ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fanfic:LOTR-HP] The New Legend

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : การเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.พ. 64




    บทที่
    1 : การเดินทาง

     

    “อาร์เวน อาร์เวน อาร์เวน ท่านอยู่ที่ใดกัน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่าน” กษัตริย์หนุ่มตะโกนเรียกหาคู่หมั้นของตนดังลั่นพระราชวัง

    “โวยวายอะไรแต่เช้าหรือ อารากอร์น" ชายหนุ่มในผ้าคลุมพรายสองคนที่กำลังลงจากม้าตะโกนถามแทบจะเป็นเสียงเดียวกันมาจากหน้าประตู

    “ข้ากำลังตามหาอาร์เวนอยู่ ข้ามีเรื่องสำคัญต้องพูดกับนางเป็นการด่วนก่อนที่พวกเลโกลัสจะออกเดินทาง พวกท่านเห็นนางบ้างหรือไม่"

    "นายถามช้าไปแล้วอารากอร์น พวกเราเพิ่งกลับมาจากไปส่งเลดี้มา"

    "ส่งนาง? นางไปที่ใดฤา? ช่วงนี้ข้างนอกกำลังอันตราย นางไปคนเดียวจะปลอดภัยหรือ แล้วนางจะกลับเมื่อใดกัน?"

    "ใจเย็นๆ อารากอร์น นางมาขอให้เราส่งนางไปเที่ยวโลกของเรา เห็นนางว่าอยู่นี่เบื่อๆ อยากออกไปเที่ยวเล่นเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง"

    "ว่าอย่างไรนะ โลกของพวกเจ้า ตอนนี้ที่นั่นอันตรายที่สุดเลยรู้ไหม" เสียงพ่อมดขาวดังแทรกเข้ามาในบทสนทนา เรียกให้ทั้งสามคนหันไปมองต้นเสียงที่กำลังเดินกึ่งวิ่งตามมาพร้อมเลโกลัสและกิมลีที่วิ่งตามมาด้านหลังทั้งสอง

    "ท่านหมายความว่าอย่างไรแกนดาล์ฟ อย่าบอกนะว่าโลกที่พวกท่านกำลังจะไปกันคือโลกของสองคนนี้"

    "เป็นเช่นนั้น"

    พ่อมดขาวพูดพลางถอนหายใจ ทำเอาทั้งหมดเงียบกันไปพักหนึ่ง รวมถึงเมอร์รี่กับปิ๊บปิ้นที่โดนโฟรโดกับแซมอุดปากไว้ได้ทันเวลา

     

    ว่าไงนะ แกนดาล์ฟ จะให้ออกเดินทางเลยงั้นหรือ?เสียงแรกมาจากกิมลี

    "แล้วจะให้อารากอร์นกับเจ้าพวกตัวเล็กไปด้วย? เสียงสองของเลโกลัส

    "แล้วยังไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่อีก?" เสียงสามของฟาราเมียร์ และอีกหลายๆ เสียงจากแทบทุกคนในท้องพระโรง

    "ใช่ ใช่ ใช่ และใช่" เสียงตอบอย่างเริ่มจะหมดความอดทนดังมาจากพ่อมดขาวในที่สุด ทำให้ท้องพระโรงเงียบลงได้อีกครั้ง

    "ทำไม..."

    "ถามหัวใจเจ้าดูเองเถิด อารากอร์น"

    น้ำเสียงของพ่อมดขาวอ่อนลงเมื่อเอ่ยขัดคำถามของกษัตริ์หนุ่มพร้อมรอยยิ้มบางๆ อารากอร์นทำได้เพียงหันไปมองสบตาเลโกลัสอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงทำให้แผนการเดินทางของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเยี่ยงนี้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ยกเว้นสองร่างที่ยังอยู่ใต้ผ้าคลุมพรายที่โดนแกนดาล์ฟขอร้องแกมบังคับให้เดินทางไปด้วยกลับมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองข้ามไปได้อย่างชัดเจน เหมือนที่เห็นมาตลอดตั้งแต่พวกเขาเข้ามาเป็นแขกของปราการขาวแห่งกอนดอร์ว่า สายตาของกษัตริย์หนุ่มไม่เคยมองไปที่อื่นใดไกลเกินตัวเจ้าชายชายพรายเลย ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

