ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    CAT VS DOG มหาสงคราม..แมวปะทะหมา!

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่สอง : นักเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.ย. 58


     




     

    บทที่สอง

    นักเดินทาง

     

     

     

              

                เสียงร้องก้องกังวานของนกประหลาดดังก้องไปทั่วปราสาทแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางหมอกสีเทาหนาทึบดูไร้ชีวิตชีวาและเงียบเหงา บรรยากาศรอบด้านต่างถูกปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็น จนดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถอาศัยอยู่ได้ ภายในปราสาทเต็มไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงสว่างเล็กๆจากตะเกียงสีขาวติดอยู่รอบๆ ภายในห้องโถงซึ่งมีบันไดยาวไปสู่บังลังก์สูง มีร่างหนึ่งของชายร่างสูงในชุดชั้นสูงดั่งเช่นกษัติรย์นั่งอยู่บนบังลังก์ แต่ด้วยความมืดทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนนัก รอบตัวของเขาไร้ซึ่งผู้คนมีเพียงตัวเขาซึ่งนั่งอยู่เบื้องบนเพียงผู้เดียว

     

                บรรยากาศเงียบเหงาสร้างความเบื่อหน่ายให้กับเขายิ่งนัก เมื่อนั่งอยู่ตรงนี้นานๆยิ่งรู้สึกว่าอยากจะงีบหลับไปสักตื่นสองตื่น

     

                เพียงแต่เขากำลังรออะไรบางอย่างอยู่ แม้มันจะเหงาแค่ไหน หรือเสยีงนกที่กำลังร้องจะน่ากลัวสักเพียงใด แต่ด้วยชินชาทำให้บนใบหน้าของเขามีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่เป็นนิจ

     

                ปราสาทแห่งนี้ร้างลาผู้คนมานานมากแล้ว เขาก็มักจะมาเยือนที่แห่งนี้นานๆครั้ง ครั้งนี้ออกจะพิเศษหน่อยเพราะถ้าหากไม่มีอะไรตอบแทน เขาคงจะไม่ยอมมา เนื่องจากอากาศเย็นๆรอบปราสาททำให้เขาไม่ค่อยชอบมันนัก

     

                “ฮ้าว...” ง่วง..คือความรู้สึกถัดมาจากเบื่อ ดีไม่ดีความรู้สึกถัดไปอาจจะเป็น “อยากกลิ้งลงบันไดเพื่อหาความตื่นเต้นให้กับตัวเอง” ก็เป็นได้

               

    มันน่าเบื่อเสียจริง..

     

                อยากจะไปจากที่นี่จะแย่อยู่แล้ว...ถ้าหากไม่ใช่เพราะ “เจ้าพวกนั้น” บอกว่ามีข้อมูลอะไรน่าสนใจมาละก็ เขาจะไม่ยอมมาเด็ดขาด..

     

                “หึหึหึ ท่าทางกำลังเบื่อได้ที่เลยเชียวนะครับ..” เสียงชวนน่าขนลุกดังขึ้นมาจากในความมืด เสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะทำให้คนบนบังลังก์เปรยตาลงไปมองผู้มาใหม่ ผมสั้นสีเทาดูยุ่งเหยิงอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร เส้นผมยุ่งเหยิงของผู้มาใหม่ปิดใบหน้าและตาของเขาจนเห็นเพียงแค่ใบหน้าครึ่งล่าง หากแต่การแต่งตัวในชุดดูสุภาพเรียบร้อยก็ยังพอจะช่วยสร้างบุคลิกที่ดีให้กับเขาได้บ้าง..

     

                ถ้าไม่นับในเรื่องเสียงหัวเราะชวนน่าขนลุกนั่น

     

                “มันไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกรึ ที่ทำให้ข้าต้องรอ..” คนสูงศักดิ์เอ่ยด้วยน้ำเสียเบื่อหน่าย

     

                “หึหึหึ...ขอโทษด้วยนะครับ..พอดีว่าทางเรามีปัญหานิดหน่อย..คุณอยากจะลองฟังดูไหมละ..?” เสียงน่าขนลุกเอ่ยถาม หากแต่ใบหน้าของผู้ถูกถามยังคงเรียบเฉยและไม่ได้ตอบรับอะไร “เล่นด้วยยากจริงๆนะครับ หัดมีอารมณ์ขันเสียบ้างสิ”

     

                “อย่าพูดมาก รีบบอกข้ามาได้แล้ว...ก่อนที่ข้าจะอารมณ์เสีย..โทมะ..” เสียงเย็นๆกดดัน ชายหนุ่มนามโทมะยังคงรอยยิ้มเอาไว้เช่นเดิม

     

                “ผมเองก็จำไม่ได้ด้วยสิ..ฮะๆ..นี่ๆ..ฮาคุมาบอกแทนทีสิ” เขาโบยไปให้อีกคน เมื่อถูกเรียกทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อเดินออกมาจากความเงามืด ดวงตาสีน้ำตาลส้มมีแววตาเรียบเฉย เขาก้มลงอ่านหนังสือในมืออย่างไม่คิดจะสนใจคนข้างกาย เด็กหนุ่มสวมผ้าปิดปากสีขาวเอาไว้ ทำให้บดบังใบหน้าครึ่งล่างไปจนหมด ผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอแตกต่างจากพี่ชายโดยสิ้นเชิง..

     

                พี่ชายโรคจิตที่ชื่อว่าโทมะ..

     

                ดวงตาของชายบนบังลังก์เปลี่ยนเป้าหมายไปทางคนสวมผ้าปิดปากแทน ฮาคุรับรู้ได้ถึงสายตานั้นจึงถอนหายใจ “เข้าใจแล้วครับ...”

     

                ก่อนจะหันกลับไปมองในความมืด เรียกเสียงถอนหายใจจากคนในเงามืดอีก “ผมอีกแล้วสินะ..เฮ้อ...”

