนครแอร์ธินา ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เรมนอสที่สี่ นครทั้งสี่นั้นเป็นเมืองขึ้นมาตั้งแต่รัชสมัยของกษัตริย์มาร์คที่สี่(พระราชชนกของกษัตริย์แมกนิสที่หก) โดยในสมัยนั้นนิโครัสชาวเมืองในเขตปกครองโดม ได้นำเรือออกทะเล ลงใต้ไปเรื่อยๆ จนผ่านสภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้ ไปกว่าสองร้อยไมล์ทะเล จนไปพบนครโรเซ่เข้า และได้แวะพักหาเสบียงที่นั่น จากนั้นก็นำเรือแล่นไปอีกกว่าร้อยไมล์ทะเลก็ได้พบกับนครอีกสามแห่ง ได้แก่ นครวาติฟาริฟ นครฟรานย่า และนครแอร์ธินา ตามลำดับ นิโครัสก็ได้ขึ้นฝั่งที่นครแอร์ธินา และอาศัยอยู่ที่นั่นกว่าสองปี เขาได้ศึกษาความเป็นอยู่ของชาวนครแอร์ธินา จนรู้จักเป็นอย่างดี ระหว่างนั้นเขาก็ได้แล่นเรือไปมาระหว่างนครทั้งสาม จนเป็นที่คุ้นตาของชาวนครทั้งสี่ นอกจากนี้เขายังได้รู้ถึงแหล่งทองคำ แร่เงิน แร่ควอรต์นั้นมีอยู่มากมายที่นครเหล่านี้ และยังทำให้ทราบว่าหากเขาเดินทางต่อไปอีกประมาณสองร้อยไมล์เขาจะพบกับแผ่นดินใหญ่ที่ชาวเมืองในนครทั้งสี่เรียกว่าแผ่นดินพาราดิเซ่
                ที่นั่นมีผู้กล่าวไว้ว่ามีพวกอมนุษย์เช่นพวกผีโฉด อาศัยอยู่ พวกผีโฉดมีลักษณะดุร้าย มีสองมือ สองขา เหมือนมนุษย์  ใบหน้าน่ากลัว นิสัยดุร้าย ผมยาวสีดำ มีเล็บมือที่ยาวกว่าหนึ่งฟุต แข็งเหมือนดาบดีๆทีเดียว นอกจากนี้พวกผีโฉดยังมีญาติคือพวกยักษ์ผี พวกนี้มีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าผีโฉดกว่าเท่าตัว ใบหูแหลมชี้ขึ้น มีผมบางๆ บนศรีษะ  ดวงตาเล็กรี จมูกงุ้ม ปากกว้างมีเขี้ยวงอกออกมาทางด้านล่าง ลำตัวหนาบึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ พวกนี้สามารถทนต่อเวทมนตร์ แต่มันไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ นอกจากนี้ยังมีความคิดอ่านฉลาดกว่าพวกผีโฉด พวกมันรู้จักทำอาวุธใช้ และดาบยาวและขวานก็เป็นอาวุธที่มันชอบใช้ บนแผ่นดินนี้ไม่ใช่จะมีแต่พวกอมนุษย์ที่ดุร้ายเท่านั้น ยังมีอมนุษย์ที่นิสัยดีจำพวกฮาฟไล้ท์ด้วย พวกนี้มีลักษณะเหมือนคนทุกอย่าง พวกนี้ใช้ภาษามีท(พวกฮาฟไล้ท์รับภาษานี้มาจากชนเผ่ามีท)ที่สามารถสั่งสิ่งต่างๆรอบตัวได้ (พวกมนุษย์เรียกว่าเวทมนตร์) พวกนี้ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร ต่างจากพวกผีโฉดและอสูรกายมาก แต่พวกนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่หากตายโดยธรรมชาติไปครั้งหนึ่งแล้ว จะฟื้นขึ้นมาแล้วจะไม่ตายอีกเลย (ยกเว้นโดนทำลายโดยผู้ลิขิตและชนเผ่ามีท) พวกฮาฟไลท์สืบพันธุ์ทุกห้าร้อยปี และอารีน่าแม่ของอาร์โทดอล์ก็เป็นอมนุษย์จำพวกนี้ นอกจากนี้แล้วยังมีพวกพืชมหัศจรรย์ที่สามารถเคลื่อนไหวได้พูดจาได้ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ  และยังมีพวกสัตว์พิสดารต่างๆ อีกมากมาย
                ในแผ่นดินใหญ่หรือดินแดนพาราดิเซ่แห่งนี้มีเขตๆหนึ่งที่พวกอมนุษย์ทุกชนิดไม่กล้าเข้าใกล้เลย คือเขตปกครองของชนเผ่ามีท ชนเผ่านี้ปกครองดินแดนพาราดิเซ่ทั้งหมด ชนเผ่านี้ใช้ภาษามีทซึ่งเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์สามารถสั่งความเป็นไปต่างๆได้ ที่นี่มีผู้ลิขิตอยู่ ผู้ลิขิตจะคอยให้คำทำนายสำหรับเหล่าอมนุษย์ที่จะออกจากแผ่นดินใหญ่ไป ก่อนแม่อาร์โทดอล์ออกจากแผ่นดินใหญ่นี่มาก็ได้รับคำทำนายจากผู้ลิขิตเช่นกัน
                  สำหรับพวกอมนุษย์พวกผีโฉดและยักษ์ผีนั้น พวกมันจะไม่รุกรานกับใครก่อนหากไม่มีใครไปรุกรานกับพวกมันก่อน แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่มีเหล่าผีโฉดหลงเขามายังในเมืองและได้ทำร้ายชาวเมืองไปกว่าร้อยคน จากนั้นมันก็หายตัวไป ชาวเมืองจึงกลัวพวกนี้มาก
ภายหลังจากที่นิโครัสได้อาศัยและเดินทางไปมาระหว่างนครทั้งสี่จนเวลาผ่านไปกว่าสองปี ในที่สุดนิโครัสก็ได้แล่นเรือกลับมายังมหานครเลโอนิเซ่ และได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้และให้ชื่อว่าการเดินทางสู่นครทั้งสี่ของข้าพเจ้านิโครัส บากสิน และได้นำเข้าถวายต่อกษัตริย์มารค์ที่สี่ จนเป็นเหตุให้พระองค์มีรับสั่งให้อัศวินแอทลอน (บิดาของอาร์โทดอล์) นำกองทัพหนึ่งแสนนายเข้ายึดครองเวลาต่อมา (แทบจะทันทีที่พระองค์อ่านหนังสือเล่มนี้จบ)  สงครามครั้งนี้ใช้เวลารบกว่าสิบสองปี จนกระทั่งนายพลแอทลอนได้รับชัยชนะ ในเวลาสิบสองปีนั้นแอทลอนได้นำทัพออกรบกว่าหนึ่งหกสิบครั้ง
                  กว่าที่มหานครเลโอนิเซ่จะได้รับชัยชนะ พวกเขาก็สูญเสียทหารไปกว่าแปดหมื่นนาย และยังสูญเสียเรือไปกว่าหนึ่งร้อยสามสิบลำ งบประมาณในการทำสงครามกว่าสี่สิบล้านรูเปียส  และช่วงที่ทำสงครามอยู่นั้น นิโครัสก็ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้กับอัศวินแอทลอนโดยตลอด ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นสงครามแล้วเขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำแห่งโดมต่อจากลอร์ดพาสเตอร์ ผู้นำแห่งโดมคนก่อนซึ่งสิ้นชีพไปเพราะหมดอายุขัย (การแต่งตั้งผู้นำสำหรับเขตปกครองต่างๆในมหานครเลโอนิเซ่นั้นขึ้นอยู่กับคุณประโยชน์ที่ผู้นั้นได้กระทำ ดังนั้นในมหานครเลโอนิเซ่เราจึงเห็นตระกูลต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนกันขึ้นมาทำหน้าที่ในแต่ละเขตปกครอง ทั้งนี้ไม่นับสภากลางและตะวันตกตะวันออกเพราะที่นี่จะถูกสงวนไว้ผู้นำที่เป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้น)
   