    หัวใจเองก็คงไม่ต่างกัน


    ********************


    ภายในชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่คลาคล่ำไปด้วยเหล่าพ่อมดแม่มดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเหมือนเช่นทุกปี เป็นภาพที่แฮร์รี่เห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ขณะที่เขากับเฮอร์ไมโอนี่หยุดยืนรอครอบครัววีสลีย์อยู่ข้างหัวรถจักรไอน้ำสีแดงสด

    “แล้วนี่เราจะหาเนวิลล์กับลูน่าเจอได้ยังไงกันล่ะเนี่ย”

    คำถามจากเพื่อนสาวที่แฮร์รี่เองก็ไม่มีคำตอบให้เช่นกัน สงครามกับเจ้าแห่งศาสตร์มืดทำให้พวกเขาสูญเสียคนรู้จักไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงเซโนฟิเลียส เลิฟกู๊ด พ่อของลูน่า ย่าของเนวิลล์จึงรับเธอไว้เป็นหลานสาวบุญธรรม ตอนนี้ลูน่าจึงไปพักอยู่ที่บ้านครอบครัวลองบัตท่อม โชคดีที่ครอบครัววีสลีย์ยังคงอยู่กันพร้อมหน้า แม้ว่าเฟร็ดกับจอร์จจะเสียหูไปคนละข้าง และบิลมีขนงอกยาวออกมาทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง แต่นั่นก็ยังดีกว่าการจากไปของซีเรียสกับรีมัสมากนัก ในเมื่อไม่มีใครเจอร่างของทั้งสอง แฮร์รี่ก็อยากจะคิดว่าพวกเขาแค่ไปทำภารกิจบางอย่าง แต่บ้านเลขที่สิบสอง กริมโมลด์เพลซ ที่มีเพียงแค่เขากับเฮอร์ไมโอนี่ที่ไม่มีบ้านให้กลับไปแล้วเช่นกัน มันช่างใหญ่โตจนน่าใจหาย ดีที่สมาชิกภาคีคนอื่นๆยังคงแวะมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว หรืออาจเรียกได้ว่าแทบทุกวันสำหรับพี่น้องวีสลีย์ หลังจบสงคราม คิงสลีย์ ชักเคิลโบลต์ สมาชิกคนสำคัญของภาคีนกฟีนิกซ์และรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์คนใหม่เป็นผู้นำมือปราบมารออกตามจับสมุนของโวลเดอมอร์ด้วยตนเอง จำนวนมากโดนจับขังอยู่ในอัซคาบันรวมทั้งลูเซียสและนาซิสซา มัลฟอย แต่นั่นไม่ได้ทำให้แฮร์รี่สบายใจนัก จริงอยู่ว่าคนสนิทของโวลเดอมอร์โดนจับหรือตายไปหมดแล้ว แต่ไม่มีใครบอกได้ว่ายังมีผู้เสพความตายที่เหลือรอดอยู่อีกเท่าไหร่ และจะมีใครคิดขึ้นมาแทนที่นายเก่าหรือไม่

    “เฮ้! แฮร์รี่!

    น้ำเสียงชวนฝันอันคุ้นหู เรียกให้เด็กหนุ่มหลุดออกจากห้วงความคิด เมื่อหันมองไปยังต้นเสียง จึงเห็นลูน่ากำลังโบกมือให้จากหน้าต่างรถไฟด่วนฮอกวอตส์ตู้สุดท้าย เฮอร์ไมโอนี่และจินนี่ที่เพิ่งตามเข้ามาโบกมือให้เธอก่อนจะหันกลับมากล่าวลานายและนางวีสลีย์

    “ดูแลตัวเองดีๆ นะเด็กๆ”

    “โถ่! แม่ พวกเราโตแล้วนะ”

    “ใช่! เราไม่ใช่เด็กแล้ว”

    เสียงโวยจากฝาแฝดที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากมักกอนนากัลให้กลับมาเรียนได้อีกครั้ง เนื่องจากยังไม่ได้สอบส.พ.บ.ส.เช่นกัน เรียกสายตาดุๆจากนางวีสลีย์ได้เหมือนเคย