     

                ร่างของชายหนุ่มอีกคนก้าวออกมา เขามีผมสั้นสีดำสนิท และดวงตาสีส้มน้ำตาลดั่งพี่น้องของตนเอง แต่ใบหน้าบางส่วนกลับถูกบดบังด้วยฮู้ด ใบหน้าเฉยชาแต่คิ้วที่ขมวดอยู่ก็บ่งบอกอารมณ์ได้ชัดเจนว่ากำลังหงุดหงิดและไม่อยากจะพูดอะไรนัก แต่ในเมื่อพี่ๆน้องๆต่างขับไสไล่สงให้มาพูดจึงต้องยอมรับไปแต่โดยดี

     

                “ตอนนี้ดูเหมือนว่าการแย่งชิงตำแหน่งราชาจะยังไม่เริ่มขึ้นครับ...เพราะมีข่าวว่าเจ้าชายเวนเซนต์แห่งแดนมนุษย์ผู้ทำหน้าที่ตัดสินหายตัวไป..ไม่สิ..จากข่าววงในบอกว่าเขาจงใจหนีไปครับ ทำให้ตอนนี้ทุกฝ่ายต่างกำลังร้อนรนเนื่องจากต้องต้อนรับผู้ถูกเลือกจากอาณาจักรดีอาร์และมาเรย์ครับ”

     

                ชายหนุ่มสวมฮู้ดนามเรียวมะเอ่ย เขาอยากจะบิดหูน้องสองคน..แต่ก็ต้องสงบใจเอาไว้เนื่องจากอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนาย ชายบนบังลังก์พยักหน้ากับข้อมูลที่ได้รับมา แล้วถอนใจเมื่อรับรู้ว่าสถานการ์ณมันกำลังแย่พอสมควร...”ถ้าเป็นแบบนี้ข้าคงจะอยู่เฉยไม่ได้..”

     

                “หืม..ไม่ค่อยเห็นเลยนะครับ..ว่าคุณจะลงมือด้วยตัวเอง..” โทมะยกรอยยิ้มกวนๆขึ้น น่าเสียดายที่ไม่เห็นดวงตาของเขาภายใต้ผมสีเทานั่น แต่ถ้าเห็นจริงๆมันอาจจะทำให้เส้นความอดทนของคนเบื้องบนขาดผึงได้

     

                “เงียบเถอะครับ..” เสียงของน้องเล็กอย่างฮาคุเอ่ย แม้การพูดใต้ผ้าปิดปากเสียงจะฟังดูคลุมเครือก็ตาม แต่เขาก็ไม่เลือกจะถอดออก..

     

                ร่างบนบังลังก์ถอนหายใจกับข้ารับใช้ของตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นและก้าวย่างลงจากบันไดอย่างเชื่องช้า เมื่อลงไปเขาก็ปลดผ้าคลุมจากชุดหรูหราของตนออกแล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่คิดจะสนใจ โทมะผิวปาก ส่วนเรียวมะได้แต่มองการกระทำนั้นนิ่งๆโดยไม่พูดอะไรเช่นเดียวกับฮาคุ

     

                “เอาเถอะ...จากนี้ก็ขอฝากด้วยแล้วกัน”

     

                เขาเอ่ยกับข้ารับใช้ทั้งสามก่อนร่ายเวทย์ข้ามมิติสีครามขึ้นมา มันเป็นหลุมลึกสีดำดูไม่มีจุดสิ้นสุดก่อนมันจะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นจนกลืนกินร่างของชายสูงศักดิ์ไปทั่วทั้งร่างจนหายไปจากสายตาของข้ารับใช้ทั้งสาม เขาพึมพำออกมาเบาๆกับตัวเอง

     

                “หวังว่าเจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมาเสียก่อน..องค์ชายของพวกเรา..”

     

               

     

     

                “ดูเหมือนว่าองค์ชายเวนเซนต์จะหายตัวไปละ..ข้าได้ยินว่าตอนนี้พวกทหารตามหากันให้วุ่น..เห็นว่าถ้าพบตัวจะได้รับรางวัลก้อนโตเชียว!

     

                “จริงเหรอ..? น่าสนใจจริง แต่ข้ายังต้องเลี้ยงดูลูกคงจะไปช่วยตามหาไม่ได้..”

     

                “ลูกชายข้าสนใจละ..เห็นบอกว่าจะลองออกไปตามหาดู ว่าแต่คนที่จับตัวองค์ชายไปต้องการทำอะไรกันแน่นะ..”

     

                เสียงกระซิบพูดคุยของแม่บ้านนับหลายคนดังขึ้นเบาๆในมุมหนึ่งของตลาดอันแสนคึกคัก เพราะเสียงของแม่ค้าพ่อค้าซึ่งกำลังโฆษณาบ่งบอกสรรพคุณสินค้าของตนเองทำให้เสียงกระซิบเหล่านั้นหายไปจนไม่มีใครได้ยิน ภายในตลาดยามเช้าสินค้าจำพวกหญ้าเปลวเพลิงจะขายดีเป็นพิเศษ เนื่องจากที่นี่คือเมืองตอนเหนือของดินแดนมนุษย์ทำให้มีอากาศหนาวกว่าที่อื่นมาก

     

                ท้องฟ้าสีเทาไม่มีแสงแดดเนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูหนาว ผู้คนต่างใส่เสื้อคลุมกันหนาวเอาไว้เพื่อป้องกันความเย็นกัดกร่อนผิวกาย บ้านของที่นี่ดูจะแปลกตาเนื่องจากมีปล่องไฟและเตาผิง แตกต่างต่างจากทางตอนใต้ซึ่งมีอากาศร้อน แต่ถึงอากาศจะหนาวเพียงใดก็ยังมีคนหลายคนอุตส่าตื่นมาเดินตลาดในตอนเช้าอันหนาวเหน็บเช่นนี้อยู่ดี

     

                ไอเย็นสีขาวออกมาจากลมหายใจของเด็กหนุ่มในเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีดำตัวหนาและกางเกงขายาวสีดำ รองเท้าบูตเหมาะสำหรับอากาศเย็น เขาเดินผ่านฝูงชนมากมายในท้องตลาด ผมสีแพลตตินั่มบลอนด์โผล่ออกมาจากฮู้ดสร้างความสนใจให้กับบางคนในตลาดที่เห็นไม่น้อย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่เงยหน้าขึ้นสบตา เร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของเขาโดยเร็ว