                  เขตแดนของมหานครเลโอนิเซ่นั้นแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ตามการปกครองโดยแต่ละส่วนมีความสำคัญแบบพึ่งพากัน โดยทางสภาเหนือเป็นเขตเศรษฐกิจซึ่งเป็นรายได้หลักให้กับสภากลาง เพราะที่นี่อุดมไปด้วยเหมืองแร่ ทั้งทองคำ ทองแดงและหินอ่อน โดยวัตถุดิบที่ได้มาจะถูกส่งไปยังสภากลางสองส่วน และที่เหลือก็กระจายไปยังสภาอื่นๆ สภาละหนึ่งส่วน ที่เหลือจะนำไปผลิตอาวุธ และชุดเกราะ แจกจ่ายให้กับทั้งสามสภา เพราะชุดเกราะที่ผลิตในสภาเหนือมักจะแข็งแรงกว่าที่ผลิตในที่อื่น และเทคนิคการผลิตยังคงเป็นความลับอยู่ตลอดมา  ภูมิประเทศโดยรอบของสภาเหนือนั้น ประกอบไปด้วยป่าไม้ซึ่งขึ้นอยู่ทางตะวันออกของสภาเหนือนอกจากนี้ยังมีเหมืองแร่ทองคำขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสภาเหนือ นอกจากนี้ยังมีเหมืองแร่ทองเหลือง ควอรต์ กระจายอยู่ทั่วไป หากย้อนมาทางทิศใต้ของสภาเหนือแล้ว จะพบแม่น้ำลองเลก ขวางอยู่แม่น้ำแห่งนี้กว้างกว่าสองร้อยหลา และแม่น้ำแห่งนี้เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างสภาเหนือและดินแดนส่วนที่เหลือของมหานคร 
                    ในส่วนของสภากลางและตะวันตกตะวันออกเป็นเขตแดนที่อยู่ติดกับฝั่งตะวันออกของแม่น้ำลองเลกแลและกินพื้นที่ทางตะวันตกด้วย มีเมืองหน้าด่านได้แก่ราฟาเอลา และเยื้องลงมาทางตะวันออกติดกับเมืองไครานินซึ่งอยู่ติดกันกับเมืองหลวงเลโอนิเซ่ สภากลางเป็นเขตการทหารที่ใหญ่ที่สุดของมหานคร มีทหารประจำอยู่ถึงสองแสนห้าหมื่นนาย ดังนั้นเวลาสภาอื่นขอกำลังมา แอทลอนจะเป็นผู้พิจารณาและทำรายงานกราบทูลกษัตริย์แมกนิส และคอยจัดส่งกำลังทหารไปให้ตามพระบรมราชานุญาติ โดยดูตามความเหมาะสม ถัดลงมาทางทิศใต้จะมีป่าแลควูด ตั้งขวางอยู่ ถัดจากป่าแลควูดไปจะพบทะเลสาบบลูเลคซึ่งเป็นทะเลสาบแห่งเดียวของมหานครเลโอนิเซ่ 
                  ถัดจากทะเลสาบบลูเลคจะเป็นแหล่งปลูกข้าวกว่าสามพันห้าร้อยเอเคอร์ โดยที่แห่งนี้นั้นถูกสงวนไว้ให้กับชาวสภาใต้เท่านั้นที่สามารถเข้ามาทำการเพาะปลูกได้ (เหตุที่ชาวสภาใต้มีสิทธิแต่เพียงกลุ่มเดียวเป็นเพราะเป็นไปตามข้อตกลงว่าด้วยการแพ้หมากรุกคน โดยที่การละเล่นนี้นั้นเป็นกีฬาที่นิยมเล่นกันมากในรัชสมัยของกษัตริย์ฟาเธอร์เดอะเกรท หรือเมื่อร้อยหกสิบปีก่อน การละเล่นชนิดนี้เล่นกันโดยนำทหารมาใช้แทนตัวหมากรุกต่างๆ  มีจับกินกันอย่างโหดเหี้ยม โดยการที่ผู้จับกินจะใช้อาวุธเข้าฟาดฟันฝ่ายที่ถูกกินจนกระทั้งสิ้นชีวิตโดยไม่ให้สู้ได้ เกมจะจบก็ต่อเมื่อฝ่ายหนึ่งสามารถรุกฆาตและสังหารขุนของอีกฝ่ายหนึ่งได้ โดยมากแล้วแต่ละสภามักจะนำทหารที่มีฝีมือดีและสำคัญมาเป็นตัวหมากกัน 
                  ต่อมาเกมกีฬาประเภทนี้ได้ถูกยกเลิกไปเพราะหลายฝ่ายเห็นว่ารุนแรงและทำให้เสียทหารฝีมือดีโดยใช่เหตุ ดังนั้นการแข่งหมากรุกคนครั้งสุดท้ายจึงเป็นกรณีของการแย่งสิทธิในการเพาะปลูกภายในพื้นที่เขตสภาใต้ในปัจจุบันนั่นเอง โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นมหานครเลโอนิเซ่เพิ่งจะเสร็จสิ้นสงครามรวมแผ่นดินและการจัดสรรการปกครองยังไม่ลงตัวเท่าที่ควร ยังคงมีการโต้เถียงกันในเรื่องสิทธิต่างๆ
                  สภาเหนือ สภาใต้ และสภากลางและตะวันตกตะวันออกในเวลานั้น มีข้อขัดแย้งกันในเรื่องของสิทธิในการเข้ามาใช้ที่ดินในเขตของสภาใต้ ต่างฝ่ายต่างยื่นเหตุผลของตนว่าสมควรได้รับสิทธินี้ ในที่สุดกษัตริย์ชาร์มาปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มาร์ค ผู้รวบรวมแผ่นดินต่างๆ ตลอดจนหมู่เกาะทางใต้เข้ารวมกับมหานครเลโอนิเซ่ได้ตัดสินใจให้ทุกฝ่ายส่งตัวแทนเข้าแข่งขัน โดยให้นายพลของแต่ละฝ่ายเป็นขุน และลดหลั่นลำดับลงมาเรื่อยๆ ในที่สุดผลการแข่งขันสภาใต้ก็ได้ชัยชนะในที่สุด มีการบันทึกไว้ว่าการแข่งครั้งนี้ทำให้เสียขุนพลทางการทหารฝีมือดีไปกว่าร้อย
                  ห่างจากแหล่งปลูกข้าวประมาณสองร้อยไมล์ จะเป็นหน้าผาสูงประมาณสี่ร้อยฟุต เบื้องล่างของหน้าผานี้คือทะเลใต้ที่เต็มไปด้วยโขดหินโสโครกอยู่เต็มไปหมด โดยจุดนี้จะใช้เป็นจุดประหารชีวิตนักโทษหนักของสภาใต้ โดยนำนักโทษหนักที่ต้องโทษประหารมาแล้วพันธนาการไว้ด้วยโซ่เงินโยนลงไปให้กระแทกหินและจมน้ำตายไป ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนเรียกหน้าผาแห่งนี้ว่าผาประหาร ต่อมาสภาทั้งสี่ได้ออกกฎเกี่ยวกับการตัดสินลงโทษใหม่โดยมีมติให้นำนักโทษหนัก(โทษประหาร)มาประหารที่ผาประหารแห่งนี้ ไม่ว่าจากเขตไหนก็ตาม นอกจากนี้ยังออกกฎอีกว่าก่อนตัดสินลงโทษ ให้ส่งตัวผู้ต้องหามายังสภากลางและตะวันตกตะวันออกก่อน เพื่อให้ศาลส่วนกลางรับฟังข้อกล่าวหาและข้อแก้ต่างของแต่ละฝ่ายก่อนแล้วค่อยตัดสินความ จากจุดนี้หากมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้ว จะพบสภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้ โดยสภาแห่งนี้ประเกาะไปด้วยเกาะขนาดใหญ่ห้าเกาะ ได้แก่ เกาะคีฟ เกาะมัลดาเหนือ เกาะมันดาใต้ เกาะเลนอน และเกาะฟรานยา และยังมีเกาะเล็ก เกาะน้อยอีกกว่าสามสิบเกาะ เกาะเหล่านี้เป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพเรือแห่งมหานครเลโอนิเซ่นั่นเอง
                    สภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้มีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งสืบทอดกันมาช้านานแล้วคือ ทุกวันที่เกิดพระจันทร์ทรงกลด เหล่าทหารจะต้องออกมาทำพิธีราบาห์ โดยการนำดาบ พร้อมลูกธนูเงิน และคันศร ที่แต่ละบ้านมีอยู่ออกมาอาบแสงจันทร์ตลอดทิวาราตรีนั้น หากบ้านใดไม่ทำ เชื่อว่าจะเกิดภัยพิบัติกับบ้านนั้นๆ เช่น ออกหาปลาไม่ได้ เรือล่ม บุคคลในครอบครัวมีอันเป็นไป  นอกจากนี้แล้วยังเชื่อว่าหากอาวุธต่างๆของพวกเขาได้อาบแสงจากพระจันทร์ทรงกลดแล้วล่ะก็จะสามารถทำให้กันภูตผีปิศาจ และใช้ต่อสู้กับพวกมันได้อีกด้วย
