ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามเลโอนิเซ่

    ลำดับตอนที่ #1 : มหาเทพอัสซีสร้างโลก

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ค. 48


               ในยุคหนึ่งเมื่อหลายกัปหลายกัลป์ก่อนยุคที่มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น มีมหาเทพบิดาองค์หนึ่งพระนามว่าเวอซีนุส พระองค์ทรงเป่ามหาพายุออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ทำให้ความว่างเปล่าแตกกระจายกลายเป็นมหาจักรวาลไป แล้วพระองค์ก็ดำรงองค์อยู่ที่นั่น

    ในกาลต่อมาพระองค์ทรงสร้างพระโอรสขึ้นสามพระองค์จากพระโลหิตแดงของพระองค์ ได้แก่ มหาเทพอัสซี ผู้เป็นเชษฐาองค์โต มหาเทพอัลต้า ผู้เป็นเชษฐาองค์รอง และมหาเทพไทแทนลัมผู้เป็นอนุชา แต่ด้วยเหตุอันใดมิทราบได้ มหาเทพบิดาจึงทรงไม่ใส่ใจกับมหาเทพอัสซีเท่าใดนัก พระองค์ทรงใส่ใจกับมหาเทพผู้อนุชาสององค์หลังมากกว่า

    หลังจากมหาเทพทั้งสามทรงเจริญพระชนม์พอที่จะแยกองค์ออกไปได้ มหาเทพบิดาเวอซีนุส ก็ได้สร้างเทพสตรีขื้นมาสามพระองค์ให้เป็นคู่กันกับสามมหาเทพ พระองค์ทรงสร้างพระนางเอรีจากเม็ดเหงื่อ ทรงสร้างพระนางโฟริซิสจากกลิ่นกายของพระองค์ และทรงสร้างพระนางมิเมียนจากเศษเล็บของพระองค์





                พระองค์ทรงมอบพระนางเอรีให้ครองเรือนกับมหาเทพอัสซี ทรงมอบพระนางโฟริซิสให้ครองเรือนกับมหาเทพอัลต้า และทรงมอบพระนางมิเมียนให้ครองเรือนกับมหาเทพไทแทนลัม





                จากนั้นมหาเทพบิดาเวอซินุสทรงสร้างโลกอันงดงามขึ้นมาสองแห่ง ไว้คนละมุมของจักรวาล ทรงรับสั่งให้มหาเทพอัลต้าและมหาเทพไทแทนลัมไปครอง ส่วนพระองค์ได้สร้างบัลลังก์เพชรไว้ที่กลางมหาจักรวาลทรงคอยสอดส่องดูแลพระโอรสทั้งสาม

    ฝ่ายมหาเทพอัสซีที่ทรงเจริญพระชนม์และมีพระนางเอรีคู่กายแล้ว ก็มิทรงน้อยพระทัยในองค์พระบิดาที่ไม่ได้มอบโลกให้กับพระองค์ พระองค์กับพระนางเอรีทรงเสด็จจากบัลลังก์เพชรของมหาเทพบิดามา





                 มหาเทพอัสซีได้ทรงเลือกพื้นที่ส่วนหนึ่งของมหาจักรวาล แล้วทรงสร้างก้อนดินขนาดใหญ่เรียกว่าโลกขึ้น ต่อมาพระองค์ทรงใช้สิ่วทองคำและค้อนทองคำแกะก้อนดินนั้น ให้มีส่วนหนึ่งนูนขึ้นมา พระองค์ทรงเรียกส่วนที่นูนขึ้นมานั้นว่า แผ่นดินเมเซียส แล้วพระองค์ได้มีรับสั่งให้พระนางเอรีมเหสีของพระองค์ทรงสร้างมหาสมุทรขึ้นไว้รอบๆแผ่นดินเมเซียส พระนางเอรีจึงหลั่งน้ำตาลงมาท่วมก้อนดินกลายเป็นมหาสมุทร  แผ่นดินเมเซียสเวลานั้นมืดมิด และไร้ซึ่งสรรพสิ่ง





