ตอนที่ 2 : LOSE :: ACTION 1 [100%]
Story : DON'T LOSE HOPE รักนี้ยังมีหวัง
Author : indy_swag | Rate : PG-13
นิยายเรื่องนี้พระ-นางค่อนข้างพูดน้อย (มาก!) ทำให้การบรรยายความรู้สึกนึกคิดจะค่อนข้างเยอะกว่าปกตินะคะ
ถ้าใครไม่ถูกจริตกับความเงียบสามารถผ่านได้ แต่ถ้าชอบพระเอกละมุน อบอุ่น เชิญมาตกบ่วงพี่นายน้อยได้เล้ยยย
ถึงจะเงียบ ๆ สื่อสารผ่านโทรจิต(?) แต่รับประกันความอบอุ่นของพี่นายน้อยค่ะ ดือที่สุดแน้วคนเน้!

NAINOI TALKS
ผมขับรถออกมาจากบ้านในเวลาต่อมา
ขับไปเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วไม่เกินที่กฎหมายกำหนด สายตาจ้องเพียงถนนเบื้องหน้าที่ผ่านเลนส์สายตาอย่างไม่มีหยุดพัก ไม่มีกระทั่งจุดหมายในหัว เวลาที่รู้สึกไม่ดีหรือไม่สบายใจ ผมชอบขับรถเล่นไปเรื่อย ๆ แบบนี้
ขับมาเรื่อย ๆ จนถึง... ทะเล
ใช่ ผมขับรถมาถึงชายทะเลของจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่ ผมไม่ได้สนใจมันด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าตอนนี้ท้องฟ้าถูกทาทับด้วยสีทึบเข้มเรียบร้อยแล้ว ดูเวลาก็เห็นว่าสองทุ่มนิด ๆ
ผมลงมายืนพิงตัวรถรับลมทะเลที่พัดปะทะผิวกาย หลับตาลง ถอนใจระบายความอึดอัดที่กดทับอยู่ในอก ล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแล้วพ่นควันสีขาวขุ่นไปในอากาศ ไม่ค่อยมีใครรู้หรอกว่าผมก็สูบบุหรี่ ผมไม่ได้ติดมันนะ
ยิ่งช่วงเข้าค่ายเก็บตัวสำหรับคัดตัวนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติ ยิ่งไม่ได้แตะอีกเลย แต่พอถูกตัดสิทธิ์ก็เริ่มกลับมาสูบบ้าง
ผมจะสูบ เฉพาะเวลาที่... มีอะไรต้องคิดน่ะ
อ้อ บอกแล้วใช่ไหมว่าด้านกีฬา ผมเด่นเรื่องว่ายน้ำ เป็นนักกีฬามหา’ลัย แถมยังเป็นว่าที่นักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติด้วย ใช่... ก็แค่ ‘ว่าที่’ ไม่ทันได้เป็นก็โดนตัดสิทธิ์ซะก่อน ซึ่งมันคือเรื่องที่ทำให้แม่ใหญ่โมโหใส่ผมก่อนหน้านี้ไงครับ เรื่องเกิดมาเป็นเดือน ๆ แล้ว แต่ก็ยังมีคนพูดถึง
อย่างที่บอก บ้านผมค่อนข้างเป็นที่จับตามองของสังคม
ดังนั้น พอผม ‘ก่อเรื่อง’ มันก็เลย ‘เป็นเรื่อง’
อืม เรื่องใหญ่ซะด้วย
แต่ก็... ช่างเถอะครับ นึกถึงแล้วจะหงุดหงิดซะเปล่า ๆ
วืบ~
วินาทีหนึ่ง ตอนกำลังเหม่อมองท้องทะเลที่ถูกฉาบด้วยสีดำเบื้องหน้า ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผ่านตาไป ไม่ได้ไวมาก แค่ก็ไม่ทันได้สังเกต คือผมจอดรถริมถนนเลียบชายหาด มีทางเท้ากว้างสักเมตรกว่า ถัดไปก็เป็นหาด
ปกติผมไม่ค่อยให้ความสนใจสิ่งรอบตัวเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ
ทว่า ไม่รู้ทำไมผมถึงได้หันไปมองทางที่รู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่
พลัน ผมก็เห็น... แผ่นหลังของผู้หญิงผมยาวเหยียดตรงและดำขลับคนหนึ่ง
เธอสวมชุดกระโปรงฟู ๆ สีขาวสะอาดตา สองเท้าค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ เห็นแค่ข้างหลังก็รู้ว่าเธอกำลังก้มหน้าเดินไปเรื่อย ๆ มองดูแล้วให้ความรู้สึกไม่ค่อยเหมือนคนเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองมีซิกเซ้นส์อะไร
และผมคงจะไม่สนใจมากกว่านั้น หากสายตาไม่ได้ไล่มองต่ำลง กระทั่งเห็นว่า... สองเท้าของเธอเปลือยเปล่า
ก็แต่งตัวเหมือนไปร่วมงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง
ไม่น่าจะใช่คนจรจัด ทำไมไม่ใส่รองเท้า?