    ทั้งสี่สภานั้นต่างก็มีความสำคัญสำหรับมหานครเลโอนิเซ่แทบจะเท่าๆกันเพราะหากสภาใดสภาหนึ่งล่มสลายไปแล้ว คงทำให้มหานครเลโอนิเซ่ล่มจมไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นสภาเหนือซึ่งเป็นแหล่งรายได้และแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ สภาใต้และสภาหมู่เกาะทางใต้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญและยังเป็นหน้าด่านทางทะเลอีกด้วยส่วนสภากลางและตะวันตกตะวันออกนั้นเป็นศูนย์รวมแห่งความรู้และศูนย์บัญชาการกองกำลังทางการทหาร แต่ในที่สุดแล้วสภาเหนือก็เป็นเหตุสร้างความวิบัติให้กับมหานครเลโอนิเซ่ในอีกสิบหกปีต่อจากนี้ไป
    ชาวเลโอนิเซ่ชอบอาศัยรวมกันแต่ก็ชอบที่จะมีโลกส่วนตัวดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าบ้านไม้โอ๊คสองชั้นของพวกเขาที่สร้างขึ้น มักจะมีพื้นที่ใช้สอยรอบๆตัวบ้านและเขามักจะเว้นระยะในการสร้างบ้านหลังต่อไป ชาวเลโอนิเซ่ชอบดอกไม้ ดังนั้นเขามักจะปลูกดอกไม้พันธ์ต่างๆไว้รอบๆบ้านของเขา และมักจะหาม้าหินมาตั้งไว้สำหรับนั่งชมดอกไม้ยามว่างพร้อมกับจิบชาใบมินท์และทานธินทาร์ไปด้วย หรือบางทีอาจมีเพื่อนมาพูดคุยในยามบ่ายก็ได้
    ชาวเลโอนิเซ่มักชอบสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ดูแล้วสบายตา และมันทำให้พวกเขาดูเด่นขึ้นมา แต่ก็มีบ้างที่ชอบใส่เสื้อสีสดแต่อาจมีไม่มากเท่าไหร่ ชาวเลโอนิเซ่มีใบหน้าค่อนข้างกลม จมูกใหญ่โด่งได้ที่กับรูปหน้า อาจมีบ้างที่งุ้มงอจนหน้าเกลียด ซึ่งมีไม่มากนัก ปากเรียวยาวสมส่วนกัน ดวงตากลมสดใสเป็นประกาย ยามต้องแสงแดดในยามเช้า รูปร่างของพวกเขาสูงใหญ่สมส่วนมีบ้างที่อ้วนลงพุง และผอมกะหร่อง รูปร่างของชาวเลโอนิเซ่ไม่ใหญ่เท่ากับพวกผีโฉดเช่นกัน รูปร่างของชาวเลโอนิเซ่แตกต่างชัดเจนกับชนเผ่ามีท เพราะเผ่ามีทมีรูปร่างเล็กกว่า
    สำหรับนิสัยของชาวเลโอนิเซ่นั้น พวกเขามีนิสัยไม่ค่อยชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น แต่ไม่ถึงกับไม่ช่วยใคร กลับตรงกันข้ามกันเสียอีก หากชาวเลโอนิเซ่ ต้องเจอกับปัญหาล่ะก็ พวกเขามักจะช่วยกันจนกว่าจะแก้ปัญหานั้นได้ แต่ข้อเสียของชาวเลโอนิเซ่ก็มี คือชาวเลโอนิเซ่ชอบใช้กำลังในการตัดสินปัญหา และผู้ที่มีอำนาจมากว่ามักจะชอบใช้อำนาจนั้นๆเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการของพวกตน
                ด้วยเหตุนี้ประชาชนจึงเชื่อในอำนาจที่องค์กษัตริย์ทรงมี จึงทำให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ในที่สุดเพราะนิสัยข้อนี้นี่เองที่ทำให้ชาวเลโอนิเซ่ต้องย่อยยับลง เพราะหลังจากกษัตริย์แมกนิสที่หกถูกลอบปลงพระชนม์ ชาวเลโอนิเซ่ได้แตกออกเป็นสิบสี่ฝ่ายเพราะขาดผู้นำที่มีสิทธ์อำนาจเด็ดขาด เจ้าชายเนเวอร์ก็ยังถูกกองทัพอสูรชักใยอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้แต่ละฝ่ายมีผู้นำเป็นของตนเอง ทั้งยังมีสงครามภายในอีก เพราะแต่ละตระกูลก็ถือว่าตนมีอำนาจและสิทธิเหมือนกัน จึงมักจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นบ่อยๆ จนเกิดสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างตระกูลต่างๆ ในแต่ละฝ่าย แต่ในที่สุดแล้วฝ่ายต่างๆทั้งหมดก็ถูกรวบรวมเข้าด้วยกันด้วยความสามารถของอาร์โทดอล์ ผู้ที่เป็นผู้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อสูร และเป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์ทวินเทอร์หลังจากราชวงศ์มาร์คหมดอำนาจลงไปแล้ว
    ชาวเลโอนิเซ่กินอยู่กันอย่างง่ายๆ อาหารของพวกเขาได้จากทะเล ส่วนใหญ่เป็นพวกปลา โดยเฉพาะปลาอินทรี และยังได้ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และมะกอกจากเขตกสิกรรมในสภาใต้ และได้องุ่น ไวน์องุ่น ส้มแอปริคอทจากเมืองขึ้นทั้งสี่อีกด้วย ชาวเลโอนิเซ่ก็มีอาหารประจำชาติอย่างหนึ่งที่มักจะทำทานกันบ่อยๆคือ ธินทาร์  ซึ่งทำจากแป้งข้าวสาลีนำมาผสมนมกับเนยปั้นแล้วกดให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วทาด้วยน้ำผึ้งโรยด้วยข้าวโอ๊ตตากแห้งกับเนื้อมะกอกตากแห้งจากนั้นนำไปอบให้แห้ง  โดยเวลามีการรบทหารชาวเลโอนิเซ่มักจะนำธินทาร์ไปด้วยจำนวนหนึ่งเพราะเก็บได้นานและยังทำให้อยู่ท้องอีกด้วย หรือบางครั้งชาวลีโอนิเซ่จะรับประทานธินทาร์กับชาใบมินท์ในตอนบ่าย หรือใช้เป็นอาหารว่างสำหรับเลี้ยงแขกยามบ่ายก็สามารถทำได้ดี แต่ชาวเลโอนิเซ่ไม่นิยมรับแขกในเวลารับประทานอาหารเย็นเพราะถือว่าเป็นเวลาของครอบครัว หากมีแขกที่ต้องรับประทานอาหารร่วมกันพวกเขาจะปรุงอาหารด้วยเกลือจนทานไม่ได้ให้แขกคนนั้นเป็นการบอกกล่าวให้รู้ นอกจากนี้แล้วชาวเลโอนิเซ่ยังชอบทานปลากับไวน์มะกอก หรือทานน้ำมะกอกปรุงรสด้วยเกลือกับเนื้อแกะอบสมุนไพร โดยเฉพาะอาหารอย่างที่สองชาวเลโอนิเซ่มักจะชอบเป็นพิเศษ และอารีน่า แม่ของอาร์โทดอล์ก็มักชอบปรุงเป็นพิเศษ เธอมักได้รับพระดำรัสกล่าวชมเธออยู่เสมอในเวลาที่ปรุงถวายกษัตริย์แมกนิสที่หก องค์ราชินีแพทธีเซียและเจ้าชายเนเวอร์ และพระราชวงค์องค์อื่นๆ