     

                มือทั้งสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อกันหนาว ภายในเมืองทางเหนือเล็กๆอย่างเรเฮลน่าแห่งนี้มีเส้นทางเดินคดเคี้ยวจนถ้าหากไม่อยู่เมืองนี้มานานก็อาจจะหลงทางเอาได้ง่ายๆ เขาก้าวเดินไปตามเส้นทางแคบๆอย่างชำนาญ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักทำให้เขาเดินอยู่ในตรอกเล็กๆนี่เพียงคนเดียว

     

                อากาศวันนี้หนาวจับใจแต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาเท่าไรนัก แต่ขาทั้งสองข้างก็ชะงักเมื่อเห็นอะไรบางอย่างสะดุดตาบนกำแพง มันคือโปรเตอร์ซึ่งมีรูปเคลื่อนไหวจากพลังเวทย์ หรือก็คือโปสเตอร์พลังเวทย์ที่ใช้สำหรับติดประกาศตามหาคน

     

     

              “ประกาศตามหาตัวองค์ชายแห่งแดนมนุษย์ เวนเซนต์ รอวซ์เซินต์ ถ้าหากใครพบเห็นกรุณาส่งตัวให้ทหารหรือป้อมปราการอัศวินประจำเมือง หรือกรุณาส่งสารเวทย์แจ้งมายังพระราชวัง ถ้าหากผู้ใดนำข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการหาตัวขององค์ชาย หรือสามารถพาตัวองค์ชายกลับมาได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม”

     

    จาก ป้อมปราการอัศวินหลวง

     

     

                ประกาศจับ...

     

                ไม่สิ..มันไม่มีคำว่าจับเป็นหรือจับตาย อีกอย่างอีกฝ่ายเป็นถึงเจ้าชายแห่งแดนมนุษย์ ก็คงจะเป็นป้ายประกาศตามหาทั่วไป..แล้วยังเรื่องที่พวกชาวบ้านพูดเมื่อกี๊ ก็คงจะเป็นเรื่องจริงที่เจ้าชายแห่งแดนมุนษย์หายตัวไป

     

     

                เพราะประสาทสัมผัสที่ไวกว่ามนุษย์ทำให้เขาสามารถได้ยินเรื่องราวต่างๆที่พวกแม่บ้านเหล่านั้นพูดได้ชัดเจน ถ้าหากเป็นมนุษย์คงจะไม่สามารถได้ยินชัดเจนเพราะจะมีเสียงรบกวนจากภายนอกดังขึ้นมาตลอด ดวงตาสีฟ้าใต้ภายใต้ฮู้ดมองภาพของเจ้าชายแห่งแดนมนุษย์นิ่งๆ ถือว่าใช้ได้ แต่ดูจะอ่อนแอไปหน่อยเพราะดูไม่มีกล้ามเนื้อเลย..ถ้าหากถูกจับไปจริงๆจะไปทำอะไรได้หรือ..

     

                แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับเขา

     

                แล้วทำไมเขาจะต้องมานั่งวิจาร์ณรูปร่างคนอื่นด้วย?

     

                เขาละความสนใจจากป้ายประกาศบนกำแพง อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาสักหน่อย เขาไม่ได้ลำบากเรื่องเงินหรือต้องการตัวองค์ชายที่ว่านั่นขนาดนั้น ขานึงก้าวไปข้างหน้าเตรียมออกเดินแต่กลับสะดุดกับอะไรบางอย่างบนพื้น

     

                ดวงตาสีฟ้าเลื่อนต่ำลงไปมอง..ผมสีครีมอันแสนคุ้นเคยราวกับว่าพึ่งเห็นเมื่อกี๊มาหมาดๆ ร่างของคนๆนึงกำลังนอนแผ่อยู่ใต้เท้าของเขาในชุดสกปรกมอมแมม หน้าคว่ำดิน แต่เมื่อเห็นว่ามีปลายเท้าแปลกหน้ามาสะกิดตนทำให้ร่างนั้นสั่นไหวน้อยๆ มีเสียงร้องโอดโอยขึ้นมา..

     

                “ช..ช่วยด้วย..”

     

                ก่อนมือสั่นๆที่ยังพอจะขยับได้ของเจ้าของร่างจะจับขาของเขาเอาไว้

     

     

     

     

                “เฮ้อ..ค่อยยังชั่ว!!

     

                เสียงอันอบอุ่นถอนหายใจออกมาเบาๆขณะบนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเนื่องจากพึ่งจะรอดพ้นความตายมาได้หมาดๆ...หึหึ..ข้าบอกแล้วว่าข้านั้นอึด ถึก ทน ไม่ตายง่ายๆ..

     

                คิดถึงข้ากับละซี้ ไม่ต้องสนใจพวกสองหน้าข้างบนหรอก สนใจข้ากันดีกว่า น่ารัก อบอุ่น แถมยังหล่อกว่าเยอะ ข้ายิ้มอย่างอารมณ์ดีกุมแก้วนมร้อนในมือแน่น มันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยชีวิตข้าขึ้นมาจากความหนาวเย็นจับใจของอากาศอันโหดร้ายภายนอก

     

                ตอนนี้ข้าอยู่ในห้องอุ่นๆของโรงพักแรมแห่งหนึ่งในย่านตัวเมือง แน่นอนว่าไม่ใช่ของข้า..แต่เป็นของคนที่กำลังทำหน้าตายอยู่ข้างๆข้าต่างหาก ข้าไม่รู้ว่าเขาทำไมถึงต้องจ้องข้านัก หรือว่ากำลังเคืองกับคำพูดของข้าที่ว่าโล่งอก? หรือว่ากำลังเสียดายร้อนที่ข้ากำลังดื่ม...บางทีเขาอาจจะเป็นพวกติดนมมากก็เป็นได้ โอ้..นี่ข้าบังอาจไปแย่งนมอันแสนรักของเขารึ..ด้วยความเป็นคนดีมีน้ำใจข้าจึงยื่นแก้วนมไปให้

     

                “ดื่มด้วยกันไหม?