แค่สงสัยและคิดในใจ ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องต้องสนใจเหมือนทุกที
หากทว่า ไม่ทันที่ผมจะได้ดึงสายตากลับมาก็เห็นว่าทางข้างหน้านั่น มีกลุ่มจิ๊กโก๋สี่ห้าคนกำลังนั่งจับกลุ่มดื่มกันอยู่ ผมมองแผ่นหลังเล็กของผู้หญิงคนนั้นที่ยังเดินด้วยเท้าเปลือยเปล่าของตัวเองไม่หยุด แถมยังไม่เงยหน้ามองทางเลยสักนิด
เอาแต่ก้มหน้าโดยที่ผมก็ยังสงสัยนะว่าเดินโดยไม่ตกขอบทางเท้าได้ยังไง
ไอ้ท่าทางแบบนี้... เหมือนเคยเห็นที่ไหนแฮะ
กึก...
สุดท้าย เธอก็ต้องหยุดฝีเท้าเพราะไปต่อไม่ได้
ผู้ชายในกลุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นมายืนจังก้าขวางทางเดิน ทำให้คนที่เอาแต่เดินก้มหน้าเดินเอาหัวไปโหม่งอกผู้ชายคนนั้นจนร่างเล็กเซถอยหลังไปนิด แวบหนึ่งเหมือนเธอเงยหน้ามอง ทว่าก็ก้มหน้าลงเหมือนเดิม
ผมไม่เห็นสีหน้าเธอหรอก มองเห็นแค่หลังเล็ก ๆ กับเหตุการณ์ทั้งหมดก็เท่านั้น
“จะไปไหนเหรอน้องสาว” น้ำเสียงเมา ๆ ไม่น่าฟังเอ่ยถาม
“...” แต่ก็ไม่มีคำตอบ
“เดินมาชนอกพี่แบบนี้ รู้ไหมว่าพี่เจ๊บเจ็บ”
“...” ยังคงเงียบ
“เงยหน้าขึ้นมาหน่อยสิจ๊ะ พี่จะได้ดูว่าหน้าตาแม่ของลูกพี่เป็นยังไง”
“...” ยังยืนนิ่ง
ทั้งที่ผู้ชายคนอื่นเริ่มลุกขึ้นและไปยืนรุมล้อมหน้าล้อมหลังเธอเอาไว้ ผู้หญิงคนนั้นก็ยังยืนนิ่งเหมือนเดิมจนผมแปลกใจ พลันขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อไอ้คนพูดที่ยืนขวางทางเริ่มใช้มือเชยคางเธอ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ทำท่าทางเหมือนพวกหื่นกามภัยสังคม สูดดมกลิ่นเฉียดตัวแล้วทำหน้าตาทุเรศ ก่อนใครสักคนจะย่อตัวลงไปสัมผัสขาเธอ
“รองเท้าก็ไม่ใส่ด้วย ดูสิ เท้านิ่ม ๆ เป็นรอยแดงถลอกหมดแล้วน้า”
“ออก... ไป”
“พูดอะไรนะ พี่ไม่ได้ยินเลย” เหมือนเธอจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่ได้ยิน ไอ้นั่นเลยทำหน้าหื่น ๆ แล้วยื่นเข้าไปใกล้คนที่พยายามก้มหน้าคางชิดคอให้มากที่สุด “พูดดัง ๆ หน่อยสิ พี่อยากได้ยินเสียงจัง หวานแค่ไหนน้า”
แม้ผมจะเป็นคนไม่ค่อยสนใจโลก แต่ก็ไม่อาจทำเฉยกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้
ยิ่งตอนหรี่ตามอง เห็นว่าร่างเล็กบอบบางนั่นกำลัง... สั่น วิญญาณพลเมืองดีก็เข้าสิง ฉับพลันร่างกายก็เคลื่อนไหวไปไวกว่าความนึกคิด ก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าแทรกกลางระหว่างพวกที่กำลังล้อมเธออยู่ แล้วก็...
ฉ่า!
“อ๊ากกก! เหี้ย! มึงเป็นใครวะ!” จี้ปลายบุหรี่ที่ยังติดไฟลงกลางมือไอ้คนที่กำลังจะสัมผัสใบหน้าเธอ พร้อมกับคว้ามือกระชากร่างเล็กให้วิ่งตามผมมาที่รถ ในระหว่างที่พวกจิ๊กโก๋กำลังงุนงงกับการปรากฏตัวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของผม
ตึก ตึก ตึก
“ไอ้สัตว์! ตามไปกระทืบไอ้เหี้ยนั่น!”
“เฮ้ย หยุดนะโว้ยไอ้เหี้ยยยยย!”
