ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวคิน....เมฆาภูผาล้อมดาว

    ลำดับตอนที่ #2 : จุดเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 50


    บทที่2     จุดเริ่มต้น

                   

    ดา ดา มาทางนี้ดีกว่าทางนี้สวยมากเลยอ่ะ

               

    หือ...ดูอะไรอยู่เหรอแก? 

                   

    นี่ไงทางนู้นน่ะวิวทางนู้นสวยมากอ่ะ  อาริตาร้องเรียกเพื่อนสาวอย่างกระตือรือร้น  พร้อมๆกับที่หญิงสาวร่างแบบบางที่มาด้วยอีกคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาสมทบเงียบๆ

                   

    โห...  สวยจริงๆด้วยสา  วนิดาอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อเบนสายตาไปตามนิ้วป้อมๆของอาริตาที่

     

    กำลังชี้โบ้ชี้เบ้อย่างร่าเริง และภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ไม่ทำให้หญิงสาวทั้งสามผิดหวัง  ความเหน็ดเหนื่อย

     

    เมื่อยล้าจากการเดินทางแทบหายไปเป็นปลิดทิ้ง

                   

    คุ้มเนอะ ฤลิสารำพึงออกมาเบาๆเหมือนต้องการจะพูดกับตัวเอง  หญิงสาวหายใจลึกรับสายลมเย็น

     

    ชื่นที่พาพัดมาไล้ดวงหน้านวลเรื่อยไปยังเส้นผมดุจไหมที่แผ่พลิ้วไหวเป็นลอนสลวย  แพรขนตาหนาหลับพริ้มอย่างเป็นสุข

     

    ผาเมฆา  เป็นสถานที่ที่สามสาวงามประจำคณะศิลปกรรมของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง

     

    ตัดสินใจเลือกมาพักผ่อนหลังสอบเสร็จเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจให้งานศิลปะใหม่ๆ  

     

    ที่นี่ตั้งอยู่บริเวรเทือกเขาทางตอนเหนือของประเทศไทย ซึ่ง แม้จะยังไม่มีใครรู้จักมากนักแต่หาก

     

    ใครได้มาสัมผัสก็ยากหยุดยั้งอารมณ์หลงและไหลไปกับสุนทรียภาพอันตระการที่ธรรมชาติสรรค์สร้างอย่างไร้ที่ติ

     

    ไม่ได้   ทั้งบริเวรผาที่อาจดูเวิ้งว้างว่างเปล่า  แต่หากก้มลงมองเบื้องล่างแล้วนั้นก็จะพบมหาสมุทรแห่งสายหมอก

     

    ล่องลอยอ้อยอิ่งดุจจะยั่วยวนตาให้กระโจนเข้าไปจับจ้องมนต์ขลังแห่งธารเมฆาอย่างยากจะถอนสายตาไปที่ใดได้

     

    และแน่นอนความงดงามเหล่านี่ที่ยังคงดำรงค์อยู่ได้นั้นเนื่องมาจากการเดินทางที่ค่อนข้างลำบาก  ซึ่งนอกจาก

     

    จะต้องนั่งรถหลายต่อแล้วยังต้องใช้การเดินทางเท้าอีกหลายชั่วโมงทีเดียว  ดังนั้นกลุ่มนักท่องเที่ยวจึงน้อยมาก 

     

    โดยเฉพาะวันธรรมดาอย่างวันนี้ทั้งสามสาวจึงอดรู้สึกเสมือนตนเองเป็นผู้ครอบครองดินแดนแห่งความฝันไม่ได้

                   

                   

                    ว้าวๆ  ดูนั่นสิ ดา นั่นๆสาเห็นไหม  ทะเลเมฆสวยมากๆเลยอ่ะ  เหมือนในนิยายที่พวกเราอ่านเลยเนอะ

     

    เสียดายจังที่พวกเรายังไม่มีพระเอกกันสักคน   อ้อ!ลืมๆเดี๋ยวนี้ต้องเว้นดาไว้คนหนึ่งแล้วนี่เนอะ

     

                อาริตาหัวเราะคิกคักกับตนเองเมื่อได้หยอกล้อเพื่อนอย่างสนุกสนาน  แล้วรอยยิ้มกว้างก็ต้องหุบ

     

    ฉับเมื่อวนิดาส่งค้อนมาให้วงใหญ่ก่อนจะโวยวายแก้เก้อไปตามประสา

     

    บ้าน่าแก อย่ามาแซวกันดิคนเข้าเขินเป็นนะเฟร้ย

     

    จ้าๆไม่แซวก็ได้แหม  งั้นมาถ่ายรูปกันเถอะวันนี้ไม่มีพระเอกก็ไม่เป็นไรเนอะสาเนอะ 

     