     

                เขามองแก้วนมซึ่งมีไอสีขาวออกมาแล้วส่ายหน้า “ไม่เป็นไร”

     

                เจ้าพูดเองนะ ดังนั้นข้าจะถือว่านมร้อนแก้วนี้เป็นของข้า ถ้าคิดจะมาแย่งกลับไปข้าจะถือว่าเจ้าเป็นพวกผิดคำพูด ข้ายกนมในแก้วซดอีกครั้งให้คลายความหนาวในร่างกาย ตอนนี้ข้ากำลังนั่งอยู่บนเตียงมีผ้าห่มอุ่นๆค่อยห่มให้ ส่วนชายตรงหน้าข้ากำลังนั่งอยู่บนเตียงเช่นกัน..

     

     

                เขาเป็นชายมีผมสีแพลตตินั่มบลอนด์สวยดูน่าอิจฉา ใบหน้านิ่งๆดูหล่อเหลาติดสวย แต่ด้วยส่วนสูงที่สูงกว่าข้าทำให้เขาดูมีความเป็นชายหล่อเหลาแสนเพอร์เฟ็คจนข้าอิจฉา ไม่ว่าใครจะหล่อข้าก็อิจฉาหมดนั่นแหละ...

     

                และข้าก็สงสัย..ว่าทำไมคนหล่ออย่างพวกเจ้าถึงต้องขยันทำหน้าตายกันนัก

     

                หัดดูข้าเป็นตัวอย่างซะบ้าง ถ้าหากข้าได้หน้าหล่อๆแบบนั้นบ้าง พ่อจะยิ้มเป็นทานตะวันไปเป็นปีเลยคอยดู

     

                “ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหรือ? ขอบคุณมากนะที่ช่วยข้าเอาไว้..ถ้าไม่ได้เจ้าข้าคงจะนาวตายตรงนั้นเป็นแน่” ข้าเอ่ยขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบไปกว่านี้ ไหนๆก็ไหนๆเขาก็ช่วยข้าเอาไว้ จะละจากการตั้งป้อมเป็นศัตรูไว้คนนึงก็ได้

     

                ชายใบหน้านิ่งมองคนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเบา “ซิลเวอร์..โคลว์..”

     

                “ชื่อเจ้าดูดีนะ แต่หน้าตายไปหน่อย” ข้าพูดออกมาตรงๆ ถือว่าข้าขอกัดเจ้าเลยแล้วกัน

     

                ซิลเวอร์มองเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด..เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเรื่องราวต่างๆอย่างไรดี หรือจะถามอะไรออกไปดี...ที่แน่ๆอีกฝ่ายเป็นคนในโปสเตอร์แน่ๆ เหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน..เพียงแต่เขาควรจะเริ่มถามเลยดีหรือเปล่า แถมยังพึ่งถูกวิจาร์ณหน้าตาตรงๆยิ่งทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก

     

                ข้าควรจะเริ่มถามยังไงดี..

     

                ซิลเวอร์คิดในใจ ก่อนเสยผมของตนเองอย่างใช้ความคิด แอบเหล่มองแหวนสีขาวบนมือของตน..ควรจะถอดออกก่อนดีไหมนะ..แต่เอาเถอะ อย่างไรเสียแหวนนี่ก็เป็นสิ่งลบเลือนเผ่าพันธุ์ของเขา..อีกฝ่ายคงไม่รู้หรอกเพราะเป็นแค่เจ้าชายธรรมดา ยิ่งมองแหวนบนนิ้วสลับกับเจ้าชายก็ยิ่งเครียดกับสองปัญหาที่รุมเร้า

     

                ข้ามองคนที่ทำหน้าเหมือนหนักใจมาก..ไม่รู้ว่าเขาจะหนักใจอะไรกับข้านักหนา การเสยผมนั่นดูมีเรื่องเครียดมากนักหรือไง สักวันข้าจะขอให้ผมเจ้ามันร่วงเพราะถูกเสยมากเกินไปเผื่อว่าข้าอาจจะหน้าตาดีเทียบเท่าได้บ้าง

     

                แต่ก็ได้แต่คิดในใจเท่านั้น ข้าพึ่งรู้ว่าคนหล่อทำอะไรก็ยังหล่อ ขนาดเขากำลังทำหน้าเครียดก็ยังหล่ออยู่ดี

     

                “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ดูเครียดๆนะ” ข้าตัดสินใจถามออกไป หรือว่าข้าไปเผลอพูดอะไรไม่ดีหรือ

     

                ซิลเวอร์มองเจ้าตัวที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ท่าทางเขาคงจะต้องเริ่มเป็นฝ่ายถามก่อน เขาไม่ซีเรียสอะไรหรือดีใจอยู่แล้วถ้าจะช่วยเหลือเจ้าชายได้ เพียงแต่เขาควรจะถามก่อนสินะว่าให้ส่งตัวกลับวังไหม..

     

                แล้ว..ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้..

     

                แนบเท้าเขาเลยด้วย..

     

                “นี่..นายน่ะทำไมถึงมาอยู่ที่เรเฮลน่าแห่งนี้ได้..เจ้าชายเวนเซนต์..” เขาถามเปิดประเด็นตรงๆ มองคนตกใจกับคำพูดเมื่อครู่นิ่งๆ

     

                เวนเซนต์หน้าซีด..ใช่..ข้าหน้าซีด..

     

                โถ่..พระเจ้าให้ดิ้นตาย..แม้แต่เจ้าซิลเวอร์อะไรนี่ก็รู้เหรอว่าข้าเป็นเจ้าชาย..! หนีเสือปะจระเข้ หนีลมพายุฝนมาเจอคนที่ดันรู้ตัวจริงของข้า..นี่พระเจ้าตั้งใจจะกลั่นแกล้งข้าหรือเปล่า หรือว่าต้องการอะไรกัน! ข้าสบกับดวงตาเย็นชาแต่แฝงด้วยความรู้สึกบางอย่างนั้นและวางแก้วนมเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียง

     

                ข้าควรจะตอบอะไรดี..หรือว่าควรจะเอาแก้วนมร้อนฟาดหัวมันให้สลบแล้วหนีไป?