อยากจะบอก ตามมาเถอะ ไม่ทันหรอก กว่าพวกมันจะออกตัว ผมก็พาร่างเล็กมาถึงรถตัวเองแล้ว เปิดประตูยัดร่างที่ไม่ได้มีความแข็งขืนนั่นเข้าไปเบาะหลังฝั่งเดียวกับคนขับ ก่อนจะพาตัวเองมาประจำที่หลังพวกมาลัย...
พลัน สวมวิญญาณ ‘โดมินิค ทอเร็ตโต้’ ตัวเอกจากเรื่อง FAST&FURIOUS ซะเลย
บรื้นนนน!
ถ้าไม่ได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ผมว่าจะเอาดีด้านแข่งรถเหมือนกัน
บินได้คงบินไปแล้ว...
เมื่อขับออกมาได้สักพัก มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครตามมาก็เหลือบมองกระจกส่องหลัง พอสายตามองเห็นผู้หญิงในชุดสีขาว ผมยาวดำขลับที่ปรกหน้าปรกตาจนมองไม่เห็นเครื่องหน้านั่นนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น
พลัน ไรขนอ่อนตามร่างกายก็ลุกชันอย่างห้ามไม่ได้
“...”
“...”
ตั้งแต่ขับออกมาภายในรถยังตกอยู่ในเดดแอร์ไม่เสื่อมคลาย
ไอ้ตัวผมก็ค่อนข้างพูดน้อยอยู่แล้วด้วย พอมาเจอคนที่ดูท่าจะ ‘เงียบกว่า’ มันให้ความรู้สึกวังเวงชอบกล นี่ขนาดลากเธอเข้ามาในรถ ขับออกไกลจากจุดเดิมขนาดนี้ก็ยังเงียบราวกับลืมเอาปากมายังไงยังงั้น ผมเห็นไหล่เล็ก ๆ ของเธอสั่นเทาไม่ยอมหยุด แม้ใบหน้าจะซ่อนอยู่หลังเรือนผม หากผมก็รับรู้ได้ถึงความตื่นกลัวของเจ้าหล่อนได้ไม่ยาก
แน่ล่ะ ผู้หญิงที่ไหนหรือใครมาเจอเรื่องแบบนี้ก็คงขวัญเสียไม่น้อย
ให้ตาย ผมรู้สึกคุ้นท่าทางแบบนั้นของเธอมากเลยรู้ไหม
และผมคิดว่าเธอน่าจะใช่ ‘คน ๆ เดียว’ กับที่อยู่ในความคิดตอนนี้แน่ ๆ
รุ่นน้องคนหนึ่งที่คณะผมเอง
ไม่นาน ผมก็จอดรถริมถนนเลียบชายหาดอีกครั้ง แต่ก็ห่างจากจุดเดิมพอสมควร ส่วนฝั่งตรงข้ามอีกฝั่งของถนนสองเลนเป็นพวกร้านขายของที่ระลึก แล้วก็ร้านสะดวกซื้อ ถัดไปไม่ไกลมีโรงแรมระดับห้าดาวตั้งอยู่ด้วย
แต่มาให้ความสนใจกับคนในรถอีกคนดีกว่า...
เอาไงกับเธอดีนะ
“ไข่หวาน” ผมเรียกชื่อคนในความคิดเสียงนิ่งเรียบตามสไตล์
“เฮือก...” สายตายังจ้องเธอผ่านกระจกส่องหลังไม่วางตา เห็นนะว่าพอผมเรียกชื่อร่างเล็กนั่นก็สะดุ้งเบา ๆ วินาทีหนึ่งเงยหน้ามองผมด้วย ก็ไม่รู้ว่ามองเห็นอะไรไหม ผมเผ้าปิดหน้าปิดตาซะขนาดนั้น
“...”
“...” แล้วก็กลับมาเงียบเมื่อไม่มีใครต่อบทสนทนา
สถานการณ์ตอนนี้ จะบอกน่าอึดอัด ก็คงไม่ผิด ปกติผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องการพูดคุยกับใครเท่าไหร่ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่าง ยังไงก็ช่วยมาแล้ว แถมลากน้องเขาขึ้นรถมาอีกต่างหาก
ผมถอนใจ ปลดเข็มขัดนิรภัย เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไปเปิดประตูหลังฝั่งเดียวกับคนขับ ยืนเท้าแขนกับกรอบประตูด้วยท่าทางสบาย ๆ ก้มมองคนที่ยังนั่งนิ่งเพื่อสำรวจเจ้าตัวเล็กน้อย อาจดูเสียมารยาทสักหน่อย แต่ผมแค่อยากเช็คว่าน้องบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า และดูเหมือนจะไม่... มีแค่สองเท้าเปลือยที่แดงและถลอก
ค่อนข้างแปลกใจนะที่มาเจอเธอที่นี่...