    “เอาล่ะๆ ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ไม่มีที่นั่งหรอก ระวังตัวด้วยนะ”

    เสียงไล่จากนายวีสลีย์ดังขึ้นขณะที่ไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากปล่องรถไฟ เป็นการบอกว่ารถไฟกำลังจะออก สี่หนุ่มกับสองสาวจึงพากันวิ่งขึ้นรถไฟแล้วเดินตรงไปยังตู้สุดท้ายที่ลูน่ากับเนวิลล์อยู่ ตลอดทางดูเหมือนว่าจะมีเด็กอยู่เต็มแทบทุกห้อง ยกเว้นห้องสุดท้ายของพวกเขากับห้องตรงข้ามที่มีเด็กผู้หญิงผมสีเงินนั่งอ่านหนังสืออยู่ กับคนที่พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะกลับมาที่ฮอกวอตส์อีก เดรโก มัลฟอย

    “มัลฟอยมาทำอะไรที่นี่”

    คำถามจากรอนดังขึ้นทันที่ที่ประตูปิดลง

    “แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะรอน”

    เฮอร์ไมโอนี่ถามกลับด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ามันชัดเจนอยู่แล้วขณะที่เธอร่ายเวทขยายขนาดตู้ให้พวกเขาทั้งแปดคนนั่งกันได้สบายๆ

    “เราคิดว่าหมอนั่นจะไม่กลับมาแล้วซะอีก”

    “นั่นสิ หลังจากพวกมัลฟอยถูกจับ หมอนั่นไปอยู่ที่ไหนมานะ”

    เฟร็ดกับจอร์จเป็นคนตั้งข้อสังเกต

    “นายรู้รึเปล่า แฮร์รี่”

    จบด้วยคำถามจากเนวิลล์ที่แฮร์รี่ได้แต่ส่ายหน้าวืดแทนคำตอบ

    “อยู่กับสเนป”

    คำตอบจากเฮอร์ไมโอนี่เรียกสายตาสงสัยจากห้าหนุ่ม แต่เจ้าตัวกลับทำเป็นไม่สนใจก่อนหันไปหาจินนี่กับลูน่า

    “นั่น เอวา ไอเซน เหรอ?”

    สองสาวพยักหน้าแทนคำตอบ

    “อะไรนะ?”

    “เอวา ไอเซน”

    คำตอบจากเฮอร์ไมโอนี่ดูจะไม่ช่วยอะไร ฝาแฝดมองหน้ากันขณะที่รอนเริ่มขมวดคิ้ว

    “ชื่อของเด็กคนนั้นไง โรนัลด์”

    “คนไหน?”

    “โอ๊ยรอน ก็แล้วพี่คิดว่าเรากำลังพูดถึงใครกันอยู่ล่ะ ก็เด็กผู้หญิงคนที่นั่งอยู่กับมัลฟอยไงล่ะ”

    “เอ่อ.. แล้วเขาเป็นใครล่ะ ไม่เห็นคุ้นหน้าเลย”

    “ปีเจ็ด สลิธีริน ที่หนึ่งของรุ่นเรา ฉลาดมาก แต่หยิ่ง เหมือนเฮอร์ไมโอนี่ตอนไม่มีเพื่อนเลยล่ะ”

    คำตอบตรงๆจากลูน่าเรียกสายตาแปลกๆ จากผู้ถูกพาดพิง

    “ไม่แปลกหรอกที่พวกพี่ไม่เคยเห็น เราเองก็ไม่เคยเห็นเธอที่ไหนเลยนอกจากวันคัดสรรกับในห้องเรียน แม้กระทั่งที่โต๊ะอาหารทั้งสามมื้อก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยพูดกับใครเลยซักคำ ไม่แม้แต่กับอาจารย์ด้วยซ้ำ ทำทุกอย่างคนเดียว แต่ออกมาสมบูรณ์แบบ”

    คำอธิบายจากจินนี่เรียกความสนใจของแฮร์รี่ได้ไม่น้อย

    “แล้วมัลฟอยไปนั่งกับเธอได้ยังไง..”

