คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่สอง : นักเดินทาง
บทที่สอง
นักเดินทาง
เสียงร้องก้องกังวานของนกประหลาดดังก้องไปทั่วปราสาทแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางหมอกสีเทาหนาทึบดูไร้ชีวิตชีวาและเงียบเหงา
บรรยากาศรอบด้านต่างถูกปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็น จนดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถอาศัยอยู่ได้
ภายในปราสาทเต็มไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงสว่างเล็กๆจากตะเกียงสีขาวติดอยู่รอบๆ
ภายในห้องโถงซึ่งมีบันไดยาวไปสู่บังลังก์สูง
มีร่างหนึ่งของชายร่างสูงในชุดชั้นสูงดั่งเช่นกษัติรย์นั่งอยู่บนบังลังก์
แต่ด้วยความมืดทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนนัก
รอบตัวของเขาไร้ซึ่งผู้คนมีเพียงตัวเขาซึ่งนั่งอยู่เบื้องบนเพียงผู้เดียว
บรรยากาศเงียบเหงาสร้างความเบื่อหน่ายให้กับเขายิ่งนัก
เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้นานๆยิ่งรู้สึกว่าอยากจะงีบหลับไปสักตื่นสองตื่น
เพียงแต่เขากำลังรออะไรบางอย่างอยู่
แม้มันจะเหงาแค่ไหน หรือเสยีงนกที่กำลังร้องจะน่ากลัวสักเพียงใด
แต่ด้วยชินชาทำให้บนใบหน้าของเขามีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่เป็นนิจ
ปราสาทแห่งนี้ร้างลาผู้คนมานานมากแล้ว
เขาก็มักจะมาเยือนที่แห่งนี้นานๆครั้ง
ครั้งนี้ออกจะพิเศษหน่อยเพราะถ้าหากไม่มีอะไรตอบแทน เขาคงจะไม่ยอมมา
เนื่องจากอากาศเย็นๆรอบปราสาททำให้เขาไม่ค่อยชอบมันนัก
“ฮ้าว...”
ง่วง..คือความรู้สึกถัดมาจากเบื่อ ดีไม่ดีความรู้สึกถัดไปอาจจะเป็น “อยากกลิ้งลงบันไดเพื่อหาความตื่นเต้นให้กับตัวเอง”
ก็เป็นได้
มันน่าเบื่อเสียจริง..
อยากจะไปจากที่นี่จะแย่อยู่แล้ว...ถ้าหากไม่ใช่เพราะ
“เจ้าพวกนั้น” บอกว่ามีข้อมูลอะไรน่าสนใจมาละก็ เขาจะไม่ยอมมาเด็ดขาด..
“หึหึหึ ท่าทางกำลังเบื่อได้ที่เลยเชียวนะครับ..”
เสียงชวนน่าขนลุกดังขึ้นมาจากในความมืด เสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะทำให้คนบนบังลังก์เปรยตาลงไปมองผู้มาใหม่
ผมสั้นสีเทาดูยุ่งเหยิงอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร เส้นผมยุ่งเหยิงของผู้มาใหม่ปิดใบหน้าและตาของเขาจนเห็นเพียงแค่ใบหน้าครึ่งล่าง
หากแต่การแต่งตัวในชุดดูสุภาพเรียบร้อยก็ยังพอจะช่วยสร้างบุคลิกที่ดีให้กับเขาได้บ้าง..
ถ้าไม่นับในเรื่องเสียงหัวเราะชวนน่าขนลุกนั่น
“มันไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกรึ
ที่ทำให้ข้าต้องรอ..” คนสูงศักดิ์เอ่ยด้วยน้ำเสียเบื่อหน่าย
“หึหึหึ...ขอโทษด้วยนะครับ..พอดีว่าทางเรามีปัญหานิดหน่อย..คุณอยากจะลองฟังดูไหมละ..?”
เสียงน่าขนลุกเอ่ยถาม หากแต่ใบหน้าของผู้ถูกถามยังคงเรียบเฉยและไม่ได้ตอบรับอะไร “เล่นด้วยยากจริงๆนะครับ
หัดมีอารมณ์ขันเสียบ้างสิ”
“อย่าพูดมาก
รีบบอกข้ามาได้แล้ว...ก่อนที่ข้าจะอารมณ์เสีย..โทมะ..” เสียงเย็นๆกดดัน ชายหนุ่มนามโทมะยังคงรอยยิ้มเอาไว้เช่นเดิม
“ผมเองก็จำไม่ได้ด้วยสิ..ฮะๆ..นี่ๆ..ฮาคุมาบอกแทนทีสิ”
เขาโบยไปให้อีกคน เมื่อถูกเรียกทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อเดินออกมาจากความเงามืด
ดวงตาสีน้ำตาลส้มมีแววตาเรียบเฉย เขาก้มลงอ่านหนังสือในมืออย่างไม่คิดจะสนใจคนข้างกาย
เด็กหนุ่มสวมผ้าปิดปากสีขาวเอาไว้ ทำให้บดบังใบหน้าครึ่งล่างไปจนหมด ผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอแตกต่างจากพี่ชายโดยสิ้นเชิง..
พี่ชายโรคจิตที่ชื่อว่าโทมะ..
ดวงตาของชายบนบังลังก์เปลี่ยนเป้าหมายไปทางคนสวมผ้าปิดปากแทน
ฮาคุรับรู้ได้ถึงสายตานั้นจึงถอนหายใจ “เข้าใจแล้วครับ...”
ก่อนจะหันกลับไปมองในความมืด
เรียกเสียงถอนหายใจจากคนในเงามืดอีก “ผมอีกแล้วสินะ..เฮ้อ...”