    สุดท้ายอาริตาก็อดหยอกเล็กๆทิ้งท้ายไม่ได้  ก่อนที่สาวน้อยช่างฝันจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการกวักมือเรียกเพื่อนสาว

     

    ทั้งสองให้เข้าไปเก็บภาพความประทับใจไว้ด้วยกัน  วนิดาเองก็ไม่ถือสาอะไรเห็นเป็นเรื่องขำขันจึงรีบเดินเข้าไป

     

    หาแล้วโพสต์ท่าพร้อมถ่ายอย่างชำนาญ  เหลือเพียงสาวหวานประจำกลุ่มเท่านั้นที่ยังคงยิ้มน้อยๆก่อนที่จะหันซ้าย

     

    แลขวาเพื่อหาใครซักคนให้ช่วยมาถ่ายภาพให้

                   

    ตาส่งกล้องมาให้เราดีกว่าเดี๋ยวเราถ่ายให้นะ 

     

    ในที่สุดเมื่อมองไม่เห็นใครหญิงสาวจึงอาสาเป็นตากล้องจำเป็นให้ซะเอง

                   

    ว้า  เสียดาย ไม่เอาอ่ะเราอยากถ่ายด้วยกันสามคนนี่  ทำไงดีอ่ะ

     

    อาริตาบ่นอุบอย่างขัดใจแล้วหันไปขอความเห็นจากเพื่อนสาวที่ยืนเคียงข้าง

                   

    อ้าว นั่นสิ ทำไงกันดี  เราว่าต้องสลับกันถ่ายแล้วล่ะแถวนี้ไม่มีใครเลยนี่

                   

    นั่นสิตา  ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวเราสลับกันถ่ายแล้วกันเนอะ นะจ๊ะ เอ้ายิ้มจ้ายิ้มเดี๋ยวไม่สวยไม่รู้ด้วยนะ

     

    ฤลิสายกกล้องขึ้นปรับโฟกัสอย่างเก้ๆกังๆเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยชำนาญกับเทคโนโลยีสมัยใหม่มากนักแต่ก่อนที่

     

    หญิงสาวจะได้กดชัตเตอร์ เธอกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจากเพื่อนๆ

                   

    อ้าวทำไมทำหน้าเหรออย่างนั้นล่ะ

                   

    ให้เราช่วยเจ้าไหม?

                   

    ฤลิสาสะดุ้งกับเสียงกระซิบแผ่ว  ที่กังวารอยู่ข้างหูอย่างประหลาดก่อนที่จะหันกลับไปปะทะกับดวงตา

     

    คมสีแดงเพลิงในระยะประชิด  รัตนินสีสดเสมือนจะดูดจิตวิญญาณของหญิงสาวให้จมดิ่งไปในห้วงอารมณ์

     

    บางอย่างของเขาอย่างยากที่จะต้านทาน  หญิงสาวถึงกับตะลึงค้างไปจนเพื่อนๆทั้งสองตกใจ

                   

    สา!”  เสียงของอาริตาและวนิดาเรียกประสานขึ้นมาพร้อมกันปลุกหญิงสาวให้หลุดออกจากภวังค์ที่

     

    บุรุษปริศนาเป็นผู้สร้างขึ้นมาอย่างจู่โจม   และทันใดนั้นนัยต์ตาคู่สวยของชายหนุ่มพลันกลับกลายเป็นสีดำสนิท

     

    เสมือนเสี้ยววินาทีที่ผ่านมานั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวง!

                   

    ด้วยสัญชาตญาณฤลิสารีบผละตัวออกห่างบุรุษร่างสูงตรงหน้าทันที

                   

    เป็นอะไรรึเปล่าสา วนิดาเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

                   

    นั่นสิหน้าซีดเลยอ่ะ อาริตาวิ่งเข้ามาสมทบและจับมือเย็นเฉียบของหญิงสาวไว้มั่น

                   

    ปะ...เปล่า...เราแค่ตกใจ ฤลิสาตอบเสียงอ่อย  แต่ก็มือเรียวบางกลับกระชับจับยึดเพื่อนทั้งสองไว้มั่น

                   

    เราขอโทษ เสียงทุ้มกังวารของชายหนุ่มเอ่ยขออภัยอย่างอ่อนโยน และนั่นทำให้สายตาทุกคู่ของหญิง

     

    สาวทั้งสามหันไปมองทางเขาอีกครั้ง

                   

    เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ ฤลิสาตอบอุบอิบแล้วจึงเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตาตรงๆ  แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจ

     

    แต่หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่มีพลังมหาศาลจากดวงตาคู่นั้น  ผิดจากเพื่อนสาวอีกสองคนที่เฝ้า

     

    สังเกตชายแปลกหน้าอย่างนึกสงสัย

     

                    ทั้งการพูด...เราอย่างโน้นอย่างนี้  ฟังแล้ว...แปลก

     

                    การแต่งตัว  คนอะไรใส่สูทขาวทั้งชุดมาเที่ยวผา  ถ้าจะบ้า...