     

                แต่มันจะเป็นการทำร้ายผู้มีพระคุณเกินไปหรือเปล่า..ข้าไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นคนเลวที่สามารถทำร้ายแม้กระทั่งคนที่หวังดีช่วยข้าออกมาจากความหนาวได้ลงคอ ข้าไม่ได้อกตัญญูขนาดนั้น..

     

                สุดท้ายข้าก็เลือกจะคุยกับเขาตรงๆ..เพราะถ้าหากเอาแก้วนมฟาดไปจริงๆแล้วเขาเกิดหลบได้..นั่นคงจะเป็นจุดจบที่ไม่สวยนัก..

     

                “เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไร” ถ้าหากรู้ตั้งนานก็ช่วยอย่าตอกย้ำความโง่ของข้าเลยเถอะ ข้าอาจจะฉลาดขึ้นมาบ้าง ข้ามองสีหน้าชองอีกคน ทำไมต้องทำหน้าลำบากใจด้วย!

     

                “ไม่..ไม่..คือข้าพึ่งเห็นเจ้าจากโปสเตอร์บนกำแพง..มีรูปของเจ้า..มันเป็นประกาศจากทางวังหลวง..” เขาตอบเสียงเย็นๆ

     

                “หา..นี่แม้กระทั่งประกาศจับก็ยังทำเหรอ!?

     

     

                นี่พวกมันเห็นข้าเป็นนักโทษแขวนคอรึไง ถ้าหากพวกมันไม่บอกฐานะว่าข้าเป็นใคร ถ้าหากพวกชาวบ้านคิดว่าข้าไม่ใช่เจ้าชายแห่งแดนมนุษย์คงจะตามมาเสียบคอข้า ตัดเศษชิ้นส่วนไปให้พวกอัศวินและบอกว่าขอรางวัลหน่อยพลางฉีกยิ้มราวกับว่าตนเองพึ่งล่าเนื้อชั้นดีได้ และเนื้อชั้นดีนั่นก็เป็นข้าซึ่งโดนฆาตรกรรมอย่างโหดร้ายทารุณ

     

                ไม่..ไม่เอา!

     

                ข้าผุดลุกขึ้นเตรียมหยิบแก้วนมคู่ใจที่บัดนี้ข้ายึดมันเป็นคู่หูไว้เป็นอาวุธ

     

                “นั่นเจ้าจะไปไหน?” ซิลเวอร์ถามพลางลุกขึ้นตามข้า “ข้าจะไปดึงใบประกาศจับออกให้ทั่วเมือง”

     

                “เจ้าเป็นบ้า?” เขาถามข้าพลางมองด้วยแววตา...มองแบบนั้นหมายความว่าอะไรหา!

     

                “ข้าไม่ได้บ้า..ดูสิ! พวกทางวังเล่นประกาศจับข้าราวกับนักโทษ..จากนี้ข้าไปไหนก็คงจะถูกตามล่าให้กลับวังเป็นแน่ ข้ายังไม่อยากถูกจับใส่กระสอบ กระลูดชูดถัง มอมยาสลบหรือถูกหิ้วขากลับเป็นหมูสามชั้น! ข้าอุตส่าหนีออกมาได้แล้วเชียวนะ!

     

                ใช่..ขืนต้องกลับไปอีกก็ฆ่าข้าเสียเถอะ!

     

                ซิลเวอร์เบิกตาโตเล็กน้อย “เจ้าหนีออกมา?

     

     

     

                อุ๊บ..ข้ารีบปิดปากตนเองอย่างไว..ซวยแล้วไง..ดันเผลอหลุดปากเรื่องที่ตนเองหนีออกมาอย่างโง่ๆ เมื่อเห็นว่าข้าดูน่าสงสัยมีพิรุธ ซิลเวอร์จึงกระชากแขนของข้าแล้วพาไปยังตรงระเบียงทำให้อากาศหนาวเข้ามากระทบใบหน้า และความสูงกว่าหาชั้นทำให้ข้ามองเบื้องล่างด้วยความหวาดเสียว..

     

                ย..อย่าบอกนะว่า..เขาเห็นว่าข้าเป็นคนดื้อรั้น อกตัญญู เลยคิดจะถีบข้าตกระเบียงให้ไปเกิดโลกหน้า!?

     

                โอ้..เกิดมาข้าพึ่งจะได้รับรู้ความรู้สึกของคนที่กำลังจะโดนฆ่าเป็นครั้งแรก...มันใช่เรื่องน่าดีใจซะทีไหนละโว้ย!

     

                “เจ้าจะทำอะไรซิลเวอร์!?” ข้าพยายามดิ้นให้หลุดจาการเกาะกุม แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายถึกกว่าข้าทำให้เขายังคงจับแขนข้าได้ไม่ปล่อย แต่ด้วยความรำคาญเพราะเห็นว่าข้าดิ้นมาก เขาเลยกระชากตัวข้าเข้าไปอยู่ในอ้อมอกอุ่นๆอันแข็งแกร่งนั้น มือเย็นๆเอื้อมไปแตะหลังต้นคอของข้าเบาๆจนข้าสะดุ้ง

     

                เย็น..

     

                “ซ..ซิล...”

     

                “เงียบก่อน”

     

                เขาเอ่ยขัดคำพูดทำให้ข้าชะงัก มือของเขาล้วงเข้าไปใต้เสื้อตรงแผ่นหลังของข้า ควานไปมาราวกับหาอะไรบางอย่าง เมื่อพบแล้วจึงจับมันก่อนค่อยๆเอามือออกมา จากนั้นน้ำแข็งก็พลันเกาะกุมสิ่งมีชีวิตเล็กๆในมือเขาจนมันกลายเป็นฟอสซิลแช่แข็งบนมือของซิลเวอร์ไปแล้ว

     

                “นี่มัน..แมลง?” ข้ามองของบนมือเขาอย่างอึ้งๆ

     

                “ใช่แล้ว..แมลงสื่อสาร ไว้สำหรับสื่อสารกันและกันระหว่างทำงานหรือใช้ในการแอบลอบติดตามหรือแอบลอบฟังข้อมูลก็ได้ ฉันเห็นมันขยับในเสื้อของนายเมื่อกี๊เลยมาเอาออกให้..มันค่อนข้างแพ้ความหนาว ถ้าอยู่ข้างในมันจะจับยาก” ซิลเวอร์อธิบายด้วยใบหน้านิ่งๆ

     

                เล่นเอาข้าเสียวไปถึงกระดูกสันหลังเลยนะเว้ย!