    ไม่ทันขาดคำ ประตูของพวกเขาก็ถูกกระชากเปิดออกอย่างแรงโดยผู้ที่ถูกกล่าวถึง

    “เบาๆ หน่อยเดรโก นี่ไม่ใช่ประตูบ้านเธอนะ”

    เสียงดุจากเฮอร์ไมโอนี่เรียกสายตาทุกคู่ให้หันมาจับจ้องที่เด็กหนุ่มผมบลอนด์ผู้ยืนอยู่หน้าประตู ยกเว้นแฮร์รี่ที่หันมองหน้าเฮอร์ไมโอนี่ด้วยสีหน้าแปลกใจระคนตกใจ

    “โทษที เฮอร์ไมโอนี่ ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”

    เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนลุกเดินออกไปแล้วปิดประตูตามหลังอย่างเบามือ

    ทุกคนที่เหลือหันมองหน้ากันด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

    “เมื่อกี๊ มัลฟอยเรียกชื่อเฮอร์ไมโอนี่”

    “นายก็ได้ยินเหรอเนวิลล์ แล้วนายล่ะจอร์จ”

    “เต็มสองรูหูเลย นึกว่าฉันหูฝาดเพราะเหลือใบหูข้างเดียวซะอีก”

    “แล้วมันยังขอโทษเธอด้วย โดนคาถางงงวยใครเข้าไปรึเปล่า”

    จินนี่กับลูน่าหันมองหน้ากัน ก่อนจินนี่จะเป็นฝ่ายแทรกขึ้นมา

    “ไม่ใช่แค่นั้นนะ มีใครได้ยินที่เฮอร์ไมโอนี่พูดรึเปล่า”

    หนุ่มๆ หยุดเถียงกันแล้วหันกลับมามองสองสาวทันที

    “พวกเธอไม่ได้ยินที่เฮอร์ไมโอนี่เรียกมัลฟอยเหรอ”

    ลูน่าเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เมื่อเห็นทุกคนดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่พวกเธอต้องการจะสื่อ ยกเว้นแฮร์รี่ที่พยักหน้าน้อยๆ

    “เดรโก”

     

    ********************

     

    ล่วงเข้าตอนสายของวันที่ห้านับแต่ออกเดินทางจากปราการขาวแห่งกอนดอร์ ภาพต้นไม้สีทองแห่งลอธลอริเอน  ก็ปรากฏแก่สายตา ดวงตาสีเขียวคู่สวยมองภาพอันคุ้นเคยไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ร่างบางในเสื้อคลุมพรายสีเทาก้มลงกระซิบข้างหูม้าสีทอง มือเรียวตบเบาๆ ที่ต้นคอแกร่ง ก่อนที่ม้าสาวจะยกขาคู่หน้าขึ้นร้องแล้วกระโจนหายเข้าไปในแนวป่า

    ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของกษัตริย์หนุ่ม ก่อนที่อาชาหนุ่มจะกระโจนตามเจ้าชายพรายไป

     

    “พวกท่านคิดว่าสองคนนั้นจะรู้ตัวเมื่อไหร่" กิมลีเป็นผู้เปิดประเด็นหลังจากเห็นการกระทำที่แสดงความเป็นห่วงของกษัตริย์หนุ่มต่อเจ้าชายพราย

    "รู้เรื่องอะไร?” โฟรโดถามแบบงงๆ พร้อมกับเสียงใช่ ๆ ของพวกฮอบบิท

    "ถ้าเรื่องที่ทำให้อาร์เวนหนีไปน่ะ อย่ารู้เสียจะดีกว่า เดี๋ยวเลโกลัสจะคิดมากไปอีก"

    "แต่ถ้าเรื่องหัวใจ ยิ่งรู้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี จะได้จบด้วยดีไปสักเรื่อง" เสียงตอบกลับจากชายหนุ่มในชุดคลุมพรายทั้งสองต่อกันได้ดีราวกับรู้ใจ

    "ข้าว่าต่างคนต่างรู้ใจตัวเองแล้ว แต่ยังไม่รู้ใจอีกฝ่ายเลยยังหาทางออกให้กับเรื่องนี้ไม่ได้มากกว่า" พ่อมดขาวตอบพร้อมกับถอนหายใจ "หวังว่าจะจบลงด้วยดี"

    "สรุปว่าไม่มีใครคิดจะตอบคำถามพวกเราจริงๆ หรือขอรับ" แซมถามออกมาอีกครั้ง แต่ก็ไร้คำตอบเช่นเคย...