              สายตาจากดวงตาใสสีทองแต่แฝงด้วยนัยน์แห่งความเศร้า มองลงมาจากระเบียงชั้นสามของพระราชวังวินเทอร์ ที่ตั้งอยู่บนที่ราบกว้างริมภูเขา อาร์โทดอล์ยืนผินหน้ามองดูหมู่บ้านเบื้องล่าง มือทั้งสองเท้าอยู่กับระเบียงมุขล้ำค่า ในความคิดแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามหาสงครามระหว่างเหล่ามนุษย์และอมนุษย์จะอุบัติขึ้น ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ท้ายสุดทุกสิ่งในมหานครแห่งนี้จะเหลือทิ้งไว้เพียงเศษซากของความทรงจำอันงดงาม ทุกชีวิตจากนี้หนึ่งเดือนต้องระหกระเหินไปอย่างไร้จุดหมาย และไร้ขอบเขตของกาลเวลา เขาหันตัวกลับ ผ้าคลุมสีดำด้านหลังพลิ้วไหวเปิดให้เห็นฝักดาบเล่มยาวข้างลำตัว ความคิดล่องลอยกลับไปหาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ก่อนเดินหายเข้าไปในชั้นสามของตัวพระราชวัง    
************************************************************
              สองปีก่อนมหาสงครามอุบัติ ณ สวนดอกไม้นานาพันธ์ ในพระราชวังวินเทอร์ 
              “อาร์โทดอล์ หยุดเดี๋ยวนี้ อย่าทำนิสัยแบบนี้นะ เจ้าไม่สมควรทำ” เสียงเรียกอันแข็งกร้าวของอารีน่าที่กำลังเรียกอาร์โทดอล์ลูกชายของตนเองหลังจากรู้ว่าลูกชายของตนขโมยดาบและชุดอัศวินมาเล่น
              “ไม่หยุดหรอก ถ้าหยุดข้าก็โดนทำโทษน่ะสิ” อาร์โทดอล์ตอบกับมาพร้อมกับวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
              “อย่าให้แม่จับได้นะ จะลงโทษให้หลาบจำทีเดียว” อารีน่าตะโกน พร้อมกับหยุดวิ่งแล้วยืนหอบอยู่ข้างแปลงกุหลาบป่าสีแสดที่มีหมู่ภมรตอมดมอยู่ สายตายังไม่ละจากลูกชายตัวดีของเธอ จนกระทั่งร่างนั้นวิ่งลับสายตาเธอหายเข้าไปในมุมหนึ่งของพระราชวัง เธอจึงเดินกลับมายังห้องครัวด้านใน
              อารีน่าเข้ามาอาศัยในพระราชวังแห่งนี้เป็นเพราะติดตามสามีเธอเข้ามา เมื่อเธอเข้ามาอยู่ในพระราชวังแห่งนี้เธอก็ได้รับตำแหน่งแม่ครัวหลวงในวัง คอยปรุงอาหารถวายเชื้อพระวงค์ทั้งหมด โดยเธอเป็นแม่ครัวหลวงคนเดียวเท่านั้นที่ได้สิทธิ์เข้าออกในทุกส่วนของพระราชวัง ไม่เว้นแม้แต่เขตหวงห้ามด้านใน เธอกับครอบครัวได้เข้ามาอาศัยร่มฉัตรของราชวงค์มาร์กกว่าสิบห้าปีแล้ว นับตั้งแต่จากแผ่นดินอันไกลโพ้นมากับสามีของเธอ สามีของอารีน่าเป็นอัศวิน นามว่าแอทลอน 
                แอทลอนเป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งกองทัพราชวงศ์มาร์ค มีอำนาจและสิทธิขาดในการบันชาการกองกำลังทั้งสองแสนห้าหมื่นนาย โดยอำนาจทางการทหารนั้นเขาเป็นรองเพียงแค่คนคนเดียวเท่านั้นคือกษัตริย์แมกนิสที่หก  แอทลอนได้นำทัพออกรบกว่าหนึ่งร้อยครั้งและทุกครั้งเขานำชัยชนะมาสู่มหานครเลโอนิเซ่โดยตลอด ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่เขาจะพ่ายแพ้ในสงคราม จนทำให้เขาได้รับฉายาว่าอัศวินสงคราม เพราะเหตุนี้นี่เองจึงทำให้ครอบครัวของแอทลอนได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้ามาอยู่ภายในพระราชวัง ในฐานะขุนพลคู่ราชวงค์
   
                แอทลอนและอารีน่ามีบุตรชายคนหนึ่งนามว่าอาร์โทดอล์ เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปี จมูกของอาร์โทดอล์โด่งได้รูปกับใบหน้ารูปไข่ของเขา อาร์โทดอล์ได้ปากที่งดงามและได้สัดส่วนกับใบหน้าของเขาจากอารีน่า ดวงตาของอาร์โทดอล์ส่องประกายตาสีทองแววยิ่งนักยามต้องกับแสงอ่อนๆ ของพระอาทิตย์ ผมสีดำของเขาทำให้ทุกส่วนของใบหน้าเด่นชัดขึ้น
                บัดนี้อาร์โทดอล์อายุได้สิบห้าปีแล้ว อาร์โทดอล์ดีใจมาก เพราะอีกไม่กี่วันเขาก็จะได้เข้ารับการฝึกยังแบทเทิลฟิลด์ ซึ่งเป็นสถานฝึกทหารที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในมหานครแห่งนี้(มหานครเลโอนิเซ่มีกฎอยู่ว่าเด็กชายชาวเลโอนิเซ่คนใดมีอายุได้สิบห้าปีเต็มต้องเข้ารับการฝึก ณ แบทเทิลฟิลด์ทุกคนเป็นระยะเวลาสองปีโดยไม่มีข้อยกเว้น) อาร์โทดอล์สนใจการฝึกต่อสู้มากถึงขนาดที่ว่าที่ผ่านมาเขาแอบอารีน่า และแอทลอนไปยังแบทเทิลฟิลด์เพื่อแอบดูการฝึกของเหล่าทหารอยู่เสมอ เขาฝันที่จะเป็นอัศวินแบบแอทลอนพ่อของเขา
    กษัตริย์แมกนิสที่หก กษัตริย์องค์ที่ยี่สิบสองแห่งราชวงศ์มาร์ค พระองค์เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ อีกสองปีข้างหน้าเขาจะถูกลอบปลงพระชนม์โดยข้ารับใช้คนสนิทของเขาและหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนมหาสงครามก็อุบัติขึ้น กษัตริย์แมกนิสที่หก เป็นโอรสของกษัตริย์มาร์คที่สี่
                กษัตริย์แมกนิสที่หกเป็นคนที่เชื่อคนง่าย และมักจะให้ความสำคัญกับสภาเหนือ โดยเฉพาะผู้นำแห่งสภาเหนือ เซอร์อาโทนี่แห่งลาโทย่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมเท็จทูลแห่งสภาทั้งสี่
                ทุกครั้งที่เซอร์อาโทนี่ไม่พอใจใคร เขามักจะเท็จทูลให้กษัตริย์แมกนิสที่หกทราบ และจัดการคนๆนั้นเสียโดยใช้อำนาจแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ทำให้บางครั้ง(อาจเรียกได้ว่าแทบทุกครั้ง)แอทลอนต้องทำตามรับสั่งด้วยความลำบากใจ เพราะพระองค์ทรงเชื่อทุกอย่างที่ข้าราชการฝ่ายการเมืองเท็จทูลโดยไม่ตรวจสอบก่อน(โดยเฉพาะเซอร์อาโทนี่) ดังเช่น ครั้งหนึ่งที่เซอร์อาโทนี่แห่งสภาเหนือของเมืองลาโทย่าขณะนั้นมีข้อพิพาทกับเซอร์จอห์นบราวน์ เซอร์อาโทนี่จึงหาวิถีทางที่จะกำจัดเขาออกไปให้พ้นทาง  เซอร์อาโทนีจึงเข้ามาเท็จทูลกับกษัตริย์แมกนิสที่หกว่าขณะนี้เซอร์จอห์นบราวน์แห่งสภาใต้ของเมืองโคโบนีเกนกำลังจัดตั้งกองกำลังเพื่อที่จะมาแย่งชิงราชบัลลังก์  ทำให้พระองค์มีรับสั่งกับแอทลอนให้นำทัพกว่าห้าหมื่นนายบุกเข้าไปยังเมืองโคโบนีเกน และจับกุมตัวเซอร์จอห์นบราวน์กลับมา จนเป็นเหตุในเซอร์จอห์นบราวน์ถูกประหารโดยกิโยตินในที่สุด และเซอร์อาโทนี่ก็ได้แต่งตั้งคนของตนเข้าไปดูแลแทน เรื่องนี้ได้สร้างความแค้นใจให้กับชาวเมืองโคโบนีเกนเป็นอย่างมาก แต่ชาวเมืองก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องก้มหน้ารับเคราะห์ไป
   