ร่างของชายหนุ่มอีกคนก้าวออกมา
เขามีผมสั้นสีดำสนิท และดวงตาสีส้มน้ำตาลดั่งพี่น้องของตนเอง แต่ใบหน้าบางส่วนกลับถูกบดบังด้วยฮู้ด
ใบหน้าเฉยชาแต่คิ้วที่ขมวดอยู่ก็บ่งบอกอารมณ์ได้ชัดเจนว่ากำลังหงุดหงิดและไม่อยากจะพูดอะไรนัก
แต่ในเมื่อพี่ๆน้องๆต่างขับไสไล่สงให้มาพูดจึงต้องยอมรับไปแต่โดยดี
“ตอนนี้ดูเหมือนว่าการแย่งชิงตำแหน่งราชาจะยังไม่เริ่มขึ้นครับ...เพราะมีข่าวว่าเจ้าชายเวนเซนต์แห่งแดนมนุษย์ผู้ทำหน้าที่ตัดสินหายตัวไป..ไม่สิ..จากข่าววงในบอกว่าเขาจงใจหนีไปครับ
ทำให้ตอนนี้ทุกฝ่ายต่างกำลังร้อนรนเนื่องจากต้องต้อนรับผู้ถูกเลือกจากอาณาจักรดีอาร์และมาเรย์ครับ”
ชายหนุ่มสวมฮู้ดนามเรียวมะเอ่ย
เขาอยากจะบิดหูน้องสองคน..แต่ก็ต้องสงบใจเอาไว้เนื่องจากอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนาย
ชายบนบังลังก์พยักหน้ากับข้อมูลที่ได้รับมา
แล้วถอนใจเมื่อรับรู้ว่าสถานการ์ณมันกำลังแย่พอสมควร...”ถ้าเป็นแบบนี้ข้าคงจะอยู่เฉยไม่ได้..”
“หืม..ไม่ค่อยเห็นเลยนะครับ..ว่าคุณจะลงมือด้วยตัวเอง..”
โทมะยกรอยยิ้มกวนๆขึ้น น่าเสียดายที่ไม่เห็นดวงตาของเขาภายใต้ผมสีเทานั่น
แต่ถ้าเห็นจริงๆมันอาจจะทำให้เส้นความอดทนของคนเบื้องบนขาดผึงได้
“เงียบเถอะครับ..”
เสียงของน้องเล็กอย่างฮาคุเอ่ย แม้การพูดใต้ผ้าปิดปากเสียงจะฟังดูคลุมเครือก็ตาม
แต่เขาก็ไม่เลือกจะถอดออก..
ร่างบนบังลังก์ถอนหายใจกับข้ารับใช้ของตนเอง
ก่อนจะลุกขึ้นและก้าวย่างลงจากบันไดอย่างเชื่องช้า
เมื่อลงไปเขาก็ปลดผ้าคลุมจากชุดหรูหราของตนออกแล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่คิดจะสนใจ
โทมะผิวปาก ส่วนเรียวมะได้แต่มองการกระทำนั้นนิ่งๆโดยไม่พูดอะไรเช่นเดียวกับฮาคุ
“เอาเถอะ...จากนี้ก็ขอฝากด้วยแล้วกัน”
เขาเอ่ยกับข้ารับใช้ทั้งสามก่อนร่ายเวทย์ข้ามมิติสีครามขึ้นมา
มันเป็นหลุมลึกสีดำดูไม่มีจุดสิ้นสุดก่อนมันจะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นจนกลืนกินร่างของชายสูงศักดิ์ไปทั่วทั้งร่างจนหายไปจากสายตาของข้ารับใช้ทั้งสาม
เขาพึมพำออกมาเบาๆกับตัวเอง
“หวังว่าเจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมาเสียก่อน..องค์ชายของพวกเรา..”
“ดูเหมือนว่าองค์ชายเวนเซนต์จะหายตัวไปละ..ข้าได้ยินว่าตอนนี้พวกทหารตามหากันให้วุ่น..เห็นว่าถ้าพบตัวจะได้รับรางวัลก้อนโตเชียว!”
“จริงเหรอ..? น่าสนใจจริง
แต่ข้ายังต้องเลี้ยงดูลูกคงจะไปช่วยตามหาไม่ได้..”
“ลูกชายข้าสนใจละ..เห็นบอกว่าจะลองออกไปตามหาดู
ว่าแต่คนที่จับตัวองค์ชายไปต้องการทำอะไรกันแน่นะ..”
เสียงกระซิบพูดคุยของแม่บ้านนับหลายคนดังขึ้นเบาๆในมุมหนึ่งของตลาดอันแสนคึกคัก
เพราะเสียงของแม่ค้าพ่อค้าซึ่งกำลังโฆษณาบ่งบอกสรรพคุณสินค้าของตนเองทำให้เสียงกระซิบเหล่านั้นหายไปจนไม่มีใครได้ยิน
ภายในตลาดยามเช้าสินค้าจำพวกหญ้าเปลวเพลิงจะขายดีเป็นพิเศษ
เนื่องจากที่นี่คือเมืองตอนเหนือของดินแดนมนุษย์ทำให้มีอากาศหนาวกว่าที่อื่นมาก
ท้องฟ้าสีเทาไม่มีแสงแดดเนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูหนาว
ผู้คนต่างใส่เสื้อคลุมกันหนาวเอาไว้เพื่อป้องกันความเย็นกัดกร่อนผิวกาย
บ้านของที่นี่ดูจะแปลกตาเนื่องจากมีปล่องไฟและเตาผิง แตกต่างต่างจากทางตอนใต้ซึ่งมีอากาศร้อน
แต่ถึงอากาศจะหนาวเพียงใดก็ยังมีคนหลายคนอุตส่าตื่นมาเดินตลาดในตอนเช้าอันหนาวเหน็บเช่นนี้อยู่ดี
ไอเย็นสีขาวออกมาจากลมหายใจของเด็กหนุ่มในเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีดำตัวหนาและกางเกงขายาวสีดำ
รองเท้าบูตเหมาะสำหรับอากาศเย็น เขาเดินผ่านฝูงชนมากมายในท้องตลาด
ผมสีแพลตตินั่มบลอนด์โผล่ออกมาจากฮู้ดสร้างความสนใจให้กับบางคนในตลาดที่เห็นไม่น้อย
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เงยหน้าขึ้นสบตา เร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของเขาโดยเร็ว
มือทั้งสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อกันหนาว
ภายในเมืองทางเหนือเล็กๆอย่างเรเฮลน่าแห่งนี้มีเส้นทางเดินคดเคี้ยวจนถ้าหากไม่อยู่เมืองนี้มานานก็อาจจะหลงทางเอาได้ง่ายๆ
เขาก้าวเดินไปตามเส้นทางแคบๆอย่างชำนาญ
เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักทำให้เขาเดินอยู่ในตรอกเล็กๆนี่เพียงคนเดียว
อากาศวันนี้หนาวจับใจแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาเท่าไรนัก
แต่ขาทั้งสองข้างก็ชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่างสะดุดตาบนกำแพง มันคือโปรเตอร์ซึ่งมีรูปเคลื่อนไหวจากพลังเวทย์
หรือก็คือโปสเตอร์พลังเวทย์ที่ใช้สำหรับติดประกาศตามหาคน
“ประกาศตามหาตัวองค์ชายแห่งแดนมนุษย์
เวนเซนต์ รอวซ์เซินต์
ถ้าหากใครพบเห็นกรุณาส่งตัวให้ทหารหรือป้อมปราการอัศวินประจำเมือง
หรือกรุณาส่งสารเวทย์แจ้งมายังพระราชวัง ถ้าหากผู้ใดนำข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการหาตัวขององค์ชาย
หรือสามารถพาตัวองค์ชายกลับมาได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม”
จาก ป้อมปราการอัศวินหลวง
ประกาศจับ...