                มหาเทพอัสซีทรงอาศัย ณ ที่นั่น กับพระมเหสีของพระองค์ ต่อมามหาเทพอัสซีทรงเบื่อที่จะอยู่กันเพียงสองพระองค์ ครั้นจะรับสั่งให้มหาเทพอัลต้า มหาเทพแทนไทลัม สองพระอนุชา มาประทับอยู่ด้วย ก็ทรงลำบากพระทัย เพราะทั้งสองพระองค์ก็มีดินแดนส่วนพระองค์ ที่มหาเทพบิดาประทานให้อยู่แล้ว มหาเทพอัสซีจึงได้ดึงเอาพระเกศาของพระองค์มาหนึ่งเส้นสร้างเป็นมนุษย์ผู้ชายไว้พูดคุยแก้เหงาและเป็นเพื่อนเล่น ต่อมาพระองค์ทรงเห็นว่ามนุษย์ผู้ชายดูเบื่อหน่ายที่จะคุยกับพระองค์ พระองค์จึงขอให้พระนางเอรีดึงเอาพระเกศาอีกเส้นมาสร้างเป็นมนุษย์ผู้หญิงไว้คอยคุยและเป็นเพื่อนกับมนุษย์ผู้ชาย





                วันหนึ่งมนุษย์ชายหญิงต่างก็เบื่อแผ่นดินเมเซียสอันมืดมิดแห่งนี้ ทั้งสองจึงเข้าไปทูลขอให้พระองค์สร้างแสงสว่าง มหาเทพอัสซีจึงหยิบเนื้อดินจากแผ่นดินเมเซียสขึ้นมาแล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆ





                จากนั้นทรงใช้อิทธิฤทธิ์ทำให้ดินก้อนนั้นมีเพลิงลุกไหม้ แล้วพระองค์ก็ทรงปาก้อนเพลิงนั้นไปยังเบื้องบน จากนั้นแผ่นดินเมเซียสก็มีแสงสว่าง พระองค์ทรงเรียกก้อนเพลิงนั้นว่าดวงอาทิตย์ มนุษย์ชายหญิงคู่นั้นจึงเห็นหน้ากัน มนุษย์ทั้งสองเห็นแผ่นดินเมเซียสอย่างชัดเจน แผ่นดินเมเซียสขณะนั้นเป็นแผ่นดินราบเรียบว่างเปล่า  มองไปทางไหนก็เห็นแต่มหาสมุทรล้อมรอบอยู่เท่านั้น ทั้งสองจึงทูลขอมหาเทพอัสซีอีกครั้ง ครั้งนี้ทั้งสองขอให้พระองค์สร้างสรรพสิ่งต่างๆไว้บนแผ่นดิน





                 มหาเทพอัสซีจึงได้รับสั่งให้เทพไทแทนลัมพระอนุชาทรงสร้างสรรค์ธรรมชาติขึ้น พระองค์ทรงสร้างสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ สร้างเทือกเขาน้อยใหญ่ต่างๆ สร้างเหล่าพืชพันธุต่างๆ ต่อมามหาเทพอัสซีทรงรับสั่งให้เทพอัลต้า ให้ทรงสร้างเหล่าสรรพสัตว์จำนวนมาก ทั้งในมหาสมุทรและบนแผ่นดินเมเซียส ต่อมามนุษย์ชายหญิงเบื่อที่จะต้องเห็นหน้ากันอยู่ตลอดเวลา ทั้งสองจึงเข้าไปทูลขอกับพระองค์ ให้พระองค์ทรงสร้างสิ่งที่มาบดบังแสงอันร้อนแรงแห่งดวงอาทิตย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น





                 มหาเทพอัสซีทรงรับฟัง จึงหยิบเนื้อดินจากแผ่นดินเมเซียสขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทรงปั้นเนื้อดินนั้นให้เป็นก้อนกลมๆ แล้วทรงปาก้อนดินนั้นขึ้นไปเบื้องบน ให้ก้อนดินนั้นอยู่บดบังแสงแห่งก่อนเพลิงที่พระองค์ทรงสร้างไว้ก่อน โลกจึงมืดลงอีกครั้ง แต่เพราะเหตุที่ก้อนดินก้อนหลังที่พระองค์ทรงปั้นขึ้นมีขนาดเล็กกว่าก้อนเพลิงก้อนแรก แสงและความร้อนจึงยังคงมีมาอยู่ในแผ่นดินเมเซียส