                กษัตริย์แมกนิสที่หกทรงมีพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว พระนามว่าเจ้าชายเนเวอร์ มาร์ค เจ้าชายเนเวอร์ ทรงมีพระชนม์วายุได้สิบหกปี โดยพระองค์ประสูติในวันเดียวกันกับที่อาร์โทดอล์เกิด ต่างกันแค่เวลาประสูติ พระองค์ทรงประสูติก่อนอาร์โทดอล์หนึ่งปี ทรงประสูติในเวลาเที่ยงคืน ส่วนอาร์โทดอล์นั้นเกิดยามเช้าเมื่อแสงแรกแห่งวันเริ่มจับที่ขอบฟ้า เจ้าชายเนเวอร์มีพระนิสัยเกเร และชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า เพราะนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้แหละทำให้พระองค์ต้องกลายเป็นกษัตริย์ที่ไม่มีประชาชนชื่นชอบ และต่อมาในช่วงมหาสงครามพระองค์ก็ถูกเชิดโดยเหล่ากองทัพอสูร
    มหานครเลโอนิเซ่มีรูปร่างสัณฐานคล้ายถั่ววอลนัทเม็ดใหญ่ ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทรสีน้ำเงินเข้มและมีหมู่เกาะบริวารอยู่ห้าเกาะทางด้านทิศใต้ 
                มหานครเลโอนิเซ่มีการปกครองแบบแบ่งเขตใหญ่สี่เขต โดยที่ในแต่ละเขตก็มีการปกครองแบ่งย่อยออกไปอีกสิบเจ็ดเขต มหานครเลโอนิเซ่เรียกการปกครองของตนว่าการปกครองแบบสี่สภา สิบเจ็ดเขตปกครอง โดยแบ่งออกเป็น สภาเหนือ หรือดินแดนตอนบนของมหานครเลโอนิเซ่ มีอยู่ห้าเขตการปกครองย่อย คือเขตปกครองลาโทย่า ภายใต้การนำของเซอร์ อาโทนี่ แบดฮาร์ท เขตปกครองราร่า ภายใต้การนำของลอร์ด นิโครัส บราวน์ เขตปกครองเมืองลาฟ ภายใต้การนำของเซอร์ลอนสัน วินเนอรี่ เขตปกครองเมืองโอเทนน่า ภายใต้การนำของอัศวินลูเออร์ คิงห์ เขตปกครองเมืองเอเดน ภายใต้การนำของเซอร์นีโอ วาฟฟราย
โดยมีเซอร์อาโทนี่ แบดฮาร์ท เป็นผู้นำในสภาเหนือ สภาเหนือเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญของมหานครเลโอนิเซ่ เพราะมีแหล่งเหมืองทองคำ แร่เงิน ทองแดง อยู่มากมาย ภาษีที่เก็บได้จากเขตปกครองนี้รวมแล้วมากกว่าทั้งสามสภารวมกันเสียอีก จึงทำให้กษัตริย์แมกนิสที่หก ทรงเกรงใจสภาเหนือเป็นพิเศษ
 
    สภากลางและตะวันตกตะวันออก หรือดินแดนตอนกลาง ที่รวมเอาดินแดนทางด้านตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วย สภานี้มีอยู่หนึ่งเมืองกับอีกสามเขตปกครอง ได้แก่ เมืองเลโอนิเซ่ อันเป็นที่ตั้งของพระราชวังวินเทอร์ แห่งราชวงศ์มาร์ค ที่มีอายุกว่าสองร้อยหกสิบปี มีผู้สำเร็จราชการคือ เซอร์ ฟรานซิส มาร์ค ผู้เป็นอาของกษัตริย์แมกนิสที่หก เขตปกครองราฟาเอลา ภายใต้การนำของเซอร์ วินแอม มาร์ค ผู้เป็นนัดดาของกษัตริย์แมกนิสที่หก เขตปกครองไครานิน ภายใต้การนำของเซอร์ เทวนสัน มาร์ค และเขตปกครองเมืองเฮเรนีว่า ภายใต้การนำของ อัศวินเนโร เบลอน
                สภากลางและตะวันตกตะวันออกเป็นศูนย์กลางการบังคับบัญชาทางการทหาร และที่นี่ยังมีจำนวนทหารมากที่สุดในสี่สภาอีกด้วย โดยรวมแล้วมีทหารประจำการอยู่ที่นี่กว่าสองแสนห้าหมื่นนาย โดยมีผู้บัญชาการทหารคือ อัศวิน แอทลอน ทวินเทอร์ (บิดาของอาร์โทดอล์) นอกจากนี้ที่สภากลางและตะวันตกตะวันออกแห่งนี้มีสนามฝึกรบที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเลโอนิเซ่ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อของ แบทเทิลฟิลด์ โดยจะรับเด็กชายอายุตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไปเข้ารับการฝึกโดยเรียกว่าทหารฝึกหัดใหม่
ผู้นำของสภากลางได้แก่เซอร์วินแอม  ซึ่งมีความสามารถทางการทูตเป็นอย่างมาก เพราะเขานี่เองทำให้สภาทั้งสี่ปรองดองอยู่ได้
    สภาใต้หรือดินแดนทางใต้ ที่นี่ประกอบไปด้วยสามเขตปกครอง ได้แก่ เขตปกครองลูนีเซีย ภายใต้การนำของบาทหลวงเอลาโน่ ทรอย์ เขตการปกครองโคโบนีเกน ภายใต้การนำของเซอร์ลอนตัน เซลลาร์ (ได้รับการแต่งตั้งหลังจากเซอร์จอห์นบราวน์ถูกประหาร) เขตปกครองโดม ภายใต้การนำของนิโครัส แบล็คสกิน (สามัญชนคนเดียวในสี่สภา ด้วยความสามารถทำให้เขาได้รับตำแหน่ง เพราะเขาเป็นผู้พบ นครโรเซ่ นครวาติฟาริฟ นครฟรานย่า นครแอร์ธิน่า ในครั้งที่เขานำเรือแล่นผ่านสภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้ลงไปกว่าสองหมื่นไมล์ และภายหลังเป็นเหตุให้กษัตริย์มารค์ที่สี่ได้กรีธาทัพเข้ายึดครองเมื่อสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผู้นำสภาใต้ได้แก่นิโคลัสซึ่งได้รับการแต่งตั้งต่อจากเซอร์จอห์นบราวน์
                สภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้ เรียกอีกอย่างว่าการปกครองพิเศษห้าเกาะทางใต้ ประกอบไปด้วยห้าเขตปกครอง ที่นี่เป็นเขตทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดของมหานครเลโอนิเซ่ มีเขตปกครองต่างๆ คือ เขตปกครองเกาะคีฟ ภายใต้การนำของเซอร์โทนี่ พากินตัน เขตปกครองเกาะมัลดาเหนือภายใต้การนำของอัศวินแมคม่าน มาร์ทินี่ เขตปกครองเกาะมัลดาใต้ ภายใต้การนำของอัศวินมาร์ติน มาร์ทินี่ (แฝดผู้น้องของอัศวินแมคม่าน)  เขตปกครองเกาะลาซอนย่าภายใต้การนำของเซอร์กิโยติน ลาฟร่า และเขตการปกครองเกาะเลอนอน ภายใต้การนำของลอร์ด แมคอาธี คลินสัน โดยมีเซอร์ กิโยตินเป็นผู้นำสภาใต้