ไม่สิ..มันไม่มีคำว่าจับเป็นหรือจับตาย
อีกอย่างอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชายแห่งแดนมนุษย์
ก็คงจะเป็นป้ายประกาศตามหาทั่วไป..แล้วยังเรื่องที่พวกชาวบ้านพูดเมื่อกี๊
ก็คงจะเป็นเรื่องจริงที่เจ้าชายแห่งแดนมุนษย์หายตัวไป
เพราะประสาทสัมผัสที่ไวกว่ามนุษย์ทำให้เขาสามารถได้ยินเรื่องราวต่างๆที่พวกแม่บ้านเหล่านั้นพูดได้ชัดเจน
ถ้าหากเป็นมนุษย์คงจะไม่สามารถได้ยินชัดเจนเพราะจะมีเสียงรบกวนจากภายนอกดังขึ้นมาตลอด
ดวงตาสีฟ้าใต้ภายใต้ฮู้ดมองภาพของเจ้าชายแห่งแดนมนุษย์นิ่งๆ ถือว่าใช้ได้
แต่ดูจะอ่อนแอไปหน่อยเพราะดูไม่มีกล้ามเนื้อเลย..ถ้าหากถูกจับไปจริงๆจะไปทำอะไรได้หรือ..
แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับเขา
แล้วทำไมเขาจะต้องมานั่งวิจาร์ณรูปร่างคนอื่นด้วย?
เขาละความสนใจจากป้ายประกาศบนกำแพง
อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาสักหน่อย
เขาไม่ได้ลำบากเรื่องเงินหรือต้องการตัวองค์ชายที่ว่านั่นขนาดนั้น
ขานึงก้าวไปข้างหน้าเตรียมออกเดินแต่กลับสะดุดกับอะไรบางอย่างบนพื้น
ดวงตาสีฟ้าเลื่อนต่ำลงไปมอง..ผมสีครีมอันแสนคุ้นเคยราวกับว่าพึ่งเห็นเมื่อกี๊มาหมาดๆ
ร่างของคนๆนึงกำลังนอนแผ่อยู่ใต้เท้าของเขาในชุดสกปรกมอมแมม หน้าคว่ำดิน แต่เมื่อเห็นว่ามีปลายเท้าแปลกหน้ามาสะกิดตนทำให้ร่างนั้นสั่นไหวน้อยๆ
มีเสียงร้องโอดโอยขึ้นมา..
“ช..ช่วยด้วย..”
ก่อนมือสั่นๆที่ยังพอจะขยับได้ของเจ้าของร่างจะจับขาของเขาเอาไว้
“เฮ้อ..ค่อยยังชั่ว!!”
เสียงอันอบอุ่นถอนหายใจออกมาเบาๆขณะบนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเนื่องจากพึ่งจะรอดพ้นความตายมาได้หมาดๆ...หึหึ..ข้าบอกแล้วว่าข้านั้นอึด
ถึก ทน ไม่ตายง่ายๆ..
คิดถึงข้ากับละซี้ ไม่ต้องสนใจพวกสองหน้าข้างบนหรอก
สนใจข้ากันดีกว่า น่ารัก อบอุ่น แถมยังหล่อกว่าเยอะ
ข้ายิ้มอย่างอารมณ์ดีกุมแก้วนมร้อนในมือแน่น
มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยชีวิตข้าขึ้นมาจากความหนาวเย็นจับใจของอากาศอันโหดร้ายภายนอก
ตอนนี้ข้าอยู่ในห้องอุ่นๆของโรงพักแรมแห่งหนึ่งในย่านตัวเมือง
แน่นอนว่าไม่ใช่ของข้า..แต่เป็นของคนที่กำลังทำหน้าตายอยู่ข้างๆข้าต่างหาก
ข้าไม่รู้ว่าเขาทำไมถึงต้องจ้องข้านัก
หรือว่ากำลังเคืองกับคำพูดของข้าที่ว่าโล่งอก?
หรือว่ากำลังเสียดายร้อนที่ข้ากำลังดื่ม...บางทีเขาอาจจะเป็นพวกติดนมมากก็เป็นได้
โอ้..นี่ข้าบังอาจไปแย่งนมอันแสนรักของเขารึ..ด้วยความเป็นคนดีมีน้ำใจข้าจึงยื่นแก้วนมไปให้
“ดื่มด้วยกันไหม?”