     

                “เอ่อ..ขอบคุณ..” อย่างน้อยข้าก็ควรมีมารยาทสินะ..ข้าผละออกจากอ้อมกอดอบอุ่นของอีกฝ่าย และเดินเข้าไปในห้อง ซิลเวอร์เดินเข้ามาตามพร้อมปิดประตูก่อนจะเอ่ยถาม

     

                “เอาละ..ที่นี้ก็ไม่มีใครคอยแอบฟังแล้ว..นายช่วยเล่าเรื่องทุกอย่างมาทีได้ไหมว่านายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง..รวมถึงจะทำอะไรต่อไป..เพราะฉันไม่อยากอยู่ที่นี่นาน”

     

                อะไรฟะ อย่าพูดเหมือนข้าเป็นตัวเกะกะได้ไหมเนี่ย..

     

                ถึงจะเป็นจริงๆก็เถอะ..ข้าถอนหายใจ นั่งลงบนเตียงผ้าห่มมาห่มคลุมตัวเอาไว้ ซิลเวอร์ตามมานั่งบนเตียงด้วยอีกคนพลางมองข้าราวกับจะสื่อว่ากำลังรอฟังอยู่

     

                ข้าเบ้ปาก..”ก็ได้ๆ..ข้าหนีออกมาจากวัง..เพราะข้าได้รับหน้าที่ให้ตัดสินตำแหน่งกษัติรย์แห่งสามอาณาจักรคนต่อไป..แต่ว่าพวกผู้ถูกเลือกที่เดินทางมาคัดเลือกมันมาจากอาณาจักรสุนัขกับแมว..ข้ากลัวพวกนั้นแถมยังแพ้ขนพวกมันเลยอยู่ใกล้ไม่ได้..สุดท้ายข้าก็เลยหนีออกมา..”

     

                ซิลเวอร์เลิกคิ้ว...”หืม..ทำไมเจ้าถึงกลัวพวกนั้น?

     

                “เหตุผลส่วนตัวเฟ้ย เห็นแบบนี้ข้าก็มีอดีตที่เจ็บปวดนะ!

     

                ซิลเวอร์ทำหน้าละเหี่ยใจราวกับกำลังคิดว่า จะมีจริงเหรอ..อดีตที่เจ็บปวดนั่น

     

                นี่เขาเห็นข้าเป็นคนยังไง!

     

                “ข้าจะเล่าต่อละ! หลังจากที่ข้าหนีออกมาข้าก็ดันถูกมังกรที่พาข้าหนีมาจากปราสาททิ้งไว้กลางทุ่งโล่งที่นึง..ที่นั่นมีฝนตกพอดีทำให้ข้าต้องรอฝนหยุด..แล้วเสื้อผ้าก็เปียกไปหมดเลยหนาวมาก ข้าเดินมาเรื่อยๆจนมาพบเมืองนี้ แต่ซ้ำร้ายมันดันเป็นเมืองหนาว...ข้าพยายามวิ่งหลบคนในเมือง จะไปหาใครก็ไม่ได้เพราะกลัวพวกเขาจะรู้ว่าข้าเป็นใคร สุดท้ายก็วิ่งไปหลบตรอกนู้นตรอกนี้จนหิวมาก..สุดท้ายก็เป็นลมจนเจ้ามาเจอนั่นแหละ..”

     

                ข้าเล่าวิถีชีวิตแสนน่าอนาถของตนเองให้ฟัง ใบหน้าของซิลเวอร์ดูละเหี่ยใจปนสงสารข้านิดหน่อย ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลย ข้ารอดมาได้อย่างครบสามสิบสองก็ดีแค่ไหนแล้ว ทำไมไม่มีคนชื่นชมข้ากันบ้าง ข้าเบ้หน้าแล้วถามกลับด้วยน้ำเสียงกระชาก

     

                “แล้วเจ้าเถอะ! บอกมาว่าเจ้าแมลงสื่อสารนั่นเป็นของใคร!?

     

                “ก็แค่แมลงสื่อสารธรรมดาของพวกโจรแถวนี้..พวกนั้นจะปล่อยแมลงพวกนี้บินให้ว่อนเพื่อเตรียมขโมยของพวกชาวบ้าน ที่มันปล่อยมาก็เพื่อดักฟังจะได้รู้ทำเล เวลาในการปล้นก็แค่นั้น เดี๋ยวนี้พวกชาวบ้านโดนยกเค้ากันบ่อย เลยต้องระวังแมลงพวกนี้เป็นพิเศษ”

     

                อ๋อ..งั้นข้าก็โชคร้ายที่ถูกพวกมันตามติดงั้นสิ..แต่เดี๋ยวนะ..แบบนี้พวกมันจะรู้แล้วหรือเปล่าว่าข้าคือเจ้าชาย!?

     

                ซิลเวอร์เหมือนจะรับรู้ว่าข้าคิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “คิดว่าพวกนั้นคงจะรู้แล้ว..คงกำลังคิดว่าถ้าหากจับเจ้าไปส่งราชวังจะต้องได้เงินมหาศาล..ข้าคิดว่าเจ้าควรรีบกลับวังไปตอนนี้ดีกว่าถ้ายังไม่อยากโดนพวกโจรน่ารำคาญนั่นมาตอแย”

     

                “ห..หา..เอาจริง..”

     

                ถึงพวกนั้นจะไม่ฆ่าข้า..แต่การจะโดนพวกโจรจับไปมันไม่ใช่เรื่องตลกนะ! แถมถูกจับกลับไปที่วังอีก ไม่ว่าจะต้องกลับด้วยวิธีไหนข้าก็ไม่ต้องการทั้งนั้นแหละ! ไม่เอา! ต่อให้ต้องบุกป่าฝ่าดงเขี้ยวจระเข้ ตะขาบ ตุ๊กแก ข้าก็จะไม่มีวันกลับไปเด็ดขาด!