                นอกจากนี้แล้วมหานครเลโอนิเช่ยังมีเมืองขึ้นอีกสี่เมืองได้แก่ นครโรเซ่ ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ฮาเรมนิส นครวาติฟาริฟ ภายใต้การปกครองของกษัตริย์การูต้า นครฟานย่า ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พาธา และนครแอร์ธินา ภายใต้การปกครองของกษัตริย์เรมนอสที่สี่ นครทั้งสี่นั้นเป็นเมืองขึ้นมาตั้งแต่รัชสมัยของกษัตริย์มาร์คที่สี่(พระราชชนกของกษัตริย์แมกนิสที่หก) โดยในสมัยนั้นนิโครัสชาวเมืองในเขตปกครองโดม ได้นำเรือออกทะเล ลงใต้ไปเรื่อยๆ จนผ่านสภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้ ไปกว่าสองร้อยไมล์ทะเล จนไปพบนครโรเซ่เข้า และได้แวะพักหาเสบียงที่นั่น จากนั้นก็นำเรือแล่นไปอีกกว่าร้อยไมล์ทะเลก็ได้พบกับนครอีกสามแห่ง ได้แก่ นครวาติฟาริฟ นครฟรานย่า และนครแอร์ธินา ตามลำดับ นิโครัสก็ได้ขึ้นฝั่งที่นครแอร์ธินา และอาศัยอยู่ที่นั่นกว่าสองปี เขาได้ศึกษาความเป็นอยู่ของชาวนครแอร์ธินา จนรู้จักเป็นอย่างดี ระหว่างนั้นเขาก็ได้แล่นเรือไปมาระหว่างนครทั้งสาม จนเป็นที่คุ้นตาของชาวนครทั้งสี่ นอกจากนี้เขายังได้รู้ถึงแหล่งทองคำ แร่เงิน แร่ควอรต์นั้นมีอยู่มากมายที่นครเหล่านี้ และยังทำให้ทราบว่าหากเขาเดินทางต่อไปอีกประมาณสองร้อยไมล์เขาจะพบกับแผ่นดินใหญ่ที่ชาวเมืองในนครทั้งสี่เรียกว่าแผ่นดินพาราดิเซ่
                ที่นั่นมีผู้กล่าวไว้ว่ามีพวกอมนุษย์เช่นพวกผีโฉด อาศัยอยู่ พวกผีโฉดมีลักษณะดุร้าย มีสองมือ สองขา เหมือนมนุษย์  ใบหน้าน่ากลัว นิสัยดุร้าย ผมยาวสีดำ มีเล็บมือที่ยาวกว่าหนึ่งฟุต แข็งเหมือนดาบดีๆทีเดียว นอกจากนี้พวกผีโฉดยังมีญาติคือพวกยักษ์ผี พวกนี้มีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าผีโฉดกว่าเท่าตัว ใบหูแหลมชี้ขึ้น มีผมบางๆ บนศรีษะ  ดวงตาเล็กรี จมูกงุ้ม ปากกว้างมีเขี้ยวงอกออกมาทางด้านล่าง ลำตัวหนาบึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ พวกนี้สามารถทนต่อเวทมนตร์ แต่มันไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ นอกจากนี้ยังมีความคิดอ่านฉลาดกว่าพวกผีโฉด พวกมันรู้จักทำอาวุธใช้ และดาบยาวและขวานก็เป็นอาวุธที่มันชอบใช้ บนแผ่นดินนี้ไม่ใช่จะมีแต่พวกอมนุษย์ที่ดุร้ายเท่านั้น ยังมีอมนุษย์ที่นิสัยดีจำพวกฮาฟไล้ท์ด้วย พวกนี้มีลักษณะเหมือนคนทุกอย่าง พวกนี้ใช้ภาษามีท(พวกฮาฟไล้ท์รับภาษานี้มาจากชนเผ่ามีท)ที่สามารถสั่งสิ่งต่างๆรอบตัวได้ (พวกมนุษย์เรียกว่าเวทมนตร์) พวกนี้ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร ต่างจากพวกผีโฉดและอสูรกายมาก แต่พวกนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่หากตายโดยธรรมชาติไปครั้งหนึ่งแล้ว จะฟื้นขึ้นมาแล้วจะไม่ตายอีกเลย (ยกเว้นโดนทำลายโดยผู้ลิขิตและชนเผ่ามีท) พวกฮาฟไลท์สืบพันธุ์ทุกห้าร้อยปี และอารีน่าแม่ของอาร์โทดอล์ก็เป็นอมนุษย์จำพวกนี้ นอกจากนี้แล้วยังมีพวกพืชมหัศจรรย์ที่สามารถเคลื่อนไหวได้พูดจาได้ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ  และยังมีพวกสัตว์พิสดารต่างๆ อีกมากมาย
                ในแผ่นดินใหญ่หรือดินแดนพาราดิเซ่แห่งนี้มีเขตๆหนึ่งที่พวกอมนุษย์ทุกชนิดไม่กล้าเข้าใกล้เลย คือเขตปกครองของชนเผ่ามีท ชนเผ่านี้ปกครองดินแดนพาราดิเซ่ทั้งหมด ชนเผ่านี้ใช้ภาษามีทซึ่งเป็นภาษาศักดิ์สิทธิ์สามารถสั่งความเป็นไปต่างๆได้ ที่นี่มีผู้ลิขิตอยู่ ผู้ลิขิตจะคอยให้คำทำนายสำหรับเหล่าอมนุษย์ที่จะออกจากแผ่นดินใหญ่ไป ก่อนแม่อาร์โทดอล์ออกจากแผ่นดินใหญ่นี่มาก็ได้รับคำทำนายจากผู้ลิขิตเช่นกัน
                  สำหรับพวกอมนุษย์พวกผีโฉดและยักษ์ผีนั้น พวกมันจะไม่รุกรานกับใครก่อนหากไม่มีใครไปรุกรานกับพวกมันก่อน แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่มีเหล่าผีโฉดหลงเขามายังในเมืองและได้ทำร้ายชาวเมืองไปกว่าร้อยคน จากนั้นมันก็หายตัวไป ชาวเมืองจึงกลัวพวกนี้มาก
ภายหลังจากที่นิโครัสได้อาศัยและเดินทางไปมาระหว่างนครทั้งสี่จนเวลาผ่านไปกว่าสองปี ในที่สุดนิโครัสก็ได้แล่นเรือกลับมายังมหานครเลโอนิเซ่ และได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้และให้ชื่อว่าการเดินทางสู่นครทั้งสี่ของข้าพเจ้านิโครัส บากสิน และได้นำเข้าถวายต่อกษัตริย์มารค์ที่สี่ จนเป็นเหตุให้พระองค์มีรับสั่งให้อัศวินแอทลอน (บิดาของอาร์โทดอล์) นำกองทัพหนึ่งแสนนายเข้ายึดครองเวลาต่อมา (แทบจะทันทีที่พระองค์อ่านหนังสือเล่มนี้จบ)  สงครามครั้งนี้ใช้เวลารบกว่าสิบสองปี จนกระทั่งนายพลแอทลอนได้รับชัยชนะ ในเวลาสิบสองปีนั้นแอทลอนได้นำทัพออกรบกว่าหนึ่งหกสิบครั้ง
                  กว่าที่มหานครเลโอนิเซ่จะได้รับชัยชนะ พวกเขาก็สูญเสียทหารไปกว่าแปดหมื่นนาย และยังสูญเสียเรือไปกว่าหนึ่งร้อยสามสิบลำ งบประมาณในการทำสงครามกว่าสี่สิบล้านรูเปียส  และช่วงที่ทำสงครามอยู่นั้น นิโครัสก็ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาให้กับอัศวินแอทลอนโดยตลอด ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นสงครามแล้วเขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้นำแห่งโดมต่อจากลอร์ดพาสเตอร์ ผู้นำแห่งโดมคนก่อนซึ่งสิ้นชีพไปเพราะหมดอายุขัย (การแต่งตั้งผู้นำสำหรับเขตปกครองต่างๆในมหานครเลโอนิเซ่นั้นขึ้นอยู่กับคุณประโยชน์ที่ผู้นั้นได้กระทำ ดังนั้นในมหานครเลโอนิเซ่เราจึงเห็นตระกูลต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนกันขึ้นมาทำหน้าที่ในแต่ละเขตปกครอง ทั้งนี้ไม่นับสภากลางและตะวันตกตะวันออกเพราะที่นี่จะถูกสงวนไว้ผู้นำที่เป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้น)
   