เขามองแก้วนมซึ่งมีไอสีขาวออกมาแล้วส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร”
เจ้าพูดเองนะ
ดังนั้นข้าจะถือว่านมร้อนแก้วนี้เป็นของข้า
ถ้าคิดจะมาแย่งกลับไปข้าจะถือว่าเจ้าเป็นพวกผิดคำพูด
ข้ายกนมในแก้วซดอีกครั้งให้คลายความหนาวในร่างกาย
ตอนนี้ข้ากำลังนั่งอยู่บนเตียงมีผ้าห่มอุ่นๆค่อยห่มให้
ส่วนชายตรงหน้าข้ากำลังนั่งอยู่บนเตียงเช่นกัน..
เขาเป็นชายมีผมสีแพลตตินั่มบลอนด์สวยดูน่าอิจฉา
ใบหน้านิ่งๆดูหล่อเหลาติดสวย แต่ด้วยส่วนสูงที่สูงกว่าข้าทำให้เขาดูมีความเป็นชายหล่อเหลาแสนเพอร์เฟ็คจนข้าอิจฉา
ไม่ว่าใครจะหล่อข้าก็อิจฉาหมดนั่นแหละ...
และข้าก็สงสัย..ว่าทำไมคนหล่ออย่างพวกเจ้าถึงต้องขยันทำหน้าตายกันนัก
หัดดูข้าเป็นตัวอย่างซะบ้าง
ถ้าหากข้าได้หน้าหล่อๆแบบนั้นบ้าง พ่อจะยิ้มเป็นทานตะวันไปเป็นปีเลยคอยดู
“ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหรือ? ขอบคุณมากนะที่ช่วยข้าเอาไว้..ถ้าไม่ได้เจ้าข้าคงจะนาวตายตรงนั้นเป็นแน่”
ข้าเอ่ยขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบไปกว่านี้ ไหนๆก็ไหนๆเขาก็ช่วยข้าเอาไว้
จะละจากการตั้งป้อมเป็นศัตรูไว้คนนึงก็ได้
ชายใบหน้านิ่งมองคนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ซิลเวอร์..โคลว์..”
“ชื่อเจ้าดูดีนะ แต่หน้าตายไปหน่อย”
ข้าพูดออกมาตรงๆ ถือว่าข้าขอกัดเจ้าเลยแล้วกัน
ซิลเวอร์มองเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด..เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเรื่องราวต่างๆอย่างไรดี
หรือจะถามอะไรออกไปดี...ที่แน่ๆอีกฝ่ายเป็นคนในโปสเตอร์แน่ๆ
เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน..เพียงแต่เขาควรจะเริ่มถามเลยดีหรือเปล่า
แถมยังพึ่งถูกวิจาร์ณหน้าตาตรงๆยิ่งทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก
ข้าควรจะเริ่มถามยังไงดี..
ซิลเวอร์คิดในใจ ก่อนเสยผมของตนเองอย่างใช้ความคิด
แอบเหล่มองแหวนสีขาวบนมือของตน..ควรจะถอดออกก่อนดีไหมนะ..แต่เอาเถอะ
อย่างไรเสียแหวนนี่ก็เป็นสิ่งลบเลือนเผ่าพันธุ์ของเขา..อีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกเพราะเป็นแค่เจ้าชายธรรมดา
ยิ่งมองแหวนบนนิ้วสลับกับเจ้าชายก็ยิ่งเครียดกับสองปัญหาที่รุมเร้า
ข้ามองคนที่ทำหน้าเหมือนหนักใจมาก..ไม่รู้ว่าเขาจะหนักใจอะไรกับข้านักหนา
การเสยผมนั่นดูมีเรื่องเครียดมากนักหรือไง
สักวันข้าจะขอให้ผมเจ้ามันร่วงเพราะถูกเสยมากเกินไปเผื่อว่าข้าอาจจะหน้าตาดีเทียบเท่าได้บ้าง
แต่ก็ได้แต่คิดในใจเท่านั้น
ข้าพึ่งรู้ว่าคนหล่อทำอะไรก็ยังหล่อ ขนาดเขากำลังทำหน้าเครียดก็ยังหล่ออยู่ดี
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ดูเครียดๆนะ”
ข้าตัดสินใจถามออกไป หรือว่าข้าไปเผลอพูดอะไรไม่ดีหรือ
ซิลเวอร์มองเจ้าตัวที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ท่าทางเขาคงจะต้องเริ่มเป็นฝ่ายถามก่อน เขาไม่ซีเรียสอะไรหรือดีใจอยู่แล้วถ้าจะช่วยเหลือเจ้าชายได้
เพียงแต่เขาควรจะถามก่อนสินะว่าให้ส่งตัวกลับวังไหม..
แล้ว..ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้..
แนบเท้าเขาเลยด้วย..
“นี่..นายน่ะทำไมถึงมาอยู่ที่เรเฮลน่าแห่งนี้ได้..เจ้าชายเวนเซนต์..”
เขาถามเปิดประเด็นตรงๆ มองคนตกใจกับคำพูดเมื่อครู่นิ่งๆ
เวนเซนต์หน้าซีด..ใช่..ข้าหน้าซีด..
โถ่..พระเจ้าให้ดิ้นตาย..แม้แต่เจ้าซิลเวอร์อะไรนี่ก็รู้เหรอว่าข้าเป็นเจ้าชาย..!
หนีเสือปะจระเข้ หนีลมพายุฝนมาเจอคนที่ดันรู้ตัวจริงของข้า..นี่พระเจ้าตั้งใจจะกลั่นแกล้งข้าหรือเปล่า
หรือว่าต้องการอะไรกัน! ข้าสบกับดวงตาเย็นชาแต่แฝงด้วยความรู้สึกบางอย่างนั้นและวางแก้วนมเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียง
ข้าควรจะตอบอะไรดี..หรือว่าควรจะเอาแก้วนมร้อนฟาดหัวมันให้สลบแล้วหนีไป?
แต่มันจะเป็นการทำร้ายผู้มีพระคุณเกินไปหรือเปล่า..ข้าไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวที่สามารถทำร้ายแม้กระทั่งคนที่หวังดีช่วยข้าออกมาจากความหนาวได้ลงคอ
ข้าไม่ได้อกตัญญูขนาดนั้น..
