คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จุดเริ่มต้น
บทที่2 จุดเริ่มต้น
“ดา ดา มาทางนี้ดีกว่าทางนี้สวยมากเลยอ่ะ”
“หือ...ดูอะไรอยู่เหรอแก?”
“นี่ไงทางนู้นน่ะวิวทางนู้นสวยมากอ่ะ” อาริตาร้องเรียกเพื่อนสาวอย่างกระตือรือร้น พร้อมๆกับที่หญิงสาวร่างแบบบางที่มาด้วยอีกคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาสมทบเงียบๆ
“โห... สวยจริงๆด้วยสา” วนิดาอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อเบนสายตาไปตามนิ้วป้อมๆของอาริตาที่
กำลังชี้โบ้ชี้เบ้อย่างร่าเริง และภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ไม่ทำให้หญิงสาวทั้งสามผิดหวัง ความเหน็ดเหนื่อย
เมื่อยล้าจากการเดินทางแทบหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“คุ้มเนอะ” ฤลิสารำพึงออกมาเบาๆเหมือนต้องการจะพูดกับตัวเอง หญิงสาวหายใจลึกรับสายลมเย็น
ชื่นที่พาพัดมาไล้ดวงหน้านวลเรื่อยไปยังเส้นผมดุจไหมที่แผ่พลิ้วไหวเป็นลอนสลวย แพรขนตาหนาหลับพริ้มอย่างเป็นสุข
ผาเมฆา เป็นสถานที่ที่สามสาวงามประจำคณะศิลปกรรมของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
ตัดสินใจเลือกมาพักผ่อนหลังสอบเสร็จเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจให้งานศิลปะใหม่ๆ
ที่นี่ตั้งอยู่บริเวรเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศไทย ซึ่ง แม้จะยังไม่มีใครรู้จักมากนักแต่หาก
ใครได้มาสัมผัสก็ยากหยุดยั้งอารมณ์หลงและไหลไปกับสุนทรียภาพอันตระการที่ธรรมชาติสรรค์สร้างอย่างไร้ที่ติ
ไม่ได้ ทั้งบริเวรผาที่อาจดูเวิ้งว้างว่างเปล่า แต่หากก้มลงมองเบื้องล่างแล้วนั้นก็จะพบมหาสมุทรแห่งสายหมอก
ล่องลอยอ้อยอิ่งดุจจะยั่วยวนตาให้กระโจนเข้าไปจับจ้องมนต์ขลังแห่งธารเมฆาอย่างยากจะถอนสายตาไปที่ใดได้
และแน่นอนความงดงามเหล่านี่ที่ยังคงดำรงค์อยู่ได้นั้นเนื่องมาจากการเดินทางที่ค่อนข้างลำบาก ซึ่งนอกจาก
จะต้องนั่งรถหลายต่อแล้วยังต้องใช้การเดินทางเท้าอีกหลายชั่วโมงทีเดียว ดังนั้นกลุ่มนักท่องเที่ยวจึงน้อยมาก
โดยเฉพาะวันธรรมดาอย่างวันนี้ทั้งสามสาวจึงอดรู้สึกเสมือนตนเองเป็นผู้ครอบครองดินแดนแห่งความฝันไม่ได้
“ว้าวๆ ดูนั่นสิ ดา นั่นๆสาเห็นไหม ทะเลเมฆสวยมากๆเลยอ่ะ เหมือนในนิยายที่พวกเราอ่านเลยเนอะ
เสียดายจังที่พวกเรายังไม่มีพระเอกกันสักคน อ้อ!ลืมๆเดี๋ยวนี้ต้องเว้นดาไว้คนหนึ่งแล้วนี่เนอะ”
อาริตาหัวเราะคิกคักกับตนเองเมื่อได้หยอกล้อเพื่อนอย่างสนุกสนาน แล้วรอยยิ้มกว้างก็ต้องหุบ
ฉับเมื่อวนิดาส่งค้อนมาให้วงใหญ่ก่อนจะโวยวายแก้เก้อไปตามประสา
“บ้าน่าแก อย่ามาแซวกันดิคนเข้าเขินเป็นนะเฟร้ย”
“จ้าๆไม่แซวก็ได้แหม งั้นมาถ่ายรูปกันเถอะวันนี้ไม่มีพระเอกก็ไม่เป็นไรเนอะสาเนอะ”
สุดท้ายอาริตาก็อดหยอกเล็กๆทิ้งท้ายไม่ได้ ก่อนที่สาวน้อยช่างฝันจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการกวักมือเรียกเพื่อนสาว
ทั้งสองให้เข้าไปเก็บภาพความประทับใจไว้ด้วยกัน วนิดาเองก็ไม่ถือสาอะไรเห็นเป็นเรื่องขำขันจึงรีบเดินเข้าไป
หาแล้วโพสต์ท่าพร้อมถ่ายอย่างชำนาญ เหลือเพียงสาวหวานประจำกลุ่มเท่านั้นที่ยังคงยิ้มน้อยๆก่อนที่จะหันซ้าย
แลขวาเพื่อหาใครซักคนให้ช่วยมาถ่ายภาพให้
“ตาส่งกล้องมาให้เราดีกว่าเดี๋ยวเราถ่ายให้นะ”
ในที่สุดเมื่อมองไม่เห็นใครหญิงสาวจึงอาสาเป็นตากล้องจำเป็นให้ซะเอง
“ว้า เสียดาย ไม่เอาอ่ะเราอยากถ่ายด้วยกันสามคนนี่ ทำไงดีอ่ะ”
อาริตาบ่นอุบอย่างขัดใจแล้วหันไปขอความเห็นจากเพื่อนสาวที่ยืนเคียงข้าง
“อ้าว นั่นสิ ทำไงกันดี เราว่าต้องสลับกันถ่ายแล้วล่ะแถวนี้ไม่มีใครเลยนี่”
“นั่นสิตา ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวเราสลับกันถ่ายแล้วกันเนอะ นะจ๊ะ เอ้ายิ้มจ้ายิ้มเดี๋ยวไม่สวยไม่รู้ด้วยนะ”
ฤลิสายกกล้องขึ้นปรับโฟกัสอย่างเก้ๆกังๆเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยชำนาญกับเทคโนโลยีสมัยใหม่มากนักแต่ก่อนที่
หญิงสาวจะได้กดชัตเตอร์ เธอกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากเพื่อนๆ
“อ้าวทำไมทำหน้าเหรออย่างนั้นล่ะ”
“ให้เราช่วยเจ้าไหม?”
ฤลิสาสะดุ้งกับเสียงกระซิบแผ่ว ที่กังวารอยู่ข้างหูอย่างประหลาดก่อนที่จะหันกลับไปปะทะกับดวงตา
คมสีแดงเพลิงในระยะประชิด รัตนินสีสดเสมือนจะดูดจิตวิญญาณของหญิงสาวให้จมดิ่งไปในห้วงอารมณ์
บางอย่างของเขาอย่างยากที่จะต้านทาน หญิงสาวถึงกับตะลึงค้างไปจนเพื่อนๆทั้งสองตกใจ
“สา!” เสียงของอาริตาและวนิดาเรียกประสานขึ้นมาพร้อมกันปลุกหญิงสาวให้หลุดออกจากภวังค์ที่
บุรุษปริศนาเป็นผู้สร้างขึ้นมาอย่างจู่โจม และทันใดนั้นนัยต์ตาคู่สวยของชายหนุ่มพลันกลับกลายเป็นสีดำสนิท
เสมือนเสี้ยววินาทีที่ผ่านมานั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวง!
ด้วยสัญชาตญาณฤลิสารีบผละตัวออกห่างบุรุษร่างสูงตรงหน้าทันที
“เป็นอะไรรึเปล่าสา” วนิดาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“นั่นสิหน้าซีดเลยอ่ะ” อาริตาวิ่งเข้ามาสมทบและจับมือเย็นเฉียบของหญิงสาวไว้มั่น
“ปะ...เปล่า...เราแค่ตกใจ” ฤลิสาตอบเสียงอ่อย แต่ก็มือเรียวบางกลับกระชับจับยึดเพื่อนทั้งสองไว้มั่น
“เราขอโทษ” เสียงทุ้มกังวารของชายหนุ่มเอ่ยขออภัยอย่างอ่อนโยน และนั่นทำให้สายตาทุกคู่ของหญิง
สาวทั้งสามหันไปมองทางเขาอีกครั้ง
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ” ฤลิสาตอบอุบอิบแล้วจึงเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตาตรงๆ แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจ
แต่หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่มีพลังมหาศาลจากดวงตาคู่นั้น ผิดจากเพื่อนสาวอีกสองคนที่เฝ้า
สังเกตชายแปลกหน้าอย่างนึกสงสัย
ทั้งการพูด...เราอย่างโน้นอย่างนี้ ฟังแล้ว...แปลก
การแต่งตัว คนอะไรใส่สูทขาวทั้งชุดมาเที่ยวผา ถ้าจะบ้า...