                 มหาเทพอัสซีทรงคิดบางอย่างได้ จึงทรงกัดพระหัตถ์ของพระองค์ พระโลหิตหนึ่งหยดไหลจากปลายพระหัตถ์ลงสัมผัสมหาสมุทรของพระนางเอรี เกิดเทพบุตรร่างสีแดงนามเอเรนอสขึ้นมา พระองค์ทรงรับสั่งให้พระนางเอรีให้ทรงกระทำเช่นเดียวกัน หลังจากพระโลหิตของพระนางเอรีสัมผัสกับผิวน้ำของมหาสมุทร ก็ทรงบังเกิดเทพสตรีร่างสีเงินนามเอรานอสขึ้นมา

                

            

                 มหาเทพอัสซีทรงรับสั่งให้เทพบุตรร่างสีแดง เอเรนอส ไปคอยผลักดวงอาทิตย์ให้ห่างออกจากดวงจันทร์ และรับสั่งให้เทพสตรีร่างสีเงิน เอรานอส ผลักดวงจันทร์ให้ห่างออกจากดวงอาทิตย์ ทรงกำชับกับเทพทั้งสองพระองค์ว่าให้ทั้งสองทรงผลักดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทั้งดวงสองนั้นออกจากกัน และทรงขอให้ทางเดินของทั้งสองเป็นรูปวงกลมอยู่ล้อมรอบโลกที่พระองค์สร้างไว้ชั่วกัปชั่วกัลป์ เวลากลางวันและกลางคืนจึงเกิดขึ้น ณ บัดนั้น แล้วมหาเทพอัสซีและพระนางเอรีก็ทรงเสด็จเข้าไปในส่วนลึกของแผ่นดินเมเซียส ก่อนเสด็จไปพระองค์ทรงประทานพรให้กับมนุษย์ทั้งสอง โดยขอให้ทั้งคู่มีทายาทไว้พูดคุยเป็นเพื่อนยามเหงา





                 ต่อมามนุษย์คู่นั้นได้ให้กำเนิดมนุษย์ชายหญิงอีกคู่หนึ่งขึ้นมา และมนุษย์ชายหญิงคู่นั้นก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายหญิงอีกคู่มา มนุษย์ชายหญิงที่กำเนิดใหม่ขึ้นมาได้ให้กำเนิดทายาทออกมาเรื่อยๆ เวลาผ่านไปนานหลายกัปหลายกัลป์ จนมีมนุษย์ผู้หญิงและผู้ชายมากมายจนล้นแผ่นดินเมเซียสไปเสียแล้ว





                 มนุษย์เหล่านั้นเริ่มก่อความวุ่นวาย บ้างเข้าไปทำลายสวนดอกไม้นานาพันธุ์ บ้างไปทำลายเหล่าสรรพสัตว์ที่มหาเทพอัลต้าได้ทรงสร้างไว้ เรื่องวิบัติเหล่านี้ได้เข้าถึงพระกรรณของมหาเทพอัสซีเข้า พระองค์จึงทรงออกมาจากดินแดนส่วนลึกของแผ่นดินเมเซียส





                 เมื่อมหาเทพอัสซีได้ทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินที่สวยงามของพระองค์ถูกทำลายพินาศลงไป พระองค์ทรงพิโรธ ทรงยกแผ่นดินเมเซียสขึ้น จากนั้นก็ทรงใช้พระโอษฐ์เป่าลมพายุมาต้องเหล่ามนุษย์ชายหญิงเหล่านั้นตกลงมายังมหาสมุทรเบื้องล่าง พวกมนุษย์เหล่านั้นก็จมมหาสมุทรหายไปเป็นจำนวนมาก  แต่ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังส่งเสียงโหยหวนอย่างน่าเวทนา มหาเทพอัสซีทรงสงสาร จึงได้หักแผ่นดินเมเซียสออกส่วนหนึ่งทิ้งลงมาเบื้องล่างเพื่อให้มนุษย์เหล่านั้นได้ว่ายน้ำขึ้นมา ส่วนเศษดินที่ตกลงมาก็กลายเป็นเกาะต่างๆไป