สุดท้ายข้าก็เลือกจะคุยกับเขาตรงๆ..เพราะถ้าหากเอาแก้วนมฟาดไปจริงๆแล้วเขาเกิดหลบได้..นั่นคงจะเป็นจุดจบที่ไม่สวยนัก..
“เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไร”
ถ้าหากรู้ตั้งนานก็ช่วยอย่าตอกย้ำความโง่ของข้าเลยเถอะ ข้าอาจจะฉลาดขึ้นมาบ้าง
ข้ามองสีหน้าชองอีกคน ทำไมต้องทำหน้าลำบากใจด้วย!
“ไม่..ไม่..คือข้าพึ่งเห็นเจ้าจากโปสเตอร์บนกำแพง..มีรูปของเจ้า..มันเป็นประกาศจากทางวังหลวง..”
เขาตอบเสียงเย็นๆ
“หา..นี่แม้กระทั่งประกาศจับก็ยังทำเหรอ!?”
นี่พวกมันเห็นข้าเป็นนักโทษแขวนคอรึไง
ถ้าหากพวกมันไม่บอกฐานะว่าข้าเป็นใคร ถ้าหากพวกชาวบ้านคิดว่าข้าไม่ใช่เจ้าชายแห่งแดนมนุษย์คงจะตามมาเสียบคอข้า
ตัดเศษชิ้นส่วนไปให้พวกอัศวินและบอกว่าขอรางวัลหน่อยพลางฉีกยิ้มราวกับว่าตนเองพึ่งล่าเนื้อชั้นดีได้
และเนื้อชั้นดีนั่นก็เป็นข้าซึ่งโดนฆาตรกรรมอย่างโหดร้ายทารุณ
ไม่..ไม่เอา!
ข้าผุดลุกขึ้นเตรียมหยิบแก้วนมคู่ใจที่บัดนี้ข้ายึดมันเป็นคู่หูไว้เป็นอาวุธ
“นั่นเจ้าจะไปไหน?” ซิลเวอร์ถามพลางลุกขึ้นตามข้า “ข้าจะไปดึงใบประกาศจับออกให้ทั่วเมือง”
“เจ้าเป็นบ้า?”
เขาถามข้าพลางมองด้วยแววตา...มองแบบนั้นหมายความว่าอะไรหา!
“ข้าไม่ได้บ้า..ดูสิ! พวกทางวังเล่นประกาศจับข้าราวกับนักโทษ..จากนี้ข้าไปไหนก็คงจะถูกตามล่าให้กลับวังเป็นแน่
ข้ายังไม่อยากถูกจับใส่กระสอบ กระลูดชูดถัง มอมยาสลบหรือถูกหิ้วขากลับเป็นหมูสามชั้น!
ข้าอุตส่าหนีออกมาได้แล้วเชียวนะ!”
ใช่..ขืนต้องกลับไปอีกก็ฆ่าข้าเสียเถอะ!
ซิลเวอร์เบิกตาโตเล็กน้อย
“เจ้าหนีออกมา?”
อุ๊บ..ข้ารีบปิดปากตนเองอย่างไว..ซวยแล้วไง..ดันเผลอหลุดปากเรื่องที่ตนเองหนีออกมาอย่างโง่ๆ
เมื่อเห็นว่าข้าดูน่าสงสัยมีพิรุธ ซิลเวอร์จึงกระชากแขนของข้าแล้วพาไปยังตรงระเบียงทำให้อากาศหนาวเข้ามากระทบใบหน้า
และความสูงกว่าหาชั้นทำให้ข้ามองเบื้องล่างด้วยความหวาดเสียว..
ย..อย่าบอกนะว่า..เขาเห็นว่าข้าเป็นคนดื้อรั้น
อกตัญญู เลยคิดจะถีบข้าตกระเบียงให้ไปเกิดโลกหน้า!?
โอ้..เกิดมาข้าพึ่งจะได้รับรู้ความรู้สึกของคนที่กำลังจะโดนฆ่าเป็นครั้งแรก...มันใช่เรื่องน่าดีใจซะทีไหนละโว้ย!
“เจ้าจะทำอะไรซิลเวอร์!?” ข้าพยายามดิ้นให้หลุดจาการเกาะกุม
แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายถึกกว่าข้าทำให้เขายังคงจับแขนข้าได้ไม่ปล่อย
แต่ด้วยความรำคาญเพราะเห็นว่าข้าดิ้นมาก เขาเลยกระชากตัวข้าเข้าไปอยู่ในอ้อมอกอุ่นๆอันแข็งแกร่งนั้น
มือเย็นๆเอื้อมไปแตะหลังต้นคอของข้าเบาๆจนข้าสะดุ้ง
เย็น..
“ซ..ซิล...”
“เงียบก่อน”
เขาเอ่ยขัดคำพูดทำให้ข้าชะงัก
มือของเขาล้วงเข้าไปใต้เสื้อตรงแผ่นหลังของข้า ควานไปมาราวกับหาอะไรบางอย่าง
เมื่อพบแล้วจึงจับมันก่อนค่อยๆเอามือออกมา จากนั้นน้ำแข็งก็พลันเกาะกุมสิ่งมีชีวิตเล็กๆในมือเขาจนมันกลายเป็นฟอสซิลแช่แข็งบนมือของซิลเวอร์ไปแล้ว
“นี่มัน..แมลง?” ข้ามองของบนมือเขาอย่างอึ้งๆ
“ใช่แล้ว..แมลงสื่อสาร
ไว้สำหรับสื่อสารกันและกันระหว่างทำงานหรือใช้ในการแอบลอบติดตามหรือแอบลอบฟังข้อมูลก็ได้
ฉันเห็นมันขยับในเสื้อของนายเมื่อกี๊เลยมาเอาออกให้..มันค่อนข้างแพ้ความหนาว
ถ้าอยู่ข้างในมันจะจับยาก” ซิลเวอร์อธิบายด้วยใบหน้านิ่งๆ
เล่นเอาข้าเสียวไปถึงกระดูกสันหลังเลยนะเว้ย!