บังเอิญได้น่าขนลุกจริง ๆ
“นี่ โอเคไหม” ผมตั้งคำถามง่าย ๆ กับเธอ
แค่อยากได้ยินคำยืนยันหรืออะไรก็ได้สักคำน่ะ ตัวผมก็ไม่ใช่คนพูดเก่งเป็นนิสัย ครั้นจะให้ปิดปากเงียบใส่เหมือนคนกำลังโต้ตอบกันทางโทรจิตก็ใช่เรื่อง ผมพูดน้อย ก็ใช่ แต่ไม่ได้เป็นใบ้ไงประเด็น
แต่ดูเหมือนผมคงหวังสูงไปหน่อย...
“...” ก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ไข่หวานก็คือไข่หวาน
“ให้ส่งไหน”
“...” ไม่ตอบสักคำถาม เงียบจนนึกว่าใบ้กินแล้วจริง ๆ นะ
นั่นทำให้หัวคิ้วผมขมวดเข้าหากัน รู้สึกหงุดหงิดเล็ก ๆ กับท่าทางเหมือนคนไม่มีตัวตนของเธอ ผมไม่ได้สนิทกับไข่หวานหรอก เอาจริง ๆ ก็เพิ่งจะรู้จักและเริ่มเห็นเธอในสายตาเมื่อไม่นานมานี้ด้วยซ้ำ อย่างที่บอก เธอเป็นรุ่นน้องในคณะ อยู่ปีหนึ่ง ส่วนผมอยู่ปีสี่ แต่พอดีเราเรียนวิชาเลือกเสรีตัวเดียวกัน และทำงานกลุ่มเดียวกัน
ผมไม่ค่อยชอบเธอเท่าไหร่ คือไม่ได้หมายถึงเกลียดหรอก
ผมแค่ไม่ชอบที่บางที... เธอก็ ‘เหมือนผม’ เกินไป
เหมือน... จนน่าหงุดหงิด
“นี่” ผมเริ่มใส่น้ำหนักเสียงเข้าไปนิดหน่อย ถึงเธอจะไม่ได้มองหน้า แต่คิดว่าคงเดาอารมณ์ผมจากน้ำเสียงได้แน่ ๆ ไม่งั้นก็คงไม่สะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก ไม่รู้ว่าทำสีหน้ายังไงอยู่นะ แต่ตัวเธอจะสั่นเกินไปแล้วมั้ง
ผมเกือบจะทำเสียงดุอีกครั้ง หากไม่ได้ยินเสียงพึมพำเย็น ๆ ยาน ๆ ซะก่อน
“เจ็บ... เท้า”
“ไงนะ?” เบาไป ไม่ได้ยินครับ
“เจ็บเท้า” เสียงไม่ได้ดังในระดับที่คนปกติคุยกัน เดซิเบลเกือบต่ำกว่ามาตรฐานด้วยซ้ำ แต่ผมก็ได้ยินชัดเพราะตรงนี้ค่อนข้างเงียบ ดูจากรอยแดงรอยถลอกก็ท่าจะเจ็บน่าดูอย่างที่เธอบอกจริง ๆ
“อยู่นี่” ผมพูดสั้น ๆ หมุนตัวเตรียมเดินอ้อมรถข้ามถนนไปอีกฝั่ง โดยไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรทั้งนั้น หากทว่า คนที่เอาแต่นั่งนิ่งเงียบไม่ไหวติงอยู่เบาะหลังมานานสองนาน กลับพรวดพราดออกจากรถมากระชากชายเสื้อผม
พลัน โพล่งเสียงดังอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน...
“ปะ ไปไหน!”
กึก...
ไข่หวานทำให้ผมชะงักฝีเท้าทั้งที่ยังเดินไม่ผ่านตัวรถด้วยซ้ำ
ผมเอี้ยวตัวมองเล็กน้อย เห็นไข่หวานยืนตัวสั่นก้มหน้าอยู่ด้านหลัง มือข้างที่ยื่นมากำชายเสื้อผมแน่นราวกับจะใช้มันเป็นที่ยึดเหนี่ยวหรืออะไรสักอย่างกำลังสั่นระริกไม่ต่างจากร่างกาย
ผมคิดว่าเธอกำลังร้องไห้
“ซื้อยา” ผมบอก ชี้ไปที่ร้านสะดวกซื้อฝั่งตรงข้ามด้วย
“...” เธอรับรู้แน่ ๆ พยักหน้าด้วย แต่มือไม่ยอมปล่อยชายเสื้อผมเลย
“จะไปซื้อยา” ย้ำอีกครั้งแล้วกัน
“รู้” เออ แต่ก็ยังไม่ปล่อยมืออยู่ดี
“...” ตกลงเราคุยกันรู้เรื่องไหมครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ
ผมยังเอี้ยวหน้ามองมือเล็กขาวจัดที่กำชายเสื้อด้านหลังไม่ยอมปล่อยอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีเลย เหลือบมองไข่หวานสลับกับมือของน้องท่ามกลางความเงียบระหว่างเราไปเกือบนาที ในหัวกำลังคิดว่าควรจัดการเรื่องนี้ยังไง
ปกติไม่ค่อยได้สนใจรอบข้างเกินจำเป็น และไม่ค่อยพาตัวเองเข้าหาเรื่องวุ่นวายยุ่งยาก
เว้นแต่... เรื่องที่ผมอดไม่ไหวจริง ๆ นั่นแหละ
การรับมือกับรุ่นน้องคนนี้ถือเป็นเรื่องยากสำหรับผม แม้จะมีโอกาสได้คุยกันนับครั้งได้ก็ตาม ผมไม่ชินเวลาต้องเผชิญหน้ากับเธอเท่าไหร่ คงเพราะนิสัยเราคล้าย ๆ กัน และบางครั้งเราก็ ‘เหมือนกัน’ จนผมไม่ชอบใจจริง ๆ
ใครบอกว่าคนนิสัยเหมือนกันจะเข้ากันได้ดีกว่า แต่ผมว่าไม่...