     

                ข้ากระตุกชายเสื้อของซิลเวอร์ “เดี๋ยว..ข้าขอไปกับเจ้า”

     

                ซิลเวอร์ดูตกใจเล็กน้อยราวกับว่าคำพูดของข้าเมื่อกี๊เป็นการบอกว่าจะมีระเบิดตกลงมาที่นี่ในอีกสิบวินาที “เจ้ากำลังล้อเล่น?

     

                “ไม่..ข้าไมได้ล้อเล่น..ข้าอยากจะไปกับเจ้า พาข้าหนีไปที!ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปข้าก็ซวยน่ะสิ

     

                ซิลเวอร์ตีสีหน้าเย็นชา “ทำไมข้าจะต้องพาเจ้าไปด้วย..ข้าช่วยเจ้าแล้ว เจ้าจะเลือกทางเดินไหนต่อก็แล้วแต่เจ้าเอง ข้าไม่มีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตใคร อีกอย่างข้าเบื่อที่นี่ พรุ่งนี้ก็คงจะไป ข้าไม่คิดจะหอบ

    คนร่างกายอ่อนแอไปด้วยหรอกนะ..อีกอย่างตอนนี้เจ้าควรจะนอนพัก นอนแล้วคิดหาหนทางของตัวเองซะเถอะ”

     

                “ด..เดี๋ยวสิฟะ!” ร่ายยาวตัดเยื่อใยกันเลยเรอะ! เจ้าซิลเวอร์หน้าตาย โหดร้ายที่สุด! ข้ากัดฟันพยายามมองอีกฝ่ายตาปริบๆเพื่อเรียกร้องคะแนนความสงสาร แต่ใบหน้าเย็นชาไร้ซึ่งความเห็นใจผู้อื่นก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีความรู้สึกสงสารข้าเลยแม้แต่น้อย ข้าเลยบีบน้ำตาเรียกคะแนนความสงสารเพิ่มอีก

     

                “ได้โปรดเถอะซิลเวอร์..ข้า..ข้าไม่มีที่ไปแล้ว..”

     

                ซิลเวอร์ชะงักเมื่อเห็นน้ำตาของข้า..เขานิ่งไป...นิ่งสนิท..แบบนี้หลงมารยาของข้าแล้วใช่ไหม..ข้าอุตส่าลงทุนบีบน้ำตาด้วยตัวเอง..ข้ามองอีกฝ่ายอย่างลุ้นระทึกปนขอร้องราวกับว่านี่คือสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะสามารถขอกับเขาได้ในชีวิต..นัยย์ตาของซิลเวอร์มีความรู้สึกสับสนปนเข้ามา...

     

                ก่อนจะสบัดมือข้าออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

     

                “คิดหาทางซะ ข้าจะอาบน้ำ”

     

                ไอ้คนใจดำ!!

               

     

               

                องค์หญิงแห่งมนุษย์กำลังยิ้มอย่างอารมณ์ดีขณะก้าวเท้าเดินผ่านทางเดินซึ่งรอบด้านทั้งซ้ายขวามีสวนดอกไม้สวยงามตระการตา นี่คือทางเดินเชื่อมต่ออาคารระหว่างวังหลวงและอาคารสำหรับการแพทย์ ใบหน้าของเธอดูสดใส ผมสีน้ำตาลทองและใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักยิ่งส่งเสริมให้ความน่ารักเปล่งประกายขึ้น ถ้าไม่ติดว่ารอยยิ้มนั่น.เป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายจนถ้าใครมาเห็นต่างก็ต้องขนลุกกันเป็นแถบ

     

                เด็กสาวเดินเข้ามายังตำหนักแพทย์หลวง ภายในมีหนังสือเต็มไปหมดและยังแถวยาประหลาด ดูราวกับโถงวิทยาศาตร์ปนหอสมุดกลายๆ มุมห้องมีตู้กระจกและสัตว์ตัวเล็กๆอยู่ภายใน พวกมันเป็นสัตว์วิเศษที่สามารถนำมาใช้ในการรักษาทางการแพทย์ได้

     

                อย่างเช่นน้ำลายของกิ้งก่าห้าสีในตู้ที่สามสามารถแก้อาการปวดเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ

     

                นับว่าเป็นยาขนานดีที่ได้รับการยอมรับจากทางวังหลวง ถึงแม้มันจะมาจากตัวประหลาดไปสักหน่อยก็ตาม เวริซิก้าไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เธอเดินตรงเข้าไปด้านในสุด ก่อนเดินขึ้นบันไดวนไปยังชั้นสอง พรมแดงปูราดยาวไปจนถึงด้านในซึ่งมีห้องๆหนึ่งอยู่ติดริมหน้าต่าง

     

                เวริซิก้าเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องนั้น ประตูสองบานแกะสลักลวดลายสวยงามสมกับเป็นของทางราชการ เธอลองเคาะประตูดูไม่นานเสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้น “ใครครั?

     

                “เราเอง..”

     

                “หืม..องค์หญิงเวริซิก้าสินะครับ เชิญเลยครับ”

     

                เวริซิก้าเปิดประตูเข้าไปในห้อง ภายในมีต้นไม้รวมถึงสัตว์มากมายอยู่ในตู้กระจก เธอมองดอกไม้ที่มีฟันแหลมคนกำลังเบียดเสียดประจกอยู่พลางมองมาทางเธอ..นอกจากนั้นยังมีชั้นหนังสือรายล้อม ทั้งแฟ้มเอกสารงานหรือหนังสือต่างๆถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ เธอปิดประตูเบาๆ เดินเข้าไปหาชายหนุ่ม

    ผมสีน้ำตาลเคลือบเทากำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างในแฟ้มเอกสาร เมื่อเห็นเธอเขาก็โค้งตัวให้ช้าๆ พร้อมรอยยิ้มสดใส

     

                “สวัสดีครับองค์หญิง ไม่คิดว่าคุณจะมาหาผมด้วย” เขาเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร เวริซิก้าหัวเราะในลำคอ “เราอยากจะมาหาใครก็ได้ทั้งนั้น ที่เรามาหาเจ้าวันนี้เพราะเรามีเรื่องจะต้องคุยกับเจ้า”