“เอ่อ..ขอบคุณ..”
อย่างน้อยข้าก็ควรมีมารยาทสินะ..ข้าผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่นของอีกฝ่าย
และเดินเข้าไปในห้อง ซิลเวอร์เดินเข้ามาตามพร้อมปิดประตูก่อนจะเอ่ยถาม
“เอาละ..ที่นี้ก็ไม่มีใครคอยแอบฟังแล้ว..นายช่วยเล่าเรื่องทุกอย่างมาทีได้ไหมว่านายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง..รวมถึงจะทำอะไรต่อไป..เพราะฉันไม่อยากอยู่ที่นี่นาน”
อะไรฟะ
อย่าพูดเหมือนข้าเป็นตัวเกะกะได้ไหมเนี่ย..
ถึงจะเป็นจริงๆก็เถอะ..ข้าถอนหายใจ
นั่งลงบนเตียงผ้าห่มมาห่มคลุมตัวเอาไว้ ซิลเวอร์ตามมานั่งบนเตียงด้วยอีกคนพลางมองข้าราวกับจะสื่อว่ากำลังรอฟังอยู่
ข้าเบ้ปาก..”ก็ได้ๆ..ข้าหนีออกมาจากวัง..เพราะข้าได้รับหน้าที่ให้ตัดสินตำแหน่งกษัติรย์แห่งสามอาณาจักรคนต่อไป..แต่ว่าพวกผู้ถูกเลือกที่เดินทางมาคัดเลือกมันมาจากอาณาจักรสุนัขกับแมว..ข้ากลัวพวกนั้นแถมยังแพ้ขนพวกมันเลยอยู่ใกล้ไม่ได้..สุดท้ายข้าก็เลยหนีออกมา..”
ซิลเวอร์เลิกคิ้ว...”หืม..ทำไมเจ้าถึงกลัวพวกนั้น?”
“เหตุผลส่วนตัวเฟ้ย
เห็นแบบนี้ข้าก็มีอดีตที่เจ็บปวดนะ!”
ซิลเวอร์ทำหน้าละเหี่ยใจราวกับกำลังคิดว่า
‘จะมีจริงเหรอ..อดีตที่เจ็บปวดนั่น’
นี่เขาเห็นข้าเป็นคนยังไง!
“ข้าจะเล่าต่อละ! หลังจากที่ข้าหนีออกมาข้าก็ดันถูกมังกรที่พาข้าหนีมาจากปราสาททิ้งไว้กลางทุ่งโล่งที่นึง..ที่นั่นมีฝนตกพอดีทำให้ข้าต้องรอฝนหยุด..แล้วเสื้อผ้าก็เปียกไปหมดเลยหนาวมาก
ข้าเดินมาเรื่อยๆจนมาพบเมืองนี้ แต่ซ้ำร้ายมันดันเป็นเมืองหนาว...ข้าพยายามวิ่งหลบคนในเมือง
จะไปหาใครก็ไม่ได้เพราะกลัวพวกเขาจะรู้ว่าข้าเป็นใคร
สุดท้ายก็วิ่งไปหลบตรอกนู้นตรอกนี้จนหิวมาก..สุดท้ายก็เป็นลมจนเจ้ามาเจอนั่นแหละ..”
ข้าเล่าวิถีชีวิตแสนน่าอนาถของตนเองให้ฟัง
ใบหน้าของซิลเวอร์ดูละเหี่ยใจปนสงสารข้านิดหน่อย ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย
ข้ารอดมาได้อย่างครบสามสิบสองก็ดีแค่ไหนแล้ว ทำไมไม่มีคนชื่นชมข้ากันบ้าง
ข้าเบ้หน้าแล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงกระชาก
“แล้วเจ้าเถอะ!
บอกมาว่าเจ้าแมลงสื่อสารนั่นเป็นของใคร!?”
“ก็แค่แมลงสื่อสารธรรมดาของพวกโจรแถวนี้..พวกนั้นจะปล่อยแมลงพวกนี้บินให้ว่อนเพื่อเตรียมขโมยของพวกชาวบ้าน
ที่มันปล่อยมาก็เพื่อดักฟังจะได้รู้ทำเล เวลาในการปล้นก็แค่นั้น
เดี๋ยวนี้พวกชาวบ้านโดนยกเค้ากันบ่อย เลยต้องระวังแมลงพวกนี้เป็นพิเศษ”
อ๋อ..งั้นข้าก็โชคร้ายที่ถูกพวกมันตามติดงั้นสิ..แต่เดี๋ยวนะ..แบบนี้พวกมันจะรู้แล้วหรือเปล่าว่าข้าคือเจ้าชาย!?
ซิลเวอร์เหมือนจะรับรู้ว่าข้าคิดอะไรอยู่
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “คิดว่าพวกนั้นคงจะรู้แล้ว..คงกำลังคิดว่าถ้าหากจับเจ้าไปส่งราชวังจะต้องได้เงินมหาศาล..ข้าคิดว่าเจ้าควรรีบกลับวังไปตอนนี้ดีกว่าถ้ายังไม่อยากโดนพวกโจรน่ารำคาญนั่นมาตอแย”
“ห..หา..เอาจริง..”
ถึงพวกนั้นจะไม่ฆ่าข้า..แต่การจะโดนพวกโจรจับไปมันไม่ใช่เรื่องตลกนะ! แถมถูกจับกลับไปที่วังอีก
ไม่ว่าจะต้องกลับด้วยวิธีไหนข้าก็ไม่ต้องการทั้งนั้นแหละ! ไม่เอา! ต่อให้ต้องบุกป่าฝ่าดงเขี้ยวจระเข้
ตะขาบ ตุ๊กแก ข้าก็จะไม่มีวันกลับไปเด็ดขาด!