นิสัยที่เหมือนกันจนเกินไป มันให้ความรู้สึก ‘อึดอัด’ ยังไงไม่รู้แฮะ
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้ไข่หวานก็...
“เดิน”
“หือ?” เสียงพึมพำเย็น ๆ จากคนเบื้องหลังดึงให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด เลิกคิ้วมองเจ้าของคำพูดเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินด้วยสีหน้าข้องใจ เมื่อกี้เธอบอกว่า ‘เดิน’ หรือเปล่านะ “อะไร ไม่ได้ยิน”
“เดิน... ค่ะ” คราวนี้ไม่พูดอย่างเดียว ใช้มืออีกข้างดุนหลังผมเพื่อบอกให้ออกเดิน แต่มืออีกข้างก็ยังไม่ยอมปล่อยชายเสื้อผมอยู่ดี รู้สึกปวดหัวขึ้นมานิด ๆ อยากได้พาราสักเม็ดเหมือนกัน “เดิน...”
ไข่หวานเอาแต่พูดย้ำคำเดิม แล้วดันหลังผมแรงขึ้นจนผมต้องก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะรู้ว่าคนที่ยึดชายเสื้อผมไว้ประหนึ่งของมีค่ากำลังเดินเตาะแตะตามติดหลังมาช้า ๆ
“ไหนเจ็บเท้า” ผมถาม บอกแล้วนะว่าให้รอที่รถน่ะ
“...” คนตัวเล็กไม่ได้ให้คำตอบเหมือนเดิม ใช้มือดันหลังให้ผมเดินต่อเพราะตอนถามเธอเมื่อกี้สองขาก็พลอยหยุดเดินไปด้วย เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ ท่าทางแบบนี้คงไม่อยากถูกทิ้งให้รออยู่ที่รถคนเดียว ด้วยอาจจะยังตื่นกลัวกับเหตุการณ์ก่อนหน้าหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมก็ขอตีความว่าแบบนั้นก็แล้วกัน
“โอเค” ผมพูดแค่นั้น
ก่อนจะเดินข้ามฝั่งไปร้านสะดวกซื้อย่างที่ตั้งใจ โดยมีไข่หวานเดินตามหลังไม่ห่าง แต่ด้วยเธอตัวเล็กและเตี้ยกว่าผมค่อนข้างเยอะ ช่วงก้าวก็สั้นกว่ามาก ผมจึงลดความเร็วในการเดินให้ช้าเพื่อที่น้องจะได้ไม่ต้องเร่งฝีเท้าตามให้ทัน
เดี๋ยวจะเจ็บเท้าเข้าไปอีก พื้นซีเมนต์กระด้างยิ่งกว่าอะไร บาดผิวบาง ๆ ของเธอหมดแล้วนั่น
ดีนะที่ตอนนี้มันกลางคืน ถ้าเป็นกลางวันเท้าคงพองกันไปข้าง
ร้านสะดวกซื้อที่นี่เป็นสาขาที่ค่อนข้างใหญ่ มีหลายอย่างเพิ่มเติมจากสาขาปกติค่อนข้างเยอะ โชคดีมีโซนขายยาที่มีเภสัชกรประจำเคาน์เตอร์ ผมจึงเดินตรงไปโซนนั้นอย่างไม่ประวิงเวลา แม้ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในนี้จะได้ยินเสียงคนรอบข้างดังแว่วเข้ามาในหูบ้าง ทั้งพวกลูกค้าที่ซื้อของ ทั้งพนักงานที่ประจำเคาน์เตอร์คิดเงิน
“อุ๊ย! ตกใจหมดเลยอะแก”
“นั่นสิ คนหรือผีวะนั่น ขนลุกชะมัดเลย”