หน้าตา...เอ่อ...อันนี้ยิ่งแปลก มีคนหล่อขนาดนี้อยู่บนโลกมนุษย์ด้วยหรือ! เป็นไปไม่ได้จอร์จ!
และที่สำคัญหมอนี่โผล่มาจากไหน เป็นนักท่องเที่ยวเหรอ?ไม่น่าใช่สักนิด แต่ก็ช่างเถอะบางทีอาจเป็นลูกหลาน
คนมีตังจากไหนก็ได้ที่ว่างๆเลยนั่งเครื่องบินเจ็ทมาเที่ยวเล่นใครจะไปรู้
หลังจากทั้งสองสาวตั้งข้อสงสัยในใจไปเรื่อยเปื่อยจนออกแนวเพ้อเจ้อ ต่างก็สลัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง
แล้วหันกลับมาใส่ใจฤลิสาตามเดิม
“ไหวไหมสา ไปนั่งพักก่อนไหม”
“อืม...ขอบใจนะดา” วนิดาถามอย่างห่วงใยพร้อมๆกับพยุงหญิงสาวให้ไปนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆ
“คุณเคยรู้จักสาเหรอคะ”
อาริตาไม่ได้เดินตามเพื่อนทั้งสองไปแต่กลับหันไปถามชายหนุ่มที่ยังยืนมองอยู่เงียบๆ
“หือ...เอ่อ...เคย”
ชายหนุ่มถึงกับหน้าเหรอในตอนแรกกับคำถามที่ไม่ทันตั้งตัว จึงตอบกลับไปไม่เต็มเสียงนัก
แต่ก็แค่ชั่วแวบเท่านั้นจนอาริตาไม่ทันสังเกตเห็น
“เคยเจอกัน...ที่ไหนคะ”
“ที่นี่..แต่..นานแล้ว.....เรา...ฝากให้นางด้วย”
“เคยเจอกันที่นี่! แล้วจะฝากของให้สาเหรอคะ?”ผู้ชายคนนี้พูดจาตลกแหะ อาริตาได้แต่คิดในใจอย่าง
นึกขำๆก่อนที่จะก้มลงมองวัตถุบางอย่างที่ชายหนุ่มส่งมาให้ แล้วก็ต้องตะลึงค้างกับความงดงามของรัตนมณีเลอ
ค่าบนฝ่ามือหนาของชายหนุ่ม
“รัดเกล้า! สวยมากเลยค่ะ แต่สาคง...”
“ตา มาทางนี้เถอะ” ก่อนอาริตาจะได้ปฏิเสธชายหนุ่มด้วยรู้ใจเพื่อนสาวของเธอว่าคงรับของมีค่าเช่นนี้
ไว้ไม่ได้ วนิดาก็ตะโกนขัดขึ้นมาซะก่อน หญิงสาวจึงหันกลับไปตามเสียงเรียก
“จ้า แป๊ปนึงนะดา เดี๋ยวเราตามไป”
เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนอาริตาจะหันกลับมาหาเขาดังเดิม หญิงสาวถึงกับเย็นสันหลังวาบจนขนลุกไปทั่วร่าง
เมื่อภาพเบื้องหน้าในตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าและเงียบงันเสมือนไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดๆยืนคุยอยู่กับ
เธอมาก่อน เหลือเพียงลมเย็นๆและความสลัวของอากาศยามเช้าที่สะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจเท่านั้น!
...