ข้ากระตุกชายเสื้อของซิลเวอร์ “เดี๋ยว..ข้าขอไปกับเจ้า”
ซิลเวอร์ดูตกใจเล็กน้อยราวกับว่าคำพูดของข้าเมื่อกี๊เป็นการบอกว่าจะมีระเบิดตกลงมาที่นี่ในอีกสิบวินาที
“เจ้ากำลังล้อเล่น?”
“ไม่..ข้าไมได้ล้อเล่น..ข้าอยากจะไปกับเจ้า
พาข้าหนีไปที!” ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปข้าก็ซวยน่ะสิ
ซิลเวอร์ตีสีหน้าเย็นชา “ทำไมข้าจะต้องพาเจ้าไปด้วย..ข้าช่วยเจ้าแล้ว
เจ้าจะเลือกทางเดินไหนต่อก็แล้วแต่เจ้าเอง ข้าไม่มีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตใคร
อีกอย่างข้าเบื่อที่นี่ พรุ่งนี้ก็คงจะไป ข้าไม่คิดจะหอบ
คนร่างกายอ่อนแอไปด้วยหรอกนะ..อีกอย่างตอนนี้เจ้าควรจะนอนพัก
นอนแล้วคิดหาหนทางของตัวเองซะเถอะ”
“ด..เดี๋ยวสิฟะ!” ร่ายยาวตัดเยื่อใยกันเลยเรอะ!
เจ้าซิลเวอร์หน้าตาย โหดร้ายที่สุด!
ข้ากัดฟันพยายามมองอีกฝ่ายตาปริบๆเพื่อเรียกร้องคะแนนความสงสาร
แต่ใบหน้าเย็นชาไร้ซึ่งความเห็นใจผู้อื่นก็ยังคงเหมือนเดิม
ไม่มีความรู้สึกสงสารข้าเลยแม้แต่น้อย ข้าเลยบีบน้ำตาเรียกคะแนนความสงสารเพิ่มอีก
“ได้โปรดเถอะซิลเวอร์..ข้า..ข้าไม่มีที่ไปแล้ว..”
ซิลเวอร์ชะงักเมื่อเห็นน้ำตาของข้า..เขานิ่งไป...นิ่งสนิท..แบบนี้หลงมารยาของข้าแล้วใช่ไหม..ข้าอุตส่าลงทุนบีบน้ำตาด้วยตัวเอง..ข้ามองอีกฝ่ายอย่างลุ้นระทึกปนขอร้องราวกับว่านี่คือสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะสามารถขอกับเขาได้ในชีวิต..นัยย์ตาของซิลเวอร์มีความรู้สึกสับสนปนเข้ามา...
ก่อนจะสบัดมือข้าออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
“คิดหาทางซะ
ข้าจะอาบน้ำ”
ไอ้คนใจดำ!!
องค์หญิงแห่งมนุษย์กำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีขณะก้าวเท้าเดินผ่านทางเดินซึ่งรอบด้านทั้งซ้ายขวามีสวนดอกไม้สวยงามตระการตา
นี่คือทางเดินเชื่อมต่ออาคารระหว่างวังหลวงและอาคารสำหรับการแพทย์ ใบหน้าของเธอดูสดใส
ผมสีน้ำตาลทองและใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักยิ่งส่งเสริมให้ความน่ารักเปล่งประกายขึ้น
ถ้าไม่ติดว่ารอยยิ้มนั่น.เป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายจนถ้าใครมาเห็นต่างก็ต้องขนลุกกันเป็นแถบ
เด็กสาวเดินเข้ามายังตำหนักแพทย์หลวง
ภายในมีหนังสือเต็มไปหมดและยังแถวยาประหลาด ดูราวกับโถงวิทยาศาตร์ปนหอสมุดกลายๆ
มุมห้องมีตู้กระจกและสัตว์ตัวเล็กๆอยู่ภายใน
พวกมันเป็นสัตว์วิเศษที่สามารถนำมาใช้ในการรักษาทางการแพทย์ได้
อย่างเช่นน้ำลายของกิ้งก่าห้าสีในตู้ที่สามสามารถแก้อาการปวดเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ
นับว่าเป็นยาขนานดีที่ได้รับการยอมรับจากทางวังหลวง
ถึงแม้มันจะมาจากตัวประหลาดไปสักหน่อยก็ตาม เวริซิก้าไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น
เธอเดินตรงเข้าไปด้านในสุด ก่อนเดินขึ้นบันไดวนไปยังชั้นสอง
พรมแดงปูราดยาวไปจนถึงด้านในซึ่งมีห้องๆหนึ่งอยู่ติดริมหน้าต่าง
เวริซิก้าเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องนั้น
ประตูสองบานแกะสลักลวดลายสวยงามสมกับเป็นของทางราชการ
เธอลองเคาะประตูดูไม่นานเสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้น “ใครครับ?”
“เราเอง..”
“หืม..องค์หญิงเวริซิก้าสินะครับ
เชิญเลยครับ”
เวริซิก้าเปิดประตูเข้าไปในห้อง
ภายในมีต้นไม้รวมถึงสัตว์มากมายอยู่ในตู้กระจก
เธอมองดอกไม้ที่มีฟันแหลมคนกำลังเบียดเสียดประจกอยู่พลางมองมาทางเธอ..นอกจากนั้นยังมีชั้นหนังสือรายล้อม
ทั้งแฟ้มเอกสารงานหรือหนังสือต่างๆถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ เธอปิดประตูเบาๆ
เดินเข้าไปหาชายหนุ่ม
ผมสีน้ำตาลเคลือบเทากำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างในแฟ้มเอกสาร
เมื่อเห็นเธอเขาก็โค้งตัวให้ช้าๆ พร้อมรอยยิ้มสดใส
“สวัสดีครับองค์หญิง
ไม่คิดว่าคุณจะมาหาผมด้วย” เขาเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร เวริซิก้าหัวเราะในลำคอ “เราอยากจะมาหาใครก็ได้ทั้งนั้น
ที่เรามาหาเจ้าวันนี้เพราะเรามีเรื่องจะต้องคุยกับเจ้า”
ดวงตาสีเขียวมององค์หญิงน้อยอย่างสนใจใคร่รู้
เขาเชิญให้เด็กสาวนั่งดื่มชาด้วยกันสักเล็กน้อยซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธ
เวริซิก้ามองท่าทางและรอยยิ้มสดใสอย่างแอบขัดใจเล็กๆ
“เฮ้อ..เราไม่อยากจะเสวนากับคนอย่างเจ้านัก
แต่เพราะมีเหตุจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าช่วยเหลือ ดังนั้นเราหวังว่าเจ้าจะยอมช่วยเรา”
“ครับ..ถ้าเป็นความต้องการของคุณ
ผมก็พร้อมจะช่วยเสมอครับ แต่ว่ามันคืออะไรเหรอครับที่จะให้ผมช่วย?