บางคนทำท่าทางผวาตอนหันมาเจอผม ไม่ใช่ว่าผมน่ากลัว แต่คงเพราะคนตัวเล็กที่เดินตามด้านหลังมากกว่า ก็เธอเอาแต่ก้มหน้าให้ผมดำยาวสลวยของเธอปรกหน้าปรกตาแบบนั้น ท่าทางเหมือน ‘ซาดาโกะ’ จากภาพยนตร์เรื่อง The Ring อย่างที่มีคนเคยบอกจริง ๆ ผิวไข่หวานก็ค่อนข้างขาวซีดซะด้วย
แต่เอาเถอะ ผมไม่ได้ใส่ใจคำพูดหรือท่าทางคนอื่นหรอก
“ซื้อยาทา...” เดินมาถึงเคาน์เตอร์ขายยาก็พูดแค่นั้น พร้อมหันไปชี้ที่เท้าของไข่หวานให้คนขายดู เขาทำหน้าตาประหลาดนิด ๆ ก่อนจะชะโงกมาดูเท้าของเธอ จากนั้นก็ยิ้มแล้วหันไปจัดยามาให้
“สักครู่นะครับ”
“อืม”
“...” คนเบื้องหลังยังคงทำเหมือนไร้ตัวตน ไม่พูด ไม่หือ ไม่อือ
ผมจ่ายเงินค่ายาแล้วก็เดินไปซื้อของอีกสองสามอย่างในร้านสะดวกซื้อ
คนอื่นก็ยังมองผมอยู่อย่างนั้นแหละ บางคนคิดว่าผมมีวิญญาณตามติดด้วยซ้ำ พูดออกมาเสียงดังในระดับหนึ่งเลย ก็นะ ปากคน... จะพูดอะไรก็ได้ แต่เลือกพูดหน่อยก็ดี อย่างน้อยก็น่าจะให้ผมออกจากร้านก่อน ไม่ใช่นินทากันในระยะเผาขนแบบนี้ ไข่หวานเองก็คงได้ยินที่คนอื่น ๆ ว่าเธอ นั่นทำให้ผมไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่
หมับ...
ผมไม่ได้พูดอะไร แค่ดึงมือเล็กที่กำชายเสื้อออกแล้วเปลี่ยนมาจูงมือเธอเดินข้าง ๆ แทน ไข่หวานก็ทำแค่เดินตาม ผมพาไปทางไหนก็เดินเตาะแตะเนิบ ๆ ตามสไตล์ กระทั่งเราเดินมาหยุดตรงที่มีรองเท้าแตะขาย ผมถึงได้พูด
“เบอร์ไหน” รู้ว่าเธอจะไม่ตอบ ผมถึงบีบมือน้องข้างที่จับเพื่อเร่ง “เบอร์รองเท้า”
“หกค่ะ” ได้คำตอบที่ต้องการ ผมก็ปล่อยมือเล็ก ทิ้งตัวนั่งบนส้นเท้าแล้วเริ่มค้นหารองเท้าแตะเบอร์หก ไซซ์ที่เล็กกว่าเท้าผมหลายเบอร์ ได้เบอร์หกมาสามคู่ แต่สีมันต่างกัน ผมเลยถามไข่หวานสั้น ๆ
“สี?”
“...” ไม่ตอบอีกแล้ว
“เอาสีไหน”
“ฟ้า” เออ ก็แค่นั้น...
ผมแกะถุงพลาสติกใสแล้วเอารองเท้าข้างในออกมา ดึงสายพลาสติกเหนียว ๆ ที่ล็อกรองเท้าสองข้างไว้ด้วยกันออก เก็บถุงที่มีบาร์โค้ดไว้เพื่อให้พนักงานสแกนคิดเงิน
จากนั้นก็วางรองเท้าตรงหน้าไข่หวาน พลันว่า...
“ใส่สิ”
“... !” แต่คนยืนค้ำหัวกลับไม่นำพา ชักเท้าหนีเหมือนตกใจ
ผมขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองไข่หวานที่ยังก้มหน้าคางชิดคอ เรือนผมยาวปรกหน้าตาเช่นเดิม จากมุมนี้... ผมก็ยังไม่เห็นดวงหน้าภายใต้เรือนผมของเธออยู่ดี เห็นเพียงแค่ริมฝีปากแดงเรื่อกำลังเม้มเข้าหากันแน่นลาง ๆ
“ใส่รองเท้า” ผมย้ำคำเสียงเรียบ แต่ไข่หวานก็ยังไม่ยอมขยับ นั่นทำให้พวกเราเสียเวลาอยู่ในร้านสะดวกซื้อแห่งนี้เกินความจำเป็น เลยเป็นผมซะเองที่ขยับเข้าหา ส่งมือจับข้อเท้าเล็กเพื่อจะสวมรองเท้าให้เสร็จ ๆ ไป
พรึบ!