“นี่เราพูดจริงๆนะเชื่อเราเหอะ ผู้ชายคนนั้นอ่ะ...บรึ๋ยยย...พูดแล้วขนลุก ถ้าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางจากไหน
ก็ไม่รู้อ่ะ”
“บ้าน่าตา มีที่ไหนประสาธรึเปล่าจะเป็นไปได้ไงเล่า”
“โหยย ดาเชื่อเราเหอะ ไม่งั้นหมอนั่นจะหายไปไหนอ่ะ คนบ้าไรเดินเร็วอย่างนั้นล่ะ”
“อ้าว เขาอาจจะวิ่งไปหลบแกที่ไหนก็ได้นี่ อย่ามาทำเบ๊อะน่า”
“โหยยย สาดูดาสิไม่เชื่อเราเลยอ่ะ”
อาริตาเริ่มงอแงเมื่อวนิดายังยืนยันและไม่เชื่อสิ่งที่เธอพยายามเล่าสักนิด
หลังจากที่ฤลิสานั่งพักอยู่บนหน้าผาเมฆากับวนิดาได้สักพักอาริตาก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหาหญิงสาวทั้งคู่
ด้วยความตกใจและพยายามเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง จนกระทั่งมาถึงที่พักซึ่งขออาศัยในหมู่บ้านระแวกนั้น
แต่จนแล้วจนรอดวนิดาก็ยังเห็นว่านั่นเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ
ฤลิสาได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ใบหน้างามยังคงเปี่ยมไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่แสนคลางแคลงใจ มือเรียวบาง
ลูบไล้อัญมณีสีแดงสดเม็ดกลางของรัดเกล้าลายวิจิตรด้วยอาการเลื่อนลอย ก่อนจะรำพึงแผ่วเบา
“เราจะทำยังไงกับรัดเกล้านี้ดีล่ะ”
“นั่นน่ะสิ เราจะปฏิเสธไม่รับไว้แทนสาแล้วนะ ดาน่ะสิตะโกนมาเรียกเราซะก่อนอ่ะ”
“อ้าว มาโทษเราได้ไงล่ะ ใครจะไปรู้ล่ะห๊ะ”
“เปล่านะเราไม่ได้โทษซักหน่อย เราแค่เล่าให้ฟังเฉยๆอ่ะ”
“เอาเถอะจ่ะ ไม่เป็นไรหรอกอย่าเถียงกันเลยนะทั้งสองคน...เราขอร้อง” สุดท้ายฤลิสาจึงเอ่ยตัดบทขึ้นมา
ห้ามทัพซะก่อนที่เรื่องเล็กจะบานปลาย ก่อนจะถอนใจด้วยความกังวล
“เราไม่ทะเลาะกันหรอกน่า สาก็ไม่ต้องคิดมาก เนอะตา พวกเรารักกันจะตาย เป็นเพื่อนกันมาเป็นสิบปีแล้ว ก็เหมือนพี่น้องกันน่ะแหละ”
“ช่ายๆ” อาริตาเอ่ยสมทบวนิดาอย่างสดใสจนทั้งสามคนอดที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกันไม่ได้
“ขอบใจดากับตามากนะ”
“จิ๊บจ๊อยน่าสา สาอย่าคิดมากดิ ไอ้รัดเกล้าอะไรเนี่ยก็สวยดีออกถ้าคืนเขาไม่ได้ก็เก็บไว้นั่นแหละ มัน
ช่วยไม่ได้นี่หน่าก็เขาอยากให้มาเองอ่ะ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
“ช่ายๆ ไม่ได้ไปขโมยเขามาซักหน่อยชิมิ”
“พักผ่อนเหอะนะเพื่อนๆ นี่ก็เย็นแล้ว ตื่นกันมาตั้งแต่เช้ามืดเดินทางมาก็ทั้งวันเหนื่อยกันแย่แล้วว่ะ เดี๋ยว
เราไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”
“งืมดาจะอาบน้ำใช่ป่ะ งั้นเดี๋ยวเราออกไปลองถามพวกชาวบ้านเองว่ามีไรแบ่งให้เรากินได้บ้าง”
“โอเค งั้นสาพักก่อนเถอะปล่อยเป็นหน้าที่ของเราสองคนเอง”
“ไม่ดีกว่า...เดี๋ยวเราช่วย”
“สาอย่าดื้อสิ ไปส่องกระจกไป๊ หน้ายังซีดเป็นไก่ต้มอยู่เลยนอนพักเหอะ”
ฤลิสา ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอย่างยอมจำนนด้วยรู้ดีว่าร่างกายของตนเองไม่สู้ดีนัก แม้ปกติจะเป็นคน
แข็งแรงแต่วันนี้กลับหวิวโหวงอย่างประหลาด เสมือนมีสัญชาติญาณบางอย่างกรีดร้องอย่างรุนแรง เตือนให้
หญิงสาวรับรู้ว่าบางอย่าง...กำลังจะเปลี่ยนไป!
ความคิดเห็น