     

    ไม่นาน ขนสีทองก็ทอประกายระยับขึ้นที่แนวป่าพร้อมกับการกลับมาของม้าสาวเคียงคู่ด้วยม้าหนุ่มขนสีดำเงางามดุจดวงดาราเคียงคู่ฟ้ายามรัตติกาล

    “พวกออร์คอยู่ไม่ไกล รีบไปเถอะ”

    สิ้นเสียงของพรายหนุ่ม ขบวนก็ถูกจัดขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว นำด้วยม้าสีทองของเลโกลัสเคียงคู่กับอาชาสีดำของอารากอร์น ตามด้วยแกนดาล์ฟพ่อมดขาวกับ ยอดอาชาชาโดว์แฟกซ์ โฟรโด แซม เมอร์รี่ ปิ๊บปิ้น เอโอแมร์ ฟาราเมียร์ ปิดท้ายด้วยสองหนุ่มในเสื้อคลุมพราย และกองทัพผสมในชุดเกราะสีทองแบบพรายและสีเงินของกอนดอร์เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว เลโกลัสกับอารากอร์นก็ออกนำไปทันที

     

    ตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า เมื่อคณะเดินทางมาถึงบริเวณใจกลางป่าที่ไม่เพียงแค่เคยเป็นที่พำนักของเหล่าพรายในลอริเอน แต่ยังเป็นบริเวณรอยต่อของมิติเพียงแห่งเดียวในมิดเดิ้ลเอิร์ธที่สามารถเปิดไปสู่มิติอื่นได้

    “ในที่สุด..”

    เสียงรำพึงเบามาจากผู้ที่หยุดม้าอยู่หน้าสุด ดวงตาสีเขียวคู่สวยไหววูบไปนิดก่อนที่จะกลับมามั่นคงดังเดิม ก่อนที่ร่างบางจะหันไปสบตากับร่างใหญ่ข้างกาย

    “คงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว รีมัส ซีเรียส”

    สองร่างในเสื้อคลุมพรายเปิดหมวกคลุมหน้าออก เผยให้เห็นชายหนุ่มสองคนที่ดูไม่เหมือนมนุษย์จากดินแดนใดในมิดเดิ้ลเอิร์ธ คนหนึ่งเป็นชายร่างบางที่มีรอยแผลตามใบหน้าและลำตัว ผมสีน้ำตาลรับกับดวงตาสีเดียวกันทอประกายอบอุ่น ขณะที่อีกคนเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ดูแข็งแรง ผมสีดำกับดวงตาสีเดียวกันฉายแววขี้เล่น ทั้งคู่ยิ้มให้อารากอร์นและเลโกลัสพลางโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินตามแกนดาล์ฟไปรวมกันตรงกลางลาน ก่อนที่ทั้งสองจะหลับตาลง

    ลมที่เคยพัดมาแผ่วเบาเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เศษฝุ่นและใบไม้ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ท้องฟ้าเบื้องบนปรากฏแสงสว่างส่องลงมายังพื้นดินตรงกลางระหว่างร่างทั้งสาม ในขณะที่เลโกลัสจ้องมองข้ามพวกเขาไปยังแนวป่าเบื้องหน้า คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆ อารากอร์นและกิมลีหันมองด้านข้างตัวอย่างระแวดระวัง ทั้งสามหันกลับมาสบตากันอย่างหนักใจ พ่อมดเทาดึงแกลมดริงออกจากฟัก ดาบพรายเรืองแสงสีฟ้าจางๆ เลโกลัสหยิบธนูขึ้นพาดสาย พร้อมๆกับที่อารากอร์นชักดาบออกจากฟัก เช่นเดียวกับเอโอแมร์และฟาราเมียร์

    เงาดำบนท้องฟ้าเคลื่อนเข้ามาพร้อมเสียงร้องแหลมของนกอินทรี

    “มันมาแล้ว” เสียงกระซิบเบามาจากพรายหนุ่ม ก่อนที่เสียงใสจะตะโกนสั่งดังไปทั่วแนวป่า “คุ้มกันผู้รักษาประตู!


     ********************
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×