“...” ก่อนเจ้าของเท้าจะสะบัดข้อเท้าอย่างแรงจนหลุด แล้วกุลีกุจอสวมรองเท้าลนลานไร้คำพูด
“ก็แค่นั้น” ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ หยัดตัวขึ้นเต็มความสูง แล้วเดินนำไปที่เคาน์เตอร์เพื่อชำระเงิน โดยไข่หวานก็ยังทำตัวติดหนึบ คว้าชายเสื้อผมไปจับแล้วเดินตามหลังเหมือนตอนแรกไม่มีผิด
“เอ่อ ทั้งหมด 257 บาทครับ”
ผมส่งแบงค์ร้อยสามใบให้พนักงานที่กำลังเหลือบมองด้านหลังผมอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะส่งเงินทอนให้ผมในเวลาต่อมา รับเงินเสร็จผมก็เดินออกจากร้านโดยไม่สนใจใครอีก เดินข้ามถนนพาไข่หวานกลับมานั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวซึ่งตั้งเรียงรายเป็นระยะริมทางเท้าใกล้ ๆ รถตัวเอง แล้ววางถุงพลาสติกไว้ข้างคนตัวเล็ก
“ล้างเท้า ทายา” บอกแบบรวบรัด พลางพยักพเยิดหน้าไปที่ถุงพลาสติกสำทับ
“...” แต่ไข่หวานก็นั่งนิ่ง ทำเหมือนตุ๊กตาที่ใครจะจับให้นั่งท่าไหนก็ได้ยังไงยังงั้น นั่นทำให้ผมขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก ยอมรับเลยว่าหงุดหงิดกับท่าทางแบบนั้นของไข่หวานเต็มที
อย่างที่บอก ผมไม่เคยสนใจหรือเห็นเธออยู่ในสายตามาก่อน แต่เพราะได้รู้จักผ่านการทำงานกลุ่มร่วมกัน มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่รุ่นน้องเงียบ ๆ และตัวตนแสนจืดจางคนนี้จะค่อย ๆ เข้ามาอยู่ในสายตาของผมโดยไม่รู้ตัว แถมตอนนัดคนในกลุ่มไปทำงานกันที่บ้านผมก็ ‘เกิดเรื่อง’ ขึ้นกับไข่หวานนิดหน่อยด้วย แม้จะคุยกันแทบนับประโยคได้ก็เถอะ
แต่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดบอกไม่ถูกครับ
ไม่ได้อยากใส่ใจให้มากความ แต่ก็ดันปล่อยไว้เฉย ๆ ไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ไข่หวานก็ตัวผมเองนี่แหละที่น่าหงุดหงิด
“หรือให้ทำให้?”
“มะ... ไม่ค่ะ” คงเพราะโทนเสียงผมเข้มขึ้น ทั้งยังขยับตัวเหมือนจะเข้าไปหา ไข่หวานถึงได้ปฏิเสธเสียงแผ่วแล้วรีบคว้าของให้ถุงพลาสติกออกมา นอกจากยาก็มีน้ำเปล่า ทิชชูเปียก ทิชชูแห้งไว้สำหรับทำความสะอาดด้วย
“...” ผมยืนกอดอกมองคนตัวเล็กทำความสะอาดเท้าตัวเองและทายาไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีใครพูดอะไร
อันที่จริงก็ยังมีคำถามติดอยู่ในหัวว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ในสภาพแบบนี้ หากผมก็ยังปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อไป แม้จะสงสัย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องก้าวก่ายขนาดนั้น ยังไงเราก็แค่คนรู้จักที่ไม่ได้สนิทกันอยู่แล้ว
“ขอบคุณค่ะ” คำขอบคุณไม่ดังไม่เบา เอาเป็นว่าพอได้ยินดังขึ้นทำลายความเงียบ ศีรษะเล็กของเธอก็ผงกขึ้น – ลง สำทับคำพูด ผมหลุบตามองสองเท้าเล็กที่สวมรองเท้าแตะสีฟ้าเรียบร้อย แล้วครางรับคำขอบคุณในลำคอ
“อืม”
“...” บทสนทนาก็จบลงแค่ตรงนั้นอีกเช่นเคย ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ไข่หวานนั่งก้มหน้าเงียบ ๆ ผมก็ยืนทอดสายตามองทะเลตอนกลางคืนโดยไม่คิดจะไถ่ถามให้มากความ แค่กำลังคิดว่าจะเอาไงต่อดี
ต้องกลับแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้า
Rrrr…
ทว่า เสียงโทรศัพท์ของคนตัวเล็กก็ดังขึ้นขัดความคิดซะก่อน
ไข่หวานหยิบเครื่องมือสื่อสารของตัวเองออกจากกระเป๋าสะพายข้างใบเล็กที่ผมไม่ได้สังเกตเลยว่าเธอสะพายมันอยู่ตลอด ใบเล็กจิ๋วเหมือนแค่ใส่มือถือเครื่องเดียวก็เต็ม แถมยังสีเดียวกับชุดที่เธอสวมอยู่จนกลืนไปด้วยกันอีก ผมเคยเห็นผู้หญิงหลายคนชอบสะพายหรือถือกระเป๋าใบจิ๋วแบบนี้เวลาไปออกงานสังคมกับพ่อ
เอาเถอะ เรื่องกระเป๋านั่นไม่ใช่ประเด็น
สิ่งที่ผมสนใจคงเป็นความเงียบของไข่หวานมากกว่า
“...”
หือ... เอาจริงดิ?