                  เหล่ามนุษย์ได้ว่ายขึ้นมายังฝั่งในเกือบทุกๆด้านของแผ่นดินที่พระองค์ทรงทิ้งลงมา มนุษย์บางคนว่ายไปยังเกาะแก่งต่างๆ





                 จากนั้นพระองค์ทรงเนรมิตเทพเจ้าทาลซ่าขึ้นมา และให้เทพเจ้าทาลซ่ายืนค้ำแผ่นดินเมเซียสไว้ไม่ให้ตกลงมายังมหาสมุทรเบื้องล่างที่มีอีกแผ่นดินหนึ่งอยู่ จากนั้นสวรรค์กับโลกก็เกิดขึ้น มหาเทพอัสซีก็ทรงกลับมาประทับยังแผ่นดินเมเซียส และส่องพระเนตรมายังแผ่นดินเบื้องล่าง เห็นมนุษย์ชายหญิงมากมายว่ายขึ้นมาจากมหาสมุทร พระองค์จึงทรงดลให้มนุษย์เหล่านั้นมีชื่อ จากนั้นพระองค์ทรงสาบมนุษย์เหล่านั้นไว้





                  พระองค์ไม่ให้ชีวิตอันอมตะแก่มนุษย์เหล่านั้น พระองค์ทรงให้มนุษย์เหล่านั้นมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอาหาร และพระองค์ทรงรับสั่งให้เทพไทแทนลัมสร้างพืชพันธ์และเหล่าสรรพสัตว์ขึ้นในแผ่นดินเบื้องล่าง โดยให้พืชพันธ์และสรรพสัตว์เหล่านั้นลดลงเรื่อยๆ หากพวกมนุษย์ไม่รู้จักเพาะพันธุ์ไว้ ว่าแล้วพระองค์ก็ทรงกลับเข้าไปในส่วนลึกของแผ่นดินเมเซียส





                  ต่อมามหาเทพบิดาเวอซีนุสได้ทรงตัดสินใจกลายพระวรกายของพระองค์ให้เป็นหมู่ดาวอยู่ในมหาจักรวาลนี้แทน ตำแหน่งมหาเทพบิดาจึงว่างลง มหาเทพพี่น้องทั้งสามจึงมาประชุมกัน และทรงตกลงกันว่า จะยกให้มหาเทพอัสซี ผู้เป็นเชษฐาองค์ใหญ่ทรงดำรงตำแหน่ง และจะทำการมอบบัลลังก์ในรุ่งของอีกวัน จากนั้นทั้งสามก็ทรงแยกย้ายกันไป





                  ระหว่างที่มหาเทพอัลต้ากำลังทรงพระดำเนินกลับโลกของพระองค์อยู่นั้น ได้มีกลุ่มดาวสีแดงหม่นที่เกิดจากโลหิตดำของมหาเทพบิดาเวอซีนุส ร้องเรียกพระองค์ไว้ แล้วยุให้มหาเทพอัลต้าทรงแย่งชิงบัลลังก์เป็นใหญ่เสียเอง มหาเทพอัลต้าทรงเชื่อ จึงทรงเสด็จไปหาเทพทาลซ่าที่แบกแผ่นดินเมเซียสอันเป็นที่ประทับของพระเชษฐาของพระองค์ไว้ และทรงติดสินบนว่า หากเทพทาลซ่าทุ่มแผ่นดินเมเซียสลงมหาสมุทร และจัดการกับมหาเทพอัสซีได้ พระองค์จะมอบโลกของมหาเทพอัสซีให้ครอง





                   เทพทาลซ่าโลภในรางวัลของมหาเทพอัลต้า จึงตกลงรับปาก เมื่อถึงเวลาเทพเอเรนอสผลักดวงอาทิตย์เข้ามาใกล้แผ่นดินเมเซียส แสงแห่งรุ่งอรุณจึงปรากฏที่ขอบฟ้าด้านตะวันออก เทพทาลซ่าจึงทุ่มแผ่นดินเมเซียสลงยังมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรแตกกระจายชัดเอาแผ่นดินมนุษย์หายไปบางส่วน มหาเทพอัสซีเวลานั้นยังไม่ทรงตื่นจากบรรทม จึงถูกเทพทาลซ่าจับตัวขึ้นมา และบีบไว้ในอุ้งมือทั้งสองด้วยแรงอันมหาศาล