หรือว่าคุณจะถูกใจต้นไม้กินคนคราวก่อนเลยอยากจะได้ไปเลี้ยงอีกสักต้น?”
ชายหนุ่มมองเธอด้วยแววตาเป็นประกาย องค์หญิงน้อยยิ้มมุมปาก “ถ้าเป็นเจ้าต้นไม้นั่น
ข้าฝังมันลงดินไปแล้ว ไม่ต้องเอามันมาอีก”
ชายหนุ่มคอตก
“งั้นหรือครับ..น่าเสียดายจริงๆ..แล้วคุณมีเรื่องอะไรครับ?”
เวริซิก้ามองท่าทางที่กลับมาร่าเริงดังเดิมแล้วรู้สึกขนลุก
อยากจะรีบลุกหนีจากที่ตรงนี้ให้ไวๆ..”เจ้าคงจะรู้ว่าอีกไม่นานอาณาจักรดีอาร์และมาเรย์กำลังจะมาที่นี่เพื่อทำการคัดเลือกราชาแห่งสามอาณาจักร..พวกเขาคงจะรู้ข่าวที่เจ้าชายหายตัวไปจากชาวเมืองแล้วแน่ๆ...มันจะกลายเป็นปัญหาถ้าหากผู้ตัดสินอย่างท่านพี่ยังไม่กลับมาเช่นนี้...”
“แล้วจะให้ผมทำยังไงละครับ? หรือจะให้ผมไปตามหาตัวองค์ชายเหมือนคนอื่นๆ?”
เขาถามด้วยรอยยิ้ม เวริซิก้าเอ่ยเสียงเย็น “ไม่มีทาง..เรามีหน้าที่อื่นที่น่าสนใจสำหรับเจ้ายิ่งกว่านั้น”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“เห็นว่าเจ้ากำลังหาเหยื่ออยู่ไม่ใช่หรือ..ข้าจะให้เจ้าเป็นคนรองรับคนจากทั้งสองอาณาจักร..และให้สิทธิ์เจ้าในการ
“เลือก” เหยื่อของเจ้าเอง..แต่เจ้าจะต้องหาวิธีทำให้เขามาเป็นเหยื่อของเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง
ทำอย่างไรก็ได้ให้สองอาณาจักรนั้นสั่นคลอนที่สุด เพื่อยืดเวลาในการตามหาท่านพี่...และจงเลือกคนที่เป็นกำลังสำคัญในแต่ละอาณาจักรมา..จะเลือกใครก็แล้วแต่เจ้า
ขอแค่เป็นการตัดกำลังทั้งสองฝ่ายได้มากที่สุดก็พอ”
เวริซิก้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ท่าทางของชายผมสีเทาเปลี่ยนไป..ดวงตาสีเขียวและรอยยิ้มร่าเริงอยู่เป็นมิตรกำลังยิ้มกว้างขึ้น..กว้างขึ้นไปอีก..มือที่ถือแฟ้มเอกสารกำแน่น
ใบหน้าดูดีของผู้ใหญ่ในตอนนี้กำลังสั่นและยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ
ก่อนเขาจะตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส
“แน่นอนครับองค์หญิงเวริซิก้า! ผมจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด!”
เวริซิก้าลุกจากเก้าอี้
ถือว่าการมอบหมายงานในครั้งนี้สำเร็จลงด้วยดี
เธอมองสัตว์ประหลาดในตู้กระจกกำลังหวีดร้อง
และทุบตู้อย่างทรมานราวกับว่ากำลังโดนอะไรบางอย่างทำร้ายทั้งๆที่พวกมันไร้ซึ่งบาดแผล..
ก็น่าจะรู้ดี...ว่าทั้งหมดนี่มันเป็นฝีมือของใคร
“เจ้ายังน่าขนลุกไม่เปลี่ยน...ครูส
บาสเตียน...แล้วก็อย่าลืมหน้าที่ของเจ้าละ”
ครูสแสยะยิ้มออกมา
มองเด็กสาวผมยาวเดินออกจากห้องของเขาไป ชายหนุ่มลุกขึ้นพลางหัวเราะกับตนเอง
นึกถึงเหยื่อที่เขาจะได้จับในวันข้างหน้า มือหมุนเข็มฉีดยาไปมา ก่อนขว้างไปปักที่กลางลำต้นของดอกไม้ซึ่งกำลังคลานมาหาเขาบนพื้นจนมันหวีดร้องและแน่นิ่งไป..
“ฮะๆๆ...น่าสนุกจริงๆเลยนะครับ..คุณหมาแมวผู้น่ารัก...จะมีใครทำให้ผมสนใจได้บ้างไหมน้า..”
--------------------------------------------------------------------
ตอนที่สองมาแล้ว..แฮ่...
ขอบคุณมากเลยค่ะที่ช่วยบอกเรื่องคำผิดและวิจาร์ณ ไรท์จะพยายามปรับปรุงนะคะ ;w;
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าชายจะได้ที่พึ่งต้องเกาะไว้ดีๆ...ไรท์ขอเตือนว่าคุณหมาคุณแมว..ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะคะ..หึหึ
ถ้ามีผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ!
เจอกันตอนหน้านะคะ!
ความคิดเห็น