นี่รับโทรศัพท์ก็ยังไม่คิดจะพูดอะไรสักคำเลยเหรอวะ
ผมว่า... รุ่นน้องคนนี้ชักจะแย่แล้วล่ะครับ เธอไม่ได้เป็นใบ้นะ ไม่จำเป็นต้องเงียบขนาดนี้ไหม ผมขมวดคิ้ว มองไข่หวานที่ยกโทรศัพท์แนบหูไร้คำพูด เหมือนเธอกำลังตั้งใจฟังปลายสาย ผมไม่รู้ว่าใครโทรมา และไม่เห็นสีหน้าของไข่หวานด้วย ทำได้แค่ยืนมองปฏิกิริยาของเธอเงียบ ๆ เท่านั้น
โกรธ?
ผมตั้งคำถามกับตัวเองในใจ
หลังเห็นว่ามือข้างที่ถือโทรศัพท์กำแน่นจนสั่น เช่นเดียวกับมืออีกข้าง กำกระโปรงตัวเองแน่นจนยับยู่ยี่เช่นกัน กระนั้นก็ยังไม่มีเสียงเล็ดรอดจากริมฝีปากของไข่หวานสักวลี กระทั่งเธอยกโทรศัพท์ออกจากหู วางมือข้างนั้นบนหน้าตักตัวเองเหมือนหมดแรง ร่างเล็กเริ่มสั่นเทามากขึ้นเรื่อย ๆ
“เป็นไร ไหวไหม?” เป็นผมที่ทนเฉยไม่ไหว เอ่ยถามในจังหวะเดียวกับที่มีน้ำใสหยดลงบนหลังมือของเธอ ไข่หวานร้องไห้แบบไม่มีเสียง แต่ร่างเล็กสั่นเทาจนน่ากลัว รอบตัวเราเงียบมาก เงียบเกินไปด้วยซ้ำ
“...” น่าสงสาร
“ไข่หวาน” มองไม่เห็นสีหน้าก็ยังรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าสงสารจับใจ ร้องไห้จนตัวโยนและไร้เสียงแบบนี้ เธอคงอดกลั้นมันเอาไว้อย่างสุดความสามารถ นั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัดและไม่โอเคกับสถานการณ์ตรงหน้า
ให้ตายสิวะ!
ทำไมยังเงียบ ทำไมขนาดร้องไห้ถึงยังไร้เสียงแบบนี้
“พะ พี่... คะ” นานหลายนาทีเลยกว่าไข่หวานจะพูด เสียงหวานใสของเธอสั่นเครือและแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เรียกสรรพนามที่ทำให้ตัวผมร้อนวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ “พา... พากลับ... กลับบ้านหน่อยนะ”
ตึก!
ก้อนเนื้อในอกผมกระตุกไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะประโยคคำพูดที่ดูเหมือนจะยาวสุดตั้งแต่เราคุยกันมาของไข่หวาน แต่เป็นเพราะตอนพูดด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นเหมือนพยายามทำให้มั่นคงนั่นน่ะ... เธอก็ยกหลังมือเช็ดน้ำตาลวก ๆ เหมือนเด็กน้อยที่ไม่อยากร้องไห้ แต่ก็ไม่รู้วิธีจะหยุดมันยังไง และยังคงเช็ดต่อไป ตอนนั้นเองที่ทำให้ผมเห็นดวงหน้าเกลื่อนน้ำตาของไข่หวาน
เอาล่ะ ยังไงดี เมื่อกี้เธอพูดว่าไงแล้วนะครับ
“...” เหมือนสมองผมประมวลผลดีเลย์ไปสามวินาที
สายตาเผลอจ้องคนตัวเล็กนิ่ง ไม่ได้ตอบรับคำพูดอะไรสักอย่างของเธอก่อนหน้านี้ พอเห็นว่าผมเงียบ ไข่หวานก็เงยหน้าขึ้นมองผมน้ำตาคลอไม่หยุด เพราะเส้นผมชื้นน้ำตา พอเธอใช้หลังมือปัด ๆ เช็ด ๆ ก็ทำให้ผมบางส่วนติดแก้ม เผยให้เห็นแก้วตาใสกลมโต โครงหน้ารูปไข่ ริมฝีปากแดงเรื่อ และใบหน้าขาวจัดที่ถูกซ่อนใต้เรือนผมมาตลอด
น่ารัก
น่ารักมาก...
สวยในแบบน่ารัก ๆ เหมือนสาวญี่ปุ่นน่ะครับ
“พี่นายน้อย” พลัน สติถูกดึงกลับเข้าร่างตอนเสียงหวานเรียกชื่อ “... จะกลับบ้าน”
แล้วผมก็เหมือนคนต้องมนต์อะไรสักอย่าง ได้แต่ครางรับในวลีเดียว
“ครับ”
END NAINOI TALKS

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอนะคะ สู้ๆ ค่ะ????
คือน้องไม่ปกติท่องไว้ๆ