     

                    หน้าตา...เอ่อ...อันนี้ยิ่งแปลก  มีคนหล่อขนาดนี้อยู่บนโลกมนุษย์ด้วยหรือ! เป็นไปไม่ได้จอร์จ!

     

    และที่สำคัญหมอนี่โผล่มาจากไหน  เป็นนักท่องเที่ยวเหรอ?ไม่น่าใช่สักนิด แต่ก็ช่างเถอะบางทีอาจเป็นลูกหลาน

     

    คนมีตังจากไหนก็ได้ที่ว่างๆเลยนั่งเครื่องบินเจ็ทมาเที่ยวเล่นใครจะไปรู้

     

     หลังจากทั้งสองสาวตั้งข้อสงสัยในใจไปเรื่อยเปื่อยจนออกแนวเพ้อเจ้อ  ต่างก็สลัดความคิดเหล่านั้นทิ้ง

     

    แล้วหันกลับมาใส่ใจฤลิสาตามเดิม

     

    ไหวไหมสา  ไปนั่งพักก่อนไหม

     

    อืม...ขอบใจนะดา วนิดาถามอย่างห่วงใยพร้อมๆกับพยุงหญิงสาวให้ไปนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้ๆ

     

                คุณเคยรู้จักสาเหรอคะ

     

    อาริตาไม่ได้เดินตามเพื่อนทั้งสองไปแต่กลับหันไปถามชายหนุ่มที่ยังยืนมองอยู่เงียบๆ

     

    หือ...เอ่อ...เคย

     

     ชายหนุ่มถึงกับหน้าเหรอในตอนแรกกับคำถามที่ไม่ทันตั้งตัว จึงตอบกลับไปไม่เต็มเสียงนัก

     

    แต่ก็แค่ชั่วแวบเท่านั้นจนอาริตาไม่ทันสังเกตเห็น

     

    เคยเจอกัน...ที่ไหนคะ

     

    ที่นี่..แต่..นานแล้ว.....เรา...ฝากให้นางด้วย

     

    เคยเจอกันที่นี่! แล้วจะฝากของให้สาเหรอคะ?ผู้ชายคนนี้พูดจาตลกแหะ  อาริตาได้แต่คิดในใจอย่าง

     

    นึกขำๆก่อนที่จะก้มลงมองวัตถุบางอย่างที่ชายหนุ่มส่งมาให้  แล้วก็ต้องตะลึงค้างกับความงดงามของรัตนมณีเลอ

     

    ค่าบนฝ่ามือหนาของชายหนุ่ม

     

    รัดเกล้า!  สวยมากเลยค่ะ  แต่สาคง...

     

                ตา  มาทางนี้เถอะ ก่อนอาริตาจะได้ปฏิเสธชายหนุ่มด้วยรู้ใจเพื่อนสาวของเธอว่าคงรับของมีค่าเช่นนี้

     

    ไว้ไม่ได้ วนิดาก็ตะโกนขัดขึ้นมาซะก่อน  หญิงสาวจึงหันกลับไปตามเสียงเรียก

                   

    จ้า  แป๊ปนึงนะดา เดี๋ยวเราตามไป

     

    เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนอาริตาจะหันกลับมาหาเขาดังเดิม หญิงสาวถึงกับเย็นสันหลังวาบจนขนลุกไปทั่วร่าง 

     

    เมื่อภาพเบื้องหน้าในตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าและเงียบงันเสมือนไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดๆยืนคุยอยู่กับ

     

    เธอมาก่อน เหลือเพียงลมเย็นๆและความสลัวของอากาศยามเช้าที่สะท้านเข้าไปถึงขั้วหัวใจเท่านั้น!

     

    ………………………………………………………………………………………...