                  เขตแดนของมหานครเลโอนิเซ่นั้นแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ตามการปกครองโดยแต่ละส่วนมีความสำคัญแบบพึ่งพากัน โดยทางสภาเหนือเป็นเขตเศรษฐกิจซึ่งเป็นรายได้หลักให้กับสภากลาง เพราะที่นี่อุดมไปด้วยเหมืองแร่ ทั้งทองคำ ทองแดงและหินอ่อน โดยวัตถุดิบที่ได้มาจะถูกส่งไปยังสภากลางสองส่วน และที่เหลือก็กระจายไปยังสภาอื่นๆ สภาละหนึ่งส่วน ที่เหลือจะนำไปผลิตอาวุธ และชุดเกราะ แจกจ่ายให้กับทั้งสามสภา เพราะชุดเกราะที่ผลิตในสภาเหนือมักจะแข็งแรงกว่าที่ผลิตในที่อื่น และเทคนิคการผลิตยังคงเป็นความลับอยู่ตลอดมา  ภูมิประเทศโดยรอบของสภาเหนือนั้น ประกอบไปด้วยป่าไม้ซึ่งขึ้นอยู่ทางตะวันออกของสภาเหนือนอกจากนี้ยังมีเหมืองแร่ทองคำขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสภาเหนือ นอกจากนี้ยังมีเหมืองแร่ทองเหลือง ควอรต์ กระจายอยู่ทั่วไป หากย้อนมาทางทิศใต้ของสภาเหนือแล้ว จะพบแม่น้ำลองเลก ขวางอยู่แม่น้ำแห่งนี้กว้างกว่าสองร้อยหลา และแม่น้ำแห่งนี้เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างสภาเหนือและดินแดนส่วนที่เหลือของมหานคร 
                    ในส่วนของสภากลางและตะวันตกตะวันออกเป็นเขตแดนที่อยู่ติดกับฝั่งตะวันออกของแม่น้ำลองเลกแลและกินพื้นที่ทางตะวันตกด้วย มีเมืองหน้าด่านได้แก่ราฟาเอลา และเยื้องลงมาทางตะวันออกติดกับเมืองไครานินซึ่งอยู่ติดกันกับเมืองหลวงเลโอนิเซ่ สภากลางเป็นเขตการทหารที่ใหญ่ที่สุดของมหานคร มีทหารประจำอยู่ถึงสองแสนห้าหมื่นนาย ดังนั้นเวลาสภาอื่นขอกำลังมา แอทลอนจะเป็นผู้พิจารณาและทำรายงานกราบทูลกษัตริย์แมกนิส และคอยจัดส่งกำลังทหารไปให้ตามพระบรมราชานุญาติ โดยดูตามความเหมาะสม ถัดลงมาทางทิศใต้จะมีป่าแลควูด ตั้งขวางอยู่ ถัดจากป่าแลควูดไปจะพบทะเลสาบบลูเลคซึ่งเป็นทะเลสาบแห่งเดียวของมหานครเลโอนิเซ่ 
                  ถัดจากทะเลสาบบลูเลคจะเป็นแหล่งปลูกข้าวกว่าสามพันห้าร้อยเอเคอร์ โดยที่แห่งนี้นั้นถูกสงวนไว้ให้กับชาวสภาใต้เท่านั้นที่สามารถเข้ามาทำการเพาะปลูกได้ (เหตุที่ชาวสภาใต้มีสิทธิแต่เพียงกลุ่มเดียวเป็นเพราะเป็นไปตามข้อตกลงว่าด้วยการแพ้หมากรุกคน โดยที่การละเล่นนี้นั้นเป็นกีฬาที่นิยมเล่นกันมากในรัชสมัยของกษัตริย์ฟาเธอร์เดอะเกรท หรือเมื่อร้อยหกสิบปีก่อน การละเล่นชนิดนี้เล่นกันโดยนำทหารมาใช้แทนตัวหมากรุกต่างๆ  มีจับกินกันอย่างโหดเหี้ยม โดยการที่ผู้จับกินจะใช้อาวุธเข้าฟาดฟันฝ่ายที่ถูกกินจนกระทั้งสิ้นชีวิตโดยไม่ให้สู้ได้ เกมจะจบก็ต่อเมื่อฝ่ายหนึ่งสามารถรุกฆาตและสังหารขุนของอีกฝ่ายหนึ่งได้ โดยมากแล้วแต่ละสภามักจะนำทหารที่มีฝีมือดีและสำคัญมาเป็นตัวหมากกัน 
                  ต่อมาเกมกีฬาประเภทนี้ได้ถูกยกเลิกไปเพราะหลายฝ่ายเห็นว่ารุนแรงและทำให้เสียทหารฝีมือดีโดยใช่เหตุ ดังนั้นการแข่งหมากรุกคนครั้งสุดท้ายจึงเป็นกรณีของการแย่งสิทธิในการเพาะปลูกภายในพื้นที่เขตสภาใต้ในปัจจุบันนั่นเอง โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นมหานครเลโอนิเซ่เพิ่งจะเสร็จสิ้นสงครามรวมแผ่นดินและการจัดสรรการปกครองยังไม่ลงตัวเท่าที่ควร ยังคงมีการโต้เถียงกันในเรื่องสิทธิต่างๆ
                  สภาเหนือ สภาใต้ และสภากลางและตะวันตกตะวันออกในเวลานั้น มีข้อขัดแย้งกันในเรื่องของสิทธิในการเข้ามาใช้ที่ดินในเขตของสภาใต้ ต่างฝ่ายต่างยื่นเหตุผลของตนว่าสมควรได้รับสิทธินี้ ในที่สุดกษัตริย์ชาร์มาปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มาร์ค ผู้รวบรวมแผ่นดินต่างๆ ตลอดจนหมู่เกาะทางใต้เข้ารวมกับมหานครเลโอนิเซ่ได้ตัดสินใจให้ทุกฝ่ายส่งตัวแทนเข้าแข่งขัน โดยให้นายพลของแต่ละฝ่ายเป็นขุน และลดหลั่นลำดับลงมาเรื่อยๆ ในที่สุดผลการแข่งขันสภาใต้ก็ได้ชัยชนะในที่สุด มีการบันทึกไว้ว่าการแข่งครั้งนี้ทำให้เสียขุนพลทางการทหารฝีมือดีไปกว่าร้อย
                  ห่างจากแหล่งปลูกข้าวประมาณสองร้อยไมล์ จะเป็นหน้าผาสูงประมาณสี่ร้อยฟุต เบื้องล่างของหน้าผานี้คือทะเลใต้ที่เต็มไปด้วยโขดหินโสโครกอยู่เต็มไปหมด โดยจุดนี้จะใช้เป็นจุดประหารชีวิตนักโทษหนักของสภาใต้ โดยนำนักโทษหนักที่ต้องโทษประหารมาแล้วพันธนาการไว้ด้วยโซ่เงินโยนลงไปให้กระแทกหินและจมน้ำตายไป ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนเรียกหน้าผาแห่งนี้ว่าผาประหาร ต่อมาสภาทั้งสี่ได้ออกกฎเกี่ยวกับการตัดสินลงโทษใหม่โดยมีมติให้นำนักโทษหนัก(โทษประหาร)มาประหารที่ผาประหารแห่งนี้ ไม่ว่าจากเขตไหนก็ตาม นอกจากนี้ยังออกกฎอีกว่าก่อนตัดสินลงโทษ ให้ส่งตัวผู้ต้องหามายังสภากลางและตะวันตกตะวันออกก่อน เพื่อให้ศาลส่วนกลางรับฟังข้อกล่าวหาและข้อแก้ต่างของแต่ละฝ่ายก่อนแล้วค่อยตัดสินความ จากจุดนี้หากมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้ว จะพบสภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้ โดยสภาแห่งนี้ประเกาะไปด้วยเกาะขนาดใหญ่ห้าเกาะ ได้แก่ เกาะคีฟ เกาะมัลดาเหนือ เกาะมันดาใต้ เกาะเลนอน และเกาะฟรานยา และยังมีเกาะเล็ก เกาะน้อยอีกกว่าสามสิบเกาะ เกาะเหล่านี้เป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพเรือแห่งมหานครเลโอนิเซ่นั่นเอง