                    เมื่อมหาเทพอัสซีรู้สึกพระองค์ ทรงเนรมิตกายของพระองค์ขยายใหญ่ขึ้น จนเทพทาลซ่าต้องคลายอุ้งมือออก มหาเทพอัสซียังคงทรงขยายพระองค์ต่อไป ใหญ่จนติดขอบมหาจักรวาล จากนั้นใช้พระบาทกระทืบลงมาบนศีรษะของเทพทาลซ่า ร่างของเทพทาลซ่าจมหายไปในพื้นโลก ผลจากการต่อสู้ มีมนุษย์ล้มตายไปสองในสามของทั้งหมด มหาเทพอัสซีทรงเศร้าพระทัย





                    พระองค์ทรงเหาะไปยังบัลลังก์มหาเทพบิดากลางมหาจักรวาล ทรงทอดพระเนตรเห็น มหาเทพผู้เป็นอนุชาทั้งสองกำลังสู้กันอยู่ด้วยฤทธิ์ธานุภาพต่างๆ มหาเทพอัสซีทรงมุ่งตรงเข้าไปห้าม มหาเทพอัลต้าทอดพระเนตรเห็น ด้วยความตกพระทัย จึงทรงบังกายหายไปยังโลกของพระองค์





                     มหาเทพไทแทนลัมทรงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง ว่าพอรุ่งอรุณได้มาถึง มหาเทพอัลต้าได้เสด็จมายังบัลลังก์เพชรแห่งนี้ และสวมมงกุฎเทพบิดา องค์มหาเทพไทแทนลัมทรงเข้าไปถาม กับได้รับคำตอบว่า พระองค์ทรงสิ้นเสียแล้วด้วยน้ำมือของเทพทาลซ่า ข้าพระองค์เกิดอารมณ์โกรธจึงมุ่งเข้าประหัตประหารกัน จนพระองค์เสด็จมา มหาเทพอัสซีได้ยินดังนั้น เกิดพิโรธขึ้นมา จึงพ่นลมปากออกมาเบาๆ กลายเป็นเทพแมริ มหาเทพอัสซีทรงรับสั่งให้เทพแมริส่งสาสน์ท้ารบไปให้มหาเทพอัลต้า





                     ตามพระทัยจริงของมหาเทพอัลต้าแล้ว อยากจะทรงขอพระราชทานอภัยจากมหาเทพอัสซีผู้เป็นเชษฐา แต่ด้วยคารมของกลุ่มดาวแดงหม่น จึงทรงรับคำท้า







                     รุ่งอรุณต่อมาสงครามระหว่างมหาเทพทั้งสองจึงเกิดขึ้น สงครามครั้งนี้แบ่งเป็นสองฝ่าย ระหว่าง มหาเทพอัสซีกับมหาเทพอัลต้า ส่วนมหาเทพไทแทนลัมทรงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วย ทรงทอดพระเนตรดูอยู่ห่างๆ





                     มหาเทพอัลต้าทรงเริ่มโจมตีก่อน พระองค์เนรมิตธนูเพลิง ยิงออกมาเป็นห่าฝน แต่ไม่มีธนูลูกใดต้องพระวรกายของมหาเทพอัสซีเลย มีธนูเพลิงสองสามดอกเลยไปตกยังโลกของมหาเทพอัสซี ทำให้น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้งไป





                     มหาเทพอัสซีทรงตอบโต้ด้วยการใช้หัตถ์ของพระองค์คว้าดวงดาวน้อยใหญ่ขว้างเข้าใส่พระอนุชา มีดาวบางดวงต้องพระวรกาย ทำให้มหาเทพอัลต้าทรงได้รับบาดเจ็บ





                     มหาเทพอัลต้าทรงพ่นลมพายุออกมาจากพระโอษฐ์ หมายจะเป่าให้มหาเทพอัสซีกระเด็นไปสุดขอบมหาจักรวาล แต่ไร้ผล

    มหาเทพอัสซีทรงพ่นลมมหาพายุออกมา ลมนั้นไปต้องกับพระวรกายของมหาเทพอัลต้าผู้อนุชา ปลิวกระเด็นไปสุดขอบจักรวาล  แต่พระองค์ก็ทรงกลับมาได้ด้วยฤทธิ์ธานุภาพ ทั้งสองพระองค์ต่างโรมรันเข้าใส่กันต่างไม่มีใครยอมใคร ต่างเนรมิตอาวุธเข้าสู้รบกัน สร้างความสูญเสียมากมาย สงครามของทั้งสองพระองค์กินเวลานาน นานเสียจน....