     

                    นี่เราพูดจริงๆนะเชื่อเราเหอะ  ผู้ชายคนนั้นอ่ะ...บรึ๋ยยย...พูดแล้วขนลุก  ถ้าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางจากไหน

     

    ก็ไม่รู้อ่ะ

               

    บ้าน่าตา  มีที่ไหนประสาธรึเปล่าจะเป็นไปได้ไงเล่า

                   

    โหยย ดาเชื่อเราเหอะ  ไม่งั้นหมอนั่นจะหายไปไหนอ่ะ  คนบ้าไรเดินเร็วอย่างนั้นล่ะ

                   

    อ้าว  เขาอาจจะวิ่งไปหลบแกที่ไหนก็ได้นี่  อย่ามาทำเบ๊อะน่า

                   

    โหยยย  สาดูดาสิไม่เชื่อเราเลยอ่ะ

     

    อาริตาเริ่มงอแงเมื่อวนิดายังยืนยันและไม่เชื่อสิ่งที่เธอพยายามเล่าสักนิด 

     

    หลังจากที่ฤลิสานั่งพักอยู่บนหน้าผาเมฆากับวนิดาได้สักพักอาริตาก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหาหญิงสาวทั้งคู่

     

    ด้วยความตกใจและพยายามเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง  จนกระทั่งมาถึงที่พักซึ่งขออาศัยในหมู่บ้านระแวกนั้น

     

    แต่จนแล้วจนรอดวนิดาก็ยังเห็นว่านั่นเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ

     

    ฤลิสาได้แต่ยิ้มอ่อนๆ ใบหน้างามยังคงเปี่ยมไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่แสนคลางแคลงใจ  มือเรียวบาง

     

    ลูบไล้อัญมณีสีแดงสดเม็ดกลางของรัดเกล้าลายวิจิตรด้วยอาการเลื่อนลอย  ก่อนจะรำพึงแผ่วเบา

     

    เราจะทำยังไงกับรัดเกล้านี้ดีล่ะ

     

    นั่นน่ะสิ เราจะปฏิเสธไม่รับไว้แทนสาแล้วนะ  ดาน่ะสิตะโกนมาเรียกเราซะก่อนอ่ะ

     

    อ้าว  มาโทษเราได้ไงล่ะ  ใครจะไปรู้ล่ะห๊ะ

     

    เปล่านะเราไม่ได้โทษซักหน่อย เราแค่เล่าให้ฟังเฉยๆอ่ะ

     

    เอาเถอะจ่ะ ไม่เป็นไรหรอกอย่าเถียงกันเลยนะทั้งสองคน...เราขอร้อง สุดท้ายฤลิสาจึงเอ่ยตัดบทขึ้นมา

     

    ห้ามทัพซะก่อนที่เรื่องเล็กจะบานปลาย ก่อนจะถอนใจด้วยความกังวล

     

    เราไม่ทะเลาะกันหรอกน่า  สาก็ไม่ต้องคิดมาก  เนอะตา  พวกเรารักกันจะตาย  เป็นเพื่อนกันมาเป็นสิบปีแล้ว  ก็เหมือนพี่น้องกันน่ะแหละ

     

    ช่ายๆ อาริตาเอ่ยสมทบวนิดาอย่างสดใสจนทั้งสามคนอดที่จะหัวเราะออกมาพร้อมกันไม่ได้

     

    ขอบใจดากับตามากนะ

     

    จิ๊บจ๊อยน่าสา  สาอย่าคิดมากดิ  ไอ้รัดเกล้าอะไรเนี่ยก็สวยดีออกถ้าคืนเขาไม่ได้ก็เก็บไว้นั่นแหละ  มัน

     

    ช่วยไม่ได้นี่หน่าก็เขาอยากให้มาเองอ่ะ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง

     

    ช่ายๆ  ไม่ได้ไปขโมยเขามาซักหน่อยชิมิ

     

    พักผ่อนเหอะนะเพื่อนๆ  นี่ก็เย็นแล้ว ตื่นกันมาตั้งแต่เช้ามืดเดินทางมาก็ทั้งวันเหนื่อยกันแย่แล้วว่ะ เดี๋ยว

     

    เราไปอาบน้ำก่อนดีกว่า

     

    งืมดาจะอาบน้ำใช่ป่ะ  งั้นเดี๋ยวเราออกไปลองถามพวกชาวบ้านเองว่ามีไรแบ่งให้เรากินได้บ้าง

     

    โอเค  งั้นสาพักก่อนเถอะปล่อยเป็นหน้าที่ของเราสองคนเอง

     

    ไม่ดีกว่า...เดี๋ยวเราช่วย

     

    สาอย่าดื้อสิ  ไปส่องกระจกไป๊  หน้ายังซีดเป็นไก่ต้มอยู่เลยนอนพักเหอะ

     

    ฤลิสา ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักอย่างยอมจำนนด้วยรู้ดีว่าร่างกายของตนเองไม่สู้ดีนัก  แม้ปกติจะเป็นคน

     

    แข็งแรงแต่วันนี้กลับหวิวโหวงอย่างประหลาด   เสมือนมีสัญชาติญาณบางอย่างกรีดร้องอย่างรุนแรง  เตือนให้

     

    หญิงสาวรับรู้ว่าบางอย่าง...กำลังจะเปลี่ยนไป!

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×