     

                ดวงตาสีเขียวมององค์หญิงน้อยอย่างสนใจใคร่รู้ เขาเชิญให้เด็กสาวนั่งดื่มชาด้วยกันสักเล็กน้อยซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธ เวริซิก้ามองท่าทางและรอยยิ้มสดใสอย่างแอบขัดใจเล็กๆ

     

                “เฮ้อ..เราไม่อยากจะเสวนากับคนอย่างเจ้านัก แต่เพราะมีเหตุจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าช่วยเหลือ ดังนั้นเราหวังว่าเจ้าจะยอมช่วยเรา”

     

                “ครับ..ถ้าเป็นความต้องการของคุณ ผมก็พร้อมจะช่วยเสมอครับ แต่ว่ามันคืออะไรเหรอครับที่จะให้ผมช่วย? หรือว่าคุณจะถูกใจต้นไม้กินคนคราวก่อนเลยอยากจะได้ไปเลี้ยงอีกสักต้น?” ชายหนุ่มมองเธอด้วยแววตาเป็นประกาย องค์หญิงน้อยยิ้มมุมปาก “ถ้าเป็นเจ้าต้นไม้นั่น ข้าฝังมันลงดินไปแล้ว ไม่ต้องเอามันมาอีก”

     

                ชายหนุ่มคอตก “งั้นหรือครับ..น่าเสียดายจริงๆ..แล้วคุณมีเรื่องอะไรครับ?

     

                เวริซิก้ามองท่าทางที่กลับมาร่าเริงดังเดิมแล้วรู้สึกขนลุก อยากจะรีบลุกหนีจากที่ตรงนี้ให้ไวๆ..”เจ้าคงจะรู้ว่าอีกไม่นานอาณาจักรดีอาร์และมาเรย์กำลังจะมาที่นี่เพื่อทำการคัดเลือกราชาแห่งสามอาณาจักร..พวกเขาคงจะรู้ข่าวที่เจ้าชายหายตัวไปจากชาวเมืองแล้วแน่ๆ...มันจะกลายเป็นปัญหาถ้าหากผู้ตัดสินอย่างท่านพี่ยังไม่กลับมาเช่นนี้...”

     

     

                “แล้วจะให้ผมทำยังไงละครับ? หรือจะให้ผมไปตามหาตัวองค์ชายเหมือนคนอื่นๆ?” เขาถามด้วยรอยยิ้ม เวริซิก้าเอ่ยเสียงเย็น “ไม่มีทาง..เรามีหน้าที่อื่นที่น่าสนใจสำหรับเจ้ายิ่งกว่านั้น”

     

                ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

     

                “เห็นว่าเจ้ากำลังหาเหยื่ออยู่ไม่ใช่หรือ..ข้าจะให้เจ้าเป็นคนรองรับคนจากทั้งสองอาณาจักร..และให้สิทธิ์เจ้าในการ “เลือก” เหยื่อของเจ้าเอง..แต่เจ้าจะต้องหาวิธีทำให้เขามาเป็นเหยื่อของเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้สองอาณาจักรนั้นสั่นคลอนที่สุด เพื่อยืดเวลาในการตามหาท่านพี่...และจงเลือกคนที่เป็นกำลังสำคัญในแต่ละอาณาจักรมา..จะเลือกใครก็แล้วแต่เจ้า ขอแค่เป็นการตัดกำลังทั้งสองฝ่ายได้มากที่สุดก็พอ”

     

                เวริซิก้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ท่าทางของชายผมสีเทาเปลี่ยนไป..ดวงตาสีเขียวและรอยยิ้มร่าเริงอยู่เป็นมิตรกำลังยิ้มกว้างขึ้น..กว้างขึ้นไปอีก..มือที่ถือแฟ้มเอกสารกำแน่น ใบหน้าดูดีของผู้ใหญ่ในตอนนี้กำลังสั่นและยิ้มกว้างเหมือนเด็กๆ ก่อนเขาจะตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส

     

                “แน่นอนครับองค์หญิงเวริซิก้า! ผมจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด!

     

                เวริซิก้าลุกจากเก้าอี้ ถือว่าการมอบหมายงานในครั้งนี้สำเร็จลงด้วยดี เธอมองสัตว์ประหลาดในตู้กระจกกำลังหวีดร้อง และทุบตู้อย่างทรมานราวกับว่ากำลังโดนอะไรบางอย่างทำร้ายทั้งๆที่พวกมันไร้ซึ่งบาดแผล..

     

                ก็น่าจะรู้ดี...ว่าทั้งหมดนี่มันเป็นฝีมือของใคร

     

                “เจ้ายังน่าขนลุกไม่เปลี่ยน...ครูส บาสเตียน...แล้วก็อย่าลืมหน้าที่ของเจ้าละ”

     

                ครูสแสยะยิ้มออกมา มองเด็กสาวผมยาวเดินออกจากห้องของเขาไป ชายหนุ่มลุกขึ้นพลางหัวเราะกับตนเอง นึกถึงเหยื่อที่เขาจะได้จับในวันข้างหน้า มือหมุนเข็มฉีดยาไปมา ก่อนขว้างไปปักที่กลางลำต้นของดอกไม้ซึ่งกำลังคลานมาหาเขาบนพื้นจนมันหวีดร้องและแน่นิ่งไป..

               

    “ฮะๆๆ...น่าสนุกจริงๆเลยนะครับ..คุณหมาแมวผู้น่ารัก...จะมีใครทำให้ผมสนใจได้บ้างไหมน้า..”

     






    --------------------------------------------------------------------

    ตอนที่สองมาแล้ว..แฮ่...

    ขอบคุณมากเลยค่ะที่ช่วยบอกเรื่องคำผิดและวิจาร์ณ ไรท์จะพยายามปรับปรุงนะคะ ;w;

    ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้าชายจะได้ที่พึ่งต้องเกาะไว้ดีๆ...ไรท์ขอเตือนว่าคุณหมาคุณแมว..ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะคะ..หึหึ

    ถ้ามีผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ!

    เจอกันตอนหน้านะคะ!

     

     




               

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×