                    สภาพิเศษหมู่เกาะทางใต้มีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งสืบทอดกันมาช้านานแล้วคือ ทุกวันที่เกิดพระจันทร์ทรงกลด เหล่าทหารจะต้องออกมาทำพิธีราบาห์ โดยการนำดาบ พร้อมลูกธนูเงิน และคันศร ที่แต่ละบ้านมีอยู่ออกมาอาบแสงจันทร์ตลอดทิวาราตรีนั้น หากบ้านใดไม่ทำ เชื่อว่าจะเกิดภัยพิบัติกับบ้านนั้นๆ เช่น ออกหาปลาไม่ได้ เรือล่ม บุคคลในครอบครัวมีอันเป็นไป  นอกจากนี้แล้วยังเชื่อว่าหากอาวุธต่างๆของพวกเขาได้อาบแสงจากพระจันทร์ทรงกลดแล้วล่ะก็จะสามารถทำให้กันภูตผีปิศาจ และใช้ต่อสู้กับพวกมันได้อีกด้วย
    ทั้งสี่สภานั้นต่างก็มีความสำคัญสำหรับมหานครเลโอนิเซ่แทบจะเท่าๆกันเพราะหากสภาใดสภาหนึ่งล่มสลายไปแล้ว คงทำให้มหานครเลโอนิเซ่ล่มจมไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นสภาเหนือซึ่งเป็นแหล่งรายได้และแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ สภาใต้และสภาหมู่เกาะทางใต้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญและยังเป็นหน้าด่านทางทะเลอีกด้วยส่วนสภากลางและตะวันตกตะวันออกนั้นเป็นศูนย์รวมแห่งความรู้และศูนย์บัญชาการกองกำลังทางการทหาร แต่ในที่สุดแล้วสภาเหนือก็เป็นเหตุสร้างความวิบัติให้กับมหานครเลโอนิเซ่ในอีกสิบหกปีต่อจากนี้ไป
    ชาวเลโอนิเซ่ชอบอาศัยรวมกันแต่ก็ชอบที่จะมีโลกส่วนตัวดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าบ้านไม้โอ๊คสองชั้นของพวกเขาที่สร้างขึ้น มักจะมีพื้นที่ใช้สอยรอบๆตัวบ้านและเขามักจะเว้นระยะในการสร้างบ้านหลังต่อไป ชาวเลโอนิเซ่ชอบดอกไม้ ดังนั้นเขามักจะปลูกดอกไม้พันธ์ต่างๆไว้รอบๆบ้านของเขา และมักจะหาม้าหินมาตั้งไว้สำหรับนั่งชมดอกไม้ยามว่างพร้อมกับจิบชาใบมินท์และทานธินทาร์ไปด้วย หรือบางทีอาจมีเพื่อนมาพูดคุยในยามบ่ายก็ได้
    ชาวเลโอนิเซ่มักชอบสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ดูแล้วสบายตา และมันทำให้พวกเขาดูเด่นขึ้นมา แต่ก็มีบ้างที่ชอบใส่เสื้อสีสดแต่อาจมีไม่มากเท่าไหร่ ชาวเลโอนิเซ่มีใบหน้าค่อนข้างกลม จมูกใหญ่โด่งได้ที่กับรูปหน้า อาจมีบ้างที่งุ้มงอจนหน้าเกลียด ซึ่งมีไม่มากนัก ปากเรียวยาวสมส่วนกัน ดวงตากลมสดใสเป็นประกาย ยามต้องแสงแดดในยามเช้า รูปร่างของพวกเขาสูงใหญ่สมส่วนมีบ้างที่อ้วนลงพุง และผอมกะหร่อง รูปร่างของชาวเลโอนิเซ่ไม่ใหญ่เท่ากับพวกผีโฉดเช่นกัน รูปร่างของชาวเลโอนิเซ่แตกต่างชัดเจนกับชนเผ่ามีท เพราะเผ่ามีทมีรูปร่างเล็กกว่า
    สำหรับนิสัยของชาวเลโอนิเซ่นั้น พวกเขามีนิสัยไม่ค่อยชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น แต่ไม่ถึงกับไม่ช่วยใคร กลับตรงกันข้ามกันเสียอีก หากชาวเลโอนิเซ่ ต้องเจอกับปัญหาล่ะก็ พวกเขามักจะช่วยกันจนกว่าจะแก้ปัญหานั้นได้ แต่ข้อเสียของชาวเลโอนิเซ่ก็มี คือชาวเลโอนิเซ่ชอบใช้กำลังในการตัดสินปัญหา และผู้ที่มีอำนาจมากว่ามักจะชอบใช้อำนาจนั้นๆเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการของพวกตน
                ด้วยเหตุนี้ประชาชนจึงเชื่อในอำนาจที่องค์กษัตริย์ทรงมี จึงทำให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ในที่สุดเพราะนิสัยข้อนี้นี่เองที่ทำให้ชาวเลโอนิเซ่ต้องย่อยยับลง เพราะหลังจากกษัตริย์แมกนิสที่หกถูกลอบปลงพระชนม์ ชาวเลโอนิเซ่ได้แตกออกเป็นสิบสี่ฝ่ายเพราะขาดผู้นำที่มีสิทธ์อำนาจเด็ดขาด เจ้าชายเนเวอร์ก็ยังถูกกองทัพอสูรชักใยอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้แต่ละฝ่ายมีผู้นำเป็นของตนเอง ทั้งยังมีสงครามภายในอีก เพราะแต่ละตระกูลก็ถือว่าตนมีอำนาจและสิทธิเหมือนกัน จึงมักจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นบ่อยๆ จนเกิดสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างตระกูลต่างๆ ในแต่ละฝ่าย แต่ในที่สุดแล้วฝ่ายต่างๆทั้งหมดก็ถูกรวบรวมเข้าด้วยกันด้วยความสามารถของอาร์โทดอล์ ผู้ที่เป็นผู้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าต่อสู้กับเผ่าพันธุ์อสูร และเป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์ทวินเทอร์หลังจากราชวงศ์มาร์คหมดอำนาจลงไปแล้ว
    ชาวเลโอนิเซ่กินอยู่กันอย่างง่ายๆ อาหารของพวกเขาได้จากทะเล ส่วนใหญ่เป็นพวกปลา โดยเฉพาะปลาอินทรี และยังได้ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และมะกอกจากเขตกสิกรรมในสภาใต้ และได้องุ่น ไวน์องุ่น ส้มแอปริคอทจากเมืองขึ้นทั้งสี่อีกด้วย ชาวเลโอนิเซ่ก็มีอาหารประจำชาติอย่างหนึ่งที่มักจะทำทานกันบ่อยๆคือ ธินทาร์  ซึ่งทำจากแป้งข้าวสาลีนำมาผสมนมกับเนยปั้นแล้วกดให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วทาด้วยน้ำผึ้งโรยด้วยข้าวโอ๊ตตากแห้งกับเนื้อมะกอกตากแห้งจากนั้นนำไปอบให้แห้ง  โดยเวลามีการรบทหารชาวเลโอนิเซ่มักจะนำธินทาร์ไปด้วยจำนวนหนึ่งเพราะเก็บได้นานและยังทำให้อยู่ท้องอีกด้วย หรือบางครั้งชาวลีโอนิเซ่จะรับประทานธินทาร์กับชาใบมินท์ในตอนบ่าย หรือใช้เป็นอาหารว่างสำหรับเลี้ยงแขกยามบ่ายก็สามารถทำได้ดี แต่ชาวเลโอนิเซ่ไม่นิยมรับแขกในเวลารับประทานอาหารเย็นเพราะถือว่าเป็นเวลาของครอบครัว หากมีแขกที่ต้องรับประทานอาหารร่วมกันพวกเขาจะปรุงอาหารด้วยเกลือจนทานไม่ได้ให้แขกคนนั้นเป็นการบอกกล่าวให้รู้ นอกจากนี้แล้วชาวเลโอนิเซ่ยังชอบทานปลากับไวน์มะกอก หรือทานน้ำมะกอกปรุงรสด้วยเกลือกับเนื้อแกะอบสมุนไพร โดยเฉพาะอาหารอย่างที่สองชาวเลโอนิเซ่มักจะชอบเป็นพิเศษ และอารีน่า แม่ของอาร์โทดอล์ก็มักชอบปรุงเป็นพิเศษ เธอมักได้รับพระดำรัสกล่าวชมเธออยู่เสมอในเวลาที่ปรุงถวายกษัตริย์แมกนิสที่หก องค์ราชินีแพทธีเซียและเจ้าชายเนเวอร์ และพระราชวงค์องค์อื่นๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น