                     กลุ่มดาวที่เกิดจากพระวรกายของมหาเทพบิดาเวอซีนุสส่งเสียงออกมาอย่างเศร้าสร้อย ก่อนที่จะรวมตัวกันขึ้นเป็นรูปกายของมหาเทพบิดา มุ่งเข้ายุติสงครามระหว่างมหาเทพบุตรทั้งสอง กลุ่มดาวนั้นส่งเสียงออกมาเป็นน้ำเสียงของมหาเทพบิดาเวซินุส สั่งให้ทั้งสองพระองค์ยุติสงคราม และยกตำแหน่งมหาเทพบิดาให้กับมหาเทพไทแทนลัมอนุชาผู้ตั้งอยู่ในความไม่โลภ (ต่อมามหาเทพไทแทนลัมได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสันติภาพ) มหาเทพทั้งสองรับฟัง ยุติการต่อสู้ แล้วมุ่งกลับไปยังโลกของตน กลุ่มดาวทั้งหลายที่รวมตัวก็แตกกระจายไปตามเดิม





                      มหาเทพอัสซีกลับมายังโลกของพระองค์ พระองค์ทรงใช้มือข้างหนึ่งยกแผ่นดินเมเซียสขึ้นมา แล้วใช้มืออีกข้างจับศีรษะของเทพทาลซ่ากระชากร่างที่อยู่ใต้ดินขึ้นมา พระองค์ทรงส่งแผ่นดินเมเซียสให้กับเทพทาลซ่าแบกไว้ และทรงสาบไว้ไม่ให้มือทั้งสองหลุดออกมา พระองค์ทรงสร้างแผ่นดินเบื้องล่างขึ้นใหม่ แล้วให้พระนางเอรีสร้างมหาสมุทรตามเดิม แล้วทรงทูลขอให้มหาเทพบิดาไทแทนลัมสร้างเหล่าสรรพสัตว์ขึ้นมาใหม่





                      มหาเทพอัสซีเองก็ได้ทรงลงมือสร้างสรรค์ธรรมชาติขึ้นมาอย่างสวยงาม ทรงสร้างเหล่ามนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พระองค์ทรงสร้างเหล่ามนุษย์ให้มีจิตใจดีงาม มีหลากเผ่าพันธุ์ ใหญ่บ้างเล็กบ้าง บินได้บ้าง พูดภาษาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ได้บ้าง แล้วส่งมวลมนุษย์เหล่านั้นไปไว้ในส่วนต่างๆของโลก หรือส่งไปอยู่ในโลกอีกช่วงกาลเวลาหนึ่งบ้าง พระองค์ทรงรับสั่งให้เทพเอเรนอสกับเทพสตรีเอรานอสผลักดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อย่างเดิม ครั้งนี้พระองค์ทรงลงโทษให้เทพทาลซ่าใช้เท้าปั่นโลกให้หมุนอยู่เสมอด้วย โลกจึงหมุนรอบตัวเองและมีพระอาทิตย์กับพระจันทร์โคจรอยู่นับแต่บัดนั้น แล้วพระองค์ก็ทรงปกครองโลกของพระองค์ตามปกติ





                      ฝ่ายมหาเทพอัลต้า หลังจากกลับมายังโลกของพระองค์ พระองค์ทรงแค้นในการที่พระองค์ทรงมีฤทธิ์ธานุภาพสู้มหาเทพอัสซีผู้เชษฐาไม่ได้ จึงสั่งสมความแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ พระวรกายที่ผุดผ่องเหมือนทองเริ่มหม่นลง และดับในที่สุด ใจที่เต็มไปด้วยความแค้นที่ดูเหมือนจะพอกพูนขึ้นทุกที พระองค์ก็นำมาสร้างเหล่าอมนุษย์ที่ชั่วร้าย โลกของพระองค์ที่เคยสวยสดงดงามร่มเย็น กลายเป็นสีแดงฉานด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้น มันเผาไหม้สรรพสิ่งทั่วทั้งโลกไหม้เป็นจุลไปหมด ในที่สุดโลกที่สวยสดงดงามก็มลายหายไป กลายเป็นนรกภูมิไป





                      กลุ่มดาวแดงหม่นกลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันส่งเสียงยุออกมาว่า แม้จะแพ้อำนาจของมหาเทพอัสซี แต่ทำไมไม่ส่งเหล่าอมนุษย์ที่ชั่วร้ายลงไปทำลายเหล่ามนุษย์ของมหาเทพอัสซีล่ะ มนุษย์พวกนั้นน่ะไม่มีอำนาจอะไรหรอก





                      ครั้นมหาเทพอัลต้าได้ฟังดังนั้นจึงส่งอมนุษย์อันแสนชั่วร้ายลงไปแทรกซึมอยู่ทั่วโลกของมหาเทพอัสซี โดยที่พระองค์ทรงมิรู้ตัว





                      เหล่ามนุษย์เผ่าพันธุ์ต่างๆบนแผ่นดินก็เริ่มใช้ชีวิตบนแผ่นดินแห่งใหม่ร่วมกัน โดยมีเหล่าอมนุษย์แฝงกายอยู่ เหล่าอมนุษย์นั้นกระจายไปทั่วทุกมุมโลก คอยยั่วยุให้มนุษย์ที่ดีให้ชั่วร้าย แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกัน ในที่สุด พวกมนุษย์เริ่มทำสงครามกัน  





                       ตอนต้น พวกมนุษย์ทำสงครามกับพวกเผ่าพันธุ์เดียวกัน ภายใต้การยั่วยุของเหล่าอมนุษย์ แต่ต่อมา พวกมันเริ่มรุกล้ำ ก่อสงครามกับเหล่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น มหาเทพอัสซีทรงทราบเข้า จึงแยกมนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นออก และนำไปยังดินแดนอีกแห่งที่อยู่คนละช่วงเวลากัน โดยมีประตูแห่งกาลเวลาเชื่อมไว้





                        มหาเทพอัสซีทรงนำเหล่าอมนุษย์ไปกักขังไว้ และแยกออกจากพวกมนุษย์กลุ่มอื่นโดยเด็ดขาด นานวันเข้าเหล่าอมนุษย์พวกนี้แปรสภาพตัวเอง ให้น่ากลัว ดุร้าย และมีอำนาจยิ่งขึ้น ทั้งยังมีอำนาจอันชิงชังของมหาเทพอัลต้ารวมเข้ามาด้วย ทำให้เหล่าอมนุษย์มีฤทธิ์เดชและอำนาจมากขึ้น





                       สำหรับพวกมนุษย์ที่มหาเทพอัสซีทรงสร้างขึ้นได้เริ่มมีจิตใจชั่วร้ายเกาะกินบ้างแล้ว และเริ่มแผ่ขยายออกไป ทั่วทุกมุมโลก พวกมันเริ่มก่อความชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ อย่างเงียบๆ





                       ครั้งแรกมหาเทพอัสซีทรงตัดสินพระทัยที่จะทำลายพวกมนุษย์เหล่านั้นอีกครั้ง แต่ทรงมิได้กระทำ ด้วยที่พระองค์ทรงอยากที่จะทดสอบเหล่ามนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น





                       พระองค์ทรงเพียงแต่คอยส่องพระเนตรดูแลโดยไม่ให้เหล่ามนุษย์รู้ตัว และทรงให้หยิบยืมฤทธิ์ธานุภาพของพระองค์ในยามที่จำเป็นเท่านั้น





                      สงครามครั้งใหญ่กำลังจะอุบัติ มันเริ่มรุกรานคืบคลานเข้ามาพร้อมกันในทุกมุมโลกอย่างช้าๆ แต่จุเริ่มต้นของมันมักจะเป็นจุดเล็กๆของมุมๆหนึ่งในโลกที่เงียบสงบมาก่อน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×